เมื่อแม่ต่อสู้

โฮ ถี่บี๋ เขียน

......"เมื่อข้าศึกมาถึงบ้าน, แม้ผู้หญิงก็ต้องต่อสู้" คำกล่าวนี้ถูกต้องนักฟังดูก็ง่ายๆ แต่เมื่อมาคิดถึงความหมายของมันสิ, ยากนักที่จะนำออกปฏิบัติให้ปรากฏเป็นจริงได้
......ดิฉันยังจำได้ดีราวกับว่าเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ฉะนั้น...วันคืนแห่งเดือนพฤศจิกายน ปี 1945 เมื่อกองทหารฝรั่งเศสมาที่หมู่บ้านของดิฉัน, ด้วยการสนับสนุนของกองกำลังทหารอังกฤษและกูรข่า, พวกข้าศึกได้กระจายกำลังออกจากไซ่ง่อนไปยังจังหวัดยาดิ้ญ แล้วเข้ายึดชุมทางเล็กๆ ที่หอกโมนใกล้หมู่บ้านเตินเหียบ, ที่ดิฉันอาศัยอยู่, ในตอนนั้นดิฉันมีหน้าที่รับผิดชอบหญิงและเด็กสาวจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่ลำเลียงให้แก่หน่วยบริหารและกองทัพของเรา ส่วนมากในพวกเราล้วนได้เคยเห็นการสู้รบเป็นครั้งแรกกันทั้งนั้น....
......ที่หลบภัยของเราไม่มีอะไรมากไปกว่าต้นมะม่วงสักต้นหนึ่ง. เรารู้สึกเสมือนหนึ่งว่าบ้าน, ต้นไม้, ทุกสิ่งทุกอย่างจะถล่มทลายลงรอบตัวเรา. มองข้ามรั้วไม้ไผ่ของหมู่บ้านออกไป, เราเห็นพวกข้าศึกกำลังบุกคืบหน้าเข้ามา, ตาของเรามองจ้องดูพวกมันเขม็ง, ใบหน้าของมันช่างถมึงทึงโหดเหี้ยมอะไรเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร เราก็พยายามข่มความหวาดกลัว ลัดเลาะเสาะทางไปจนถึงบ้านคนฆ่าสัตว์เพื่อรับเนื้อสัตว์ แล้วก็จากไป พวกเราเป็นเพียงแม่ค้าขายเนื้อเล็กๆ ธรรมดาๆ และก็ไม่มีใครใส่ใจกับเราแต่อย่างใด เนื่องด้วยเป็นครั้งแรกที่พวกมันเข้ามาตระเวนในหมู่บ้านนี้, พวกข้าศึกจึงเพียงแต่โผล่หน้าเข้ามาดู แล้วก็ถอยผลุบหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อขามา
......หลังจากเหตุการณ์นี้ พวกเราก็ออกเสาะหาคณะกรรมการประชาชนประจำตำบลและหน่วยงานอื่นๆ เราเที่ยวค้นหาทั้งระดับสูงและต่ำ แต่ก็ไม่พบ ดิฉันคิดในใจว่า พวกข้าศึกเข้ายึดเมืองไว้แล้ว พวกเราต้องถอยออกสู่ชานเมืองกันชั่วคราว แต่ที่แน่นอนอยู่สิ่งหนึ่งก็คือ เราจะดำเนินปฏิบัติการของเราต่อไป ปัญหาที่จะต้องแก้ให้ตกก็คือ ทำอย่างไรเราจึงจะให้หน่วยลำเลียงของเราเคลื่อนที่ได้ทันท่วงที่กับที่จะต้องติดตามหน่วยงานต่างๆ ไปตามที่หน่วยเหล่านั้นโยกย้าย ปัญหานี้สำหรับดิฉันแล้วหนักมากจริงๆ ผิดกับหญิงอื่นๆ ที่ยังไม่มีครอบครัว ดิฉันมีลูกทิ้งอยู่ที่บ้านสองคน พ่อของเด็กก็ออกจากบ้านไปนานแล้ว ตั้งแต่คนโตอายุได้สิบขวบและคนเล็กยังเป็นทารกแบเบาะ ดิฉันจะทำอย่างไรดีหนอ ตรองเท่าไรก็ไม่ตก หญิงคนอื่นๆ เสนอให้ดิฉันหอบหิ้วลูกไปด้วย เขารับจะช่วยดิฉันจนให้มีเวลาพอเลี้ยงดูลูกได้ ข้อเสนอนี้ทำให้ดิฉันดีใจมาก ดิฉันมองไม่เห็นทางอื่นอีกแล้ว ที่จะบำเพ็ญทั้งหน้าที่รักชาติของดิฉันกับหน้าที่ครอบครัวให้ได้ทั้งสองอย่างในขณะเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นลูกคนหัวปีก็พอช่วยดูน้องได้บ้าง ตั้งแต่แกอายุได้ห้าขวบก็เคยถูกดิฉันใช้ให้อุ้มน้องชายกะเตงไปทั่วหมู่บ้าน เพื่อให้พ่อแม่ได้มีเวลาทำมาหากิน แกเคยชินกับความยากจนและความลำบากมาพอแรงแล้ว
......ค่ำวันหนึ่ง ตอนพลบ ดิฉันออกจากบ้านพร้อมด้วยเพื่อนหญิงด้วยกันอีกห้าคน หาบอาหารไปเต็มหาบ ลูกคนน้อยอุ้มอยู่ในวงแขน คนโตเดินตามต้อยไปข้างหลัง ดิฉันรู้สึกเหมือนมีมือมาบีบขยี้หัวใจ เมื่อมองดูหลังคาแฝกของกระท่อมของดิฉัน บ้านสุดแสนรักที่สามีและดิฉันช่วยกันสร้างขึ้นอย่างแสนยาก เราเดินเรียงหนึ่งกันไปในความมืดของยามค่ำคืน บางครั้งก็เดินเลียบรั้วไม้ไผ่ บางครั้งก็เลาะเลียบไปตามลำน้ำ ภายใต้แสงสลัวเลือนรางของดวงดาว รอยตีนตะขาบที่รถเกาะทิ้งฝากไว้กับพื้นถนนและทุ่งนามองเห็นได้อย่างชัดเจน ดิฉันไม่ลำบากเลย ใจของดิฉันเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขเมื่อมาคิดว่า นับแต่นี้ไปดิฉันได้ออกไปต่อสู้เพื่อปิตุภูมิของดิฉันแล้ว
......หลังจากเดินทางหาบสัมภาระหนักอึ้งมาได้ครึ่งคืน ในที่สุดเราก็มาถึงคณะกรรมการตำบล เหนื่อยก็แสนเหนื่อย หิวก็แสนหิว พอล้มตัวลงนอน ก็หลับสนิท ในยามหลับ ดิฉันฝันดีมากมายหลายเรื่อง ดิฉันเห็นตัวเองกำลังต่อสู้อย่างอิสระอยู่ในความฝันเคียงข้างทหารในกองทัพ ดิฉันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แต่เช้าวันรุ่งขึ้น พอตื่นลืมตาขึ้นเท่านั้น ข่าวที่ทำเอาดิฉันงงงันไปหมดก็มาถึง ว่าคณะกรรมการปฏิเสธไม่ยอมให้เราทิ้งบ้าน และไม่ยอมมอบหมายงานให้แก่เรา คณะกรรมการคาดการณ์ว่า การตีโต้ของข้าศึกหนักหน่วงมาก ปฏิบัติการขั้นต่อๆ ไปยิ่งจะมีความยากลำบากมากขึ้นทุกขณะ ส่วนพวกเรานั้น ความอ่อนแอทางร่างกายเป็นอันไม่ต้องพูดถึง เรายังต้องเลี้ยงลูก แล้วเราจะติดสอยห้อยตามหน่วยจัดตั้งไปได้อย่างไร ข่าวนี้เหมือนไม้ค้อนที่ฟาดโครมลงมา ดิฉันฟังอย่างเงียบงัน พูดอะไรไม่ออกสักเพียงคำเดียว ยัญ ประธานคณะกรรมการให้เงินเราจำนวนหนึ่ง และพยายามปลอบโยนเรา "กลับบ้านไปชั่วคราวก่อนจะได้เลี้ยงลูก รักษาความเชื่อมั่นของคุณและของประชาชนไว้ให้มั่นคง สนับสนุนสงครามต่อต้านตามกำลังของคุณ ภารกิจนี้หนักมากในปัจจุบัน" พวกเราไม่รู้จะตอบอย่างไร หันหน้าเข้าหากันกระซิบกันแผ่วๆ ไปมา "เขาต้องการยกเลิกงานของเรา เรื่องมันก็เท่านั้นเอง เขาตัดสินใจแล้วที่จะไม่ใช้เรา เขาไม่ต้องการเราอีกแล้วละ" พวกเราหาได้เข้าใจเหตุผลของเขาไม่ แต่เมื่อเห็นว่าเราไม่สามารถทำให้มติของคณะกรรมการสั่นคลอนได้ ก็ต้องพากันกลับบ้านด้วยน้ำตานองหน้า
......ดิฉันจะไม่มีวันลืมบ่ายวันนั้นเลย อากาศร้อนระอุ แต่หัวใจของเราร้อนและหนักอึ้งสักสิบเท่าของท้องฟ้าที่ว่าหนัก เบื้องบนของเรา ฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน สายฟ้าแลบแปลบปลาบข้ามขอบฟ้าไปมา ฟ้าร้องครืนสนั่นแล้วฝนก็เทลงมา ดิฉันกระชับกอดลูกน้อยไว้แน่น พยายามป้องกันฝนให้ลูกด้วยผ้าพันคอ ทั้งแสนเหนื่อยล้า สมองก็ว่างโหวง ถึงสะพานข้าม มั่นลื่นและไปด้วยโคลน ดิฉันต้องเกาะเถาวัลย์ที่ขึงเป็นราวสะพานแน่น ขาทั้งสองมันช่างอ่อนเปลี้ยเสียจนดิฉันหวั่นๆ ว่าจะตกลงไปในแม่น้ำทั้งแม่ทั้งลูก เพื่อนหญิงรับเอาลูกน้อยไปจากอ้อมกอดของดิฉัน เราข้ามสะพาน พิงกันและกันอย่างมั่นคง การเดินทางไปและกลับจากคณะกรรมการ พร้อมด้วยอุ้มลูกน้อยแนบอกครั้งนี้ ดิฉันจะไม่มีวันลืมได้เลย
......คืนวันรุ่งขึ้น ดิฉันนอนที่บ้านชาวนา ทั้งๆ ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างที่สุด แต่หลับตาไม่ลง เอนตัวลงนอนก็เพียงเพื่อจะลุกขึ้นนั่งอีกในครึ่งนาทีต่อมาเท่านั้น คืนนั้นทั้งคืนดิฉันจำไม่ได้ว่าคิดถึงชีวิตของตนเองสักกี่ครั้งกี่หน ตลอดทั้งปี เดือนแล้วก็เดือนเล่า ดิฉันทำงานด้วยไม้คานบนบ่า ความทุกข์รันทดนั้น ที่ผ่านไปเรื่องหนึ่ง ก็เพื่อที่จะนำไปสู่เรื่องอื่นต่อไปเท่านั้น เมื่อยังอยู่ร่วมกับสามี ดิฉันพยายามอย่างสุดความสามารถ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูลูก เราไม่เคยได้พักผ่อนกันเลยแม้สักนาทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยงหาได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
......ดิฉันลุกขึ้น อุ้มลูกน้อยขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ทนแทบไม่ได้ที่จะต้องมองดูร่างที่ทั้งซีดและทั้งผอมของลูกสุดที่รัก หันมามองดูลูกคนโตที่นอนขดตัวงออยู่เคียงข้าง โธ่เอ๋ย นับซี่โครงได้ทีเดียว ผิวหนังตรงสะโพกของแกด้านเพราะกะเตงน้อง ดิฉันหักห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ อา...นี่แหละหนอ ชีวิตของคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำภายใต้ระบบเก่า ทั้งหิวโหยทั้งยากจน ทั้งไม่รู้หนังสือ เช่นนี้แหละชีวิตของดิฉัน ไม่ไหว ดิฉันทนมันอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ พรรคได้สอนดิฉันว่ากรรมกรต้องลุกขึ้นปลดแอกตนเอง การปลดแอกมิได้เลือกแบ่งว่าหญิงหรือชาย ก็ในขณะนี้ ศัตรูกำลังบุกรุกทำลายประเทศของดิฉัน แล้วหน้าที่อย่างเดียวของดิฉันก็คือ คอยแต่เลี้ยงลูกเท่านั้นแหละหรือ ดิฉันจะทนนั่งจับเจ่าอยู่ตรงมุมห้องคอยดูแลครอบครัว แล้วก็รอคอยผลการต่อสู้ของคนอื่นได้อย่างไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครมาหวดเควี้ยวลงบนหัวใจ และมีอำนายอะไรสักอย่างที่สุดแสนจะทนทานได้คอยทิ่มแทงกระตุ้นดิฉันอยู่
......"ไม่ได้ ดิฉันต้องทิ้งลูกไปชั่วคราว ไปทำงานร่วมกับสหาย" ดิฉันตัดสินใจ ค่อยๆ ประจงวางลูกน้อยลงบนเตียง แต่พอมองเห็นพ่อหนูน้อยนอนอย่างน่ารัก แก้มอิ่มเพราะหลับสนิท ริมฝีปากเผยอและไหวขมุบขมิขน้อยๆ คล้ายกับกำลังดูดนม อารมณ์รู้สึกของดิฉันก็ประดังคั่งกันขึ้นมา ฝืนใจห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ ดิฉันอุ้มลูกน้อยกลับขึ้นมาอีกอย่างไม่รู้สึกตัว กระชับลูกเข้าแนบกับอกแล้วก็กระซิบบอกลูกว่า "ลูกแม่ หนูต้องอยู่ห่างจากแม่ชั่วคราวก่อนนะลูกนะ เจ้ายา พี่ของหนูเขาจะคอยเลี้ยงหนู หนูจะต้องหิวนมแม่ แม่ก็จะแทบขาดใจที่มาให้นมลูกไม่ได้ แต่หนูต้องเข้าใจความปวดร้าวของแม่นะ ลูกน้อยเอ๋ย แม่จากไปเพื่อช่วงชิงเอาความสุขมาให้ลูก ความสุขที่ถาวรของลูก อย่าโกรธแม่นะลูกนะ...สงสารแม่เถอะ ลูกรัก" แล้วดิฉันก็สะอื้น น้ำตาร่วงเผาะผล็อยลงหน้าลูก แกตื่นขึ้น ร้องไห้จ้า ดิฉันสั่นไปหมดทั้งตัว ให้นมลูกแล้วสงบนิ่ง นอนขดอยู่ในความมืด พยายามหักห้ามความปวดร้าวและความเศร้าโศกจนกระทั่งรุ่งสว่าง
......พอรุ่งแจ้ง ดิฉันก็อภิปรายเรื่องนี้กับเพื่อนหญิงคนอื่นๆ ดิฉันเสนอว่า ขอให้เขารอให้ดิฉันพาลูกไปฝากน้องสะใภ้ก่อน หลังจากนั้นดิฉันจะกลับมา และเริ่มงานของเรา แรกที่สุดเราต้องหาทางติดต่อกับหมู่บ้านที่อยู่ข้างเคียง แล้วก็ค่อยๆ ติดต่อกับกองทับ ขอเข้าสู่ถั่นแถวเดิมของเราใหม่ทุกคนตกลงและกระตือรือร้นต่อข้อเสนอนี้มาก หญิงสาวคนหนึ่งประกาศว่า "เราเคยทนความทุกข์ยากทุกอย่างมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อย่าเป็นห่วงเรื่องนี้เลย ขอให้จัดแจงปัญหาส่วนตัวของพี่ให้เรียบร้อยเถอะ พวกเราจะตามพี่ไปจนถึงที่สุด" ดิฉันปลื้มใจเป็นที่สุดที่เห็นสหายทุกคนเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ยังมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้ดิฉันเป็นกังวล ทำอย่างไรจึงจะโอ้โลมให้ลูกชายคนโตดูแลเลี้ยงน้องแทนแม่ได้ ตอนเดินทางกลับดิฉันมองดูลูกทั้งสอง ทั้งรัก ทั้งสงสาร และทั้งห่วง ลูกคนโตเพิ่งอายุได้สิบขวบ แล้วดิฉันกำลังจะมอบภาระที่แสนยากลำบากให้แก่แก ดิฉันลังเลใจที่จะบอกแก คล้ายกับว่าแกจะเดาออกว่าจะมีข่าวร้าย แกเดินห่างออกไปคนเดียวอย่างเงียบกริบ เรามาถึงต้นนุ่นใกล้บ้าน ดิฉันแทบไม่มีเสียงบอกให้ลูกหยุดนั่งพัก
......"ยา ลูกแม่ ชีวิตของเราไม่มีความสุขอย่างที่สุด แม่มีความหวังอยู่อย่างหนึ่ง คือจะทำให้ลูกเป็นสุข ให้หนูโตขึ้นได้มีความสุขสบาย แต่การทำอย่างนี้ แม่จะต้องเข้าร่วมสงครามต่อต้านฝรั่งเศส หนูต้องอยู่บ้านกับน้าเขา และคอยเลี้ยงน้องแทนแม่"
......พอได้ยินเช่นนี้ ลูกชายคนโตของดิฉันก็เข้าคว้ามือดิฉันไว้แล้วร้องไห้
......"แต่แม่จะหนีหนูไปนานมั้ยล่ะ แม่ แม่จะไปไหน หนูได้ยินว่าเขาไม่ยอมให้แม่ไปไม่ใช่เหรอ"
......ดิฉันกลืนน้ำตา พยายามสะกดกลั้นความโศกเศร้าอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกฟังแล้วปลอบโยน
......"แม่ของหนูต้องไปเพราะมีงานต้องทำ หนูต้องอยู่บ้าน หนูต้องต้มข้าวต้มให้น้องทุกวันนะ แล้วพาน้องไปหาน้า บั่ยฮวา เขาจะได้ให้นมน้องกิน แม่จะกลับมาดูหนูนานๆ หน ถ้าหนูรักแม่ หนูจะต้องทำอย่างที่แม่บอกให้ดี แม่จะได้ไม่เป็นห่วง"
......เพื่อปลอบโยนแกอีกเล็กน้อย ดิฉันจึงพูดถึงการที่จะได้พบกันในวันข้างหน้า ก็พอดีลูกคนเล็กตื่นขึ้น พี่ชายอ้าแขนออกโอ๋น้อง และพยายามล้อน้องให้หัวเราะ "มา มาหาพี่ม้ะ ต่อไปนี้เราต้องอยู่กันสองคนแล้วละ เราต้องหิวกันทั้งสองคนแล้ว"
......คำของลูกเสียดแทงดิฉันเป็นที่สุด ดิฉันไม่กล้าพูดกับลูกอีก เอามือรุนหลังลูกคนโตให้ออกเดิน เรามาถึงบ้านพลบพอดี ได้จุดที่นอนเฝ้าบ้านเห่าหอนไม่ยอมหยุด ราวกับว่ามันเห็นดิฉันเป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่นายของมัน
......การปรึกษาหารือเรื่องนี้กับครอบครัวน้องชายของดิฉันดูออกจะง่ายกว่าสักหน่อย ทั้งสองสามีภรรยาเป็นสมาชิกขององค์การเยาวชนกู้ชาติเขารู้จักดิฉันดี และเห็นว่าดิฉันตัดสินใจแน่นอนแล้ว จึงไม่พยายามเหนี่ยวรั้งดิฉันไว้ ซ้ำยังตกลงรับเลี้ยงลูกแทนดิฉันด้วย
......คืนต่อมา ดิฉันลอบออกจากบ้านไปอย่างลับๆ หลังจากลูกๆ หลับแล้วความรู้สึกเหมือนกับถูกแทงที่หัวใจ เป็นครั้งแรกที่ดิฉันต้องทิ้งลูกไว้เป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อเอนตัวลงนอน ดิฉันอดที่จะคิดถึงลูกไม่ได้ ความคิดล่องลอยวนเวียนอยู่แต่กับลูก หัวใจร้าวระบมไปหมด เต้านมที่บวมเป่งเพราะนมคัดนั้นปวดจนแทบจะทนไม่ไหว ดิฉันนอนไม่หลับ แต่อย่างไรก็ตาม หัวใจของดิฉันก็ยังรู้สึกเบาขึ้น เพราะได้ผ่านการตัดสินใจที่ยากเย็นที่สุดไปแล้ว
......ดิฉันกับเพื่อนหญิงเริ่มติดต่อกับหมู่บ้านข้างเคียงต่างๆ กระชับแน่นขึ้นขณะเดียวกันก็ทำการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อยังชีพ เราออมเงินไว้บ้างเล็กน้อยด้วยสำหรับจัดซื้อเสบียงให้กองทหารของเราในภายหลัง สองวันเต็มที่ดิฉันต้องตระเวนไปที่โน่นที่นี่ ทั้งเป็นไข้ ทั้งนมก็คัดจนบวมปวด ยิ่งตระเวนไปนมก็ยิ่งทวีความปวดมากขึ้น แต่พอเดินข้ามทางหลวงสายที่ 15 เพื่อไปยังเตินมิ ดิฉันก็โชคดีได้พบกับสมาขิกบางคนในคณะกรรมการทหารของเรา ดิฉันลิงโลดใจราวกับได้มาพบขุมทรัพย์มหาสมบัติ หลังจากนิ่งฟังดิฉันแล้ว เขาก็เห็นด้วยกับความคิดของดิฉัน และมอบหมายให้ดิฉันรวบรวมหญิงอื่นๆ แล้วนำไปพบคณะกรรมการ
......เย็นวันนั้น พอบอกข่าวดีนี้แกเพื่อนหญิงในกลุ่มแล้ว ดิฉันก็กะโครงการกลับไปเยี่ยมลูกก่อนจะจากไปไกล ที่บ้าน ทั้งสองนอนหลับอยู่บนเปลญวน คนหนึ่งหัวตะแคงไปทางซ้าย อีกคนหนึ่งตะแคงไปทางขวา ยุงตอมเต็มทั้งคุ่ ดิฉันจุดไฟขึ้นเห็นหน้าลูกเหนื่อยอ่อน แก้มยังมีคราบน้ำตาเปียกอยู่ น้องสะใภ้ของดิฉันลุกขึ้น และบอกดิฉันว่า "พอพี่ไปแล้ว แกก็ตื่น พอไม่เห็นพี่อยู่เท่านั้นละ ร้องไห้เสียเป็นวรรคเป็นเวร ลงท้ายก็หันหน้ามาเล่นด้วยกัน แต่พ่อคนเล็กร้องหาแม่บ่อย ร้องเสียจนพี่ชายก็ปลอบไม่หยุด เลยร้องไปด้วยกันทั้งคู่" เธอยังกล่าวต่อไปอีกว่า "พอลูกคนเล็กหิว น้าบั่ยฮวาก็ให้นมของแก ทีแรกแกไม่ยอมกิน ต่อมาก็ยอมดูดสักประเดี๋ยว แล้วก็ละ แล้วก็เลยสะอึกสะอื้นอีก น่าสงสารจังเลยพี่ ผลที่สุดฉันเลยให้เอาน้ำตาลกับข้าวบดให้กินถึงได้หยุดร้องไห้"
......คำที่เธอเล่าทุกคำเหมือนจะฉีกหัวใจดิฉันออกเป็นชิ้นเป็นริ้ว แต่ดิฉันควบคุมจิตใจได้สำเร็จ โดยหวนไปคิดถึงโอกาสที่ดิฉันรอคอยมานาน ดิฉันได้รับมอบหมายงานแล้ว เพื่อนหญิงคนอื่นๆ ก็ไว้วางใจในตัวดิฉัน ถ้าหากดิฉันยอมพ่ายแพ้แก่ความสงสาร ดิฉันก็จะต้องสูญเสียโอกาสที่จะรับใช้นี้ "เอาละ" ดิฉันตอบ "พี่ขอพึ่งให้เธอช่วยพี่ไปก่อนในตอนแรก ต่อไปเด็กมันก็จะค่อยๆ เคยชินไปเอง" แล้วดิฉันก็รีบจากไป ไม่กล้าหันกลับมามองดูลูกอีกเลยแม้แต่แวบเดียว พอออกมาถึงทุ่งนา ดิฉันก็สะอื้นไห้อย่างขมขื่น และก็สะอื้นอยู่อย่างนั้น ทั้งสะอื้นทั้งวิ่งจนกระทั่งไปถึงที่นัดพบ
......นับแต่นั้นเป็นต้นมา ดิฉันทุ่มตัวให้แก่งาน ดิฉันแบ่งภารกิจออกในระหว่างพวกเรา ซื้อกล้วย, ชา , น้ำตาล และเนื้อหมูไปขายที่ตลาดเพื่อหาเงินไปด้วย และขณะเดียวกันก็สืบข่าวศัตรูไปด้วย
......เพราะวุ่นอยู่กับงาน ดิฉันแทบจะลืมความเจ็บปวดที่เต้านม ความคิดถึงลูกไม่ครอบงำดิฉันต่อไปอีกแล้ว วันของดิฉันแต่ละวันเต็มไปด้วยความหมาย แต่มีความเจ็บปวดอย่างอื่นเข้ามาทรมานดิฉันแทนที่ ในเขตยึดครองของข้าศึก ดิฉันได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าเต็มไปด้วยการข่มขู่ขูดรีด และการทำลายล้างผลาญทุกชนิดที่พวกศัตรูกระทำ พวกมันแสดงท่าทางหยิ่งยโสต่อทุกๆ คน มันทั้งปล้นทั้งข่มขืนชำเรา ประชาชนพากันจงเกลียดจงชังและมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรอคอยวันที่กองทัพของเราจะมาถึง พ่อเฒ่าคนหนึ่งพูดกับดิฉันว่า "ขอให้เราทำงานเพื่อเอกราชและเพื่อรัฐบาลของเรากันเถิด ต่อให้มันเผาบ้านเราเสียทั้งหมด เราก็ยังมีความสุข ไม่เป็นไร รัฐบาลนี้เพื่อประชาชน เหมือนพ่อเพื่อลูก ความหวังอย่างเดียวของแกก็มีเพียงขอให้ได้มีชีวิตยืนยาวไปถึงวันที่ทหารของเราามากวาดล้างมัน เท่านั้นตาก็จะพอใจแล้ว" ดิฉันเป็นสุขใจที่ได้รู้ว่านี้เป็นความรู้สึกของประชาชน ดิฉันเป็นหญิงของประชาชน ดิฉันบอกตัวเองอย่างนี้และดิฉันมีภารกิจที่จะต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส ดิฉันจะหาระเบิดมือได้ที่ไหนหนอ จะได้โจมตีมันบ้าง ดิฉันเที่ยวถามทุกคนที่คิดว่าคงจะได้เก็บซ่อนระเบิดมือไว้จากพวกญี่ปุ่น ที่สุดก็รวบรวมมาได้หกลูก สี่ลูกมีสลักนิรภัยอีกสองลูกมีชนวน ขณะเดียวกันนั้นดิฉันก็แบ่งงานพิเศษนี้แก่เพื่อนในกล่ม ให้ปะปนไปกับประชาชน พูดคุยกับพวกเขาและจัดตั้งการต่อต้านสนับสนุนคณะกรรมการขึ้น เราลงมติกันว่าจะโจมตีด้วยระเบิดมือ เมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อเราลำเลียงให้หน่วย กั้ยสวาย พวกทหารเคยสอนให้เราใช้ระเบิดมือที่มีสลักนิรภัย แต่ชนิดใช้สายชนวนนี้สิเรายังไม่รู้จักวิธีใช้ หลังจากอภิปรายกันแล้ว เราก็ลงมติที่จะวางระเบิดมือแบบสายชนวนสองลูกในกลางตลาดเพื่อเขย่าขวัญศัตรู และฟื้นคืนความกล้าหาญของประชาชน
......ส่วนระเบิดมือชนิดที่มีสลักนิรภัยอีกสี่ลูกนั้น ลูกหนึ่งขว้างที่แผงลอยในตลาดปลา อันเป็นที่ตั้งราวปืน อีกสองลูกขว้างตรงทางข้ามที่วัดอง และในโรงงานที่พวกศัตรูตั้งกองบัญชาการอยู่ ลูกสุดท้ายขว้างที่สะพานกว่าง, ฐานที่ตั้งปืนใหญ่ของข้าศึก ดิฉันจะไม่ลืมตอนที่พวกเราออกโจมตีเป็นครั้งแรกเลย หัวใจของเราทั้งตื่นเต้นกังวลและทั้งดีใจระคนกันไปหมด เราแทบจะหยุดหายใจทีเดียว แต่ก็กระหยิ่ม ร้อนรนและตื่นเต้น ภาพของหญิงเหล่านี้ ตัดสิ้นใจขว้างระเบิดมือ ถ้าใครจำลองไว้ ภาพนั้นแหละจะสะท้อนภาวะของพวกเราในการโจมตีแบบจรยุทธ์ครั้งแรกได้อย่างตรงตามความจริงที่สุด เราโจมตีศัตรูโดยปราศจากความเจนจัด แต่เราก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และกระตือรือร้น หญิงสองคนจะต้องวางระเบิดชนวนที่ในกลางตลาด เธอห่อระเบิด้วยใบตองแห้ง ใส่ลงไว้ในหม้อสองใบและเอาข้าวสารทับเพื่อพราง เมื่อเลือกได้ที่เหมาะ ก็จุดสายชนวนแล้วหนีจากไป แต่ทั้งสองรอคอยอยู่โดยผิดหวัง ระเบิดมือไม่ระเบิด เธอกลัวที่จะต้องรอจนเลยเวลา แต่ก็พยายามข่มความกลัว ทันทีนั้นก็ได้ยินระเบิดมือลูกอื่นๆ ระเบิดก้อง และเห็นประชาชนวิ่งแตกตื่นอลหม่าน ทั้งสองหยิบหม้อกลับด้วยความหมดหวัง ทั้งฉุนทั้งโกรธเกรี้ยว เธอคิดแต่เพียงจะทิ้งระเบิดมือทั้งสองนี้เสียเท่านั้นในตอนแรก แต่เมื่อทบทวนไปมาแล้ว ก็ต้องหันมาลงโทษตัวเองที่ทำให้เสีย และจำต้องหอบมันกลับมาด้วย แต่ถึงกระนั้นการโจมตีครั้งแรกของเราก็มีผลดี ระเบิดมือชนิดมีสลักนิรภัยขว้างพร้อมกันหมดในสถานที่ต่างกันตามที่วางแผนไว้ ทำให้ข้าศึกตายและบาดเจ็บถึงครึ่งของจำนวน และปืนใหญ่กระบอกหนึ่งถูกทำลาย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ปี 1945 และมีผลอย่างคาดไว้ไม่ผิดต่อจิตใจของประชาชน ทุกคนพากันพูดพากันถกถึงเรื่องนี้ และยังป่าวข่าวอีกว่ากองจรยุทธ์ของเราต้องเผชิญกับกองทหารต่างด้าวที่อำมหิต คนหนึ่งว่า "แต่ทหารของพวกเราก็โจมตีทั่วทุกจุดพร้อมกันได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความเจนจัด ก็ยังเอาชนะกองทหารต่างด้าวกองเบ้อเริ่มได้" ความกระตือรือร้นและความเชื่อมั่นของประชาชนได้รับการปลุกปลอบให้ดีขึ้นอย่างมาก ผลของการโจมตีของเราทำให้ประชาชนเป็นจำนวนมากไม่ยอมให้ความร่วมมือกับศัตรู ตลาดก็มีการติดน้อยลง พวกทรยศขายชาติตระหนกตกใจมาก และแสดงบทบาทน้อยลง สำหรับพวกเรานั้น ความปลื้มปีติดของเราเหลือจะพรรณนาได้ ดิฉันปลื้มอกปลื้มใจเสียจนลืมความเศร้าโศกเสียใจของวันคือแรกๆ ที่ต้องพรากมาจากลูก
......หลังจากการโจมตีครั้งนี้แล้ว ในการปฏิบัติภารกิจครั้งหนึ่ง ดิฉันมีโอกาสผ่านไปทางหมู่บ้าน ที่ประตูเข้าหมู่บ้าน ดิฉันมองเห็นยา ลูกชายคนโตนุ่งกางเกงที่เหมือนผ้าขี้ริ้วกำลังกะเตงน้องอยู่ แกตะโกนเสียงหลงเมื่อมองเห็นดิฉัน ยุดชายเสื้อของดิฉันไว้คล้ายกับกลัวว่าดิฉันจะหายตัวไปเสียแกพูดกับน้องว่า "แน่ะ แม่มาแล้ว แม่มาแล้ว ทีนี้ถ้าเอ็งอยากร้องก็ร้องไปให้พอใจเถอะ" ลูกน้อยมองจ้องดิฉันเป๋ง แกจำดิฉันไม่ได้ในทันที ดิฉันทั้งดีใจและทั้งเศร้าใจพร้อมกัน ดีใจที่เห็นว่าลูกเริ่มโตพอที่จะติดตามดิฉันไปได้แล้ว และก็เสียใจที่เมื่อคิดว่าความรักที่แกมีต่อดิฉันลดน้อยลงเสียแล้ว น้องชายบอกดิฉันภายหลังว่า การโจมตีของเรามีผลสะเทือนอย่างใหญ่หลวง แม้ในหมู่บ้านของเรา พวกศัตรูก็ลดความหยิ่งยโสลง ประชาชนสามารถออกทำงานทำการได้โดยไม่ถูก่อกวน เด็กๆ ก็กล้าออกมาวิ่งเล่นตามถนน ดิฉันฟังด้วยความปลาบปลื้มอย่างสุดซึ้ง แนวทางที่ดิฉันเลือกเดิน เป็นแนวทางที่ดีแท้จริง ยิ่งนับวันดิฉันก็ยิ่งตระหนักในข้อนี้ มีเพียงแต่แนวทางเดียวเท่านั้นที่จะเผชิญหน้ากับผู้รุกราน ลุกขึ้นและต่อสู้ เป็นแนวทางเดียวที่จะป้องกันประเทศชาติและพิทักษ์ชีวิตของลูกหลานเรา
......คราวนี้ ดิฉันจากบ้านไปด้วยดวงใจที่สบายและผ่องแผ้วอย่างยิ่ง ดิฉันเกิดความมั่นใจ เมื่อได้เห็นว่าลูกๆ เคยชินกับการพรากจากแม่แล้ ดิฉันรู้สึกยิ่งกว่าครั้งใดหมด ว่าจะต้องก้าวต่อไปในการต่อสู้เพื่อความผาสุกของประชาชน ในการต่อสู้เพื่อประชาชนของเรานั้นเอง ดิฉันก็ได้ต่อสู้เพื่อครอบครัวของดิฉันและลูกของดิฉันด้วย
......(เรื่องนี้เป็นบันทึกจากชีวิตจริงของผู้เข้าร่วมสงครามต่อต้านฝรั่งเศสของประชาชนเวียดนาม ผู้บันทึกเป็นผู้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับงานเขียนมาก่อน ผู้บันทึก โฮ ถี่บี๋ ส่งเรื่องนี้เข้าประกวดในงานประกวดทางวรรณคดีที่กองทัพประชาชนเวียดนามจัดขึ้นโดยให้ชื่อว่า "ความทรงจำที่ประทับใจที่สุดของชีวินในกองทัพของข้าพเจ้า" )
 

แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์