|
ปริศนา
|
......ซาดิกเดินไปเรื่อยๆ
สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนกับคนที่เพิ่งถูกฟ้าผ่าลงใกล้ๆ
ตัวเขาเข้าไปในกรุงบาบิโลนวันที่ผู้ต่อสู้ในสนามประลองทั้งหลายมาชุมชนกันที่ห้องพระโรงของพระราชวังเพื่อทายปริศนา
และตอบข้อซักถามของมหาราชครูอัศวินทุกคนมาถึงแล้ว
ขาดแต่อัศวินผู้สวมเกราะสีเขียว |
......ทันทีที่ซาดิกปรากฎตัวขึ้นในเมือง
ฝูงชนก็มาห้อมล้อมเขาไว้
ตามองดูเขาอย่างไม่เบื่อ
ปากพร่ำกล่าวคำอวยพรให้เขาแล้วหัวใจก็ปรารถนาที่จะให้เขาได้ครองราชอาณาจักร
จอมอิจฉามองเห็นซาดิกเดินผ่านไปก็ตัวสั่น
เดินเลี่ยงไปอีกทาง
พวกประชาชนแห่ซาดิกไปจนถึงที่ชุมนุม
พระราชินีซึ่งมีคนมากราบทูลให้ทรงทราบว่าซาดิกมาถึงแล้วทรงมีพระทัยเต้นระทึกด้วยควมหวาดหวั่นและความหวัง
ความวิตกกังวลกัดกร่อนจิตใจของพระนาง
ทรงสงสัยว่าทำไมซาดิกถึงไม่สวมเกราะ
และอิโตบาดเอาเกราะสีขาวไปใส่ได้อย่างไร
เมื่อทุกคนเห็นซาดิกเสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์ก็ดังขึ้น
ต่างก็รู้สึกแปลกใจและดีใจที่เห็นเขาอีกครั้งหนึ่ง
แต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในที่ชุมนุมจะต้องเป็นอัศวินที่ได้ต่อสู้มาแล้วเท่านั้น
ซาดิกพูดว่า |
......"ข้าได้ต่อสู้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
แต่คนหนึ่งในที่นี้ได้เอาเกราะของข้าไปใส่ก่อนที่ข้าจะได้รับเกียรติให้พิสูจน์ความจริง
ข้าขออนุญาตร่วมทายปริศนาด้วยคนเถิด" |
......กิติศัพท์เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของซาดิก
ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของคณะกรรมการออกเสียงอย่างมาก
จึงไม่ลังเลใจที่จะอนุมัติตามคำขอของซาดิก |
......มหาราชครูถามปริศนาข้อแรกว่า |
......"อะไรเอ่ย
ในบรรดาสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่ยาวที่สุด
สั้นที่สุด
ที่เร็วที่สุด
และช้าที่สุด
ที่น้อยที่สุดและมากที่สุด
ที่ถูกปล่อยปละละเลยมากที่สุด
และน่าเสียดายมากที่สุด
ถ้าไม่มีสิ่งนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้
มันทำลายทุกสิ่งที่เล็ก
และให้ชีวิตกับทุกสิ่งที่ใหญ่โต
"
อิโตบาดได้ทายเป็นคนแรก
เขาตอบว่า
คนอย่างเขาไม่รู้ปริศนาเลย
และการที่เขาชนะการต่อสู้ด้วยหอกก็เพียงพอแล้ว
บางคนบอกว่าคำตอบคือโชคชะตา
บางคนก็ทายว่าโลก
บางคนก็ตอบว่าแสงสว่าง
ส่วนซาดิกทายว่าเวลา
และเสริมว่า |
......"ไม่มีอะไรจะยาวกว่าเวลาและมันเป็นเครื่องวัดความไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีอะไรจะสั้นไปกว่าเวลา
เพราะเราจะมีไม่พอสำหรับคนที่รอคอย
ไม่มีอะไรที่จะเร็วไปกว่าเวลาสำหรับผู้ที่มีความสุขมันขยายกว้างใหญ่ไพศาลจนกระทั่งวัดไม่ได้
มันแบ่งเล็กที่สุดจนวัดไม่ได้เช่นกัน
มนุษย์ทุกคนปล่อยปละละเลยมัน
และต่างก็เสียใจกันทุกคนที่เสียมันไป
เราทำอะไรไม่ได้เลยถ้าขาดมัน
มันทำให้คนรุ่นหลังลืมสิ่งที่ไม่ดี
และทำให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นอมตะ" |
......ที่ประชุมต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
ซาดิกตอบถูก |
......ปริศนาข้อต่อไปมีความว่า |
......"อะไรเอ่ย
คือสิ่งที่เราได้รับโดยไม่ต้องขอบคุณ
สิ่งที่เรามีโดยไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร
สิ่งที่เราให้กับผู้อื่นเมื่อเราหลง
สิ่งที่เราเสียไปโดยไม่รู้ตัว" |
......ต่างคนต่างทาย
มีซาดิกคนเดียวที่ทายว่าสิ่งนั้นคือชีวิตเขาอธิบายปริศนาข้ออื่นๆ
ทั้งหมดได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
อิโตบาดพูดอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีอะไรง่ายกว่านี้
และถ้าเขาอยากจะลองทายดู
เขาก็คงตอบได้อย่างง่ายดายเหมือนกัน
จากนั้นคณะกรรมการก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรม
ความดีสูงสุดและศิลปะในการครองราชย์
ต่างลงความเห็นว่า
คำตอบของซาดิกมีน้ำหนักมากที่สุด
และพูดกันว่า |
......"น่าเสียดายจริง
ที่คนมีปัญญาดีเช่นนี้
เป็นอัศวินที่ไม่เอาไหนเสียเหลือเกิน" |
......ซาดิกกล่าวว่า |
....."ท่านขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ข้าได้รับเกียรติต่อสู้จนชนะในสนามประลอง
ข้าเป็นเจ้าของเกราะสีขาว
ท่านอิโตบาดขโมยมันไปตอนข้าหลับอยู่
ท่านคงคิดว่ามันดูเหมาะกับท่านมากกว่าเกราะสีเขียว
ข้าพร้อมแล้วที่จะพิสูจน์ต่อหน้าพวกท่านทั้งหลายว่าข้าต่างหากที่ได้รับเกียรติเป็นผู้พิชิตอัศวินโอตามผู้กล้าหาญ
โดยข้าจะขอต่อสู้ด้วยเสื้อคลุมชุดนี้และดาบ
กับท่านอิโตบาดในชุดเกราะสีขาวสวยงามที่ขโมยข้าไป" |
......อิโตบาดรับคำท้าด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาแน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งที่ใส่เสื้อคลุมอยู่กับบ้านและใส่หมวกสำหรับนอนอย่างง่ายดาย
เพราะตนสวมหมวกเหล็ก
และเสื้อเกราะทั้งตัว
ทั้งยังมีปลอกแขนด้วย
ซาดิกดึงดาบออกมาพร้อมกับถวายบังคมพระราชินี
ซึ่งทอดพระเนตรดูเขาด้วยพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจและความหวาดหวั่น
อิโตบาดดึงดาบของตนออกมา
โดยไม่เคารพผู้ใดทั้งสิ้น
แล้วเดินเข้าหาซาดิกเหมือนกับผู้ที่ไม่กลัวอะไร
แต่ซาดิกรับดาบไว้ได้และโต้กลับด้วยท่าทีที่เรียกว่า
"ดาบแข็งสู้ดาบอ่อนของคู่แข่ง"
จนดาบอิโตบาดหักสะบั้นจากนั้น
ซาดิกก็จับตัวคู่ต่อสู้โยนลงกับพื้น
แล้วทิ่มปลายดาบลงไปตรงที่ไม่มีเกราะหุ้ม
พลางพูดว่า |
......"จงวางอาวุธของท่านเสีย
มิฉะนั้น
ข้าจะฆ่าท่านเสีย" |
......อิโตบาดทำท่าแปลกใจเหมือนทุกครั้งที่โชคไม่เข้าข้างคนอย่างเขา
และปล่อยให้ซาดิกจัดการตามอำเภอใจ
ซาดิกถอดหมวกเหล็กงามวิจิตร
ชุดเกราะอันงามสง่า
ปลอกแขนเหล็กทั้งสองที่สวยงาม
รวมทั้งเกราะส่วนตะโพกที่เป็นประกายออกจากตัวอิโตบาดด้วยท่าทางสงบ
แล้วเอามาใส่ให้ตนเองแทน
จากนั้นก็ไปทรุดตัวถวายบังคมพระราชินี
กาดอร์พิสูจน์ให้เห็นอย่างง่ายดายว่าชุดเกราะนี้เป็นของซาดิกจริง
ซาดิกได้รับการยอมรับให้เป็นพระราชาอย่างเอกฉันท์
โดยเฉพาะจากพระราชินีซึ่งหลังจากทรงได้ประสบเคราะห์กรรมทั้งหลายแหล่มาแล้ว
มาบัดนี้ก็ทรงได้ลิ้มรสความสุขที่เห็นคู่รักของตนมีค่าในสายตาของคนทั่วโลกว่า
สมควรเป็นพระสวามีของตน
ส่วนอิโตบาดกลับไปที่บ้านให้บริวารเรียกว่าเจ้านายดังเดิม
ซาดิกได้เป็นพระราชินีและตัวเขาบูชาพระผู้เป็นเจ้า
ส่วนนางมิสซูฟคนสวยนั้น
ซาดิกได้ปล่อยนางให้ร่อนเรไปในโลกกว้าง
และได้ส่งคนไปตามโจรอาร์โกบาดมาเพื่อมอบตำแหน่งที่มีเกียรติในกองทัพให้
พร้อมกับสัญญาว่า
จะเลื่อนตำแหน่งให้สูงยิ่งขึ้นถ้าเขาประพฤติตัวให้สมกับเป็นนักรบจริงๆ
แต่ถ้าเขายังขืนทำอาชีพโจรอยู่ก็จะถูกแขวนคอเสีย |
......เซตอคเองก็ถูกเรียกตัวมาจากประเทศอาระเบียอันไกลโพ้นพร้อมกับอัลโมนาคนสวยเพื่อครองตำแหน่งหัวหน้าการพาณิชย์ในกรุงบาบิโลน
สำหรับกาดอร์นั้นได้ตำแหน่งสูงและเป็นที่รักใคร่ของพระราชาและพระราชินี
สมกับที่ได้ให้ความช่วยเหลือต่างๆ
นาๆ
เขาเป็นมิตรของพระราชา
และพระราชาก็เป็นเจ้าผู้ครองนครองค์เดียวในโลกที่มีมิตรแท้
พระองค์ไม่ทรงลืมคนแคระใบ้และคนหาปลาเอง
ก็ได้รับพระราชทานบ้านหลังหนึ่ง
ออร์คานถูกตัดสินให้จ่ายเงินก้อนใหญ่ให้กับคนหาปลาและให้คืนเมียด้วยแต่คนหาปลาซึ่งฉลาดขึ้นเอาแต่เงินอย่างเดียว |
......ส่วนเชมีร์คนสวย
ก็เศร้าเสียใจไม่หายที่เชื่อว่าซาดิกจะมีตาเดียว
อโซราเองก็ร้องไห้ไม่หยุดที่เคยอยากจะตัดจมูกของซาดิก
พระราชทานของขวัญแก่นางทั้งสองเพื่อให้คลายทุกข์
จอมอิจฉาตายไปด้วยความโกรธและความอับอาย
อาณาจักรประสบแต่ความสันติสุข
ความรุ่งโรจน์
และความอุดมสมบูรณ์นับเป็นรัชสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก
เพราะพระราชาทรงปกครองด้วยความยุติธรรมและความรัก
ราษฎรต่างสรรเสริญพระราชาซาดิก
ส่วนซาดิกก็ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า |