|
จอมอิจฉา
|
......ซาดิกหันเข้าหาปรัญชาและสร้างมิตรภาพ
เพื่อปลอบใจตนเองให้ลืมโชคร้ายต่างๆ
เขามีบ้านหลังหนึ่งอยู่ในย่านกลางกรุงบาบิโลน
บ้านหลังนี้ตกแต่งอย่างมีรสนิยม
พร้อมพรั่งด้วยศิลปวัตถุตลอดจนเครื่องอำนวยความเพลิดเพลินบันเทิงใจนานาชนิด
นับว่าเหมาะกับผู้ดีอย่างเขามาก
ตอนเช้าเขาเปิดห้องสมุดสำหรับนักปราชญ์ทุกคน
พอตอนเย็นก็เชิญมิตรสหายมาร่วมรับประทานอาหารด้วย
แต่ในไม่ช้า
เขาก็รู้ว่าพวกนักปราชญ์นั้น
น่ากลัวทีเดียว พวกเขากถกเถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบัญญัติของท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์
ที่ห้ามกินตัวกริฟฟงสัตว์ครึ่งเหยี่ยวครึ่งสิงโต
ปราชญ์บางคนกล่าวว่า |
......"จะไปห้ามมิให้กินตัวกริฟฟงได้ยังไงกันในเมื่อมันไม่มีตัวตน"
แต่ถูกคนอื่นๆแย้งว่า |
......"มันต้องมีสิ
ในเมื่อท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์ไม่อยากให้คนกินมัน" |
......ซาดิกพยายามไกล่เกลี่ยพวกเขาให้มีความเห็นตรงกันโดยกล่าวว่า |
......"ถ้าหากตัวกริฟฟงมีจริง
ก็จงอย่ากินมัน
และถ้าหากไม่มีเลยสักตัว
เราก็จะกินน้อยลงไปอีก
นั่นหมายความว่า
พวกเราทุกคนต่างเชื่อฟังท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์" |
......ปราชญ์ผู้หนึ่งซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับคุณลักษณะต่างๆของตัวกริฟฟงไว้ถึงสิบสามเล่ม
มิหนำซ้ำยังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทวปาฎิหารย์อีกด้วย
รีบไปฟ้องร้องเรื่องซาดิกต่อมหาราชครูเยบอร์
ซึ่งเป็นคนโง่ที่สุดในกรุงบาบิโลน
และด้วยเหตุนี้จึงเป็นคนคลั่งศาสนาที่สุดด้วย
ท่านปรารถนาที่จะเสียบประจานซาดิกเพื่อบูชาพระอาทิตย์ผู้ยิ่งใหญ่
และหลังจากนั้นท่านก็จะท่องจะบทสวดมนต์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้น้ำเสียงที่พออกพอใจยิ่งขึ้น
มิตรกาดอร์(มิตรคนหนึ่งมีค่ายิ่งกว่าพระร้อยองค์)ไปหามหาราชครูเฒ่าเยบอร์พูดกับท่านว่า |
....."ขอให้พระอาทิตย์และพวกตัวกริฟฟงจงเจริญ
ขอท่านมหาราชครูกรุณาอย่างได้ลงโทษซาดิกเลยเพราะเขาเป็นนักบุญ
ซึ่งเห็นได้จากการที่เขานั้นเลี้ยงตัวกริฟฟงไว้ตั้งหลายตัวในลานบ้านแต่ไม่เคยกินมันเลยสักตัวเดียว
ส่วนคนที่กล่าวหาเขาว่าเป็นคนนอกศาสนานั้นบังอาจกล่าวสนับสนุนว่า
กระต่ายมีตีนแยกเป็นแฉกและไม่สกปรกเลย" |
......ท่านมหาราชครูสั่นหัวล้านไปมา
พลางกล่าวว่า |
......"ถ้าอย่างงั้นก็ต้องเสียบประจานทั้งซาดิกที่ได้คิดร้ายต่อตัวกริฟฟง
และอีกคนที่ได้กล่าวร้ายกระต่ายด้วย" |
.......แต่กาดอร์ก็สามารถทำให้เรื่องเงียบไปได้โดยอาศัยนางกำนัลผู้หนึ่งซึ่งมีบุตรกับเขา
และมีอิทธิพลมากในสำนักพวกราชครู
จึงไม่มีผู้ใดถูกเสียบประจานสักคน
ศาสนาจารย์หลายคนบ่นไม่พอใจ
และทำนายว่าเรื่องแบบนี้จะนำความเสื่อมมาสู่กรุงบาบิโลน
ซาดิกอุทานว่า |
......"ความสุขขึ้นอยู่กับอะไรกันแน่นะ
ทุกสิ่งในโลกนี้ลงโทษข้าไปหมด
แม้กระทั่งสัตว์ที่ไม่มีตัวตน" |
......ซาดิกสาปส่งพวกนักปราชญ์
และอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปกับหมู่มิตรสหายที่ดีเท่านั้น
เขาจึงเชิญเหล่าบุรุษที่สุภาพที่สุด
และเหล่าสตรีที่น่ารักที่สุดของกรุงบาบิโลนให้มาชุมนุมสังสรรค์กันที่บ้านเขาเลี้ยงอาหารเย็นรสเลิศ
ก่อนรับประทานอาหารก็มีดนตรีขับกล่อมอยู่บ่อยๆ
และการสนทนาครื้นเครง
ก็ทำให้งานเลี้ยงมีชีวิตชีวาเพราะซาดิกรู้วิธีห้ามคนที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากแสงภูมิปัญญาไม่ให้พูด
ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการแสดงว่าไร้ปัญญาอย่างแน่นอนที่สุดแล้ว
ยังเป็นการทำลายบรรยากาศของงานสังคมที่รื่นรมย์ยิ่งอีกด้วย
ซาดิกไม่ได้เลือกมิตรสหายและรายการอาหารเพื่อความมีหน้ามีตา
เพราะเขาชอบเนื้อแท้ของทุกสิ่งมากกว่าเปลือกนอกด้วยเหตุนี้
เขาจึงได้รับการเคารพยกย่องที่แท้จริงซึ่งเขาไม่เคยหวังว่าจะได้มาก่อนเลย |
......ตรงข้ามบ้านซาดิกเป็นของอริมาซ
หน้าตาที่หยาบกร้านของบุคคลนี้บ่งบอกถึงจิตใจที่ชั่วร้าย
เขาใจดำเหมือนอีกาและจองหองพองขน
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคนอวดรู้ที่น่าเบื่ออีกด้วย
ความที่เขาไม่เคยเข้าสังคมได้ทำให้คิดแก้แค้นโดยนินทาว่าร้าย
แม้เขาจะร่ำรวยมาก
แต่ก็หาพวกคนขี้ประจบมาชุมนุมสังสรรค์ที่บ้านยาก
เสียงรถม้าที่เข้าไปในบ้านของซาดิกยามค่ำ
ทำให้เขาอารมณ์ขุ่นมัวอยู่บ่อยๆ
และเสียงสรรเสริญซาดิกก็ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งขึ้น
บางครั้งเขาไปบ้านซาดิกและร่วมรับประทานด้วยโดยไม่ได้รับเชิญ
ทำให้บรรยกาศรื่นเริงของงานสังสรรค์คืนนั้นเสียไปหมด
ดังคำกล่าวที่ว่าพวกตัวฮาร์ปี
ทำให้อาหารทุกชนิดที่พวกมันจับต้องเน่าเหม็น
มีอยู่วันหนึ่ง
อริมาซต้องการเชิญกุลสตรีผู้หนึ่งมาทานเลี้ยงที่บ้าน
แต่แทนที่อยู่ต้อนรับหล่อนกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านซาดิกแทน
อีกวันหนึ่งขณะที่อริมาซกำลังคุยอยู่กับซาดิกในวัง
คนทั้งสองก็ได้ไปทักทานเสนาบดีท่านหนึ่ง
ท่านเสนาบดีเอ่ยปากเชิญซาดิกไปทานอาหารเย็นด้วยโดยไม่ได้เชิญอริมาซ
บ่อยครั้งทีเดียวความเกลียดชังอย่างเข้ากระดูกดำมิได้มีสาเหตุที่สำคัญกว่านี้
อริมาซเป็นผู้ที่ชาวกรุงบาบิโลนตั้งสมญาให้ว่า
"จอมอิจฉา"
เขาต้องการทำลายซาดิก
เพราะคนตั้งสมญาให้ว่า
"เจ้าแห่งความสุข"
ดังที่ท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์
กล่าวไว้ในโอกาสที่จะทำชั่วนั้นมีร้อยครั้งต่อวัน
ส่วนโอกาสที่จะทำดีนั้น
มีครั้งเดียวในรอบปี |
......"วันหนึ่ง
จอมอิจฉาไปบ้านซาดิกซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนกับเพื่อนชายสองคน
และสุภาพสตรีผู้หนึ่ง
ซาดิกเกี้ยวพาราสีหล่อนบ่อยครั้งโดยมิได้มีเจตนาอื่นใดนอกจากอยากพูดไปยังงั้นเอง
คนทั้งสี่สนทนากันถึงเรื่องสงครามที่พระราชารบชนะเจ้าชายแห่งเมืองฮีร์กานี
ซึ่งเป็นเจ้าเมืองประเทศราชของพระองค์ซาดิกซึ่งเคยกล่าวถึงความกล้าหาญของพระราชาระหว่างสงครามที่ไม่ยืดเยื่อครั้งนี้
ยกย่องพระองค์มาก
แต่ก็ยังน้อยกว่าชมสุภาพสตรีผู้เดินอยู่ด้วย
เขาหยิบกระดานชนวนมาเขียมกลอนสดๆ
สี่บาท
และยื่นให้แม่โฉมงามอ่น
เพื่อนชายทั้งสองคนขออ่านบ้างแต่ซาดิกไม่ยอมให้อ่าน
ทั้งนี้คงเป็นเพราะความถ่อมตัวหรือไม่ก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเองมากกว่า
เพราะเขารู้ดีว่ากลอนที่แต่งสดๆนั้นไม่เคยดี
จะดีสำหรับผู้ที่เขาให้เกียรติแต่งให้เท่านั้น
เขาจึงหักกระดานชนวนที่เขียนกลอนออกเป็นสองท่อนแล้วโยนทิ้งไปในพุ่มดอกกุหลาบ
พวกเพื่อนหากันใหญ่
แต่ไม่เจอ
พอดีฝนตกปรอยๆ
ทุกคนเลยกลับเข้มไปในบ้าน
ส่วนจอมอิจฉายังคงอยู่ในสวนและตั้งอกตั้งใจหาจนเจอแผ่นกระดานชนวนท่อนหนึ่งซึ่งถูกหักได้ดีมากจนแต่ละวรรคหน้าที่เขียนเต็มบรรทัดมีความหมายและถือเป็นกลอนสั้นก็ยังได้
แต่ความบังเอิญที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือกลอนสั้นๆ
นี้มีความหมายเชิงหมิ่นพระบรมราชานุภาพอาย่างร้ายแรงที่สุด
อ่านได้ความดังนี้ |
......ด้วยเหตุร้ายภัยมากมี |
......เหนือบัลลังก์อันคงมั่น |
......เมื่อประชาราษฎร์สุขสันต์ |
......มันคือศัตรูน่าครั่นคร้าม |
......จอมอิจฉามีความสุขเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขามีสิ่งที่จะทำลายชายผู้มีคุณธรรมและน่าคบหาอยู่ในมือแล้ว
เขาส่งกลอนเขียนด้วยลายมือซาดิกไปให้พระราชาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความปิติที่โหดร้าย
ซาดิก
เพื่อนชายทั้งสองคนและสุภาพสตรีดังกล่าวถูกจับเข้าคุก
การติดสินคดีสิ้นสุดลงภายในไม่กี่วัน
ไม่มีใครฟังคำให้การของซาดิกเลย
เมื่อเขามารับฟังคำพิพากษาที่ศาล
จอมอิจฉามายืนอยู่ตรงทางที่เขาเดินผ่าน
และตะโกนบอกเขาว่ากลอนของเขาไร้ค่า
ซาดิกไม่โกรธเลยที่ไม่ได้เป็นกวีเอก
แต่รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรผู้ดูหมิ่นพระบรมราชานุภาพทั้งสุภาพสตรีคนสวยและเพื่อนชายทั้งสองยังถูกลงโทษจำคุก
สำหรับอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้ก่ออีกด้วย
ซาดิกไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องทุกข์
เพราะกระดานชนวนเป็นหลักฐานฟ้องอยู่ชัดเจนแล้ว
ทั้งนี้ตามกฎหมายแห่งกรุงบาบิโลน
ซาดิกถูกนำตัวไปประหารชีวิตผ่านฝูงชนที่อยากรู้อยากเห็น
ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความสงสารเห็นอกเห็นใจเขาเลยแม้แต่คนเดียว
ต่างรีบมองไปที่ใบหน้าเขาเพื่อดูว่าเขาจะตายอย่างสงบหรือไม่
มีแต่พวกญาติๆ เท่านั้นที่เศร้าโศกเพราะไม่ได้สืบทอดมรดก
ทั้งนี้เนื่องจากเศษสามส่วนสี่ของสมบัติซาดิกถูกริบเป็นสมบัติของพระราชา
อีกเศษหนึ่งส่วนสี่เป็นรางวัลให้แก่จอมอิจฉา |
......ขณะที่ซาดิกกำลังเตรียมตัวตายอยู่นั้น
นกแก้วของพระราชาได้บินออกมาจากระเบียงไปจับอยู่บนพุ่มดอกกุหลาบในสวนของซาดิก
ลูกพีชจากต้นข้างบ้านถูกลมพัดหล่นลงมาตกติดอยู่บนแผ่นกระดานชนวนอีกท่อนหนึ่ง
นกคาบเอาทั้งแผ่นกระดานชนวนและลูกพีชไปวางบนเพลาของพระราชา |
......พระองค์ทรงแปลกพระทัยมาก
ทรงอ่านดูถ้อยคำที่ไม่มีความหมายใดๆ
และดูเหมือนจะเป็นกลอนวรรคหลัง
พระราชาโปรดกวี (บรรดาพระราชาที่โปรดกวีนิพนธ์ทรงมีพระปรีชาสามารถเสมอ)
เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับนกแก้วทำให้พระองค์ทรงฉุกคิด
พระราชินีซึ่งทรงจำกลอนที่ซาดิกเขียนบนกระดานชนวนอีกท่อนหนึ่ง
โปรดให้นำมันมาให้พระองค์
เมื่อเอากระดานชนวนทั้งสองท่อนมาต่อกันก็ปรากฏว่าต่อกันได้พอดิบพอดี
และอ่านกลอนได้ความตามที่ซาดิกเขียนไว้
ดังนี้ |
......ด้วยเหตุร้ายภัยมากมี..........ปฐพีนี้ป่วนปั่น |
......เหนือบัลลังก์อันคงมั่น.........องค์ราชันย์ขันปราบปราม |
......เมื่อประชาราษฎร์สุขสันต์....รักเท่านั้นก่อสงคราม |
......มันคือศัตรูน่าครั่นคร้าม........ควรเกรงขามยิ่งสิ่งเดียว |
......พระราชาทรงมีรับสั่งให้นำตัวซาดิกเข้าเฝ้าทันที่
และให้ปล่อยเพื่อนทั้งสองคน
รวมทั้งสุภาพสตรีคนสวนอีกคนด้วย
ซาดิกทรุดตัวลงจรดหน้าผากลงบนพื้นแทบบาทของพระราชาและพระราชินี
พลางกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอ่อนน้อมที่ได้เขียนกลอนเลวๆ
....คำกราบบังคมทูลของซาดิกไพเราะคมคาย
มีเหตุมีผลดีมาก
จนพระราชาและพระราชินีทรงมีประสงค์ที่จะให้เขาเข้าเฝ้าฯ
อีก
ซาดิกทำตามพระราชประสงค์และเป็นที่โปรดปรานมากยิ่งขึ้น
พระราชาทรงรับสั่งให้มอบสมบัติทั้งหมดของจอมอิจฉาที่ได้กล่าวหาซาดิกอย่างอยุติธรรมแก่เขา
แต่ซาดิกกลับคืนให้แก่เจ้าของทั้งหมด
จอมอิจฉาไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งเลยเพียงแต่ดีใจที่ไม่ต้องสูญเสียทรัพย์สินของตนเท่านั้น
พระราชาทรงยกย่องซาดิกมากขึ้นทุกวัน
ทรงโปรดให้เขาร่วมในงานบันเทิงทุกชนิดและทรงปรึกษางานราชการแผ่นดินทุกเรื่อง
พระราชินีเองก็ทรงทอดพระเนตรดูเขาด้วยความพอพระทัย
ซึ่งอาจจะกลายเป็นภัยสำหรับพระนางสำหรับพระสวามีผู้ยิ่งใหญ่
สำหรับซาดิกและสำหรับราชอาณาจักร
ส่วนซาดิกนั้นเริ่มจะเชื่อว่าการที่จะมีความสุขนั้นไม่ยากเลย |