คนหาปลา

......ขณะที่ซาดิกคร่ำครวญถึงชะตากรรมของตน และมองเห็นตัวเองเป็นต้นแบบคนเคราะห์ร้ายอยู่นั้น เขาก็เดินทางมาถึงริมแม่น้ำสายเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทของมหาโจรอาร์โกบาดเพียงไม่กี่โยชน์ ณ ที่แห่งนี้ เขาเห็นคนหาปลาคนหนึ่งนอนอยู่บนตลิ่ง มือที่อ่อนแรงจับแหซึ่งดูเหมือนแกจะทิ้งแล้วอย่างหมดอาลัยตายอยาก ส่วนตาเบิ่งมองท้องฟ้า กรำพันว่า
......"ข้าเป็นคนเคราะห์ร้ายที่สุดในโลกแน่ๆเลย เพราะใครๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าเป็นพ่อค้าขายเนยแข็งที่โด่งดังที่สุดในกรุงบาบิโลน แต่ข้าก็ล่มจม ข้าเคยมีเมียที่สวยที่สุดเท่าที่คนอย่างข้าจะหาได้ แต่ข้ากลับถูกหล่อนสวมเขาให้ ข้าเคยมีบ้านซึ่งไม่มีราคาค่างวดเหลืออยู่หลังหนึ่ง แต่ก็ถูกปล้นและทำลายไปเสียต้องหนีมาอาศัยอยู่ในกระต๊อบแทน ไม่ข่องทางทำมาหากินอย่างอื่นนอกจากหาปลา แต่ก็จับไม่ได้สักตัว โอ้เจ้าแหเอ๋ย ข้าจะไม่ทอดเจ้าไม่ลงไปในน้ำอีกแล้ว ถึงคราวที่ข้าจะโดดลงไปแทน" ว่าแล้วแก่ก็ลูกขึ้นเดินไปข้างหน้า ท่าทางเหมือนคนกำลังจะกระโดดน้ำตาย
......ซาดิกรำพึงในใจว่า
......"น่าแปลกจริง ยังมีคนอื่นๆ ที่เคราะห์ร้ายพอๆ กับข้าอีกรึนี่"
......นึกแล้วก็เกิดความอยากที่จะช่วยชีวิตคนหาปลาขึ้นมาฉับพลัน ซาดิกจึงวิ่งไปจับตัวเขาไว้ พลางปลอบถามด้วยกิริยาที่นุ่มนวล เรามักจะรู้สึกว่า ความทุกข์ของเราจะลดลง ถ้าหากเราไม่ได้ทุกข์คนเดียว ซึ่งตามทัศนะของท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์แล้ว ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความประสงค์ร้าย แต่เป็นความต้องการเพื่อน ดังนั้น เรารู้สึกว่าการไปหาคนเคราะห์ร้ายนั้นเหมือนกับไปหาเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน และความสุขของคนเคราะห์ดีนั้นเป็นดังการเยาะเย้ย แต่คนเคราะห์ร้ายสองคนเปรียบเสมือนต้นไม้เล็กๆ อ่อนแอสองต้นซึ่งเมื่อพิงกันแล้วก็จะมีแรงต้านลมพายุได้
......ซาดิกถามคนหาปลาว่า
......"ทำไมเจ้าถึงยอมแพ้ต่อเคราะห์กรรมทั้งหลายแหล่เสียล่ะ"
......"ก็เพราะข้ามองไม่เห็นทางพ้นทุกข์เลยนะสิ ข้าเคยมีคนนับหน้าถือตามากที่สุดในหมู่บ้านเดร์ลเบค ใกล้กรุงบาบิโลน ข้ากับเมียช่วยกันทำเนยแข็งที่อร่อยที่สุดในอาณาจักร พระราชินีอัสตาร์เต้และท่านมหาเสนาบดีซาดิกชอบเนยแข็งของข้ามากที่สุด ข้าได้ส่งเนยแข็งไปให้ที่บ้านคนทั้งสอง หกร้อยก้อน วันหนึ่งข้าเข้าไปในเมืองเพื่อรับเงิน แต่พอข้าไปถึงกรุงบาบิโลนข้าก็ทราบว่าพระราชินีและซาดิกได้หายสาบสูญไปแล้ว ข้าวิ่งไปที่บ้านของท่านซาดิกซึ่งข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน เจอแต่เหล่าทหารของเจ้ากรมพระคลัง ซึ่งมีพระบรมราชโองการให้ริบสมบัติมาด้วย พวกเขากำลังรื้อค้นบ้านอย่างถูกต้องตามกฏหมายและอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยข้าจึงวิ่งไปยังห้องเครื่องของพระราชินีต่อ ห้วหน้าห้องเครื่องบางคนบอกข้าว่า พระนางสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็บอกว่าพระนางทรงถูกคุมขังอยู่ในคุกบ้างเสด็ลหนีไปแล้วบ้าง แต่ทุกคนให้ความมั่นใจกับข้าเหมือนกันหมดว่า ข้าจะไม่ได้ค่าเนยแข็งแน่ๆ ข้ากับเมียจึงไปหาท่านออร์คาน ซึ่งเป็นลูกค้าประจำคนหนึ่งเหมือนกัน เราขอให้ท่านช่วยคุ้มครองเราในขณะที่เรามีทุกข์ ท่านยินดีช่วยเหลือเมียข้า แต่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือข้า เมียข้านั้นขาวยิ่งกว่าเนยแข็งที่เป็นต้นเหตุของเคราะห์ร้ายของข้า และประกายสีแดงของแม่น้ำตีร์ ยังไม่สดใสเท่าเลือดฝาดที่ทำให้ผิวขาวของหล่อนมีชีวิตชีวา ทำให้เจ้าออร์คานกักตัวเมียข้าไว้ในบ้าน และไล่ข้าออกมา ข้าเขียนจดหมายถึงเมียรักของข้าอย่างคนสิ้นหวัง นางพูดกับคนส่งจดหมายว่า
......"เออ เออ ใช่ล่ะ ข้ารู้จักคนเขียนจดหมายนี้ ข้าเคยได้ยินคนเขาพูดว่า แกทำเนยแข็งได้อร่อยที่สุด บอกแกให้เอามาขายบ้างสิ แล้วเราก็จะจ่ายเงินให้"
......"ในเมื่อมีทุกข็ ข้าก็อยากไปขอพึ่งความยุติธรรม ข้ามีเงินเหลืออยู่หกเหรียญทอง ต้องจ่ายให้กับทนายที่ข้ไปปรึกษาสองเหรียญ ให้อัยการที่ดูแลคดีของข้าอีกสองเหรียญ และให้เลขานุการของหัวหน้าคณะผู้พิพากษาอีกสองเหรียญสุดท้าย ข้าจ่ายเงินหมดแล้วแต่คดีของข้ายังไม่ได้เริ่ม ข้าได้จ่ายเงินไปมากกว่าราคาเนยแข็งและเมียรวมกันเสียอีก ข้าก็เลยกลับไปหมู่บ้านหวังจะขายบ้าน เพื่อหาทางเอาเมียข้ากลับคืนมาให้ได้"
......บ้านของข้าขายได้หกสิบเหรียญทองสบายๆ แต่คนรู้ว่าข้าร้อนเงินต้องการขายด่วน คนแรกที่ข้าถามจึงให้ราคาสามสิบเหรียญ คนที่สองให้ยี่สิบ คนที่สามให้แค่สิบ ข้าเกือบจะตกลงอยู่แล้ว ความที่ข้าหน้ามืดเต็มที พอดีเจ้าชายแห่งฮีร์กาเนียยกทัพมาตีกรุงบาบิโลน และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าบ้านของข้าถูกปล้นก่อนแล้วจึงถูกทำลาย
......พอเสียทั้งเงิน ทั้งเมีย และทั้งบ้าน ข้าก็หลบมาอยู่ที่เมืองนี้ที่เจ้ามาเจอข้านี่แหละ ข้าพยายามหาปลายังชีพ แต่พวกปลาก็หัวเราะเยาะข้าเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ ข้าจับไม่ได้สักตัว และหิวจะตายอยู่แล้ว ข้ากำลังจะกระโดดน้ำตาย พอดีท่านผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยปลอบใจข้าเสียก่อน"
......คนหาปลาไม่ได้เล่าเรื่องติดต่อกันอย่างนี้ เพราะซาดิกซึงตื้นตันใจและดีใจสุดขึดเมื่อได้ยินเขาพูดถึงพระราชินีอัสตาร์เต้จะถามแทรกอยู่ตลอดเวลาว่า
......"อะไรกัน เจ้าไม่รู้ชะตากรรมของพระราชินีเลยหรือ"
......คนหาปลาตอบว่า
......"ไม่เลย เจ้านาย ข้ารู้แต่พระราชินีและซาดิกไม่ได้จ่ายเงินค่าเนยแข็งให้กับข้า แล้วมีคนเอาเมียข้าไป ตอนนั้นข้าหมดหวังในชีวิต"
......ซาดิกตอบว่า
......"ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่สูญเงินทั้งหมดหรอก ข้าได้ยินคนพูดถึงซาดิกคนนี้ว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาก ถ้าเขาได้กลับไปยังกรุงบาบิโลนตามที่หวังไว้ และคงจะคืนเงินให้เจ้ามากกว่าหนี้ที่ค้างไว้เสียอีก แต่สำหรับเมียเจ้าซึ่งไม่ซื่อสัตย์นัก ข้าขอแนะนำเจ้าว่า อย่าพยายามหาทางเอานางกลับมาอีกเลย เชื่อข้าเถอะจงไปยังบาบิโลนข้าคงจะไปถึงที่นั่นก่อนเจ้า เพราะข้าขี่ม้าแต่เจ้าเดินเท้า เจ้าไปหาท่ากาดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ บอกท่านว่าเจ้าได้พบเพื่อนของท่าน แล้วจงรอข้าอยู่ที่บ้านท่าน ไปเถอะ บางทีเจ้าอาจจะไม่โชคร้ายไปตลอดหรอก"
......ซาดิกกล่าวต่อว่า
......"โอ้ เทพโอรอสมาด ผู้ทรงอานุภาพ พระองค์โปรดให้ข้าปลอบใจชายผู้นี้ แต่พระองค์จะโปรดให้ผู้ใดมาช่วยปลอบใจข้าเล่า"
......ขณะที่กล่าวดังนี้ ซาดิกก็แบ่งเงินที่เอามาจากประเทศอาระเบีย ให้กับคนหาปลาครึ่งหนึ่ง คนหาปลางงใหญ่ และดีใจเป็นที่สุด ทรุดตัวลงจูบเท้าเพื่อนของกาดอร์ พลางพูดว่า
......"ท่านเป็นเทพผู้ช่วยขีวิตข้าไว้"
......ส่วนซาดิกก็เฝ้าถามข่าวคราวของพระราชินีอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย คนหาปลาอุทานถามว่า
......"อะไรกันนี่ เจ้าหนาย ท่านก็มีความทุกข์เหมือนกันหรือท่านผู้ทำความดี"
......ซาดิกตอบว่า
......"ทุกข์มากกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า"
......คนหาปลาถามต่ออย่างซื่อๆ ว่า
......"แต่มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่ผู้ให้จะมีทุกข์มากกว่าผู้รับ"
......คนหาปลาถามต่อว่า
......"เจ้าออร์คานเอาเมียของท่านไปหรือ"
......คำถามนี้ทำให้ซาดิกหวลนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตน เขาเล่าย้อนถึงเคราะห์กรรมทั้งหลายที่ประสบมาตามลำดับ เริ่มตั้งแต่เรื่องแม่สุนัขของพระราชินี จนกระทั่งเรื่องการไปถึงปราสาทของมหาโจรอาร์โกบาด เขากล่าวกับคนหาปลาว่า
......"เจ้าออร์คานสมควรถูกลงโทษ แต่ตามปรกติโชควาสนามักจะเข้าข้างคนแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจงไปที่บ้านของท่านกาดอร์และรอข้าอยู่ที่นั่น"
......คนทั้งสองแยกทางกัน คนหาปลาเดินไปพลางขอบคุณโชคชะตาของตนไป ส่วนซาดิกนั้นขี่ม้าไปพลางสาปแช่งชะตากรรมของตนไปตลอดทาง