ตกเป็นทาส

......เมื่อซาดิกเข้าหมู่บ้านอียิปต์ ชาวบ้านก็เข้ามารุมล้อมพลางตะโกนว่า
......"นี่ไง คนที่ลักพาตัวมิสซูฟคนสวยไปและฆ่าเคลโตฟิตตายไปหยกๆ"
......ซาดิกบอกว่า
......"ท่านทั้งหลาย พระเจ้าได้พิทักษ์ข้าไม่ได้ฉุดมิสซูฟคนสวยของท่าน นางเป็นคนเอาแต่ใจตนเองเหลือเกิน ส่วนนายเคลโตฟิตนั้น ข้าได้ฆ่าเขาหรอก เพียงแต่ต่อสู้ป้องกันตัวเอง เข้าต้องการฆ่าข้า เพราะข้าได้อ้อนวอนเขาให้ยกโทษแก่นางมิสซูฟคนสวยที่ถูกเขาตีอย่างทารุณ ข้าเป็นคนต่างถิ่นมาขอลี้ภัยในอียิปต์ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่ข้าจะมาขอความคุ้มครองจากพวกท่านโดยเริ่มต้นด้วย การฉุดผู้หญิงและฆ่าคนของท่าน"
......สมัยนั้น ชาวอียิปต์เป็นคนยุติธรรมและมีมนุษยธรรม พวกชาวบ้านพาซาดิกไปยังที่ว่าการเมืองเพื่อพันบาดแผลให้เขาก่อนแล้วจึงไต่สวนเขาและบ่าวแยกกัน เพื่อพิสูจน์ความจริง ในที่สุดก็ประจักษ์ว่า ซาดิกไม่ได้เป็นอาชญากร แต่ก็ยังผิดในฐานะที่ทำให้คนเสียชีวิตเลือดเนื้อ กฎหมายจึงลงโทษเขาให้ตกเป็นทาส อูฐสองตัวถูกขายเอาเงินเข้าหมู่บ้าน ทองที่ซาดิกนำติดตัวมาทั้งหมดถูกแจกจ่ายให้กับพวกชาวบ้าน ส่วนตัวซาดิกกับบ่าวเพื่อนร่วมทางถูกนำไปขายทอดตลาด ตรงลานสาธารณะ พ่อค้าชาวอาหรับชื่อ เซตอค ประมูลคนทั้งสองได้ แต่บ่าวเหมาะกับงานหนักมากกว่าจึงขายราคาแพงกว่านายมาก ในเมื่อไม่มีการเปรียบเทียบกันระหว่างคนทั้งสอง ซาดิกจึงตกเป็นทาสผู้ช่วยของบ่าว ทั้งคู่ถูกล่ามโซ่ตรงเท้าเข้าด้วยกัน และเดินตามหลังพ่อค้าชาวอาหรับไปยังบ้านของเขาในสภาพนี้ ระหว่างทางซาดิกพูดปลอบใจบ่าวให้อดทน และตรึกตรองถึงชีวิตมนุษย์อย่างเคยว่า
......"ข้าเห็นแล้วว่าโชคร้ายของข้าพลอยทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้ามาจนถึงตอนนี้น่าพิศวงมาก ข้าเคยถูกลงโทษปรับในฐานะที่เห็นสุนัขตัวเมียเดินผ่านไป อีกครั้งหนึ่งข้าเกือบถูกเสียบประจานเพราะตัวกริฟฟง นอกจากนี้ข้าก็เกือบจะถูกส่งตัวไปประหารเพราะได้เขียนกลอนสดุดีพระราชา แล้วข้ายังเกือบจะถูกรัดคอเพราะพระราชินีทรงมีริบบิ้นสีเหลือง มาถึงตอนนี้ ข้ากับเจ้าต้องกลายเป็นทาสเพราะคนใจสัตว์คนหนึ่งทุบตีคนรักของมัน เอาเถอะอย่าได้ท้อแท้เลย สิ่งต่างๆ เหล่านี้คงจะจบสิ้นลง พ่อค้าอาหรับคนนี้ต้องการทาสแล้วทำไมข้าจะเป็นทาสเหมือนคนอื่นไม่ได้ ในเมื่อข้าก้เป็นคนเหมือนกัน พ่อค้าคนนี้คงจะไม่ใจร้าย เขาต้องทำดีกับพวกทาส ถ้าหากอยากให้พวกเขาทำงานให้อยากเต็มที่"
......ซาดิกพูดไป แต่ใจนั้นพะวงถึงแต่ชะตาชีวิตของพระราชินีแห่งบาบิโลน
......สองวันต่อมา พ่อค้าเซตอคก็ออกเดินทางไปยังทะเลทรายอาระเบีย พร้อมกับเหล่าทาสและฝูงอูฐ เซตอคหัวเราะขำเมื่อเห็นพวกทาสเดินหลังค่อม ซาดิกถือโอกาสอธิบายเหตุผลให้ฟังและสอนให้รู้จักกฎการทรงตัวด้วย เซตอคทึ่งมากและเริ่มมองซาดิกด้วยสายตาอีกอย่าง พอเห็นว่าตนได้ปลุกความอยากรู้อยากเห็นของนายแล้ว ซากดิกก็กระตุ้นให้นายกระหายอยากรู้ยิ่งขึ้น โดยสอนหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการค้าเช่น เรื่องน้ำหนักเฉพาะของโลหะและของสินค้าที่มีปริมาตรเท่ากัน เรื่องคุณสมบัติต่างๆ ของสัตว์ที่เป็นประโยชน์หลายชนิด รวมทั้งวิธีการที่จะทำให้สัตว์ที่ไร้ประโยชน์กลับมีประโยชน์ขึ้นมา สรุปได้ว่า ในที่สุด เซตอคก็เห็นว่าซาดิกเป็นเหมือนปราชญ์ จึงหันมาโปรดเขามากกว่าป่าวที่เคยเห็นค่ามากมาก่อนและปฏิบัติต่อเขาอย่างดี ซึ่งก้ได้ผลคุ้มค่า
......เมื่อเดินทางไปถึงเผ่าของตน สิ่งแรกที่เซตอคทำคือไปทวงหนนี้จากชาวฮีบรูคนหนึ่ง ซึ่งเขาให้ยืมเงินจำนวยห้าร้อยออนซ์เงินต่อหน้าพยานสองคน แต่พยานทั้งสองคนนี้ได้ตายไปแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์ความผิดของตนได้ ลูกหนี้ชาวฮีบรูคนหนึ่ง ซึ่งเขาให้ยืมเงินจำนวนห้าร้อยออนซ์เงินต่อหน้าพยานสองคน แต่พยานทั้งสองคนนี้ได้ตายไปแล้ว เมื่อเห็นว่า ไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์ความผิดของตนได้ ลูกหนี้ชาวฮีบรูก็ฮุบเอาเงินก้อนนั้นเป็นของตน พร้อมกับกล่าวขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เขามีหนทางโกงชาวอาหรับได้ เซตอคจึงเล่าปัญหาหนักอกนี้ให้ซาดิกซึ่งกลายเป็นที่ปรึกษาของตนฟัง ซาดิกถามว่า
......"ท่านให้ไอ้คนไม่ซื่อคนนี้ยืมเงินจำนวนห้าร้อยออนซ์ที่ไหนล่ะ"
......พ่อค้าตอบว่า
......"บนหินก้อนใหญ่ใกล้ๆ ภูเขาโฮเร็บ"
......ซาดิกถามต่อว่า
......"ลูกหนี้ของท่านนิสัยใจคอเป็นอย่างไร"
......เซตอคตอบว่า
......"นิสัยขี้โกงน่ะซิ"
......ซาดิกพูดต่อว่า
......"แต่ข้าอยากถามท่านว่า เขาเป็นคนหัวไวหรือช้ารอบคอบหรือเลินเล่อ"
......เซตอคตอบว่า
......"มันเป็นคนหัวไวที่สุดในบรรดาลูกหนี้ขี้เบี้วทั้งหลาย"
......ซาดิกกล่าวอย่างหนักแน่นว่า
......"ถ้าอย่างงั้นละก็ อนุญาตให้ข้าเป็นคนยื่นฟ้องคดีของท่านต่อผู้พิพากษาเถอะ"
......ซาดิกได้จัดการฟ้องร้องชายชาวฮีบรูต่อศาลจริงๆ เขากล่าวกับผู้พิพากษาว่า
......"ท่านเป็นเสมือนหมอนหนุนบัลลังก์แห่งความยุติธรรม ข้าขอเรียกร้องในนามของนายข้า ให้จำเลยจ่ายเงินจำนวนห้าร้อยออนซ์เงินที่เขายืมไปและไม่ยอมคืน"
......ผู้พิพากษาถามว่า
......"เจ้ามีพยานรึเปล่า"
......"เปล่า พยานตายไปหมดแล้ว แต่ยังมีก้อนหินใหญ่ที่พวกเขานับเงินกันเหลืออยู่ ถ้าท่านผู้พิพากษาที่เคารพจะโปรดสั่งการให้คนนำเอาหินก้อนนี้มา ข้าเชื่อว่ามันจะเป็นพยานให้ได้ ข้ากับชาวฮีบรูจะคอยอยู่ที่นี่ จนกว่าก้อนหินจะมาถึง ข้าจะส่งคนไปเอามันมา โดยที่เซตอคนายข้าจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง"
......ผู้พิพากษาตอบว่า
......"ด้วยความเต็มใจยิ่ง"
......แล้วท่านก็เริ่มพิจารณาคดีรายอื่นๆ ต่อจนเสร็จ แต่ก้อนหินยังมาไม่ถึง ผู้พิพากษาจึงถามซาดิก ว่า
......"อ้าว ว่าไง ก้อนหินของเจ้ายังมาไม่ถึงอีกรึ"
......ช่าวฮีบรู หัวเราะพลางตอบแทนว่า
......"ถึงท่านผู้พิพากษาที่เคารพจะรออยู่ที่นี่จนถึงพรุ่งนี้ ก้อนหินก็คงจะยังมาไม่ถึง มันอยู่ห่างจากที่นี่กว่าหกไมล์ และต้องใช้คนถึงสิบห้าคนจึงจะเคลื่อนมันได้"
......ซาดิก ตะโกนออกมาว่า
......"เห็นไหมล่ะ ข้าได้บอกท่านแล้วว่าหินนี้จะเป็นพยาน ในเมื่อชายผู้นี้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ก็เท่ากับเขาสารภาพว่าเงินถูกนับบนก้อนนี้"
......ชายชาวฮีบรูรู้สึกเสียท่าตะลึงไปเลย สักครู่หนึ่งก็ต้องจำยอมรับสารภาพทั้งหมด ผู้พิพากษาตัดสินให้เขาถูกมัดติดกับก้อนหินดังกล่าวโดยไม่ให้กินข้าวกินน้ำจนกว่าจะคืนเงินจำนวนห้าร้อยออนซ์ ซึ่งเขาก็รีบจ่ายทันที
......ตั้งแต่นั้น ทั้งทาสซาดิกและก้อนหินต่างก็เป็นที่นิยมยกย่องของชาวอาระเบียอย่างยิ่ง