ภาระ

 
เศษอิฐและดินลูกรัง ดีดกระเด็นออกจากล้อไม้
ยามเมื่อเกวียนชรานั้นแล่นผ่าน
ราวกับว่ามันกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง
หรรษาต้อนรับการกลับมาเยือน ของชายเกี่ยวหญ้าสองคนนั่น
เกสรชมพู่ร่วงหล่นอยู่โคนต้น ปูเป็นพื้นราบเรี่ยผิวดินดูงดงาม
รอรับคาราวานชีวิต วันใหม่ และฤดูกาลใหม่
มรสุมลูกแล้วลูกเล่า ผ่านไป ผ่านไป
ร้อน ฝน และหนาว
ชายเกี่ยวหญ้า เกวียนชรา และม้าแก่
ยังคง ผ่านมา ผ่านมา
ผ่านมาเก็บเกี่ยวผลผลิตแห่งธรรมชาติ
ผ่านมาโอบรับเรื่องราวอันเจ็บปวดแห่งชีวิต
ผ่านมาแบกรับหน้าที่แห่งวัยวันอันผ่านโพ้น
มิใช่มาเพื่อแผ่นดินเกิด
แต่มาเพื่อทิ้งถิ่นแผ่นดินทุกข์
มิใช่มาเพื่อประเทศชาติ
แต่มาเพื่อลืมเลือนเรื่องราวโหดร้ายของประเทศชาติ
ถ้าเคียวคมที่เขากระชับแน่นนั้นมีอานุภาพ
ถ้าเขาขอพรจากพระเจ้าได้เหมือนที่พวกเจ้านายขอได้แล้วละก้อ
เขาคงขอเก็บเกี่ยวความเลวทรามจากระบบชนชั้นวรรณะในสังคมของเขา
ไปทิ้งเกษียรสมุทร เพื่อถวายแก่พระเจ้าผู้ประทมสินธุ์นิรันดร
พวกเขาคือคนเกี่ยวหญ้า
ผู้ไม่เคยประกาศอุดมการณ์ เจตนารมณ์ หรือนโยบาย
แห่งการงานอันเหน็ดเหนื่อย ปวดร้าว ยากลำบาก
และเสี่ยงภัยนี้ แต่ประการใด
เพื่อแผ่นดินที่เขาย่างเหยียบและซุกหัวนอนอยู่หรือ
เขาตอบไม่ได้หรอก เพราะพวกเขาไม่มีเครื่องแบบ
เหรียญตรา และสายสะพาย
เพื่อชีวิตที่ดีกว่ากระนั้นหรือ
ใครใครก็หวังเช่นนั้น
แต่สำหรับพวกเขา
เป็นเพียงมนุษย์ผู้มีชีวิตเพื่อปากท้อง
เพื่อตัวตนจักได้ไม่เป็นภาระถ่วงความเจริญรุดหน้าของสังคม
เพื่อทะยานตัวเองให้หลุดพ้นจาก ภาวะการถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
ข่มเหง รังแก และบีบรัดจากโซ่ตรวนของ
ระบบวรรณะในแผ่นดินนักปราชญ์
และเพื่อไม่ต้องขอความเมตตาจากใครในแผ่นดินที่พวกเขาย่างเหยียบอยู่นี้
ชีวิตของพวกเขามิได้มีความหมายกว้างขวางราวแผ่นฟ้า
แต่ความทุกข์ยากก็ปราศนาการจากพวกเขา
การดำเนินชีวิตของพวกเขา จึงเป็นการดำเนินชีวิต
บนวิถีแห่งคุณธรรมอันพระเจ้ามิได้ประกาศ
และพวกเขานี่แหละคือ ผู้ดำเนินชีวิตเพื่อส่วนรวมโดยแท้
ดอกหญ้า สีฟ้า สดใส
กวัดแกว่ง เหนือพื้นน้ำ
ม้าแก่สีขาวตกกระ และเล็มต้นหญ้า พักผ่อนเอาแรง
สายลมหนาวโชยพัดมาแต่แดนไกล
ใช่.. ชีวิตก็มาแต่แดนไกลด้วย
มาเพื่อแบกรับภาระของส่วนรวม
ไม่เรียกร้อง แต่ก็ไม่ยอมศิโรราบกับความเลวทราม
ไม่ต่อสู้ แต่ก็ใช่สยบต่ออบาย
นี่คือความหมายของชีวิตโดยแท้
คนเกี่ยวหญ้า
ธรรมชาติเลือกสรรพวกเขา
จากสังคมที่ปฏิเสธ