|
สุนัขและม้า
|
......ซาดิกเห็นด้วยกับข้อเขียนในหนังสือเซนของท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์ที่ว่า
เดือนแรกของการสมรสนั้นเป็นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์และเดือนที่สองเป็นการดื่มน้ำผึ้งขม
หลังจากเกิดเหตุได้ไม่นาน
เขาก็จำต้องไล่อโซราไป
เพราะยากเกินกว่าที่จะร่วมชีวิตกับหล่อนได้
จากนั้นก็ไปแสวงหาความสุขจากการศึกษาธรรมชาติซาดิกรำพึงว่า |
......"ไม่มีผู้ใดจะมีความสุขยิ่งไปกว่านักปราชญ์ผู้ได้อ่านหนังสือเล่มใหญ่ที่พระเจ้าได้วางไว้ข้างหน้ามนุษย์เรา
สัจธรรมที่ท่านนักปราชญ์ค้นพบเป็นสมบัติของท่าน
ทำให้ท่านได้หล่อเลี้ยงชีวิตและยกจิตใจให้สูงขึ้น
ท่านมีชีวิตอยู่อย่างสงบ
ไม่เกรงกลัวภัยใดๆ
จากเพื่อนมนุษย์และภรรยาที่อ่อนโยนของท่านก็จะไม่มาตัดจมูกของท่านด้วย" |
......เมื่อมีความคิดเหล่านี้เต็มสมอง
ซาดิกจึงปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังยังบ้านในชนบทบนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส
ณ ที่นี้
เขาไม่ได้ง่วนอยู่กับการคำนวณว่าน้ำไหลใต้โค้งสะพานวินาทีละกี่นิ้ว
หรือว่าฝนตกในเดือนหนูมากกว่าในเดือนแกะไปจำนวนเศษหนึ่งส่วนสิบสองนิ้วต่อลูกบาศก์หรือไม่
ทั้งเขาไม่เคยคิดที่จะทำเครื่องกระเบื้องลายครามจากขวดแตก
แต่กลับไปสนใจศึกษา
เรื่องคุณลักษณะของสัตว์และพืชโดยเฉพาะ
ในไม่ช้าเขาก็เกิดปัญญาค้นพบความแตกต่างนับพันประการ
ในขณะที่คนอื่นๆ
มองเห็นแต่รูปลักษณ์ที่เหมือนกันหมดเท่านั้น |
......วันหนึ่ง
ขณะที่กำลังเดินเล่นในป่าเล็กแห่งหนึ่ง
ซาดิกก็เห็นขันทีคนหนึ่งของพระราชินีวิ่งตรงมาหาเขา
มีทหารหลวงตามหลังมาอีกหลายคน
ต่างมีท่าทางวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
พากันวิ่งไปมาขวักไขว่ราวกับคนหลงทางที่กำลังตามหาของมีค่ายิ่งที่หายไป
หัวหน้าขันทีถามซาดิกว่า |
......"พ่อหนุ่ม
ท่านไม่เห็นสุนัขตัวผู้ของพระราชินีบ้างเลยหรือ" |
......ซาดิกตอบอย่างน้อมว่า
"สุนัขตัวเมีย
ไม่ใช่สุนัขตัวผู้" |
......หัวหน้าขันทีตอบว่า
"ท่านพูดถูก" |
......ซาดิกกล่าวเสริมว่า
"มันเป็นสุนัขตัวเมียพันธ์สเปเนียล
ตัวเล็กมาก
เพิ่งออกลูกเมื่อไม่นานมานี้
ขาหน้าข้างซ้ายเป๋
และหูทั้งสองข้างยาวมาก" |
......หัวหน้าขันทีถามอย่างละล่ำละลักเต็มทีว่า
"งั้นก็แสดงว่าท่านเคยเห็นมันนะสิ" |
......ซาดิกตอบว่า
"เปล่า
ไม่เคยเห็นเลย
และไม่เคยรู้ด้วยว่าพระราชินีทรงมีแม่สุนัข" |
......พอดีเวลาเดียวกันนั้นเอง
ความบังเอิญที่น่าแปลกก็เกิดขึ้นเหมือนเช่นเคย
ม้าตัวสวยที่สุดในคอกของพระราชาหลุดจากมือคนเลี้ยงตรงทุ่งราบของกรุงบาบิโลน
หัวหน้าขบวนม้าล่าสัตว์และทหารหลวงคนอื่นๆ
วิ่งตามหามันด้วยความวิตกกังวลพอๆกันกับหัวหน้าขันทีที่วิ่งตามหาแม่สุนัข
หัวหน้าขบวนม้าล่าสัตว์
ถามซาดิกว่าเห็นม้าของพระราชาผ่านมาทางนี้บ้างไหมซาดิกตอบว่า
|
......"ม้าตัวนี้วิ่งเร็วที่สุด
สูงห้าฟุต
กีบเล็กมาก
หางยาวสามฟุตครึ่ง
ลายนูนประดับบังเหียนทำด้วยทองยี่สิบสามกะรัตเกือกม้าทำด้วยเงินหนักสิบเอ็ดเดอนิเยร์" |
......หัวหน้าขบวนม้าล่าสัตว์ถามว่า
"มันไปทางไหน
และอยู่ที่ใดล่ะ" |
......ซาดิกตอบว่า
"ข้าไม่เคยเห็นมันหรอก
และไม่เคยได้ยินคนพูดถึงด้วย"
|
......หัวหน้าขบวนม้าล่าสัตว์
และหัวหน้าขันทีพากันสงสัยว่า
ซาดิกเป็นคนขโมยม้าของพระราชา
และแม่สุนัขของพระราชินีไปแน่ๆ
จึงได้นำตัวเขาไปเข้าที่ประชุมใหญ่ของเสนาบดีคลัง
ซึ่งตัดสินลงโทษให้โบยเขาด้วยแส้แล้วเนรเทศไปอยู่ไซบีเรียตลอดชีวิต |
......พอประกาศคำตัดสินยังไม่ทันขาดคำดี
ก็มีคนเจอม้าและแม่สุนัขหายไป
คณะผู้ตัดสินเดือดร้อน
จำใจต้องเปลี่ยนแปลงการลงโทษเสียใหม่
ซาดิกต้องจ่ายเงินจำนวนสี่ร้อยออนซ์ทองฐานที่ได้กล่าวว่าไม่เห็นในสิ่งที่เขาได้เห็น
เงินค่าปรับนี้ต้องจ่ายก่อน
หลังจากนั้นเขาจึงได้รับอนุญาติให้ร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการของเสนาบดีคลัง
ความดังนี้ |
......."ท่านทั้งหลายผู้เป็นดาวแห่งยุติธรรม
เหวลึกแห่งความรู้และกระจกแห่งความจริง
ท่านเป็นผู้มีความหนักแน่นดุจตะกั่ว
ความแข็งแกร่งดั่งเหล็ก
ความจรัสแสงเยี่ยงเพชร
และความใกล้เคียงกับทองเป็นอย่างมาก
ในเมื่อข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้แถลงต่อหน้าคณะกรรมการที่ทรงเกีรยตินี้
ข้าพเจ้าขอสาบานต่อเทพโอรอสมาดว่าข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแม่สุนัขที่น่าเคารพของพระราชินีและม้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของจอมราชันย์
ข้าพเจ้าขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ดังนี้" |
......ข้าพเจ้าได้เดินเล่นไปทางป่าเล็กแห่งหนึ่ง
ณ ที่นี้
ข้าพเจ้าได้พบกับท่านขันทีผู้น่านับถือและท่านหัวหน้าขบวนม้าล่าสัตว์ผู้เก่งกล้า
ก่อนหน้านี้
ข้าพเจ้ามองเห็นรอยเท้าสัตว์บนพื้นทราย
ซึ่งพิจารณาดูได้อย่างง่ายๆ
ว่า
เป็นรอยเท้าสุนัขตัวเล็กๆ
ร่องตื้นๆ ยาวๆ
ซึ่งติดอยู่บนพื้นทรายที่นูนขึ้นระหว่างรอยเท้าทั้งสองข้าง
ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าสัตว์ตัวนี้เป็นสุนัขตัวเมียที่มีเต้านมยานและเมื่อเป็นดังนี้
ก็แสดงว่ามันเพิ่งออกลูกไปไม่กี่วันมานี้เอง
ส่วนรอยอื่นๆ ข้างๆ
รอยขาหน้าทั้งสอง
พื้นทรายถูกปัดราบอย่างสม่ำเสมอทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า
แม่สุนัขตัวนี้มีหูทั้งสองข้างยาวมาก
และเมื่อข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ารอยเท้าข้างหนึ่งบนพื้นทรายตื้นกว่าอีกสามรอยข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าแม่สุนัขของพระราชินีเดินขาเป๋หน่อยๆ
ถ้าข้าพเจ้าจะบังอาจกล่าวเช่นนั้นได้ |
......สำหรับม้าของจอมราชันย์นั้น
ท่านทั้งหลายโปรดทราบว่า
ขณะที่ข้าพเจ้าเดินเล่นไปตามทางในป่าแห่งเดียวกันนี้
ข้าพเจ้าก็สังเหตเห็นรอยเกือกมีระยะห่างสม่ำเสมอกันหมด
ข้าพเจ้านึกในใจว่า
"ม้าตัวนี้ห้อได้เยี่ยม"
พอเดินถึงทางแคบๆ
สายหนึ่งซึ่งกว้างแค่เจ็ดฟุต
ข้าพเจ้าก็เห็นรอยฝุ่นบนต้นไม้สองข้างทางถูกปัดออกเล็กน้อยทั้งด้านขวาและด้านซ้าย
วัดระยะจากตรงกลางทางได้สามฟุตครึ่งพอดี
ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่าม้าตัวนี้มีหางยาวสามฟุตครึ่ง
ขณะที่มันแกว่งหางไปทางขวา
ทางซ้าย
จึงปัดฝุ่นไปด้วยข้าพเจ้ายังเห็นใบไม้เพิ่งร่วงจากกิ่งใหม่ๆ
ตรงใต้หมู่ไม้ที่โค้งชนกันสูงห้าฟุต
ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าม้าตัวนี้คงไปโดนกิ่งไม้เข้าและเมื่อเป็นเช่นนี้
มันคงสูงห้าฟุตเป็นแน่
ส่วนบังเหียนของมันนั้นคงจะทำด้วยทองยี่สิบสามกะรัต
เพราะมันได้เอาส่วนที่เป็นลายประดับนูนถูกกับก้อนหินซึ่งข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นหินที่ใช้สำหรับลองทอง
และข้าพเจ้าได้ลองพิสูจน์ดูเองด้วย
ท้ายสุด
ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูรอยเกือกม้าที่ติดอยู่บนก้อนกรวดอีกชนิดหนึ่งและเห็นว่า
ม้าตัวนี้ใส่เกือกม้าทำด้วยเงินบริสุทธิ์หนักสิบเอ็ดเดอนิเยร์" |
......คณะกรรมการตัดสินทุกคนชื่นชมการวินิจฉัยที่ลึกซึ้งและละเอียดละออของซาดิก
ข่าวระบือไปถึงพระกรรณของพระราชาและพระราชินี
ทุกคนพูดถึงแต่ซาดิกในห้องโถงของพระราชวัง
ห้องบรรทมของพระราชาและห้องทรงงานส่วนพระองค์และแม้ว่าราชครูหลายองค์จะดึงดันเห็นว่าซาดิกเป็นพ่อมดหมอผีสมควรที่จะถูกเผาเสียแต่พระราชาก็ยังมีพระราชโองการให้คืนเงินค่าปรับจำนวนสี่ร้อยออนซ์ทองแก่เขา
ราชเลขาธิการ
เหล่านักการ
และเหล่าอัยการพากันยกขบวนใหญ่โตนำเอาค่าปรับมาคืนให้ซาดิกสี่ร้อยออนซ์
แล้วหักค่าใช้จ่ายของศาลไปเพียงสามร้อยเก้าสิบแปดออนซ์เท่านั้น
มิหนำซ้ำเหล่าบริวารที่ติดตามมาขอค่าบริการด้วย |
......ซาดิกเห็นแล้วว่าบางครั้งการรู้อะไรมากเกินไปเป็นอันตรายเพียงใด
จึงสัญญากับตนเองเป็นมั่นเหมาะว่าในโอกาสหน้าจะไม่พูดสักคำเลยว่าได้เห็นอะไรมา |
......โอกาสดังกล่าวมาถึงในไม่ช้านัก
นักโทษหลวงคนหนึ่งแหกคุกออกมาได้แล้ววิ่งผ่านใต้หน้าต่างบ้านซาดิก
เมื่อถูกไต่สวนซาดิกไม่ให้การอะไรเลย
และเมื่อถูกจับได้ว่าเขามองออกไปทางนอกหน้าต่าง
จึงโดนปรับเป็นเงินห้าร้อยออนซ์ทอง
สำหรับโทษนี้
และซ้ำยังต้องกล่าวคำขอบคุณคณะผู้ตัดสินที่ลดหย่อนผ่อนผันให้ตามธรรมเนียมของบาบิโลน
ซาดิกรำพึงในใจว่า |
......"พระเจ้าช่วย
คนเรานี่ช่างน่าสงสารเสียจริง
เมื่อไปเดินเล่นในป่าแห่งเดียวกับที่แม่สุนับของพระราชินีและม้าของพระราชาผ่านไป
มันช่างอันตรายเสียจริงที่คนเราจะไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
มันช่างยากลำบากเหลือเกินที่จะมีความสุขในชีวิตนี้" |