ความหึงหวง

......ความทุกข์ของซาดิก เกิดจากความสุข และโดยเฉพาะจากความดีงามของเขาเอง เขาได้เข้าเฝ้าฯ พระราชาและพระนางอัสตาร์เต้พระมเหสีของพระองค์ทุกๆวัน ความปรารถนาที่จะทำความพอใจซึ่งคู่กันกับสติปัญญาทำให้คำกราบบังคมทูลของซาดิกทวีเสน่ห์ยิ่งขึ้นเปรียบประดุจ เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ที่เสริมความงามให้เด่นขึ้น ความหนุ่มแน่นและความสง่างามของเขาค่อยๆ ประทับพระหฤทัยของพระราชินีอัสตาร์เต้ซึ่งตอนแรกๆก็ไม่ได้ตระหนักพระองค์ ความรักได้เติบโตขึ้นในพระหฤทัยที่บริสุทธิ์ ทรงปล่อยพระองค์ให้กับความสุขที่ได้เห็นแลได้ยินบุรุษผู้เป็นคนโปรดของพระสวามีและที่รักของราษฎรทั้งประเทศโดยไม่ทรงรู้สึกละอายพระทัยหรือเกรงกลัวแต่ประการใด พระนางทรงสรรเสริญซาดิกกับพระราชาอยู่ไม่หยุด ทั้งยังได้รับสั่งถึงเขากับเหล่านางกำนัลซึ่งเยินยอเขายิ่งกว่าพระนางเสียอีกแต่พระนางหาทรงรู้สึกไม่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ฝังรอยลึกเข้าไปในดวงหทัยมากขึ้นทุกทีทรงพระราชทานของขวัญแก่ซาดิกโดยไม่ทรงคิดว่าเป็นการแสดงความเสน่หา และทรงเชื่อว่าการทรงรับสั่งกับเขานั้น ก็เป็นเพียงในนามของพระราชินีที่พอพระทัยกับการปฏิบัติงานของเขาเท่านั้นแต่ทว่าในบางครั้งมันเป็นถ้อยคำที่รับสั่งออกมาจากใจของผู้หญิงที่มีอารมณ์อ่อนไหว
......พระราชินีอัสตาร์เต้ทรงพระรูปโฉมงดงามยิ่งกว่า นางเซมีร์ผู้เกลียดชังชายตาเดียวอย่างเหลือเกิน และอีกนางหนึ่งซึ่งต้องการตัดจมูกสามีของตน ความสนิทสนมที่พระราชินีทรงมอบให้กับซาดิกรวมทั้งพระราชเสาวนีย์ที่อ่อนหว่านซึ่งทำให้พระนางทรงเริ่มมีพระพักตร์แดงเรื่อ ตลอดจนสายพระเนตรของพระนางที่ปรารถนาจะหลบไปทางอื่นแต่กลับจ้องจับไปที่ตาของเขาทั้งหมดนี้ได้ก่อไฟเผาผลาญหัวใจของซาดิกจนเจ้าตัวงุนงงไปหมด เขาพยายามต่อสู่กับความรู้สึกนี้ โดยหันเข้าหาหลักปรัชญา ซึ่งเคยช่วยเหลือเขามาตลอด เขามองเห็นแสงสว่างทางปัญญาแต่ใจไม่สบายขึ้นเลยหน้าที่ ความจงรักภักดี ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพที่ถูกลบลู่ปรากฎแก่สายตาเขาราวกับเหล่าทวยเทพที่คอยจ้องแก้แค้น ซาดิกต่อสู้จนชนะ แต่ชัยชนะที่คอยรักษาไว้ทุกขณะจิตเช่นนี้ทรมานอกทรมานใจเขาจนต้องเสียน้ำตา เขาไม่กล้ากราบทูลพระราชินีอย่างอิสระเสรีอีกต่อไป ทั้งๆที่การกระทำเช่นนั้นเคยทำให้เขาและพระนางเพลิดเพลินเจริญใจมาก นอกจากนี้ดวงตาของเขาขุ่นมัวเหมือนถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆ ส่วนคำราบบังคมทูลของเขานั้นเหมือนถูกฝืนใจ ไม่ประติดประต่อและขณะกราบทูลเขายังหลบสายตาลงต่ำ และเมื่อสายตาเขาหันไปทางพระราชินีโดยบังเอิญก็ประสานกับดวงพระเนตรของพระนางที่เปี่ยมไปด้วยอัสสุชล และมีประกายแรงกล้าเหมือนเปลวไฟพุ่งออกมา ดูเหมือนคนทั้งสองจะบอกกันว่า
......"เราทั้งสองต่างชื่นชมบูชากัน แต่กลัวที่จะรักกัน เราทั้งสองถูกไฟไหม้ด้วยเพลิงที่เราต้องการดับ"
......ซาดิกกลับจากการเข้าเฝ้าพระนางอย่างงุนงงเหมือนคนหลงทาง รู้สึกหนักอกหนักใจจนทนไม่ไหว ในสภาพจิตใจปั่นป่วนอย่างรุนแรงเช่นนี้เขาจึงได้ไปเล่าความคับอกคับใจให้กาดอร์มิตรของเขาฟัง เปรียบบุรุษผู้ทนความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดมาเป็นเวลานานในที่สุดก็ต้องบอกให้ผู้อื่นรู้ถึงความทุกข์ทรมานโดยการร้องโหยหวนชีวิตแทบออกจากร่าง และมีเหงื่อกาฬไหลบนหน้าผาก
......กาดอร์พูดกับซาดิกว่า
......"ข้ามองทะลุปรุโปร่งถึงความรู้สึกที่ท่านต้องการปิดบังกับตัวท่านมาก่อนแล้ว ความรักที่เร่าร้อนนั้นบ่งอาการที่ดูไม่ผิดหรอกซาดิกเพื่อนรัก ในเมื่อข้าอ่านใจท่านออก โปรดคิดูสิว่าพระราชาจะไม่ทรงค้นพบความรู้สึกที่ทำให้พระองค์กริ้วหรือพระองค์ทรงมีข้อเสียอยู่อย่างคือ ทรงเป็นชายที่ขี้หึงที่สุด ท่านมีกำลังที่จะต่อต้านกับความรักของท่านมากกว่าพระราชินี เพราะท่านเป็นนักปราชญ์และชื่อซาดิก ส่วนพระราชินีอัสตาร์เต้นั้นทรงเป็นผู้หญิง และไม่ทรงรู้สึกว่าได้ทำอะไรผิด จึงไม่ทรงปล่อยให้พระเนตรแสดงความในใจอย่างไม่ระมัดระวังพระองค์ พระนางทรงมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนอย่างเหลือเกินจนไม่ทรงสนพระทัยที่จะคอยรักษากิริยาภายนอกเท่าที่ควร ข้ารู้สึกกลัวแทนพระนางตราบเท่าที่พระนางยังไม่รู้สึกตำหนิตนเอง แต่ถ้าหากท่านกับพระนางตกลงปลงใจกันทั้งสองฝ่ายแล้วก็คงจะรู้จักตบตาคนอื่นๆได้เพราะความรักที่เพิ่งเริ่มต้นแล้วหลบๆ ซ่อนๆ นั้นจะต้องระเบิดออกมา ส่วนความรักที่อิ่มตัวแล้วจะรู้จักปิดบังตัวเอง"
......ซาดิกขนลุกกับข้อเสนอให้ทรยศต่อพระราชาผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเขา เขาไม่เคยรู้สึกจงรักภักดีกับพระองค์มากเท่ากับตอนนี้ที่รู้สึกผิดต่อพระองค์ด้วยความผิดที่ไม่เจตนา ระยะนั้นพระราชินีทรงเอ่ยชื่อซาดิกบ่อยเหลือเกินและพระพักตร์ก็แดงเรื่อไปด้วยทุกครั้ง เมื่อพระนางรับสั่งกับเขาต่อพระพักตร์ของพระราชาบางทีก็ทรงสดชื่นรื่นเริงมาก บางทีก็ทรงเฉยเมย ครั้นเมื่อซาดิกออกไปแล้ว พระนางก็จมอยู่ในภวังค์ลึกซึ้งจนพระราชาแปลกพระทัย ตามปกติพระองค์ทรงเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นด้วยพระองค์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงสังเกตว่ารองพระบาทของพระอัครมเหสีสีน้ำเงิน และรองเท้าของซาดิกก็สีน้ำเงินเหมือนกัน นอกจากนี้ริบบิ้นผูกพระเกศาของพระอัครมเหสีสีเหลือง หมวกของซาดิกก็สีเดียวกัน สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นหลักฐานที่น่าแปลกสำหรับพระราชาผู้ขี้ระแวง ในที่สุดความสงสัยก็กลายเป็นความแน่ใจในดวงพระทัยที่ร้าวราน
......เหล่าข้าราชบริพารทั้งของพระราชาและพระราชินี ต่างก็สอดแนมดูพระทัยทั้งสองพระองค์พอๆกัน ไม่นานนักก็รู้ว่าพระราชินีอัสตาร์เต้กำลังอ่อนไหวและพระราชาโมอับดาร์กำลังหึง จอมอิจฉาบอกภรรยาขี้อิจฉาของตนให้ส่งสายรั้งถุงน่องซึ่งเหมือนกับของพระราชินีไปให้พระราชา เคราะห์ยิ่งหนักเข้าไปอีกเมื่อสายรั้งถุงน่องนี้สีน้ำเงิน
......คืนวันหนึ่ง พระองค์ทรงตัดสินพระหทัยที่ให้ลอบวางยาพิษพระราชินี้และรัดคอซาดิกตอนรุ่งสาง พระองค์ทรงบัญชาให้ขันทีใจอำมหิตคนหนึ่งเป็นเพชฌฆาตล้างแค้นให้พระองค์ ขณะนั้นมีคนแคระใบ้แต่หูไม่หนวกอยู่ในห้องรโหฐานของพระราชาด้วย ใครต่อใครชอบเล่าอะไรต่อมิอะไรให้เขาฟังอยู่เสมอ จึงเป็นพยานที่รู้ความลับต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างดีเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงในบ้านเจ้าคนแคระใบคนนี้รักพระราชินีและซาดิกมาก เมื่อได้ยินคำสั่งประหารชีวิตทั้งสองก็รู้สึกประหลาดใจและตกใจพอๆกัน แต่จะทำอย่างไรดีละจึงจะแจ้งเรื่องคำสั่งประหารที่น่ากลัวซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว เขาเขียนหนังสือไม่เป็นเสียด้วย แต่ความที่เคยมีคนสอนเขาวาดรูปและเขาวาดรูปได้เหมือนจริงทีเดียวเขาจึงใช้เวลาค่อนคืน เอาดินสอมาเขียนภาพที่เขาต้องการบอกให้พระราชินีเข้าพระทัย รูปวาดแสดงถึงพระราชาท่าทางพิโรธจัดกำลังทรงมีบัญชากับขันทีคนหนึ่งตรงมุมภาพมีเชือกรัดสีน้ำเงิน แจกัน สายรั้งถุงน่องสีน้ำเงิน และริบบิ้นสีเหลืองอยู่บนโต๊ะ ตรงกลางภาพพระราชินีกำลังจะสิ้นพระชนม์อยู่ในอ้อมแขนของเหล่านางกำนัลมีซาดิกถูกรัดคอนอนเสียชีวิตอยู่แทบพระบาท พระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นมาตรงขอบฟ้าเพื่อแสดงว่าการประหารชีวิตที่น่ากลัวนี้จะเกิดขึ้นตอนรุ่งอรุณ พอวาดรูปเสร็จ คนแคระก็รีบวิ่งไปปลุกนางกำนัลคนหนึ่ง บุ้ยใบ้บอกนางให้รีบเอารูปวาดไปให้พระราชินีทันที
......กลางดึกคืนนั้นมีคนมาเคาะประตูบ้านปลุกซาดิกแล้วยื่นลายพระหัตถ์ของพระราชินี้ให้ เขานึกว่าตนเองฝันไปและเปิดจดหมายอ่านด้วยมือสั่นเทา เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งยวด ใครล่ะที่จะสามารถบอกถึงความรู้สึกทั้งตกตะลึงพรึงพรึดและสิ้นหวังที่ประดังขึ้นมาในหัวอกของซาดิกได้เมื่อเขาอ่านข้อความต่อไปนี้
......"ซาดิก ขอให้ท่านจงรีบหนีไปเดียวนี้เลย มิฉะนั้นจะมีผู้คร่าชีวิตท่าน ซาดิก ข้าขอสั่งให้ท่านหนีไปในนามของความรักของเรา และของริบบิ้นสีเหลืองของข้า ข้าไม่ผิดเลยแต่ข้ารู้สึกว่า ข้าจะต้องตายอย่างอาชญากร"
......ซาดกิแทบจะไม่มีแรงพูด เขาสั่งให้คนไปตามกาดอร์มาหาและยื่นจดหมายดังกล่าวให้อ่าน โดยไม่พูดอะไรสักคำ กาดอร์บังคับให้ซาดิกทำตามพระบัญชาของพระราชินีและให้ออกเดินทางไปตามถนนที่มุ่งสู่เมืองเมมฟิสทันที เขากล่าวว่า
......"ถ้าท่านบังอาจไปเฝ้าพระราชินี้ตอนนี้ ก็เท่ากับว่าท่านเร่งความตายของพระนางให้เร็วยิ่งขึ้น และถ้าท่านขอเข้าเฝ้าพระราชาท่านก็จะสูญเสียพระนางอยู่ดี ข้าขอรับผิดชอบกับชะตาชีวิตของพระนางเอง จงเดินไปตามพรหมลิขิตของท่านเถอะข้าจะปล่อยข่าวลือว่า ท่านออกเดินไปยังแดนภารตะ ข้าจะตามไปหาท่านในไม่ช้า และจะนำข่าวไปบอกท่านว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่กรุงบาบิโลน"
......กาดอร์สั่งให้คนนำอูฐฝีเท้าเร็วที่สุดสองตัวมารออยู่ตรงประตูลับของพระราชวัง และให้คนแบกซาดิกซึ่งใกล้จะสิ้นใจไปนั่งบนหลังอูฐ บ่าวคนหนึ่งเดินทางไปเป็นเพื่อน ในไม่ช้ากาดอร์ซึ่งจมอยู่ในความงงงวยและความเศร้าเสียใจ ก็เห็นเพื่อนของตนลับหายไปจากสายตา
......เมื่อไปถึงเชิงเขาที่สามารถมองเห็นกรุงบาบิโลนได้ ผู้ลี้ภัยสูงศักดิ์คนนี้ก็หันกลับไปมองพระราชวังของพระราชินีแล้วก็สลบไป เมื่อฟื้นคืนสติมาก็ร่ำไห้ และปรารถนาที่จะตาย ในที่สุด หลังจากที่ได้เฝ้าพะวงถึงชะตาชีวิตที่เศร้าสลดของผู้หญิงที่น่ารักที่สุด และเป็นราชินีเอกของโลกแล้วซาดิกก็หวนกลับมาถึงตนเองบ้าง เขาอุทานว่า
......"ชีวิตมนุษย์เรานี้คืออะไรกันแน่ โอ้ คุณธรรมเจ้าได้ช่วยอะไรข้าบ้างล่ะ ผู้หญิงสองคนได้ทรยศต่อข้าอย่างน่าละอาย คนที่สาม ซึ่งไม่มีความผิดใดเลยและสวยกว่าเพื่อนกำลังจะสิ้นชีพ ความดีทั้งหลายที่ข้าได้ทำมา กลับเป็นเหตุแห่งทุกข์มาโดยตลอด ข้าได้รับการยกย่องขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดของฐานันดรศักดิ์ ดูเพื่อจะตกลงไปในเหวลึกสุดของเคราะห์กรรม ถ้าข้าเป็นคนใจร้ายเช่นเดียวกับคนอื่นๆ อีกมากมาย ข้าก็คงจะมีความสุขเช่นเดียวกับพวกเขา"
......ซาดิกเดินทางต่อไปยังประเทศอียิปต์ ด้วยความคิดนึกที่เศร้าหมอง ม่านแห่งความทุกข์กลบตา ใบหน้าขาวซีดเหมือนคนตายและจิตใจขมขื่นด้วยความสิ้นหวังที่มืดมิด