โกโกลคนใหม่

 
......ในปี 1831 ครอบครัวดอสโตยเยียฟสกี้ ได้ซื้อหมู่บ้านเล็กๆ มีชื่อว่า ดาโรโวเย ซึ่งไม่ไกลจากมอสโคว์นัก จึงได้กลายเป็นเจ้าของทาสติดที่ดินไป ครอบครัวนี้ไปพักอยู่ในหมู่บ้านดาโรโวเย ในตอนฤดูร้อน ดอสโตยเยียฟสกี้ได้เขียนถึงวัยเด็กของเขาไว้ในเรื่อง Marei, the Serf และที่อื่นๆ
......เขาเรียนจบจากโรงเรียนกินนอนเอกชนในกรุงมอสโคว์ ในปี 1837 มารดาของเขาสิ้นชีวิตและทิ้งลูกกำพร้าไว้ 6 คน ดอสโตยเยียฟสกี้ ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยวิศวกรรมทหารในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยการรบเร้าของบิดา แต่ความชอบจริงๆ ของเขาคือวิชาอักษรศาสตร์ ในระหว่างที่เรียนรู้ในวิทยาลัยทหารนี่เองความสนใจในชีวิตด้านจิตวิญญาณของเขาได้เจริญขึ้น
......ในปี 1839 ครอบครัวของเขาประสบเคราะห์กรรมอย่างแรง บิดาเสียชีวิตในลักษณะที่ลึกลับ ตามตำนานของตระกูลกล่าวกันว่า เขาถูกฆาตกรรมโดยทาสติดที่ดินของเขาเอง (ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในรัสเซียสมัยที่ยังมีทาสติดที่ดิน) ดอสโตยเยียฟสกี้ไม่เคยกล่าวถึงความตายของบิดาเลย แต่ก็กล่าวว่าฟิโอดอร์ ดอสโตยเยียฟสกี้มีปมรักแม่อยู่ในใจ และต้องการจะเห็นพ่อตายไปโดยเร็วที่สุด
......ในปี 1841 เขาได้รับตำแหน่งนายทหารเป็นครั้งแรก และในปี 1843 เมื่อเรียนจบเขาก็ได้งานเป็นวิศวกรในสมรภูมิ เขาพยายามเขียนเรื่องเป็นครั้งแรกในตอนนั้น งานชิ้นแรกของเขาที่ได้รับการตีพิมพ์ก็คือ งานแปลเรื่อง lugenie Grandet ของบัลซัค (Balzac) ผู้ซึ่งเขาหลงใหลมากในวันรุ่น เมื่อตอนอายุ 17 ปี เขาได้เขียนจดหมายถึงมิคาอิล (Mikhail) ผู้พี่ชายซึ่งมีอายุแก่กว่าเขาหนึ่งปี และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและอาจเป็นเพื่อนคนเดียวของเขาว่า "มนุษย์นั้นเป็นสิ่งลึกลับ ถ้าพี่ใช้ชีวิตทั้งหมดของพี่โดยพยายามจะแก้ปริศนานั้น จงอย่างพูดว่าพี่เสียเวลาไปเปล่าๆ ความลึกลับมายุ่งอยู่ในใจผมก็เพราะผมต้องการจะเป็นมนุษย์"
......แล้วเดี๋ยนี้เขาต้องการจะเป็นนักเขียนอีกด้วย
......เมื่อเขาลาออกจากงานทหารเมื่อปี 1844 พวกญาติๆ ต่างก็ตกใจและไม่พอใจ เขาไม่เพียงแต่ตัดขาดความสัมพันธ์กับครอบครัวซึ่งเป็นภาระหนักแก่เขาอยู่เท่านั้น แต่เจตนาที่จะทำให้ตัวเองต้องลำบากลำบนอย่างยิ่งด้วย ตั้งแต่นั้นเขาก็รับผิดชอบต่อตัวเองคนเดียวเท่านั้น เขาเขียนไปบอกพี่ชายว่า "ผมกำลังจะทำงานเหมือนปีศาจ" อนาคตของเขาคือ สิ่งท้าทายและสิ่งที่ไม่แน่นอน
......นวนิยายเรื่อง Poor People ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นภายในชั่วข้ามคืนเดียว หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ มีชื่อเสียงขึ้นมาในคืนที่เนกราซอฟ (Nekrasov) และกริโกโรวิช (Grigorovich) อ่านต้นฉบับเรื่องนั้นนั่นแหละ มันถูกส่งไปยังวิสซาเรียน เบลิสสกี้ (Vissarian Belinsky) ผู้เป็นนักวิจารณ์ใหญ่ของรัสเซียและเป็นหัวหน้าสำนัก "ธรรมชาตินิยม" ซึ่งนิยมชมชอบวรรณกรรมแบบสัจนิยมในรัสเซียทันที ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคำตัดสินของเบลินสกี้ และคำตัดสินนี้เป็นสิ่งที่นักเขียนหนุ่มผู้นี้แทบจะไม่คาดคิด ในภายหลังเขาเขียนว่า "มันเป็นนาทีที่น่าหลงใหลที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะนึกถึงมันในยามที่ข้าพเจ้ากำลังทำงานหนัก มันทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจ" เบลินสกี้กำลังต้องการนวนิยายสังคมที่แฝงจิตวิทยาด้วย เรื่อง Poor People จึงเป็นที่น่าพอใจยิ่งความคิดเห็นของเขาได้รับการยืนยันจากากรต้อนรับหนังสือเล่มนี้จากผู้อ่านทั่วไป ดอสโตยเยียฟสกี้ได้รับฉายาว่า "โกโกลคนใหม่" หนังสือเล่มนี้(ผู้ยากไร้) เปรียบเสมือนดังเสียงถอนหายใจด้วยความเสียใจให้แก่มนุษยชาติที่ยากจน คนยากจนคือคนที่มีความทุกข์ เขาเป็นคนไม่สมบูรณ์และห่างไกลจากอุดมคตินัก ความเสียใจให้แก่ผู้คนที่อ่อนแอ และเปล่าเปลี่ยวนี้ในขณะเดียวกันก็เป็นการประเมินค่าตนเองที่เต็มไปด้วยความเสียใจของผู้เขียนเอง
......ชื่อของนวนิยายเรื่องแรกของดอสโตยเยียฟสกี้นั้นคือ คำจารึกสำหรับผลงานชิ้นหลังๆ ของเขา เขาเขียนถึงพี่ชายในฤดูใบไม้ร่วงปี 1845 เมื่อนวนิยายเรื่องนี้ออกสู่ตลาดว่า "ผมจะบอกให้นะพี่ ผมไม่เคยคิดว่าชื่อเสียงของผมจะขึ้นสูงถึงแค่นี้เลย ความนับถือจากทุกๆ คนนั้นผิดธรรมดานัก ผู้คนพากันอยากรู้อยากเห็นในตัวผมอย่างร้าย...ทุกคนมองดูผมเหมือนสิ่งมหัสจรรย์อย่างหนึ่ง...ผมบอกพี่ตรงๆ นะว่าตอนนี้ผมกำลังปลาบปลื้มกับชื่อเสียงของผม"
......ดอสโตยเยียฟสกี้ รับเอาบทบาทที่ไม่คาดฝันของเขาไว้อย่างกระตือรือร้น แต่ในตัวเขาความนับถือตนเองนั้นมีอยู่คู่เคียงไปกับปมด้อยและการขาดความมั่นใจ และขาดมารยาทเมื่อออกมาจากความเป็นอยู่ที่ไม่มีการสังคมและอยู่ในบ้านเช่า เขาก็พบว่าตัวเองถูกเยาะเย้ยและถูกกัดลับหลังอยู่ในวงวรรณกรรมที่ไม่มีการให้อภัยกัน หลังจากที่นวนิยายเรื่องแรกของเขาได้รับการสรรเสริญจนสูงสุดฟ้าแล้ว ในไม่ช้าดอสโตยเยียฟสกี้ ก็กลายเป็นเป้าของการเยาะเย้ยอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งบางส่วนตกทอดมาจนถึงสมัยของเขามีชีวิตอยู่อย่าง..งงงวย และตอนนี้เองที่อาการของโรคลมบ้าหมูปรากฏแก่เขาเป็นครั้งแรก