การเต้นรำ

......เซตอคต้องไปทำธุระเรื่องค้าขายที่สิงหลทวีป แต่เดือนแรกของการแต่งงานซึ่งทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ทำให้เขาไม่อาจจากภรรยาไปได้ ทั้งยังทำให้ไม่เชื่อด้วยว่าจะสามารถจากนางไปไหนได้อีก เขาจึงขอร้องซาดิกให้เดินทางไปแทน ซาดิกรำพึงว่า
......"อนิจจา! ข้าจำเป็นต้องห่างจากพระราชินิอัสตาร์เต้ ไปไกลอีกแล้ว ข้าจำเป็นต้องรับใช้ผู้มีพระคุณของข้า" รำพึงจบ ซาดิกก็ร้องไห้แล้วออกเดินทาง
......ซาดิกไปอยู่ในสิงหลทวีปได้ไม่นาน แต่ใครๆ ก็นับถือเขาว่าเขาเป็นคนวิเศษ เขากลายเป็นคนตัดสินข้อพิพาทต่างๆระหว่างเหล่าพ่อค้าวาณิช เป็นเพื่อนของเหล่านักปราชญ์และเป็นที่ปรึกษาของคนกลุ่มเล็กที่มาขอคำปรึกษาจากเขา พระราชาเองก็ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เขาเข้าเฝ้าและฟังเขา ในไม่ช้าพระองค์ก็ทรงรู้จักคุณสมบัติทั้งหลายของซาดิก ทรงนับถือความฉลาดของซาดิกและโปรดให้เขาเป็นมิตรของพระองค์ ความสนิทสนมและความนับถือของพระราชาทำให้ซาดิกรู้สึกกลัวจนตัวสั่น เคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเขา เนื่องจากความโปรดปรานของพระราชาโมอับดาร์ ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจเขาทุกวันคืน เขาบอกกับตัวเองว่า
......"พระราชาโปรดข้าอย่างนี้ ข้าจะมิแย่อีกแล้วรึ"
......แต่อย่างไรก็ดี ซาดิกก็ไม่อาจหลีกพ้นจากความเอ็นดูของพระราชาไปได้ เพราะคงต้องยอมรับกันว่าพระราชาบุสซันราชาแห่งสิงหลทวีป โอรสของพระราชานุสซานับ โอรสของพระราชานานัปซัน โอรสของพระราชาซันบุสนา ทรงเป็นพระราชาที่ดีที่สุดองค์หนึ่งของทวีปเอเซีย ใครได้เข้าเฝ้าพระองค์แล้วยากที่จะไม่จงรักภักดีต่อพระองค์
......ราชาผู้ทรงมีพระทัยดีองค์นี้ แม้จะทรงได้รับคำแซ่สร้องสรรเสริญ แต่ก็ถูกหลอกลวงและพระราชทรัพย์ถูกขโมยอยู่เสมอ ใครๆ ก็อยากจะปล้นพระราชทรัพย์ของพระองค์ ผู้ที่ทำตนเป็นตัวอย่างตลอดเวลาในเรื่องนี้ก็คือ เจ้ากรมพระคลังของสิงหลทวีปนั่นเอง คนอื่นๆ ก็ทำตามอย่างสม่ำเสมอ พระราชาทรงทราบดีและทรงเปลี่ยนเจ้ากรมพระคลังหลายครั้ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนวิธีแบ่งพระราชทรัพย์ออกเป็นสองส่วนที่ไม่เท่ากันซึ่งมีมานานแล้วได้นั่นคือ ส่วนที่น้อยที่สุดเป็นของพระราชาเสมอมา ส่วนมากที่สุดเป็นของเหล่าเสนาบดี
......พระราชานาบุสซันทรงเล่าปัญหาที่คับพระทัยนี้ให้ซาดิกผู้ทรงปัญญาฟัง พระองค์ตรัสว่า
......"ท่านซาดิก ท่านเป็นผู้รู้อะไรดีๆ มากมาย ท่านรู้วิธีหาเจ้ากรมพระคลังที่ไม่ขโมยสมบัติข้าสักคนได้ไหม"
......ซาดิกทูลตอบว่า
......"ได้พระเจ้าค่ะ ข้ารู้วิธีที่จะหาคนมือสะอาดให้กับพระองค์อย่างได้ผลแน่นอน"
......พระราชาทรงดีพระทัย ตรงเข้าไปสวมกอดซาดิก พลางตรัสถามว่าเขาจะทำวิธีไหน
......ซาดิกทูลตอบว่า
......"ก็เพียงแต่ให้ผู้สมัครเป็นเจ้ากรมพระคลังทุกคนเต้นรำถวาย ผู้ใดเต้นได้อย่างคล่องแคล่วที่สุดผู้นั้นแหละจะเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด"
......พระราชาตรัสว่า
......"นี่ท่านพูดล้อเล่นหรือเปล่า ดูช่างเป็นวิธีเลือกเจ้ากรมพระคลังที่ตลกมาก ว่าไงนะ ท่านคาดว่าคนที่เต้นรำได้ดีที่สุดจะเป็นเจ้ากรมพระคลังที่เก่งที่สุด อย่างนั้นรึ"
......ซาดิกทูลว่า
......"ข้าตอบไม่ได้ว่าเขาจะเป็นคนเก่งที่สุด แต่ข้ารับรองได้ว่า เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตทีสุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย"
......ซาดิกกราบทูลอย่างหนักแน่น จนพระราชาทรงเชื่อว่าเขาต้องมีอำนาจไสยศาสตร์ลึกลับช่วยเขาให้รู้จักเลือกเจ้ากรมพระคลัง
......ซาดิกทูลว่า
......"ข้าไม่ชอบอำนายไสยศาสตร์ ข้าไม่เคยนิยมคนและหนังสือที่พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ถ้าพระองค์โปรดให้ข้าทดลองวิธีที่ได้กราบทูลเสนอนี้ พระองค์จะทรงเห็นว่าเคล็ดลับของข้าเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สุด และง่ายที่สุด"
......พระราชานาบุสซันแห่งสิงหลทวีป ทรงรู้สึกแปลกพระทัยยิ่งนัก ที่ได้ยินว่าเคล็ดลับนี้ธรรมดา ไม่มีปาฎิหาริย์ใด พระองค์ตรัสว่า
......"เอาเถอะ ท่านเห็นสมควรอย่างไรก็จัดการไปตามนั้นเถิด"
......ซาดิกทูลว่า
......"โปรดให้เป็นธุระของข้าเถิด พระองค์จะได้ผลประโยชน์ จากการพิสูจน์ครั้งนี้เกินคาด"
......วันเดียวกันนั้น ซาดิกก็ได้สั่งปิดประกาศพระราชโองการว่า ผู้ใดปรารถนาที่จะสมัครตำแหน่งเจ้ากรมพระคลังของพระราชานาบุสซัน ราชโอรสของพระเจ้าบุสซานับ ก็ให้แต่งตัวด้วยชุดไหมบางเบามารวมกันอยู่ในท้องพระโรงเล็ก ในคืนวันเพ็ญแรกของเดือนจรเข้ มีคนมาสมัครตามใบประกาศจำนวนหกสิบสี่คนซาดิกสั่งให้คนสีไวโอลินหลายคนมาอยู่ในห้องเล็กข้างๆ ทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับงานเต้นรำ แต่ประตู้ท้องพระโรงยังปิดอยู่ ถ้าจะเข้ไปจะต้องเดินผ่านทางเดินเล็กๆ ที่มืดสลัว มหาดเล็กจะออกมาตามผู้สมัครเข้าไปทางนี้ที่ละคน และจะปล่อยให้รออยู่ตรงนี้คนละสองสามนาที พระราชาได้วางสมบัติทุกชิ้นของพระองค์เรียงรายไว้ตามทางนี้ ทั้งนี้ตามคำแนะนำของซาดิก เมื่อผู้สมัครทุกคนเดินเข้าไปในท้องพระโรง พระราชาก็ทรงรับสั่งให้พวกเขาเต้นรำถวาย ปรากฎว่า ต่างก็เต้นรำกันอย่างอืดอาดไม่มีความสง่างามเลยแม้แต่น้อย พากันก้มหน้า หลังงอ เอามือกุมสีข้าง ซาดิกพึมพำออกมาว่า "พวกหัวขโมยทั้งนั้น" มีอยู่คนเดียวที่เต้นรำคล่อง หน้าเชิดแววตาฉายความมั่นคง ตัวตรง เหยียดแขนและก้าวขาอย่างมั่นคง ซาดิกพึมพำว่า "อ้า! คนซื่อสัตย์! คนดี! "
......พระราชาทรงสวมกอดนักเต้นรำเก่งคนนี้ และประกาศแต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมพระคลัง ส่วนคนอื่นๆ ถูกลงโทษและปรับไหมอย่างยุติธรรมยิ่ง เพราะระหว่างที่พวกเขารออยู่ตามทางเดินก่อนถึงท้องพระโรงนั้น แต่ละคนก็ได้หยิบสมบัติใส่กระเป๋าจนเต็มแทบเดินไม่ไหว พระราชาทรงพิโรธยิ่งที่เห็นสันดานชั่วของมนุษย์ เพราะในจำนวนนักเต้นรำหกสิบสี่คนนั้นมี คนขึ้ขโมยถึงหกสิบสามคนตั้งแต่นั้นมา ทางมืดสลัวนี้ก็ได้รับสมญาว่ "ทางแห่งความเย้ายวน" ถ้าในประเทศเปอร์เซียคนจำนวนหกสบสามคนนี้จะถูกเสียบประจาน ส่วนในประเทศอื่นๆ พวกเขาจะต้องขึ้นศาล ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นสามเท่าของจำนวนสมบัติที่ขโมยไป และจะไม่มีเงินเหลือคืนเข้าหีบสมบัติของพระราชาเลย สำหรับบางอาณาจักร พวกเขาอาจจะได้รับ การตัดสินว่าไม่ได้ทำอะไรผิดเลยและให้ลงโทษนักเต้นรำเก่งแทน แต่ที่สิงหลทวีปนี้ พวกเขาเพียงแต่ถูกลงโทษให้เพิ่มสมบัติให้กับประเทศ ทั้งนี้เพราะพระเจ้านาบุสซันทรงมีพระทัยดีมาก
......พระราชาทรงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณซาดิกมากด้วย ทรงพระราชทานเงินจำนวนหนึ่งให้กับเขาซึ่งมากกว่าที่เจ้ากรมพระคลังเคยขโมยไปจากพระองค์เสียอีก ซาดิกได้ใช้เงินจำนวนนี้จ้างม้าเร็วไปยังกรุงบาบิโลน เพื่อส่งข่าวของพระราชินีอัสตาร์เต้ให้เขาทราบ ขณะที่เขาออกคำสั่งนี้เสียงของเขาสั่นพร้า โลหิตดูเหมือนจะไหลพล่านท่วมหัวใจ ดวงตามืดมัวลงราวกับวิญญาณจะออกจากร่าง
......เมื่อม้าเร็วออกเดินทางไปแล้วซาดิกก็กลับไปยังพระราชวังมองไม่เห็นใคร ก็นึกว่าอยู่คนเดียวในห้องนอน จึงพูดออกมาดังๆ ว่า "รักเอย" พระราชาตรัสว่า
......"อนิจจา! ความรัก! ใช่แล้วมันเป็นเรื่องของความรักท่านทายถูกว่า อะไรคือความทุกข์ของข้า ท่านช่างเก่งอะไรเช่นนี้ ข้าหวังว่าท่านคงจะช่วยทำให้ข้ารู้จักผู้หญิงที่จงรักภักดีต่อข้าจริงๆ เหมือนกับที่ท่านได้ช่วยข้าหาเจ้ากรมพระคลังที่ไม่นึกถึงผลประโยชน์ส่วนตนมาแล้ว"
......พอซาดิกหายตกใจแล้ว ก็สัญญากับพระราชาว่าจะช่วยเหลือพระองค์ในเรื่องความรัก เช่น เดียวกับเรื่องทรัพย์สมบัติ แม้ว่าเรื่องนี้จะยากกว่าเรื่องก่อนก็ตาม