4.3 ในขณะที่วิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งนั้นต้องสนใจขจัดลักษณะอัตวิสัย
ลักษณะด้านเดียวผิวเผิน ปราชญ์กล่าวว่า "ที่เรียกว่าลักษณะอัตวิสัยนั้น
ก็คือไม่รู้จักมองปัญหาอย่างภววิสัย ซึ่งก็คือไม่รู้จักมมองปัญหาด้วยทัศนะวัตถุนิยม
ข้อนี้ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในเรื่อง "ว่าด้วยการปฏิบัติ" แล้วที่เรียกว่าลักษณะด้านเดียวนั้นก็คือไม่รู้จักมองปัญหาอย่างรอบด้าน
เช่น เข้าใจแต่ด้านจีน ไม่เข้าใจด้านญี่ปุ่น เข้าใจด้านพรรคคอมมิวนิสต์
ไม่เข้าใจพรรคก๊กมิ่นตั๋ง" |
......."รวมความว่า
ไม่เข้าใจลักษณะพิเศษแห่งด้านต่างๆ ของความขัดแย้ง นี่เรียกว่ามองปัญหาด้านเดียวหรือเรียกว่ามองเห็นแต่เพียงเฉพาะส่วน
ไม่เห็นส่วนทั้งหมดมองเห็นแต่เพียงต้นไม้ไม่เห็นป่า เช่นนี้ย่อมไม่สามารถทำงานในหน้าที่ให้ดีและย่อมไม่สามารถคลี่คลายการต่อสู้ทางความคิดภายในขบวนอย่างถูกต้องได้.....ลักษณะผิวเผินนั้นไม่มองลักษณะพิเศษแห่งองค์รวมของความขัดแย้งและลักษณะพิเศษแห่งองค์รวามของความขัดแย้งและลักษณะพิเศษแห่งด้านต่างๆ
ของความขัดแย้ง ปฏิเสธความจำเป็นในการ หยั่งลึกเข้าสู่ภายในของสรรพสิ่ง
ไม่ค้นคว้าลักษณะพิเศษของความขัดแย้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพียงแต่ยืนดูอยู่ไกลๆ
พอมองเห็นรูปโฉมของความขัดแย้งได้หน่อยอย่างหยาบๆ ก็คิดลงมือแก้ความขัดแย้ง
การทำเช่นนี้ ไม่มีเลยที่จะไม่เกิดความวุ่นวาย การที่บางคนที่มีลัทธิคัมภีร์และลัทธิจัดเจน
ทำความผิดพลาดขึ้น ก็เพราะว่าวิธีการมองสรรพสิ่งของพวกเขาเป็นแบบอัตวิสัย
ด้านเดียวและผิวเผิน ลักษณะด้านเดียวและลักษณะผิวเผินก็เป็นลักษณะ อัตวิสัยเช่นเดียวกัน
เพราะว่าสิ่งภววิสัยทั้งปวงที่จริงก็สัมพันธ์กันและมีกฏภายในอยู่ แต่คนเราไม่ไปสะท้อนสภาพเหล่านี้ตามความจริงของมัน
กลับมองดูอย่างด้านเดียวหรืออย่างผิวเผิน ไม่เข้าใจความสัมพันธ์กันของสรรพสิ่งไม่เข้าใาจในกฎภายในของสรรพสิ่ง
ฉะนั้นวิธีการชนิดนี้จึงเป็นลัทธิอัตวิสัย" เพื่อหลีกเลี่ยงลักษณะอัตวิสัย
เราจึงจำเป็นต้องทำการสำรวจค้นคว้าอย่างซึมลึก การสำรวจสำคัญยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติงานชั้นนำคนหนึ่งในการเข้าใจธาตุแท้ของสิ่งรูปธรรมหนึ่งๆ
มหาบุรุษของตะวันออกท่านหนึ่งกล่าวว่า "การไปทำความเข้าใจสภาพภายในของหน่วยงานหนึ่งๆ
ต้องทำความเข้าใจว่ามันเริ่มต้นอย่างไร ต่อมาเป็นอย่างไร เวลานี้เป็นอย่างไร
มวลชนทำกันอย่างไร ฝ่ายนำทำกันอย่างไร เคยเกิดความขัดแย้งและการต่อสู้อย่างไร
อะไรบ้าง ต่อมา ความขัดแย้งเหล่านี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ความรับรู้ของคนทั้งหลายมีการพัฒนาอย่างไร
เพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นกฎจากในนี้" |
......แต่จะทำได้ถึงขั้น
วิเคราะห์อย่างรูปธรรม าจากสภาพที่เป็นรูปธรรมนั้นยังต้องสนใจคัดค้านความที่ขี้เกียจหลังยาว
และความคิดที่เย่อหย่งทนงตน ถ้ากลัวความยากลำบาก กลัวเหน็ดเหนื่อย ก็จะเอาแต่รูปแบบง่ายๆ
เอาแต่รูปแบบไม่ทำการค้นคว้าอย่างละเอียดประณีตเมื่อพบปัญหาก็จะใช้วิธีการแบบเดียวกันไปแก้ปัญหาต่างๆ
ก็จะต้องล้มเหลว "เพราะความขัดแย้งที่มีคุณภาพต่างกันจะแก้ได้ก็ด้วยวิธีการที่ต่างกัน"
ปราชญ์ท่านกล่าวว่า "การกำหนดเข็มมุ่งในการงานตามสภาพที่เป็นจริงเป็นวิธีการทำงานขั้นพื้นฐานที่สุดซางจะต้องจดจำไว้ให้มั่น
ความผิดพลาดที่เราได้กระทำไปนั้น เมื่อค้นคว้าหาสาเหตุของมันแล้ว ก็ล้วนแต่เนื่องจากห่างเหินห่างจากสภาพที่เป็นจริงในเวลานั้นและในที่นั้น
แล้วกำหนดเข็มมุ่งในการงานของตนอย่างอัตวิสัย" การที่จะอาศัยสภาพความเป็นจริง
ก็มีแต่ต้องไปเข้าใจสภาพการณ์ จึงจะสามารถกำหนดเข็มมุ่งได้ถูกต้อง นี่คือจุดมุ่งหมายที่เราจะต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะของความขัดแย้ง |
|
สรุป "โลกทัศน์วิภาษวิธีนี้
ที่สำคัญก็คือสอนให้เราสันทัดในการสังเกตและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของความขัดแย้งในสิ่งต่างๆ
และอาศัยการวิเคราะห์อย่างนี้ชี้ให้เห็นถึงวิธีการแก้ความขัดแย้ง ฉะนั้นการเข้าใจกฎแห่งความขัดแย้งในสิ่งต่างๆ
และอาศัยการวิเคราะห์อย่างนี้ชี้ให้เห็นถึงวิธีการแก้ความขัดแย้ง ฉะนั้นการเข้าใจกฎแห่งความขัดแย้งในสิ่งต่างๆ
และอาศัยการวิเคราะห์อย่างนี้ชี้ให้เห็นถึงวิธีการแก้ความขัดแย้ง ฉะนั้น
การเข้าใจกฎแห่งความขัดแย้งในสรรพสิ่งอย่างรูปธรรม จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา" |