ประหารชีวิต

 
......ดอสโตยเยียฟสกี้ถูกตัดสินประหารชีวิต เพราะเป็นผู้อ่านจดหมายลับที่มีชื่อเสียงที่เบลินสกี้เขียนถึงโกโกลเปิดเผยระบบที่น่ากลัวของการกดขึ่ของกษัตริย์นิโคลาสที่ 1 ให้สมาชิกของกลุ่มเพตราเชฟสกี้ฟัง
......เขาใช้เวลา 8 เดือนเต็มอยู่ในห้องขังเดี่ยวในคุกอเล็กซี่ ราเวลินในกรุงเซ็นต์ปีเตอร์และในป้อมของเซ็นต์ปอล คำพูดให้การของเขาถูกแต่งขึ้นอย่างระมัดระวังและมีศิลปะ เขากล่าวว่าเขามีความผิดเพียงแต่เพราะมีความไม่รอบคอบที่อภัยให้ไม่ได้เท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มฝ่ายค้านทางการเมืองแต่อย่างใด เขาพยายามอย่างมากที่จะช่วยเพื่อนๆของเขา คำไต่สวนที่มาถึงมือเราเป็นพยานได้ดีถึงความกล้าหาญและการต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบเท่าของเขา ในยามวิกฤติเขาปฏิบัติตนอย่างมีเกียรติ เขาอาจจะเคยเป็นเหยื่อของความหวาดกลัวที่สิงสู่เขาอยู่เสมอ เขาอาจจะถูกทรมานด้วยความหวาดระแวง เขาอาจจะมีใจโลเลไม่แน่นอนและขัดแย้งกับตัวเองอยู่เสมอ เขาอาจจะบ่นว่าสถานการณ์ของเขาอย่างไม่รู้จบ อาจจะโทษตัวเองและคนอื่นๆ ได้รับความทุกข์จากความไม่ไว้วางใจของตนเองและตัดสินใจแปลกๆ ที่จริงแล้วเขามีความบกพร่องเหล่านี้อยู่ไม่มากก็น้อย ปฏิเสธไม่ได้
......แต่นั่นเป็นไปก่อนที่วิกฤตการณ์จะมาถึงเท่านั้น เมื่อเรื่องเศร้าเกิดขึ้นบุคลกภาพของเขาก็เข้มแข็งขึ้นในทันใด ความทุกข์เป็นเหมือนมนต์วิเศษที่รวบรวมเอาส่วนประกอบที่แตกแยกในอุปนิสัยของเขาเข้าเป็นบุคลิกภาพอันเดียวที่แจ่มแจ้งชัดเจน
......ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะเป็นเวลาที่ไม่มีสงคราม แต่กลุ่มเพตราเชฟสกี้ ก็ถูกไต่สวนโดยศาลทหาร สำหรับรัฐบาล "การวางแผนความคิด" ก็ยังเป็นที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่าการวางแผนปฏิบัติ ดอสโตยเยียฟสกี้กับชายหนุ่มอีก 20 คนจึงถูกตัดสินประหารชีวิต อัยการได้ยื่นคำร้องไปยังพระเจ้าจักรพรรดิให้ลงโทษอย่างอื่นแทนการประหาร(ในกรณีของดอสโตยเยียฟสกี้นั้นขอให้รับโทษทำงานหนักเป็นเวลา 8 ปี) ในตอนหลังกษัตริย์นิโคลาสที่ 1 เขียนไว้ในชื่อของเขาว่า "ทำงานหนัก 4 ปี" หลังจากนั้นให้ไปเป็นพลทหารในกองทัพ
......จักรพรรดิรัสเซียไม่ยอมตามคำร้อง พระองค์ทรงตั้งใจทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการประหารชีวิตเอง
......ในเช้าของวันที่ 22 ธันวาคม 1849 พวกนักโทษถูกบังคับให้เดินแถวไปยังสนามเซเมนนอฟสกี้ เพื่อฟังคำตัดสินประหาร พวกเขาสวมเสื้อสีขาว และผู้ที่มีสถานภาพเป็นชนชั้นสูงจะถูกหักดาบเหนือศีรษะ เพตราเชฟสกี้ กับสหายสองคนถูกมัดไว้กับเสาที่ขุดลงไปในพื้นดิน แถวทหารมือปืนเล็งปืนยาวไปที่คนเหล่านั้น มีเสียงกลองดังขึ้นในอากาศที่หนาวเย็น ดอสโตยเยียฟสกี้ยื้นอยู่ในกล่มที่สอง เขาจะมีชีวิตอยู่ไมเกินห้านาทีเท่านั้น เขาคงจะจำนาทีเหล่านั้นไว้ตลอดไป
......พวกนักโทษถูกแก้มัดออกจากหลัก ถูกสั่งให้กลับไปรับคำตัดสินใหม่ เพตราเชฟสกี้สิ้นชีวิตในไซบีเรีย ส่วนดอสโตยเยียฟสกี้กลับมายังเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กสิบปีหลังจากนั้น เขาเขียนจดหมายถึงพี่ชายของเขาว่า "พี่จ๋า ผมขอสาบานกับพี่ว่าผมจะไม่สิ้นหวังและจะรักษาจิตใจและหัวใจของผมให้อยู่ในความบริสุทธิ์ ผมจะเกิดใหม่เป็นคนที่ดีกว่าเก่า นั่นคือความหวังอันเดียวของผม เป็นคำปลอบใจอันเดียวของผม" และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
......มีเรื่องราวของการเป็นนักโทษทำงานหนักในป้อมโอมสก็ เป็นเวลาสี่ปีของเขาเหลืออยู่น้อยเหลือเกิน ที่ยาวที่สุดที่เรามีอยู่ก็คือ บันทึกจากบ้านคนตาย (Notes From the Dead House,1861-62) เขาเขียนไว้ในตอนหลังว่า "....เวลาสี่ปีนั้นข้าพเจ้าถือว่าเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าถูกฝังทั้งเป็นและถูกบรรจุไว้ในหีบศพ...มันเป็นความทุกข์ทรมานอย่างที่บรรยายไม่ได้และไม่รู้จักจบสิ้น...." ตลอดสี่ปีนั้นเขาถูกใส่ตรวนที่ขา สำหรับเขามันคือโรงเรียนแห่งชีวิตซึ่งชักพาให้เขาได้รู้จักก้นบึ้งของความเป็นอยู่ที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย นักโทษที่ต้องทำงานหนักถูกห้ามเขียนหนังสือ แต่กระนั้นดอสโตยเยียฟสกี้ก็ยังอุตส่าห์แอบเขียนสุภาษิต คำกล่าวสำคัญๆ และตัวอย่างคำพูดของชาวพื้นเมืองไว้ได้ ซึ่งเรารู้จักกันในนามว่า "สมุดบันทึกในไซบีเรีย"
......มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าในระหว่างรับโทษที่ไซบีเรียนั้น ความเปลี่ยนแปลในหัวใจของดอสโตยเยียฟสกี้ได้เริ่มขึ้นและความมั่นใจของเขาเสื่อมคลายลง นั่นเป็นความจริงหรือ?
......ดอสโตยเยียฟสกี้เป็นนักปฏิวัติหรือเปล่า การกระทำของเขาไม่ได้ทิ้งที่ว่างให้สงสัยดังนั้นเลย แต่อีกด้านหนึ่งเราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยในความจริงของเขาเมื่อเขาให้การในเมื่อถูกสอบสวน (และต่อมา) เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่จะหวังได้ในภายหน้าจาก "การปฏิวัติของรัสเซีย"
......เขาเป็นศัตรูต่อระบบที่มีอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์นิโคลาสที่ 1 เขาเป็นศัตรูต่อการมีทาสติดที่ดิน ระบบอมาตยาธิปไตยและการปกครองอย่างกดขี่ เขาไม่สามารถรับความจริงในเรื่องความไม่เสมอภาคทางสังคมได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราคงจะต้องละเว้นจากการยืนยันว่าเขาปฏิเสธความคิดเรื่องการมีกษัตริย์ แม้กระทั่งในตอนที่เขาสนิทสนมกับกล่มเพตราเนฟสกี้แล้ว เขาต้องการให้รวมระบบชาติรัสเซียเข้ากับอุดมคติแห่งความยุติธรรมและความดีงาม และสอดใส่มนุษยธรรมเข้าไปในอำนาจแบบอมนุษย์ เขามีความประทับใจในแง่มุมอันประเสริฐของสังคมที่เป็นเหมือนโลกพระศรีอาริย์ และความงามที่ไม่แยกจากความจริงก็เฝ้าเย้ายวนเขาอยู่ตลอดชีวิต เขาเคยกล่าวว่าความคิดอาจเปลี่ยนไป แต่หัวใจไม่เคยเปลี่ยน