|
เส้นทางการเมืองของประชาชนไทย
สู่ศตวรรษใหม่แห่งการมีส่วนร่วม |
ปาฐกถาเนื่องในวาระครบรอบ
26 ปีแห่งการต่อสู้ 14 ตุลาคม |
โดยอาจารย์
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล |
ณ
หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ |
|
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
มิตรสหายทั้งหลาย |
......ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณบรรดาองค์กรต่างๆ
ที่ร่วมกันจัดงานในวันนี้ ที่ให้เกียรติเชิญผมมาแสดงความคิดเห็นเนื่องในโอกาสครบรอบ
26 ปีแห่งการต่อสู้ 14 ตุลา 2516 |
......ในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง
26 ปีนับว่ายาวนานพอสมควร นานพอที่จะเปลี่ยนชายหนุ่มให้กลายเป็นชายชรา
และนานพอที่จะแปรทารกน้อยให้กลายเป็นคนหนุ่มสาว แต่ถ้าเราพิจารณาจากช่วงประวัติศาสตร์ของประชาติหนึ่ง
26 ปีย่อมไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานนัก ยังไม่ต้องกล่าวถึง 26 ปีอันเป็นเวลาของจักรวาล |
......อย่างไรก็ตาม
การที่ท่านทั้งหลายเชิญผมมาพูดในวันนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า 26 ปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะพิจารณาในมุมมองใด คงเป็นห้วงเวลาที่ไม่น่าพอใจนัก คนเราเวลามีความทุกข์มักจะคิดถึงมิตรสหาย
และผมก็ดีใจที่จนแล้วจนรอดประชาชนยังนับผมเป็ฯมิตรสหายเสมอมา |
......สิ่งที่ผมจะกล่าวในวันนี้
ประกอบด้วยเน้อหา 3 ส่วนใหญ่ๆด้วยกัน |
......ส่วนที่หนึ่ง
ผมอยากจะชวนทุกท่านมาทบทวนความฝันดั้งเดิม ที่เราเคยมีร่วมกันในเดือนตุลาคม
2516 |
......ส่วนที่สอง
ผมอยากเสนอความเห็นว่า แล้วทำไมฝันของเราจึงยังไม่ปรากฏเป็นจริง หรือจริงเพียงบางส่วน |
......สำหรับส่วนที่สาม
เป็นคำถามที่ว่า ขณะที่โลกกำลังก้าวไปสู่ศตวรรษใหม่ เราจะทำอย่างไรกันดีจึงจะสามารถพาความฝันของเราติดตัวไปได้
โดยไม่อนุญาตให้การเปลี่ยนศตวรรษเป็นแค่การเปลี่ยนปฏิทิน |
|
พี่น้องทั้งหลายครับ |
......ในเดือนตุลาคม
26 ปีก่อน เราร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเพื่อโค่นล้มระบอบเผด็จการลงไป
ครั้งนั้นเราฝันถึงโลกสีใด |
......แน่นอนที่สุดก่อนหน้าวันที่
14 ตุลาคม 2516 เราไม่มีเสรีภาพ และเมื่อเราจินตนาการถึงเสรีภาพ เราก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเพียงโครงสร้างการค้าเสรี
เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นแค่การเมืองแบบเลือกตั้ง สำหรับเรา เสรีภาพ คือสิทธิและโอกาสที่จะบรรลุศักยภาพของความเป็นคน
ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและในฐานะเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน
สำหรับเรา เสรีภาพคือสิทธิในการค้นหาจุดหมายและความหมายของชีวิตโดยไม่มีอุปสรรคทางการเมือง
เศรษฐกิจ และสังคมมาขวางกั้น |
......เช่นเดียวกับ
ความเสมอภาค ซึ่งเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ของเสรีภาพ เราไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้คือการถือคะแนนเท่ากันแค่หนึ่งในฤดูเลือกตั้ง
แค่นั้นยังไม่พอ ความเสมอภาคคือฐานะความเป็นคนเท่าเทียมกับผู้อื่น เป็นสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่ถูกเหยียดหยาม
เหยียบย่ำหรือถูกครอบงำโดยวิธีต่างๆ เราใฝ่ฝันถึงความเสมอภาคทางกฏหมาย
ความเสมอภาคทางโอกาส และความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ |
......ประการสุดท้ายเราฝันถึง
ภราดรภาพ เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นแค่ถ้อยคำหาเสียง ราวกับว่าทุกคนเป็นญาติของนักการเมืองที่จะเริ่มต้นทุกคำพูดด้วยประโยคที่ว่า
พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักทั้งหลาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่มีใครมานับญาติกับเราอย่างแท้จริง |
......เราฝันถึงภราดรภาพเพราะเราคิดว่ามันเป็นชีวิตที่อบอุ่นในอ้อมกอดของประเทศชาติ
ที่มีสายใยผูกพันระหว่างคนที่อยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน ชีวิตที่มีบ้านเกิดในความหมายที่แท้จริง
มีบ้านเกิดในความหมายของจิตใจและจิตวิญญาณ มีดินแดนที่เรารู้สึกสังกัดอย่างแท้จริง
และมีพี่น้องร่วมสายพันธุ์ในครอบครัวใหญ่ที่เราเรียกว่า ประเทศไทย |
|
พี่น้องทั้งหลายครับ |
......ความฝันทั้งหลายทั้งปวงนี้
ไม่เพียงแต่จะไม่ปรากฏเป็นจริงในระยะ 26 ปีที่ผ่านมา หากนับวันยังจะถูกทอดทิ้งทำลาย
ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับประชาธิปไตยที่ครั้งหนึ่งเราเคยเอาเลือดไปแลกมา คำตอบอาจมี
2-3 ประการ |
......ประการที่หนึ่ง
ความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วในทางเศรษฐกิจ ซึ่งปรากฏชัดระหว่างเมืองกับชนบท
อันนี้เป็นสภาพที่มีมาแต่เดิมภายใต้ระบบเผด็จการ แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังโดยระบอบรัฐสภา
มิเพียงไม่แก้ไข หากยังใช้ประโยชน์ทางการเมืองทำให้การเมืองกลายเป็นธุรกิจของคนส่วนน้อย
ที่อาศัยการเลือกตั้งเป็นลู่ทางการครอบงำทรัพยากรและประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
|
......ประการที่สอง
ปรากฏการฟองสบู่ที่อาศัยเงินทุนข้ามชาติเข้ามา เปลี่ยนตั้งแต่วิธีคิด จิตสำนึก
ไปจนกระทั่งวิถีชีวิตของคนชั้นกลาง ซึ่งเคยมีบทบาทสร้างสรรค์ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ส่งผลทางลบต่อประชาธิปไตยบ้านเรา จากผู้ผลิตของชาติ
คนชั้นกลางกลายเป็นผู้บริโภคข้ามชาติ จากผู้ที่เคยขยันหมั่นเพียร กลายเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น
และจากผู้ที่เคยเอาการเอางานในการถ่วงดุลและตรวจสอบผู้มีอำนาจ เขากลายเป็นพวกเฉื่อยเนือยทางการเมือง
หรือจะออกมาเคลื่อนไหวบ้างก็เพื่อกดดันรัฐบาลให้ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของตนเอง
|
......โลกทัศน์เช่นนี้อาจสอดคล้อง
กับความต้องการของกลุ่มทุนข้ามชาติ ที่อยากเห็นประชากรในประเทศต่างๆไร้จิตสำนึกทางการเมือง
เลิกรู้สึกสังกัดบ้านเกิดเมืองนอนของตน และสิ้นเยื่อใยกับวัฒนธรรมท้องถิ่น
แต่มันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับความใฝ่ฝันที่เราเคยมีมาร่วมกัน |
......กล่าวในทางการเมืองแล้ว
การแปรเปลี่ยนของชนชั้นกลางนับเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงของพลังสร้างสรรค์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองในภาคของประชาชน เนื่องจากการดำรงอยู่ของพวกเขาได้ถูกแยกออกจากชะตากรรมของคนที่เหลือในประเทศ
และการถูกพลัดพรากทางวัฒนธรรมได้ทำให้ความผูกพันที่เราควรมีต่อกันถูกลิดรอนลงไปจนเกือบจะไม่มีเหลือ
|
......ประการที่สาม
นอกจากความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วระหว่างเมืองกับชนบท และการหมดสภาพพลังสร้างสรรค์ของชนชั้นกลางแล้ว
ปัญหาหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวลงคือ ความขัดแย้งไม่ลงตัวระหว่างการเมืองกับการปกครอง
|
......พูดอีกแบบหนึ่งก็คือว่า
แม้การต่อสู้ 14 ตุลาคม ในปี พ.ศ. 2516 จะช่วยสถาปนาประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
และนำสิทธิเสรีภาพมาสู่ประชาชนไทยในระดับหนึ่ง แต่ระบบรัฐสภาดังกล่าวกลับไปสวมอยู่บนยอดของระบอบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
ซึ่งมีมาแต่เดิมนับร้อยปี |
......สภาพเช่นนี้กลายเป็นลู่ทางพิเศษที่นักการเมืองที่ปราศจากการฝึกอบรมในทางคุณธรรมของการปกครองไปนั่งอยู่บนยอดของโครงสร้างอำนาจแบบสัมบูรณ์สิทธิ
แม้ที่มาของพวกเขาจะเป็นการเลือกตั้ง แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ทางอำนาจกับประชาชนไม่ต่างจากขุนนางโบราณหรือผู้นำประเทศในยุคเผด็จการ
เช่นนี้แล้วในทางส่วนตัว การเมืองแบบเลือกตั้งจึงกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด
เป็นกิจการที่สร้างความมั่งคั่งให้กับผู้คนจำนวนหนึ่งยิ่งกว่าอาชีพใดๆในประเทศไทย |
......26 ปีที่ผ่านมา
เรามักโต้แย้งกันเรื่องใครจะมาเป็นผู้นำประเทศ กระทั่งนองเลือดซ้ำอีกในปี
2535 เพื่อจะค้นหาวิธีการสรรหาคนมานำพาประเทศชาติ แต่เราเกือบไม่พูดกันเลยว่า
อำนาจของผู้นำประเทศที่มีต่อประชาชนและสังคมนั้น ควรมีแค่ไหนอย่างไร
จริงๆแล้วมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยไม่ว่าคุณจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากรัฐประหาร
ท้ายที่สุดก็บริหารแผ่นดินแบบรวมศูนย์เหมือนกัน ดำเนินนโยบายการคลังและจัดเก็บภาษีแบบรวมศูนย์เท่ากัน
รวมทั้งจัดทำงบประมาณแผ่นดินแบบรวมศูนย์ผ่านระบบราชการเช่นกัน ทั้งหมดนี้
ไม่เพียงเป็นการกักขังประชาชนไว้กับโครงสร้างอำนาจที่ปิดกั้นเสรีภาพของพวกเขามาช้านาน
หากยังเป็น ทั้งทางเศรษฐกิจและการคลังที่หนักหน่วงซึ่งคนทั้งสังคมต้องแบกรับ |
......มิตรสหายทั้งหลายครับ |
......ปัจจัยต่างๆที่ผมกล่าวมานี้
แน่นอนที่สุดมีส่วนกัดกร่อนความใฝ่ฝันของเราที่เคยมีมาเมื่อ 26 ปีก่อนละนานวันยิ่งทำให้ผู้คนหลงลืมมันไป
รวมทั้งบางส่วนของคนรุ่น14 ตุลาคมด้วย โอกาสทางการเมืองเปิดเฉพาะกับบุคคลที่ได้เปรียบ
ทำให้พวกเขาคิดว่าเสรีภาพเป็นแค่ตลาดอำนาจที่มีการแข่งขันเสรี โอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดให้เฉพาะชนบางส่วน
ทำให้พวกเขาคิดว่า คนที่ปราศจากทรัพย์สินภายนอก เป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่า
หรืออย่างดีที่สุดก็เป็นแค่อารยชน ระบอบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
และยกส่วนกลางให้กับนักเลือกตั้ง ยิ่งปิดกั้นหน ทางในการกอบกู้ฟื้นฟูประเทศไทยให้หลุดพ้นไปจากสภาพเช่นนี้
|
......ถามว่าในห้วงยามที่ทั้งโลกกำลังจะเข้าสู่ศตวรรษใหม่
เรายังจะรักษาความฝัน แบบศตวรรษที่18 หรือ 19 เช่น เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ
เอาไว้หรือไม่? หรือจริงๆแล้วเราเป็นได้แค่ที่เราเป็นอยู่ ไม่ว่าโลกจะเข้าสู่ศตวรรษไหน
เราจะพาจุดอ่อนข้อเสีย และทุกข์ร้อนดั่งเดิมติดตามไปด้วย |
......ในทัศนะของผม
คำตอบต่อคำถามนี้อาจเป็นไปได้หลายทาง |
......แน่ละ ถ้าเราไม่ทำอะไรละ
ทุกอย่างก็คงเลื่อนไหลไปตามครรลองของมัน โดยมีคนส่วนใหญ่ของประเทศตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ
และการเข้าสู่ศตวรรษใหม่อาจเป็นแค่การเปลี่ยนตัวเลขในปฏิทิน แต่ถ้าเราคิดว่า
ประชาชนส่วนใหญ่สามารถมีบทบาทในการกำหนดทิศทางการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เขาสังกัด
ความฝันดังเดิมที่เราเคยมีมาเมื่อ 26 ปีก่อนก็สมควรได้รับการกอบกู้ดูแล |
......มันอาจจะดูเหมือนความฝันเก่าๆ
ของหลายประเทศที่ก้าวผ่านขั้นนี้ไปแล้ว แต่สำหรับเรายังไม่ใช่ความฝันที่ล้าสมัย
เราจะปล่อยให้คนส่วนใหญ่จมปลักอยู่ในความยากไร้ ถูกหมิ่นหยามเอาเปรียบ
แล้วเรียกตัวเองว่าทันสมัยได้อย่างไร |
......ปัญหาที่สำคัญก็คือว่า
แล้วเราจะทำย่างไร? ต่อเรื่องนี้ผมคงพูดได้แค่กว้างๆ |
......อันดับแรกสุด
ผมคิดว่าเราต้องรับบทเรียนที่ผ่านมาตลอด 26 ปีว่า การเมืองแบบเลือกตั้งรอฝากความหวังไว้กับตัวแทนเพียงอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งเพียงพอสำหรับการสานฝันใดๆของประเทศชาติ
อย่าว่าแต่ทำความฝันใหญ่ของ14 ตุลาให้ปรากฏเป็นจริง การเมืองแบบเลือกตั้งอาจจะยังจำเป็น
แต่มันไม่เพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมไม่เห็นทางเลือกอื่นนอกจากจะยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
ประชาชนต้องกล้ามีส่วนร่วมทางการเมือง กล้าแสดงความคิดเห็นและรวมพลังกันให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดี |
......ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องกว่า
ใกล้เคียงกับอุดมคติมากกว่า หมายถึงการปกครองตนเองโดยตรงให้มากที่สุดของประชาชน
และหมายถึงการหดตัวของอำนาจการปกครองที่ผ่านมาทางรัฐ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจโดยเลือกตั้งหรือแต่งตั้งก็ตาม |
......เมื่อผมกล่าวเช่นนี้ก็มีนัยอยู่
สองประการคือ หนึ่งระบอบการเมืองการปกครองของเรา จะรวมศูนย์อำนาจเช่นนี้อยู่ต่อไปไม่ได้
หากอำนาจจะต้องกระจายลงถึงราฐานของสังคม ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่า หมู่บ้าน
หรือ ชุมชนท้องถิ่น ก็ตาม ประการที่สอง ตัวประชาชนเองก็ต้องสลัดความคิดแบบพึ่งพาหรือที่เรียกว่าระบบอุปถัมภ์ทิ้งไป
ความคิดดังกล่าวมันเหมาะกับระบบไพร่ ระบบทาสเท่านั้น มันไม่เหมาะสำหรับระบบประชาธิปไตย
และเราก็ไม่อาจแก้ตัวได้อีกต่อไปเพราะเรายกเลิกระบบไพร่ระบบทาสมา 90 กว่าปีแล้ว
|
......อันดับต่อมา
พร้อมๆกับการขยายบทบาททางการเมืองการปกครองของประชาชนและการลด ฐานะการปกครองของรัฐลง
เราจะต้องทวนคำนิยามของ ประโยชน์ส่วนรวม กันใหม่ ที่ผ่านมามีอยู่บ่อยครั้งที่ผลประโยชน์ของรัฐและผู้กุมอำนาจรัฐถูกนำมาอ้างว่าเป็นผลป
ระโยชน์ของชาติ และบ่อยครั้งยิ่งกว่านั้นอีก ที่ผลประโยชน์ของคนหยิบมือเดียวถูกอ้างว่าเป็นผลประโยชน์ของส่วนรวม
ซึ่งไม่เป็นความจริงและเราไม่ควรอนุญาตให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก |
......คำว่า ส่วนรวม
ต่อไปนี้จะต้องไม่ถูกปล่อยให้เป็นเพียงนามธรรม ทุกคนทุกคนในประเทศไทยมีสิทธิที่จะถามทุกครั้งที่ผู้กุมอำนาจบอกเขาว่าทำเพื่อส่วนรวมว่า
ตัวเองได้อะไร |
......อย่างไรก็ตาม
ทั้งหมดนี้ยังไม่น่ากลัวเท่าคำว่า คนบางส่วนที่ผูกติดตัวเองไว้กับทุนข้ามชาติและการบริโภคข้ามชาติ
เริ่มรู้สึกว่าการดำรงอยู่ของส่วนรวม การดำรงอยู่ของชาติกลายเป็นเรื่องไม่จำเป็น
กระทั่งล้าหลังไม่เหมาะกับศตวรรษใหม่ที่เคลื่อนใกล้เข้ามา คนเหล่านี้พยายามทุกอย่างที่จะฟื้นสภาพเศรษฐกิจแบบฟองสบู่
ต่อให้ต่างชาติต่อรองเอาผลประโยชน์แบบไหนก็ยินยอมพร้อมใจ ขอเพียงให้กลุ่มของตนมีส่วนแบ่งบ้างก็พอแล้ว
ส่วนเพื่อนร่วมชาติจะต้องแบกภาระหรือตกเป็นเบี้ยล่างของทุนต่างด้าวอย่างไรพวกเขาไม่สนใจ
อันนี้เป็นผลเนื่องมาจากการพลัดพรากทางวัฒนธรรมและการแยกตัวทางการเมือง
ตลอดจนการสิ้นเยื่อใยกันทางจิตวิญญาณระหว่างคนชั้นกลางกับคนชั้นที่เหลือ
ดังที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้น |
......ถามว่าการปกป้องผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้
เป็นความคิดค่านิยมคับแคบ เป็นโบราณสมัยหรือไม่? ถามว่า เราจำเป็นต้องตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอก
เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาเอาเปรียบใช่หรือไม่? คำตอบทั้งหมดคือ ไม่ |
......เราสามารถต้อนรับนานาชาติได้ทั้งในด้าน
ข่าวสาร ความรู้ และการลงทุน และไม่มีเหตุผลที่จะยึดติดว่าประเทศไทยรับของนอกไม่ได้
ผสมผสานชีวิตของตนเข้ากับสากลไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักสร้างแนวป้องกันตนเองทั้งในทางเศรษฐกิจ
ทางการเมือง และในทางวัฒนธรรม เพื่อเราสามารถคบหาผู้อื่นได้อย่างเสมอภาค
สร้างสรรค์ กระทั่งสามารถสมทบส่วนให้กับความเจริญของโลกและความผาสุกของมนุษยชาติด้วยพลังที่เรามี
สำหรับเรื่องนี้ผมไม่เห็นว่าเราจะป้องกันตัวแบบไหนได้ นอกจากฟื้นฟูสำนึกที่เราอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน
มีชะตากรรมร่วมกัน และเป็นพี่น้องกัน |
......ประการสุดท้าย
เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วคงต้องยืนยันต่อไปว่า เศรษฐกิจแบบฟองสบู่ เป็นภัยต่ออิสรภาพต่อประชาชาติไทยอย่างยิ่งเพราะ
มันพลัดพรากพี่น้องด้วยการทำให้เราคิดไม่เหมือนกัน อยู่ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญที่สุด
คือ มีความภักดีทางการเมืองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว |
......แน่ละ ผมไม่ได้หมายความว่า
ต่อไปนี้คนทั้งประเทศจะต้องทำอะไรเหมือนกันหมด ตรงกันข้ามผมอยากเห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่จะผลิดอกออกช่อมาจากท้องถิ่นต่างๆ
ผมอยากเห็นปัจเจกชนในประเทศไทยมีปัจเจกภาพโดยการเป็นตัวของตัวเองทางความคิดและการดำรงอยู่
ขอเพียงอย่างเดียวว่า สิ่งเหล่านี้ควรงอกมาจากการริเริ่มสร้างสรรค์ของเราอย่างแท้จริง
ให้มันเป็นสวนดอกไม้หลากสีสันที่เราเป็นเจ้าของร่วมกันและเป็นรูปธรรมของเสรีภาพที่มีอยู่ในสังคมไทยอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ความหลากหลายจอมปลอมที่เกิดจากอำนาจซื้อที่ล้น เกินและอวดอ้างสิ่งของที่ตนเองครอบครองอยู่ |
......เพราะฉะนั้น
ถ้าเราอยากกลับไปสู่ความฝันที่ดั้งเดิมของ 14 ตุลาคม แม้แต่รากฐานทางเศรษฐกิจก็ควรต้องเปลี่ยนแปลง
เราจะต้องกล้าถอนตัวออกจากวิถีชีวิตการเก็งกำไรระยะสั้นและหันมาทำนุบำรุงให้เกียรติ
กระทั่งสร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยกับคนที่ทำงานอย่างแท้จริง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นเกษตรกรชาวไร่ชาวนา
คนงานในภาคอุตสาหกรรม หรือผู้ผลิตรายย่อยที่ดิ้นรนขนขวายอยู่กับการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพพิเศษ |
......คนไทยมิใช่คนไร้ปัญญา
แต่เราถูกปิดบังปิดกั้นด้วยโครงสร้างต่างๆ เราถูกทำให้เห็นว่าการทำงานที่แท้จริงเป็นเรื่องน่าเหยียดหยาม
ในขณะที่การเก็งกำไรกลายเป็นเรื่องที่คนเชิดชูสรรเสริญ ทั้งหมดนี้ถ้าเราแก้ไขมันได้
มันจะไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น หากจะเป็นการฟื้นฟูความภาคภูมิใจให้กับคนทั้งชาติ
เป็นการยกระดับคนในประเทศนี้ทั้งในด้านจริยธรรม การใช้ชีวิต และความสามารถในการประกอบอาชีพ
|
......และถ้าจะให้ผมพูดให้หมดเปลือก
บางทีการปรับปรุงในส่วนต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าเรา
ไม่ปรับเปลี่ยนการศึกษาของชาติควบคู่ไปด้วย ที่ผ่านมา ระบบการศึกษาของชาติก็เป็นแบบรวมศูนย์เข้าสู่ส่วนกลาง
และเป็นระบบเก็งกำไรโดยตัวของมันเอง เด็กๆ ถูกสอนให้เรียนสูงเพื่อจะได้ทำงานน้อย
และรับผลตอบแทนที่มากกว่าผู้อื่น โดยสังคมไม่ได้มีโอกาสแม้แต่นิดเดียวที่จะตรวจสอบว่า
ผู้ที่ได้ชื่อว่าสำเร็จการศึกษาขั้นสูงนั้น แท้จริงแล้วได้สมทบส่วนให้กับความเจริญของประเทศชาติมากน้อยเพียงใด
คุ้มค่าหรือไม่กับทรัพย์สินส่วนรวมที่ถูกนำไปลงทุนในด้านนี้ มหาวิทยาลัยทุกวันนี้กลายเป็นโรงเลี้ยงเด็กของชนชั้นกลาง
เป็นลานวิ่งเล่นของเด็กที่ปวกเปียกในจิตวิญญาณและไร้ความกล้าหาญในทุกมิติ
และทั้งหมดนี้เนื่องมาจากการประหงมที่ล้นเกินและการแยกตัวเองออกจากเพื่อนร่วมชาติที่เหลือ |
......ครูบาอาจารย์จำนวนหนึ่งเมื่อเห็นเด็กมีปัญหาในด้านโลกทัศน์
ชีวทัศน์ แทนที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล กลับฉวยโอกาสเอาประโยชน์เข้าหาตนละทิ้งการสอน
หันไปแสวงหาทรัพย์สินเพิ่มเติมในทางอื่น หรือไม่ก็ขายปริญญาให้กับเยาวชนผู้ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ดัดแปลงมหาวิทยาลัยให้เป็นสถานที่ประกอบการค้าชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายอย่าได้แปลกใจเลยว่า
ทำไมบ้านเมืองของเราจึงไม่ค่อยมีความสามารถในการผลิตทรัพย์สินทางปัญญา
และที่สำคัญที่สุด ท่านอย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมมหาวิทยาลัยจึงเงียบกริบกับสถานการณ์ปัจจุบัน |
......ถ้าเราเห็นพิษภัยของเศรษฐกิจฟองสบู่
ก็ต้องมองให้เห็นพิษภัยของการศึกษาแบบฟองสบู่ด้วย ถึงที่สุดแล้วทั้งสองอย่างนี้ล้วนทำให้ผู้คนที่ควรจะมีพลังสร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติกลายเป็นพวกต่ำตื้นและฉาบฉวยกับชีวิต |
......ถ้าเราจะเห็นพิษภัยของเศรษฐกิจแบบฟองสบู่
ก็ต้องมองให้เห็นพิษภัยของการศึกษาแบบฟองสบู่ด้วย ถึงที่สุดแล้วทั้งสองสิ่งนี้ล้วนทำให้ผู้คนที่ควรจะมีพลังสร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติกลายเป็นพวกต่ำตื้นและฉาบฉวยกับชีวิต |
......พี่น้องทั้งหลาย
มิตรสหายทั้งหลาย |
......ผมต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน
กล่าวถึงสภาพต่างๆในบ้านเมืองของเราในมิติที่ติดลบหรือค่อนข้างมืดมน แต่อันที่จริงผมไม่เคยรู้สึกสิ้นหวัง
และยิ่งไม่ปรารถนาให้ท่านทั้งหลายสิ้นหวัง เพียงแต่ว่าเราต้องเปิดความจริงที่เป็นอยู่ออกมาดูให้ถึงราก
และยอมรับว่าบ้านเมืองของเรามีปัญหา อีกทั้งเป็นปัญหาที่หนักหน่วงยิ่ง
|
......ความใฝ่ฝันเดิมที่ผมชวนท่านทั้งหลายมาทบทวน
แท้จริงแล้วย่อมสามารถย่อไว้ในประโยคเดียวกันคือ เราต้องการชีวิตที่ดีกว่า
แต่ว่าชีวิตที่ดีกว่าย่อมแยกไม่ออกจากสังคมที่ดีขึ้น และสังคมจะดีขึ้นได้
ก็ต้องอาศัยการลงเรี่ยวลงแรงของผู้คนที่ประกอบขึ้นเป็นสังคมนั้นๆ |
......ในวันนี้มันอาจเป็นไปได้ยากที่เราจะอาศัยพลังของชนชั้นกลางที่เคยมีคุณูปการอันใหญ่หลวงในการต่อสู้
14 ตุลาคม แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่เราจะบ่นกันไปเพียงวันๆ หรือฝันลมๆแล้งๆในขณะที่การดำรงอยู่ของพวกเราเหมือนนั่งงอมืองอเท้าไปเรื่อยๆ
หรือที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การดำรงอยู่ที่ขัดแย้งกับความฝันของตนเอง |
.....26 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า
ถ้าประชาชนไม่เอาธุระกับเรื่องส่วนรวมและมัวแต่ฝากความฝันไว้แต่กับผู้อื่นที่ใฝ่อำนาจ
ประชาธิปไตยก็เป็นได้แค่โครงสร้างอำนาจชนิดหนึ่งซึ่งข่มเหงคนได้ไม่แพ้โครงสร้างอำนาจชนิดอื่น |
......จริงอยู่ ทุกวันนี้เรามีเสรีภาพทางการเมืองมากกว่าสมัยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ
เราสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ สามารถรวมตัวกันได้โดยไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกใครจับตัวไปขังหรือฆ่าเหมือนในอดีต
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็เปิดทางไว้ให้ประชาชนแสดงบทบาทอยู่หลายทาง |
......แต่ก็อีกนั่นแหละ
ถ้าเช่นนั้นแล้วเรามีเหตุผลอันใดเล่าที่จะไม่เข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมบ้านเมือง
เรามีอะไรที่จะต้องหวั่นเกรงอีก มีอะไรที่ทำให้เรานั่งเงียบงันและยอมจำนนตกเป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยปัจจัยและอิทธิพลต่างๆ
ทั้งที่เราไม่พอใจและไม่เห็นด้วย |
......ผมอยากให้ทุกท่านกลับไปถามตัวเองในวันนี้
และพรุ่งนี้ช่วยถามคนอื่นต่อไป |