ความคิดเห็นที่ 1 ในตลาดการค้าไวน์นั้น มีหลักฐานบ่งบอกชัดว่า อียิปต์และเกาะครีต มีการติดต่อค้าขายไวน์กันตั้งแต่ 2500 BC จากหลักฐานชิ้นสำคัญที่มีอยู่มากมาย นั่นคือ ไหดินเผาที่ขุดพบขึ้นมาได้ ที่ข้างในมีเศษแห้งเกราะกรังจนนำไปสอบหาได้ นั่นคือ ซากเศษเปลือกองุ่น เมล็ดองุ่น อีกทั้ง..เครื่องบีบองุ่นที่ค้นพบได้ใน Palaikastro ที่สามารถคำนวนหาอายุได้ คือ 1600-1100 BC เท่ากับเป็นยุคของ ไมซีเนียน (Mycenaean) อันเป็นยุคที่ กรีกกำลังรุ่งเรืองไปด้วยอารยธรรม การเมือง และในทุกๆด้าน เพราะการพบเครื่องบีบองุ่นนี่เอง..ทำให้นักวิจัยจึงได้ทราบว่าในเกาะครีตนั้น..ได้มีการปลูกองุ่น ทำไวน์กินกันเอง มาตั้งแต่ในยุคนั้น.. ในศตวรรษแรก หมายถึง 100 AD นั้น..เชื่อกันว่าการปลูกองุ่นของกรีก คือการปลูกแบบแถมไปกับแนวของการปลูกต้นมะกอก ในพื้นที่ใกล้ๆกับเขตที่เจริญแล้วเช่น กรุงเอเธนส์, สปาตาร์, อาร์โกส์ และมักปลูกกันใกล้ๆกับแม่น้ำที่มีทางออกสู่ทะเล เพราะ สะดวกต่อการขนส่งขนย้าย จนต่อมา..การบริโภคไวน์ได้มีดีมานขึ้นสูงตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น..ในศตวรรษที่สาม (ของ AD) การทำไวน์นั้น อาศัยแรงงานทาสเป็นส่วนใหญ่ที่มีทั้งหญิงและชาย มาถึงในระยะนี้..ในการทำไวน์ของกรีกจึงต้องการมือที่เชี่ยวชาญ หรือ เกษตรกรองุ่นชั้นดี ที่มีความชำนาญในการตัดแต่ง ริดองุ่น ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้มีอยู่จริงๆ ที่รับจ๊อบเพียงตัดแต่งองุ่นให้มีคุณภาพ เทคโนโลยี่ในการทำไวน์นั้นก็ไม่ใช่ย่อย กรีกได้มีการจำกัดพื้นที่การเกษตร เพื่อไม่ให้มีการเติบโตอย่างสะเปะสะปะ..และ ได้ทำการดัดจัดการปลูกโดยการ"ฝึก"องุ่นให้ขึ้นพันกับเสาที่จัดให้เกาะเท่านั้น ในสมัยนั้น..การปลูกองุ่นเขาจะปลูกให้ไต่พันขึ้นไปกับต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นมะกอก แล้วข้าทาสปีนขึ้นไปเก็บผล เนื่องจาก เขาต้องการให้องุ่นได้รับแสงแดดแบบเต็มที่ แต่..เมื่อการทำไวน์ได้กลับกลายมาเป็นสินค้าอย่างเป็นล่ำเป็นสันขึ้น เขาจึงได้เริ่มทำการปลูกองุ่นแบบเป็น vineyard ไม่ใช่ต้องไปอิงต้นมะกอกอย่างแต่เก่า วิธีสร้างสิริมงคลให้กับไร่....หรือถือว่าเป็นพิธีไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง..ที่พวกกรีกเชื่อว่าสามารถคุ้มภัยจากฝน ลมพายุ เชื้อโรค ไม่ให้มากร้ำกรายผลผลิตได้ นั่นคือ ทาสชายสองคนจะฉีก "ไก่ขาวเป็นๆ" ออกเป็นสองซีก..และต่างคนถือคนละซีกวิ่งออกจากกัน ไปกันคนละด้านของเนื้อที่ไร่.. พบกันตรงไหน..ก็เอาไก่ที่ถืออยู่คนละซีก มาฝังในจุดที่พบกัน..เป็นอันว่าเสร็จพิธี.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 08:01:37 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาถึงยุคของ 500 BC ที่กรีกมีความรุ่งเรือง ถึงขนาดขายไวน์ออกนอกประเทศ..ไปขายทั่วในแถบกลุ่ม เมดิเตอเรเนียน พื้นที่รอบ Black Sea ที่ตอนนั้นยังต้องซื้อไวน์จากกรีกมาบริโภค ไม่ใช่ขายอย่างเดียว กรีกได้นำพันธุ์ไวน์และการทำไวน์เข้าไปเผยแพร่ในด้วย เพราะ ดินแดนเหล่านั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของกรีกทั้งหมด เท่ากับว่า กรีกได้ขยายพื้นที่ปลูกองุ่นออกไปอย่างกว้างไกล เมื่อกรีกได้แผ่ขยายเข้ามาถึง ซิซิลี (อิตาลีตอนใต้) และ ฝรั่งเศส (ตอนใต้) ซึ่งกรีกเองต้องเป็นงงมาก ที่สองประเทศนี้..ไม่รู้จักไวน์..ไม่เคยกินไวน์ เลยเป็นหน้าที่ที่ต้องมาสอนกัน ในฝรั่งเศส ที่ตอนนั้น รู้จักกันในนามว่า Gaul ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์โรมันได้มีบันทึกพร้อมหลักฐานไว้ว่า..การนำเข้าขององุ่นครั้งแรก ของกรีกมาสู่ฝรั่งเศส คือ ที่ เมืองท่า Massalia (หรือในปัจจุบันคือ เมืองท่า Marseilles มาร์เซยส์) จากนั้น ในศตวรรษที่ห้าจนถึงที่แปด กรีกได้นำองุ่นและเทคนิคเข้าสู่สเปน และ โปรตุเกส แต่ไม่ได้พัฒนาไปถึงไหนเพราะในพื้นที่ของสองประเทศนั้นมีสงครามรุกรานอยู่ตลอดเวลา ที่ได้ผลแน่นอนนั่นคือ ที่อิตาลี ที่เอามาโรยไว้ ผลผลิตที่นั่นได้เจริญงอกงามเติบโตกว่าที่ปลูกและผลิตที่กรีกด้วยซ้ำ กรีกได้ตั้งชื่อให้กับองุ่นในอิตาลีที่ขึ้นมาอย่างงดงาม(ในแบบที่ดัดให้เลื้อยในแผงไม้ระแนง)นั้นว่า.. Oenotria อันแปลได้ว่า..ดินแดนแห่งองุ่นดัดงาม.. ส่วนอิตาลีตอนเหนือ..ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของ กรีก หากแต่เป็นส่วนเมืองขึ้นของ Etruscans (หรือ กลุ่มโรมัน) ซึ่งก็ได้มีการทำไวน์แบบโรมันในส่วนนี้..และ ส่งออกขายเช่นกัน ไวน์ของอีทรัสแคน ได้มีหลักฐานว่าส่งไปขายทาง Asia Minor และ ข้ามเทือกเขาแอลป์ ไปจนถึง Burgundy เรียกได้ว่า ทางใครทางมัน..ไปกันคนละทางสองทาง.. หลักฐานที่พบว่ากรีกได้มีตลาดไวน์ที่กว้างไกลไปทั่วยุโรปนั้น คือ ไหไวน์ดินเผา หรือ ที่เรียกว่า แอมโฟร่า (Amphora) ที่มีทิ้งให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด ไหดินตูดแหลม หรือ แอมโฟร่านี้ ใช้บรรจุไวน์ส่งขายจนถึงศษวรรษที่หนึ่ง จากนั้นจึงได้เปลี่ยนมาเป็นถังไม้..ที่ถือว่าพัฒนาขึ้นมาในระดับหนึ่ง แอมโฟร่านั้นมิใช่แต่บรรจุไวน์ขายเพียงอย่างเดียว แต่ ใส่ของแทบทุกอย่างออกจำหน่าย เช่น น้ำมันมะกอก เครื่องดอง ของหอม ซึ่งดูตามภาพแล้ว..ไม่น่าจะสะดวกใช้.. แต่เนื่องจากสมัยนั้นเป็นสมัยศักดินา ที่มีข้าทาส..แอมโฟร่าจึงเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะของการใช้..ในการใส่ไวน์ซึ่งบรรจุได้ถึง 25-30 ลิตร จึงได้ออกแบบมาให้เห็นว่ามีสองหูหิ้ว เพื่อทาสจะได้ยกกันได้สะดวก ถือกันคนละข้าง..ส่วนทางตูดแหลมนั้น วางตั้งไม่ได้ นอกจากจะมีแป้นหรือฐานที่สวยงาม ที่ออกแบบมาเอาไว้สำหรับตั้งโชว์ เพราะ แอมโฟร่าคือ ส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ด้วย ถ้าของคนจน..ก็เป็นไหดินธรรมดา วางเสียบบนรอมฟาง..ก็ถือว่าหรูสุด.. ส่วนสำหรับการนำเดินทางลงไปบนเรือ เขาก็จะเอามันวางนอนพิงกันไว้อย่างในภาพ..แต่การบรรทุกแบบนี้ กินน้ำหนักอย่างมหาศาลสำหรับการเดินเรือเที่ยวหนึ่งๆ ที่ต้องบรรทุกไวน์ถึง หนึ่งหมื่นไห เท่ากับน้ำหนักของไวน์สามแสนลิตร เท่ากับ สี่แสนกว่าขวด ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ภายใต้ท้องทะเลจากกรีกไปฝรั่งเศส หรือ เมืองท่า มาร์เซยส์ มีไหไวน์นอนจมอยู่เพียบ... เท่านั้นไม่พอ ไหดินที่ว่านี้ ยังถูกค้นพบในพื้นที่ใต้พื้นดิน ในเขตของตะวันตกเฉัยงใต้ คือ เมือง ตูลูส (Toulouse) และทางตะวันออก คือ ชาลอง-ซู-โซน (Chalon-sur-Saone) จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 08:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 โดยเฉพาะในท้องแม่น้ำโซน..มีไหที่จมอยู่นับร้อยนับพัน.. และที่เมือง Vix ในปี 1953 (ในเขตของแคว้นเบอร์กันดี) ที่ได้มีการค้นพบ ที่ฝังศพของเจ้าหญิงเชื้อสาย Celtic พระองค์หนึ่ง ที่มีพระชนมายุอยู่ในระหว่าง ศตวรรษที่หก (ตอนนั้นพื้นที่นั้นครอบครองโดยพวก Celts) ข้างในหอเก็บพระศพ ได้มีรถม้าที่มีครบทั้งสี่ล้อ พระศพตกแต่งด้วยเครื่องยศที่มีทั้งเครื่องทอง และจินดา เป็นหญิงสาววัยเพียงสามสิบเศษ และมีตุ่มไวน์ขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า เครเตอร์ (Crater) ขนาดสูงถึง 1.64 เมตร มีน้ำหนักถึง 208 กิโล สามารถบรรจุไวน์ได้ 1100 ลิตร..นับว่าเป็นชิ้นที่ฮือฮามากสำหรับชาวไวน์ ที่ได้ขนานนามให้ว่า The Vix Crater (ตรงนี้ก็คืออีกคำศัพท์หนึ่งที่นักไวน์ควรต้องรู้..เวลาที่เขาเปรียบเทียบอะไรที่มันใหญ่ยักษ์ หรือล้อกันเล่น เป็นคารมว่า ..I can't believe you finished the Vix Crater last night.) เครเตอร์ หรือ ตุ่มดินนี้..ปรกติแล้ว ขนาดธรรมดาคือ บรรจุแค่สองสามลิตร แต่ในหอเก็บศพนั่น แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมการดื่มไวน์นั้นได้รุ่งเรืองและได้รับการยกย่องในหมู่ชนชั้นสูงถึงขนาดถือว่าเป็นเครื่องยศชิ้นหนึ่ง นอกจากตุ่มยักษ์นั่นแล้ว ยังมีจอกและถ้วยที่ทำด้วยทองคำอีกจำนวนหนึ่งด้วย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 08:13:41 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อมาสถานการณ์โลกเริ่มเปลี่ยน..จากกรีก มาเป็นยุคของโรมันที่ขึ้นมาเรืองอำนาจ....ไหลเลื่อนมาจากอิตาลีด้านเหนือลงมาครอบครองดินแดนในตอนใต้.. ซึ่งตอนนั้น ไวน์และองุ่นได้พัฒนาไปมากแล้วจากการประสิทธิประสาทวิชาของกรีกมาแต่ดั้งเดิม และได้ผสมผสานกับของเทคนิคของ โรมัน (หรือ อีทรัสแคน ที่เคยอยู่ทางเหนือ) จนมีการนำเขียนเป็นตำราว่าด้วยวิชาการเกษตรองุ่นเล่มแรก (ที่ค้นพบ) ในชื่อว่า Cato's De Agri Cultura (คนเขียนชื่อ Cato ในศษวรรษที่สาม) เขียนไว้ว่า.. ไม่ควรปลูกองุ่นเป็นงานอดิเรกอีกต่อไป ควรหันมาพัฒนาอย่างจริงจัง..หมายถึงกระทำเป็นอุตสาหกรรม (ที่ว่าดังนั้น เพราะจำนวนเพิ่มของประชากร จาก 100,000 คนในยุค 300 BC มาเป็น หนึ่งล้านคน ในศตวรรษแรกของ AD นับว่าเพิ่มขึ้นมากมาย และความต้องการไวน์ก็ย่อมมีเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา เพราะ ผู้บริโภคนั้นมีทุกเพศทุกวัย หรือแม้แต่เด็กเล็ก ที่ไวน์เข้ามามีส่วนเป็นบทบาทสำคัญของการทำยารักษาโรค ขออธิบายนิดนะคะ เรื่องปี บีซี และ เอดี นี่..เพราะบางคนอาจไม่เข้าใจ เนื่องจาก อันหนึ่งคือภาษาละติน อีกอันหนึ่งมาจากภาษาอังกฤษ..รวมทั้งวิธีการนับ.. BC คือ before Christ อ่านว่า บีโฟร์ ไคร้สต์ (ไม่ใช่คริสต์) หมายถึง ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะประสูติ ซึ่งจะนับเทียบ ถ้า จำนวนสูง ก็หมายถึงโบราณมากๆ..ไล่ลงมา กว่าจะถึงหลังจากยุคเกิดการประสูติ AD คือ anno Domini อ่านว่า อันโน โดมิไน (ไม่ใช่โดมินี่) หมายถึง หลังจากเกิดการประสูติกาล ของพระเยซูเจ้า และว่ากันว่า..ชาวโรมันได้บริโภคไวน์ถึง 1.8 ล้านลิตรต่อปี เท่ากับครึ่งลิตรต่อวันของประชากรทั้งหมด แต่พอมาถึงปี 79 AD หรือในศตวรรษต้นๆของชาวโรมัน ตลาดไวน์ที่กำลังทำมาค้าคล่องได้หยุดชะงักกึก.. เพราะเกิดการระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียส ที่ได้เกิดแผ่นดินไหวทำให้เมืองปอมเปอี อันเปรียบเป็นเมืองท่าพานิชย์ที่สำคัญล่มไปอยู่ใต้ท้องทะเล..ผลกระทบคือไร่ไวน์รอบมณทลข้างเคียงได้เสียหายไปทั้งหมด เรียกว่าเกิดการไวน์ขาดตลาดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพราะวินเทจจะหายไปถึงสองปี ดังนั้น การเร่งรีบทำการเพาะปลูกทดแทนได้เริ่มขึ้นทันที ขณะที่ควันภูเขาไฟยังไม่ทันจาง..ฝุ่นยังไม่ทันหายฟุ้ง.. และในสองสามปีต่อมา..ไวน์ก็ออกมาท่วมตลาด.. เอ..ชักไม่เข้าท่าแฮะ..จักรพรรดิ โดมิเชี่ยน..ที่ครองราชย์อยู่ในปี 92 AD นั้นได้เริ่มทรงเห็นว่า พื้นที่ปลูกองุ่นทำไวน์มันชักจะมากเกินไปแล้ว (พระองค์หมายถึงคู่แข่ง) จึงออกพระบัญชามาว่า ห้ามอิตาลีปลูกองุ่นขยายเพิ่มขึ้นอีก และสั่งให้ทำลายไร่องุ่นกว่าครึ่งในประเทศราชทั้งหลาย..และให้ปลูกธัญพืชขึ้นมาแทน โดยทรงอ้างว่า ..เพื่อเป็นการกักตุนธัญญาหารที่กำลังร่อยหรอ โดยแท้ที่จริงแล้ว..คือการเขี่ยคู่แข่งขายไวน์นั่นเอง..(เห็นม๊ะ..ว่าการเมืองนี่ไม่ว่ายุคใด สมัยใด วิธีการที่ใช้ก็คล้ายๆกัน) และไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ..ที่ฝรั่งเศส (ปัจจุบัน) ได้ตั้งชื่อเส้นทางไฮเวย์ A9 ที่พาดสู่ฝั่งเมดิเตอเรเนียน และพาดข้ามผ่านไร่ไวน์ต่างๆ ว่า...Domitian อันหมายถึงพระ จักรพรรดิองค์นี้แหละ.. พระบัญชาอันเปรียบเหมือนกฏอัยการศึกในเรื่องการห้ามปลูกองุ่นในประเทศราชนั้น ได้มายกเลิกในปี 280 นับว่านานทีเดียว.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 08:19:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในช่วงของการปกครองของโรมันยุคต้นคริสตศักราช มีการเขียนเรื่องไวน์และองุ่นทิ้งไว้เป็นหลักฐาน โดย Columella (Roman agronomist) ที่ได้สร้างตำราไว้ว่า...ควรจะปลูกองุ่นพันธุ์ไหน ในพื้นที่ไหน และมีความหนาแน่นของผลผลิตมากเท่าใด ซึ่งตำรานั้นได้เขียนอย่างละเอียดยิบ..ถึงการแตกออกมาเป็นค่าใช้จ่ายต่อวันของแรงงาน ต้องใช้แรงงานกี่คนต่อพื้นที่เท่านั้นเท่านี้ ค่าอาหารแรงงานทาสต่อวัน..องุ่นต่อเถาจะสร้างเม็ดเงินเท่าไหร่..เธอได้เขียนแจงไว้หมด.. ซึ่งตำราของ โคลัมเมลล่านี้ นักศีกษาเกษตรไวน์ยังนำมาถกเถียงและค้นคว้ากันอยู่ในทุกวันนี้..เขายังได้แจงต่อไปถึง การที่ให้ความสำคัญต่อคุณภาพมากกว่าปริมาณ ที่ได้แนะนำว่า.. ไม่ควรปลูกองุ่นพันธุ์อาร์เมเนี่ยน (อันเป็นพันธุ์ใหม่ที่กำลังเห่อ) เพราะว่ามันมีลูกดกจนเกินไป.. การเขียนตำราของปราชญ์โรมันในยุคนั้นได้มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปหลายแขนง อย่างของ กาโต (Cato) ได้แนะนำว่า.. ถ้าต้องการให้องุ่นสุกจัด ควรปลูกให้ขึ้นไปพันกับต้นไม้สูงๆ ปลิดใบออกให้หมด เมื่อยามใกล้สุก.. และได้เขียนตำรายาไว้ด้วยว่า..ให้ฝังสมุนไพร hellbore (พืชที่มีพิษชนิดหนึ่ง) ไว้ที่รากองุ่น เพื่อที่จะเอาองุ่นนั้นมาทำเป็นไวน์ยาถ่าย.. และไวน์สมัยนั้นก็เหมือนกับสมัยนี้ กล่าวคือ ปีไหนฝนฟ้าไม่เป็นใจก็มีราคาแพง หรือในทางตรงกันข้าม ดังนั้นการลงทุนในธุรกิจนี้จึงเสี่ยงพอสมควร แต่ก็ได้กำไรดีกว่าที่จะมาปลูกมะกอกขาย ในตอนนั้น มะกอก คือ สินค้าทำเงินอันดับสี่..ยังน้อยกว่าไวน์.. การทำไวน์ของโรมัน คือ ทำมาจากแรงงานทาสล้วนๆ..องุ่นก็คือมรดกที่กรีกได้ทิ้งไว้ให้ ตลาดต่างประเทศกรีกก็ปูทางไว้ให้ แต่การค้า ตัวกลางขายกลับตกไปอยู่ในมือของพ่อค้าอิตาเลี่ยน.. ที่ทำการขนส่ง และค้าเอากำไรกับชาวโกล หรือชาวฝรั่งเศส ดังที่จักรพรรดิ ดิโอโดรุส ได้ทรงพระลิขิตไว้ว่า.. พวกอิตาเลี่ยนได้ปล่อยให้ชาวโกลเสพติดไวน์จนโงหัวไม่ขึ้น ค้าเอากำไรอย่างขูดเลือดขูดเนื้อ บางคนถึงขนาดยอมแลกทาสกำยำหนึ่งคนต่อไวน์หนึ่งไห... ในภาพแผนที่..ส่วนสีแดง คือ อาณาจักรของโรมันที่ครอบครองอยู่ ในต้นศตวรรษของคริสต์กาล จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 08:27:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีค่ะพี่หวาน อ่านอยู่ค่ะ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 28 ก.ย. 49 08:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 องุ่นที่นำมาปลูกในฝรั่งเศสแรกเริ่มนั้น ก็ด้วยฝีมือชาวโรมัน ศตวรรษแรก..ที่เมือง Narbonensis (ปัจจุบัน คือ เมือง Narbonne) ที่กินอาณาเขตยาวไปถึง โปรว้องซ์ ยัน ลังเกอดอค จากนั้นก็ขยายไปปลูกที่บอร์คโดซ์ ไม่กี่สิบปีต่อมาก็เลื่อนขึ้นไปที่เบอร์กันดี และ ต่อขึ้นเหนือไปจนถึง อัลสาซ ในช่วงของศตวรรษเดียวกันนั้นเอง ชาวโรมันได้พยายามที่จะปลูกองุ่นในบริเตนด้วย แต่เนื่องจากดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ จึงมีอนาคตที่สั้นมาก.. ต่อมาเมื่อการใช้ถังไม้เข้ามาแทนที่ไหดิน หรือ แอมโฟร่า เพราะความคล่องตัวในการเคลื่อนย้ายนั้นแล้ว..การค้นหาร่องรอยของประวัติศาสตร์ช่วงนี้จึงไม่ค่อยแม่นยำเหมือนกับการหาอายุของไหดิน เพราะถังไม้ย่อยสลายไปได้..ไม่เหลือซากให้พิสูจน์ แต่จากการค้นพบเครื่องบีบองุ่นที่เกาะครีต ทำให้เราได้ทราบว่า..การคั้นองุ่นนั้นมีด้วยกันหลายชนิด อย่างของชาวบ้านก็เป็นการใช้ไม้อัดเข้าหากัน ถ้าของดีก็จะใช้ถังที่มีเกลียวเป็นสกรูอัดลงมา ซึ่งตรงนี้คือการทำเป็นจำนวนมาก หรือเป็นอุตสาหกรรม และการทำไวน์ในสมัยนั้น คือการหมักในไหแบบทันทีพร้อมทั้งกากองุ่น ที่ไหจะมีรูเล็กๆให้แก๊สได้มีทางออก ตราบเมื่อการหมักได้เสร็จสิ้น จึงจะอุดรูนั้น..ตอนจะดื่มก็จะมีฝา-กรองไม่ให้กากองุ่นหลุดออกมา หรือ คนที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะเปลี่ยนไหใหม่..และทิ้งกากออกไป.. แต่ไวน์ในสมัยนั้น..เป็นไวน์ชนิดหวานจัดเป็นส่วนใหญ่ เพราะการทำไวน์นั้น ได้มีการเติมน้ำตาล หรือไม่ก็เอาองุ่นมาตากแดดจนแตกปริ จึงจะนำมาทำไวน์ ดังที่สูตรไวน์ของกาโต ได้เขียนไว้ว่า ต้องตากองุ่นถึงสามวัน..ส่วนตำราของ Virgil ที่ว่าไว้ว่า ควรจะปล่อยให้สุกจนเยิ้มคาต้น..ถึงจะดี (ตำราของเวอจิลนี้..คือการใช้อยู่ในปัจจุบันของ cult wines) แน่นอนว่า ไวน์ในยุคโบราณนี้ มีสีแดงจนเกือบดำ ส่วนไวน์ขาวนั้นก็เป็นสีเขียว และหวานจัด เพราะยังไม่มีการกรองหรือหมักสองครั้งอย่างในปัจจุบัน ในภาพ คือ เครื่องบีบองุ่นแบบโบราณ ชนิดอุตสาหกรรม จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 08:40:43 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านช้าๆหน่อย พิมพ์ไม่ทันจ้า.. ในภาพคือ แผนที่ของการเดินทางค้าไวน์ของกรีก.. ที่มาใช้เกาะครีตเป็นศูนย์การผลิต.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 08:45:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาสวัสดีตอนเช้าๆครับ ตามอ่านตลอดนะครับ "คิดว่าคงจะเล่าเรื่อง praedikat ของเก่าต่อจากคราวที่แล้วที่ไม่ได้บอกไว้ (เช่น auslese หรือ beerenauslese ต่างกันยังไง)" เล่ามาเลยครับพี่ LaGrandeRue ผมอยากฟังมาก จากคุณ : Phantom of the Cellar - [ 28 ก.ย. 49 08:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มาตอกบัตรอ่านกระทู้เส้นทางไวน์.... ในสายทางประวัติศาสตร์จริงๆเสียที ก่อนไปประชุมครับ ขอบคุณพี่วิ..มากครับ สำหรับความรู้ ที่ได้ให้แก่พวกเราได้อ่าน... ครับ จากคุณ : วาริชเวสม์ - [ 28 ก.ย. 49 09:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เอ้า..เดี๋ยวไม่เห็นข้อความในท้ายกระทู้โน้น เอามาแปะใหม่นะ.. "นั่นแน่..เห็นม๊ะ..งานนี้กำลังจะกลายเป็นงานช้างไปแล้ว.. ดีใจจริง และที่ดีใจมากที่สุด..นั่นคือ กำลังจะมี"สมองไหล" เข้ามาในกระทู้ด้วย นั่นคือจากสายเยอรมัน ของคุณ LGR ที่จะเขียนเรื่องการเป็นไปของไวน์ฝั่งพี่ฮั่น.. ขอบคุณค่า...อยากฟังด้วยละ..อุ๊บอิ๊บแล้วนะ ห้ามเปลี่ยนใจด้วย.... อ้อ..แล้วรีบๆหน่อยนะคะ เพราะวัยรุ่นใจร้อนง่ะ... จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 09:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อ่านข่าวนี้แล้วขอแสดงความเสียใจด้วยอย่างสุดซึ้ง ในฐานะคนที่มีอาชีพเดียวกัน..และที่เหมือนกันมาก คือ เคยโดนพิษของ 18 มงกุฏเช่นกัน.. http://www.komchadluek.net/2006/09/28/a001_51386.php?news_id=51386 ไม่ทราบว่าเป็นเพื่อนฝูงใครหรือเปล่าคะ..ฝากข้อความไปด้วยและขอให้หมดทุกข์หมดโศกกันแค่นี้.. ด้วยความปรารถนาดีค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 09:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณครับป้า จากคุณ : Uncle Tee - [ 28 ก.ย. 49 09:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พี่วิขา ภาคนี้ จั่วหัวแค่นี้ก็สนุกมากแล้วค่ะ อย่างที่หนูเคยเรียนพี่วินะค่ะว่า หนูอ่าน "ประวัติศาสตร์ ในเส้นทางไวน์" ในกระทู้ "เส้นทางไวน์ในสายทางประวัติศาสตร์" ค่ะ สิ่งที่หนูหยิบจับเอาจากกระทู้นี้ อาจแตกต่างจากท่านอื่นบ้างค่ะ คือประเด็นหลักของหนูจะมุ่งไปที่เรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ ส่วนเรื่องของวิถีชีวิตของชาวไร่ไวน์ในยุคก่อนประวัติศาตร์ เป็นส่วนประกอบที่หนูได้รับอย่างคาดไม่ถึงค่ะ อ่านไป หนูก็จินตนาการไปค่ะว่า วิถีชีวิตของชาวกรีก ซึ่งน่าจะเป็นต้นตำรับของอารยธรรมในการทำไวน์นั้น ชีวิตประจำวันของเขา เกี่ยวข้องกับไวน์อย่างไรบ้าง หรือ พอมาถึงยุคโรมันซึ่งเป็นผู้รับอารยธรรม เขาจะละเมียดละไมกว่าต้นตำรับหรือเปล่า หรือเขามีการดัดแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ที่หนูมองว่า "คลาสสิคเหลือเกิน" ก็เป็นเรื่องของการถ่ายทอด การสืบทอดโนว์ฮาวเหล่านี้ให้แก่กันนี่แหละค่ะ ว่ากันว่า อารยธรรมกรีกนั้นสูงส่งจนยากแก่การเข้าถึง เพราะประกอบไปด้วยศาสตร์ และศิลปของการดำรงชีวิต อีกทั้งศิลปวิทยาการที่ยากต่อการเข้าใจ ทำให้ศิลปกรีกหลายสิ่งหลายอย่างต้องสูญหายไป แต่สิ่งหนึ่งที่ถ่ายทอดถึงความเป็นผู้เจริญของชาวกรีก ก็คือศิลปเรื่องการทำไวน์ ซึ่งชาวโรมันผู้กระหายสงครามน้อมรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตเลยทีเดียว ว่ากันว่า ขบวนทัพของอเล็กซานเดอร์ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสองสิ่งแรก ก็คือ 1 นางในดวงใจ และ 2 เพริสตัส สุนัขแสนรู้ที่จะขย้ำเนื้อขาวๆทุกคนที่บังอาจล่วงล้ำเข้ามาถึงที่บรรทม แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยขาดก็คือ น้ำองุ่นหมักที่บรรจุในไหแหลมๆ ยาวๆ ที่ต้องคอยประคับประคองไปด้วยทุกสนามรบ ผู้มีหน้าที่ควบคุมห้องเครื่อง จะต้องคอยระมัดระวังไว้ให้จงดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เพราะยามใดที่กองทัพมีชัยชนะ ก็ต้องมีการเฉลิมฉลอง ด้วยการเอาของดีมาเปิดเลี้ยงสหายศึกกัน หรือหากคราใดที่แม่ทัพเห็นว่า ในวันรุ่งขึ้น ยังมีภาระกิจอันยิ่งใหญ่รออยู่ข้างหน้า อาหารเย็นมื้อนั้น ก็จะประกอบไปด้วย ขนมปัง และเนยแข็ง กับลูกมะกอกดองและน้ำเปล่าเท่านั้น จะไม่มีการเสริฟเหล้าไวน์ซึ่งเป็นธรรมเนียมการรับประทานอาหารของชาวเมสิโดเนียเป็นอันขาด ซึ่งแม่ทัพก็อ้างว่า ในยามศึกสงครามเช่นนี้ อาหารแค่นี้กับน้ำเปล่า ก็หรูแล้ว จะถามหาน้ำองุ่นหมักจากที่ไหนกัน เอาไว้มีชัยชนะก่อนเถิด พวกท่านจะเมากันได้สามวันสามคืน ไม่รู้สร่างกันเลยทีเดียว อ่านมาถึงตรงนี้ หนูก็ได้แต่สงสัยว่า น้ำมันมะกอก หรือมะกอกดอง มีสรรพคุณเป็นยาหรือเปล่าคะ เพราะในช่วงสงครามเช่นที่ว่านี้ หนูมักจะเจอคำนี้อยู่เสมอค่ะ และน้ำมันมะกอกที่ว่านี้ เป็นชนิดเดียวกันกับที่สาวๆสมัยนี้นิยมนำมาหมักผมเพื่อให้ผมดำสลวยหรือเปล่าคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 28 ก.ย. 49 10:11:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ค่ะพี่วิ เรื่องที่ว่าเขาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองกันยังไม่เท่าไหร่นะคะ เพราะเกิดบ่อยเหลือเกิน บางคนอยู่มาแค่อายุ สี่สิบ เจอการปฏิวัติไปแล้วร่วมสิบครั้งได้มั้งคะ บางคนหนักกว่านั้นอีกค่ะ เจอมากี่ครั้ง หนูก็ไม่แน่ใจ แต่ด้วยความสามารถอันล้นเหลือ ทำให้จดจำรายละเอียดได้ถี่ยิบ เหมือนกับว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง เพราะสามารถเอามาเล่าได้เป็นฉากเป็นตอน และอินกับเหตุการณ์จนน่าทึ่ง จนกลายเป็นตำนานอยู่นี่ไงค่ะ แต่ความเปลี่ยนแปลงที่หนูว่านี้ ยิ่งไหญ่กว่านั้นอีกค่ะ ชั่วชีวิตนี้ของหนูก็คงไม่เจอเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเช่นนี้อีกแล้วละค่ะ คือเมื่อวันนี้ เป็นวันที่ 28 ก.ย 2549 เป็นวันเริ่มใช้สนามบินสุวรรณภูมิเต็มรูปแบบเป็นวันแรกค่ะ ผลกระทบต่อชาวดอนเมืองอย่างหนู สิ่งแรกเลยคือ เศรษฐกิจค่ะ คนตกงานกันเยอะมาก สิ่งที่สอง คือ เสียงเครื่องบินค่ะ ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเมื่อคืนนี้ เสียงที่เคยขับกล่อมให้นอนหลับในยามค่ำคืน ก็เป็นอันหายไปพร้อมกับ คูเวตแอร์ไลน์ที่ landing เป็นเที่ยวสุดท้ายเมื่อตีสอง ห้าสิบนาทีของเมื่อคืนนี้ นับแต่นี้เป็นต้นไป เวลาที่ต้องขับรถผ่านหน้าดอนเมือง ก็คงไม่ต้องหงุดหงิดใจกับรถเมล์ที่จอดกันไม่เป็นระเบียบตรงป้ายระหว่างระหว่างประเทศอีกต่อไป แต่คนที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพกับดอนเมืองอย่างหนู ก็ต้องปรับตัวขนานใหญ่ค่ะ เพราะระยะทาง จากดอนเมืองไปสุวรรณภูมิ หากขับรถแบบจราจรไม่ติด จะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงตามเส้นทางมอเตอร์เวย์คลองสี่ การเตรียมการต่างๆ ก็ต้องล่วงหน้าอีกประมาณ สามชั่วโมง Shipment แรกๆ คงจะโกลาหลน่าดูค่ะ วันที่เคยสบาย กลับกลายเป็นวันโลกาวินาศ ส่วนวัน โลกาวินาศ คงกลายเป็นวันธงชัย ก็คงต้องใช้เวลาปรับตัว ปรับพฤติกรรมการทำงานสักเดือนหรือสองเดือนคงจะดีขึ้ค่ะ แต่ที่น่าเป็นห่วงมากหน่อยก็คือ เพื่อนๆที่อยู่ในวงการ ที่ต้องย้ายไปทำงานที่โน่นแบบเดินทางไปกลับ ยังนึกไม่ออกเลยว่า จะอึดได้นานสักขนาดไหน จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 28 ก.ย. 49 10:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขออนุญาติทั่งพี่วิ/พี่วิ FC/ และพี่วิโรจ นำสาสน์ท้าประลองและพบปะสั่งสรรค์ไปเชิญชวนชาวไวน์ที่WWW.ดื่มน้อยๆดื่มดีๆ.COM ด้วยนะครับ ส่วนตัวผมหายงอนแล้วแต่ท่าทางคนที่จะงอนต่อจากผมน่าจะเป็นคนข้างตัวผมมากกว่าเพราะเป็นรุ่งขึ้นวันเกิดเธอพอดี ส่งสัยจะต้องจับไปเป็นตัวประกันที่งานซะแล้ว จากคุณ : sckg (sckg) - [ 28 ก.ย. 49 11:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มาแล้วคับมารออ่านคับผม ถ้าให้ผมเปิดหนังสืออ่านคงเบื่อแย่ แต่อ่านแบบนี้กลับสนุกเพลินดีมากๆคับ ขอบคุณคับ จากคุณ : WIWANDA FC (Nic Nenin) - [ 28 ก.ย. 49 11:08:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แหม..กำลังคิดถึงคุณกาสะลองอยู่ทีเดียว เพราะเรื่องดอนเมืองนี่แหละ ต้องย้ายตามไปด้วยไม่ใช่หรือคะ? มะกอก คือ อาหารที่สำคัญชนิดหนึ่งของชาวกรีกและโรมัน มะกอกมีหลายเกรดค่ะ ชนิดกินและชนิดทำน้ำมันเป็นคนละชนิด แต่เรื่องที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไม่ทรงดื่มไวน์นั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะ ไวน์ก็คืออาหารประจำวันชนิดหนึ่งเช่นกัน อาหารในยามนั้น คือการกินข้าวโอ๊ตต้มเละๆ ขนมปังยังไม่เกิด จนเมื่อ 171-168 BC จึงได้มีหลักฐานว่ามีการทำขนมปังกินเป็น จนมาถึงศตวรรษที่สอง ขนมปังกับไวน์ จึงเป็นอาหารคู่บ้านคู่เมือง... ส่วนวิธีการดื่มจะอธิบายให้ฟังค่ะ.. คือ..เรื่องความเจริญทางด้านอารยะธรรมของกรีกนั้น ต้องถือว่าเขาคือบิดาของระบบประชาธิปไตยเลยทีเดียว..ในตำราของกาโตเขียนไว้ว่า..ในตอนนั้น มีการแบ่งไวน์ให้กับประชาชนตามสัดส่วน..แม้กระทั่งทาสที่อยู่ในโซ่ตรวนก็จะได้รับ 10 ไห ต่อปี หรือเทียบกับอาทิตย์ละห้าลิตร (แต่เบื้องหลังนันคือ เพราะไวน์ทำให้พวกนี้ทำงานแบบอึด..เพราะทาสที่ป่วยจะไม่ได้รับการแจกไวน์ ฉะนั้น..ห้ามป่วย..) กรีกต้องการปลูกองุ่น ทำไวน์เพื่อสร้างเม็ดเงิน สร้างตลาด และหวังให้ประชาชนทุกคนได้มีสิทธิดื่มไวน์อย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่ชั้นไฮโซ จนโลโซ ถึงทาสก็ไม่มียกเว้น ดังที่มีการเขียนสรรเสริญถึง Dionysus เทพเจ้าแห่งไวน์ (หรือ เป็นที่รู้จักในนามของ Bacchus กรีกมีชื่อของพระเจ้าหลายชื่อ อย่างเดียวกับพระอินทร์ของไทย) ว่า ทรงประทานไวน์ที่แสนอร่อย ประทานองุ่นที่แสนงาม ให้พวกเราเท่ากันหมด ไม่ว่ายาจกหรือเศรษฐี ... แต่ในด้านความเป็นจริง นั่นก็คือ ถึงแม้ว่าชาวประชาจะได้รับไวน์ตามสัดส่วนที่น่าพอใจ แต่หมายถึงว่า คนจนก็ย่อมได้ไวน์พื้นบ้านที่แอลกอฮอลต่ำ เนื้อใส เอาไปกิน แต่พวกขุนนางหรือไฮโซ ก็จะดื่มไวน์ที่เป็นหัวเชื้อ หวานเฉียบ (ถึงขนาดจะดื่มแต่ละทีต้องเติมน้ำ อันเป็นธรรมเนียม) และในการพบปะชุมนุม ประชุมครม. นั้นจะเรียกว่า ซิมโพเซี่ยม (Symposium) นั่นหมายถึงการเลี้ยงรับรองที่เต็มไปด้วยอาหาร นางระบำ และไวน์ไม่อั้น รวมทั้งการละเล่น เรียกว่า เมากันสามวันสามคืน..ไม่ไล่ไม่เลิก ทุกคนจะต้องแต่งกายด้วยชุดเต็มยศที่ต้องสวมการ์แลนด์ (คือที่วางรอบศรีษะที่เป็นรูปใบไม้) เข้ามานั่งเอนๆนอนๆ รอรับการปรนนิบัติพัดวี..ไม่มีผู้หญิง หมายถึงคุณนายที่บ้าน นอกจากกลุ่มโคโยตี้..ที่มาร้องเล่นเต้นระบำให้ดู กับกลุ่มหนุ่มน้อยนักเสริฟ.. การประชุมครม. ซิมโพเซี่ยมนี้ จะคัดเลือกแต่นักปราชญ์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆมาร่วมสังสรร..ที่มีพิธีรีตองมากมาย ก่อนเริ่มงาน และก่อนเลิกงานจะมีการสวดขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าแห่งไวน์ เจ้าภาพ หรือ ท่านนายก จะทำพิธีชิมไวน์ ที่รินจากเครเตอร์ใส่ใน Kylix (ไคลิคซ์ อันหมายถึงถ้วยตื้นแบบปากกว้าง) และจะเป็นคนที่ประกาศว่าจะต้องเติมน้ำ(หรือน้ำทะเล) จำนวนเท่าใด อัตราส่วนมีตั้งแต่ 3 ต่อ1 หรือ 5 ต่อ 3 หรือ 3 ต่อ 2 เพราะไวน์นั้นมีแอลกอฮอล์สูง ว่ากันว่า ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งหวานจัด การเติมน้ำนั้น เพื่อให้ดื่มทน ดื่มกันนานๆ เพราะมันจะลดแอลกอฮอล์ไป ถึงห้า หรือ หกเปอร์เซ็นต์ จากนั้นก็มีละเล่นแบบท้าทายความสามารถต่างๆ เช่น Kottabos คือการสาดไวน์ในถ้วยให้ลงไปโดนในจานที่วางอยู่ให้ตกลงมาวางบนจานที่รองข้างล่าง.. งานประชุมแบบนี้แต่ละครั้ง จะจบลงด้วยการเมาแบบเละเทะ ดังในภาพที่เราเห็นในหนัง หรือในภาพวาดที่ตกค้างจากศิลปินในยุคนั้น และต่อมา..ชาวโรมันได้ก๊อบปี้ถ่ายทอดงานแบบ ซิมโพเซี่ยมมาสานต่อ แต่เรียกว่า..Convivium ที่ได้อนุญาตให้หญิงสาวเข้าไปร่วมด้วย.. แบบว่าเอากิ๊กไปด้วยได้นั่นแหละ แต่เรื่องเลี้ยงแบบมโหฬารเป็นวันเป็นคืนเหมือนกัน.. ส่วนเรื่องทหารกับไวน์.ก็มีอีก จะเล่าให้ฟัง.. ในภาพคืองานเลี้ยง... Symposium จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 12:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 19 จากยุคกรีกสู่ยุคโรมัน จากการห้ามหญิงดื่มไวน์ ถึงขนาดว่ามีโทษถึงตาย หรือ สามีต้องทิ้งนั้น..ก็มาลดหย่อนอนุโลมให้ดื่มได้ใน 194 BC แต่ก็ยังเป็นไปแบบไม่เต็มที่นัก เพราะ จักรพรรดิ์ Augustus ยังเป็นถือธรรมเนียมโบราณ เพราะพระองค์จับได้ว่า พระธิดาแอบดื่มไวน์ (จนติดกระมัง) เลยเนรเทศให้ออกไปอยู่เกาะเป็นการลงทัณฑ์ เพราะผู้หญิงได้มีโอกาสดื่มไวน์เท่าเทียมกับผู้ชายนี่เอง โรมันจึงต้องออกกฏขึ้นมาสารพัด เพื่อเป็นการปรามแต่เนิ่นๆ เรื่องการดื่มไวน์แบบเท่าเทียมกันในสมัยของโรมันนี้.. ดังที่ กาโตได้เขียนไว้ว่า ใครควรได้ส่วนแบ่งเท่านั้นเท่านี้ แต่ทาสแรงงานที่ไม่มีรายได้อะไร ส่วนแบ่งที่เขาได้รับ มันเป็นไวน์ชนิดที่เรียกว่า posca คือไวน์ที่ส่วนผสมของน้ำส้มและน้ำ (ที่ใช้น้ำส้มเจือเพราะเป็นการป้องกันไม่ให้ไวน์เสีย) หรือ อาจจะเป็นไวน์ที่เสียแล้ว.. เป็นไวน์ที่มีแอลกอฮอลต่ำ กินเท่าไหร่ก็ไม่มีเมา.. และไวน์ พอสคา นี้ คือไวน์ชนิดเดียวกันกับที่แจกจ่ายให้กับทหารในกองทัพโรมัน ในอัตราส่วนคนละหนึ่งลิตรต่อวัน..แม้แต่ทหารป่วยก็ไม่มีการงด..แจกแหลก.. แต่ถ้าหากมีเงิน อยากจะซื้อไวน์ชนิดอื่นที่ดีกว่าก็ย่อมได้ ดังที่มีหลักฐานว่า กองทัพโรมันภายใต้การนำของ Metellus ที่ไปถึงอาฟริกา เมื่อ 109 BC นั้น ทหารเที่ยวไปขโมยข้าวของชาวบ้านเพื่อไปแลกกับไวน์มาดื่ม หรือ อย่างในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้นไม่นาน คือ 38 BC ที่ทหารกองทัพโรมันเข้าโจมตีนครเยรูซาเล็มอย่าง ลืมตัว ลืมตาย เพราะได้รับคำขู่ไว้ว่า..ถ้าตีไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน..เสบียงหมดแล้วโว้ย.. ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกคุ้นๆไหมคะ กับกองทัพของพระเจ้าตาก ที่สั่งให้ทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกงทิ้งก่อนเข้าโจมตี เครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งนั่นคือ Lora คือ กากองุ่นที่บีบน้ำไปจนหมดแล้ว ที่มีจำนวนมากมายนั้น ก็เอาไปแช่ในน้ำให้พองตัวขึ้นมาอีก เพื่อจะบีบเอาน้ำมาอีก และไวน์เจือจางนี้ ส่งไปแจกให้กับทาสแรงงานในยามฤดูหนาวที่ไวน์นั้นขาดแคลน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ย. 49 13:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 20 งานเลี้ยงอย่างนี้ สาวน้อยโคโยตี้ คงไม่มีความหมายมากไปกว่า หนุ่มน้อย นักเสริฟหรอกนะคะพี่วิ หล่อ แมน ล่ำบึ๊ก แบบที่เห็นข้างบนนั่น คงชอบเล่น "ฟันดาบ" ทั้งนั้นนะคะ ดูสิคะ ประกบกันเป็นคู่ๆ มีสาวๆที่ไหนกัน! ดอนเมืองย้าย แต่หนูไม่ต้องย้ายที่ทำงานค่ะ แต่ต้องย้ายที่ส่งของ คือปกติ ส่งที่ดอนเมือง แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องไปส่งที่สุวรรณภูมิค่ะ นั่นหมายความว่า หนูต้องเผื่อเวลาการเดินทางไปสุวรรณภูมิล่วงหน้าอีกประมาณสามชั่วโมงค่ะ คงต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือนค่ะกว่าจะลงตัว และหวังว่าคงจะสบายขึ้นหน่อย อาจจะเริ่มงานเช้าขึ้นอีกนิด แต่เสร็จเร็วขึ้น เพราะเวลามันกำหนดให้ต้องเสร็จค่ะ หนูเป็นคนบ้านนอกค่ะ ไปได้ไกลสุดก็แค่หลักสี่ค่ะ สุขุมวก สุขุมวิท ไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีปัญญาเข้าไปค่ะ ครั้นจะชวนมากินก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต เดี๋ยวนี้มันก็ไม่คลาสสิคเสียแล้วสิคะ ตั้งใจจะไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือ แต่กลับกลายไปเจอข้าวซอย (ที่เป็นอาหารค่ะ ไม่ใช่เข้าไปในซอยหรือในตรอกที่ไหน) หรือไม่ก็ไปเจอ สเต็กเนื้อ us ซะด้วย แต่แหม หนูว่าน่าจะเป็นเสือร้องไห้มากกว่าค่ะ แต่บรรยากาศชานเมืองตอนหน้าหนาว ก็โรแมนติคเหมือนกันนะคะพี่วิ ฟังเพลงคันทรี่เบาๆ นั่งท้าลมหนาวยามค่ำคืน รำลึกความหลังกับกลุ่มเพื่อนคอเดียวกัน อย่างนี้แหละมั้งคะ ที่เขาบอกว่า คนแก่แล้ว ชอบคุยถึงเรื่องอดีต จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 28 ก.ย. 49 13:37:02 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตอนแรกได้ยินว่า bacchaus คือเทพเจ้าไวน์ ของกรีก ก็ยังนึกว่าสงสัยมีมาตั้งแต่ก่อน คริสตกาล แน่เลย และเวลาดูหนังเห็นฉากทานไวน์ ก็ยังดูว่าไวน์มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น เรื่อง alexander จนมาได้ป้าวิให้ความรู้หนะครับ ขอบคุณคร้าบ ติดตามอ่านต่อไป ครับ จากคุณ : jearjear - [ 28 ก.ย. 49 14:50:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 Cato The Elder (Marcus Porcius Cato) ที่เขียนหนังสือ De Agri Cultura ได้เขียนถึงสูตรไวน์ที่น่าจะเค็มปะแล่มๆ ว่า ให้เอาน้ำทะเลอายุ 70 วัน มาผสม หรือถ้าอยู่ไกลจากทะเลอนุญาตให้ใช้เกลือแทนได้ไม่ว่ากัน ไวน์ชนิดนี้เรียกว่า Coan wine ครับ จากคุณ : sofatboy - [ 28 ก.ย. 49 18:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ภาพจำลองที่ฝังศพของเจ้าหญิงเชื้อสาย Celtic ที่คุณอาเล่าไว้ใน คห. ที่ 3 ว่ามีการฝังตุ่มไวน์ขนาดใหญ่ ลงไปด้วย (ภาพจาก francetv.fr) จากคุณ : sofatboy - [ 28 ก.ย. 49 18:26:49 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอคาราวะ คุณ sofat หนึ่งไหใหญ่ๆค่ะ บอกได้คำเดียวว่า สุดยอดค่ะ ทำได้ยังไงคะเนี่ย? เดี๋ยวรอพี่วิตื่นมาเล่าต่อนะคะ เรื่อง ไวน์ กับอเล็กซานเดอร์ น่าจะมีอะไรซ่อนเร้น ที่เราไม่เคยรู้อีกเยอะนะคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 28 ก.ย. 49 18:37:40 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ sofat ต้องอยู่บ้านติดกับพี่วิแน่เลยครับ มาทีไรตื่นเต้นทุกที หามาได้ไงเนี่ย จากคุณ : Master_Indy - [ 28 ก.ย. 49 20:36:26 ]

ความคิดเห็นที่ 26 หลาน sofat มาแย้วววว...หายไปนานเลยนะหลานนะ สบายดีปล่าว..?? คุณหลานเธอไม่ได้อยู่ใกล้พี่หรอกค่ะ คุณ Master_Indy แต่..แทบจะเป็น "ร่างทรง" ให้ได้เลย..แม้จะอยู่คนละทวีปก็เถอะ.. ....................................................... ไวน์ในยุคของกรีกและโรมัน ต่างก็มีการปรุงรสให้อร่อยขึ้นในหลากหลายวิธี วิธีหนึ่งอันเป็นที่นิยม นั่นคือการใช้ หมักในไหดินที่ข้างในเคลือบด้วยน้ำมันดิน หรือ ยางสน เพราะ นอกจากจะเป็นการรักษาไวน์ให้อยู่คงทนแล้ว (เพราะการเคลือบทำให้อากาศไม่สามารถซึมเข้าออกได้) ยังทำให้ไวน์รสดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะ ยางสนที่มีคุณสมบัติในการทำให้ไวน์มีกลิ่นหอม ผู้ที่ค้นพบเทคนิคนี้ คือ ปราชญ์นามว่า Pliny (The elder) แต่..โคลัมเมลล่า ได้แย้งในทฤษฏีนี้..เขาเห็นว่า.. ยางสนจะมีผลดีกับไวน์ที่อยู่ในระดับกลาง..แต่..สำหรับไวน์ชั้นดี เขาไม่แนะนำเลย.. ในปัจจุบัน ไวน์ของกรีกบางชนิดยังใช้ทฤษฏียางสนอยู่ และใช้ชื่อไวน์ให้เป็นที่ทราบกันว่า..Retsina อีกวิธีหนึ่ง..ที่เป็นการแต่งรสไวน์ นั่นคือ การนำน้ำองุ่นที่คั้นมาได้ ไปต้มในภาชนะตะกั่ว.. ซึ่งสารตะกั่วนี้ นอกจากจะทำให้ไวน์หวานขึ้นแล้ว ยังทำให้ปลอดเชื้อ แบคทีเรียอีกด้วย(ก็ต้มจนเดือดไปแล้วไง..) ตอนนั้น..ยังไม่มีใครได้ทันระแวงระไวว่า..สารตะกั่วอาจส่งผลอันตรายต่อร่างกายและชีวิต จากคุณ : WIWANDA - [ 29 ก.ย. 49 07:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แล้วตายกันไปเพราะตะกั่วในไวน์เยอะหรือเปล่าคะพี่หวาน? (สยอง) จะอ่านต่อเงียบๆ นะคะ ขอบคุณค่ะ (กิ๊ดตึ๋งจินๆเยย) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 29 ก.ย. 49 08:32:16 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อรุณสวัสดิ์ค่ะ น้องนก เรื่องพิษในสารตะกั่วนี้ เรามาทราบกันทีหลังนะคะ หลังจากที่คนล้มตายมามากแล้ว แต่ในสมัยนั้น คนก็อายุไม่ยืนกันอยู่แล้ว ไม่ถูกฆ่าตายด้วยหอกดาบ ยาพิษ หรือ ก็ไปเพราะทำศึกสงคราม ท่านปราชญ์ Pliny มีอายุอยู่เพียง 23-79 BC เท่ากับ 56 เอง.. (เท่าพี่เลย..ว๊ายยย..เผลอบอกอายุ) .......................................... เรื่องพันธุ์องุ่นสมัยโน้น..นักวิชาการหลายต่อหลายคนพยายามที่จะไขปริศนาว่า มันเป็นพันธุ์อะไรกันแน่ หรือ อย่างน้อยๆก็อยากรู้ว่าเป็นสายดีเอ็นเอไหน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถแกะออกมาได้ เพราะในบันทึกของท่านปราชญ์ Pliny ท่านว่าไว้ว่า..ไวน์โรมันชนิดหนึ่งเป็นองุ่นผสมระหว่าง พันธุ์ Thasian พันธุ์ Soot และพันธุ์ Pine-Tree เลยทำให้ เหล่าปราชญ์ในยุคปี 2000 BC งงเป็นไก่ตาแตก..ไม่สามารถวิจัยออกมาได้ว่า เป็นพันธุ์อะไรกันแน่.. ส่วนในเรื่องของการชิม และการดมกลิ่น ท่านปราชญ์กาโต..ได้เขียนไว้เป็นสูตรผลิตว่า..ถ้าต้องการให้ไวน์มีกลิ่นที่จรุงใจ..จงใช้ไหชนิดดีพิเศษที่มีส่วนเคลือบพิเศษด้วยยางสนชนิดดี ชะโลมไล้ด้วยน้ำมันดิน ผ่านการอบในขี้เถ้ากำยาน สมุนไพรหอม และ "ด้วยฝีมือของช่างทำไหที่ชำนาญ.." ขอบอกว่า ชาวกรีกนั้นใช้ภาษาที่ไพเราะมาก..ดังประโยคสุดท้ายอันเปรียบถึงฝีมือช่าง..ว่าดีเลิศ ชำนาญ นั้นยังไม่ได้อารมณ์จริงด้วยซ้ำ ในสำนวนของจริงที่แปลมาคำต่อคำ ท่านเขียนไว้ว่า.. "The palm that the perfumers keep." เพราะในสมัยโบราณ ช่างทำน้ำหอม หรือ Perfumers นั้น หาใช่ช่างธรรมดาที่ทำอยู่ตามห้องแถวไม่..แต่ต้องเป็นชาววังในราชสำนัก ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม ละเมียดละไม ประณีต และขอโทษนะเคอะ..wine critics อาชีพที่กำลังโด่งดังในปัจจุบันนี้.. ความจริงได้มีขึ้นมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว.. เพราะผู้บริโภคอย่างชาวกรีกและชาวโรมัน ต่างมีความคิดเห็นในเรื่องไวน์เป็นของตัวเอง บรรดาปราชญ์ทั้งหลายได้ทำรายชื่อไวน์ขึ้นมา..มีการนำมาถกและให้คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ หรือ บ๊อบ ปาร์คเกอร์ในยุคนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ ท่าน ปลินนี่ นั่นเอง ท่านได้ให้คะแนน ไวน์ของ Caecuban ถึง..XCVI (เท่ากับ 96 แต้ม) และให้ไวน์ Falernian XC (เท่ากับ 90 แต้ม) จากคะแนนเต็มร้อย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 29 ก.ย. 49 09:31:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่อง Perfumers นั้น คุณอาวิ เคยอ่านเรื่อง Das Parfum หรือไม่ครับ ชื่ออังกฤษ .. Perfume: The Story of a Murderer สนุกมากจนวางไม่ลง และจะมีทำเป็นหนังเร็วๆนี้ด้วยครับ สไตล์ ฮันนิบาล เลคเตอร์ ภาคนักปรุงน้ำหอม ในราชสำนักฝรั่งเศส หลอนหน่อยๆ จากคุณ : sofatboy - [ 29 ก.ย. 49 13:50:30 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ท่านปราชญ์ Pliny ที่คุณอาวิเล่า มีชื่อว่า Gaius Plinius Cecilius Secundus (23 - 79 AD) หรือ เรียกกันว่า Pliny the Elder ... ที่เรียกอย่างนี้เพราะอาจจะมี Pliny หลายคนในครอบครัว ... เป็นนักคิด นักเขียน ทหาร แต่ที่ ปลินนี่ มาเอี่ยวกับไวน์เพราะว่าเขียนหนังสือชื่อว่า Historia Naturalis (Natural History) ที่พี่แกร่ายยาวเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆไว้ทั้งหมด 37 เล่ม แต่เล่มที่ 14 เป็นเล่มที่เกียวข้องกับไวน์ทั้งเล่ม ตั้งแต่ ชนิดต่างๆของไวน์, พันธุ์องุ่น, การทำไร่ไวน์, การเก็บไวน์ จนไปถึงไวน์ที่มีชื่อเสียงต่างๆ เรียกได้ว่าครอบจักรวาลเรื่องไวน์ในสมัยนั้นทีเดียวล่ะครับ บ๊อบ ปาร์คเกอร์โรมันคนนี้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดถล่มเมืองปอมเปอิครับ จากคุณ : sofatboy - [ 29 ก.ย. 49 14:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ยุ่งจนหัวหมุน ติ้วๆๆๆๆ เลยครับ... ขออนุญาต เก็บของดีไว้อ่าน เสาร์ - อาทิตย์ ครับ จากคุณ : พ่อหมี Polar Bear - [ 29 ก.ย. 49 17:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 32 Thank you ka จากคุณ : horseshoes - [ 29 ก.ย. 49 22:23:46 ]

ความคิดเห็นที่ 33 วันนี้ไปลองมาแล้วครับ สุวรรณภูมิ ไปสิงคโปร์ flight แรกของสนามบินใหม่ ที่บินไปสิงคโปร์ ไปเช้าเย็นกลับ ยิ่งใหญ่อลังการ งานสร้าง ไปถึง 6:30am ต่อแถว check in แล้วไปต่อแถวเข้า ต.ม. ออกจาก ต.ม. เพื่อเดินไป gate ที่เวลา 8:05am อืดสุดๆครับ จากใจ ต่อคิวเป็นคนที่ 7 ครับ ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมง กว่าจะถึงตาเราเข้าตรวจ -___-'' ขากลับ งวงช้างเต็ม ต้องนั่งรถบัส เข้าใจว่าขนมาจากดอนเมือง ตลอดทางประตูมันร้อง ปี้บๆๆๆ คงต้องการการซ่อมบำรุงด่วน เข้าแถว ต.ม. เหมือนเดิม อืดสนิท ไปถึงคิวตรวจ ที่หน้าอกท่านเจ้าหน้าที่ มีบัตรพลาสติก สอดกระดาษไว้ เขียนว่า "Trainee" เยี่ยมไปเลย .... จากคุณ : LightStream1010 - [ 30 ก.ย. 49 00:29:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ปัญหา อยู่ที่ว่าของที่ขนมาโดนตรวจหรือเปล่าคับคุณ LightStream1010 อิอิ สวัสดีตอนสายๆมารออ่านต่อคับพี่วิ จากคุณ : WWDFC (Nic Nenin) - [ 30 ก.ย. 49 09:04:28 ]

ความคิดเห็นที่ 35 มาลงชื่อครับ เพิ่งอ่านกระทู้ที่แล้ว ที่คุณวิโรจน์นัดชาวไวน์ไปสังสรรค์กัน เฮ้อ...อยากไปด้วยจังเลยครับ คุณ WIWANDA เดาถูกครับว่าผมอยู่แถวใหน Calon Segur ที่ผมบอกเก็บไว้ให้ก็ไม่ได้ serious อะไรมากนัก สำหรับคุณ WIWANDA มันก็ธรรมดาๆ และแถวๆนี้ราคามันก็พอๆกับเหล้าดีๆสักขวด เอ...แต่ไอ้ "อย่างอื่น" ที่ว่าจะเอามาแลก นี่มันอะไรน้าาาาา สำหรับขวดที่เผื่อให้คุณ "Tweety สี่ตา" นี่ สัญญาครับ ว่าเก็บไว้ให้จริงๆ จะให้ผมส่งไปที่ใหนล่ะ ? จากคุณ : Evilmo - [ 30 ก.ย. 49 10:19:06 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ไม่โดนตรวจครับ อิ อิ เที่ยวนี้ถือมา เปิดเผย หิ้วถุงมาเลย ไม่ยักกะโดนเรียกตรวจ จากคุณ : LightStream1010 - [ 30 ก.ย. 49 10:59:01 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ที่คุณ Evilmo ถามมาว่า.. "เอ...แต่ไอ้ "อย่างอื่น" ที่ว่าจะเอามาแลก นี่มันอะไรน้าาาาา....." มิบังอาจหรอกค่ะ...เพียงแต่คิดว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งมีโอกาส ไปเล่นกอล์ฟแถวๆนาปาอีก.. อาจจะชวนให้ออกมาเปิด..และ ประกบคู่ ลองชิมเทียบ กับไวน์ตัวนี้ดู Ch. Haut Bailly 2000 เพราะได้ลองแล้ว..ขอตรงๆค่ะ ว่าตั้งแต่เขาได้ปรับปรุง โรงไวน์ใหม่ เทคนิคใหม่.. คุณภาพคับแก้ว..ดีที่สุดในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา..(เพิ่งลองเมื่อเดือนที่แล้ว) และเริ่มไปจากของปี 2000 มานี่..จะดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ อยากให้ลองชิม..ถ้าชอบ...ก็รีบหาซื้อเก็บไว้ซะ เพราะ ราคายังตรึงอยู่ในระดับยุติธรรม.. จากคุณ : WIWANDA - [ 30 ก.ย. 49 11:46:11 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ^ ^ งื้อ...อยากชิมจัง อะไรที่พี่หวานว่าดีว่างาม เมื่อคืนเจอป๋าค่ะ นินทาพี่หวานกันสนุกไปเลย จ๊ากกกกก มีพี่หมูสองทีกับตาระร่วมด้วย ตาระทำท่าที่พี่ไปว้ากตอนกินข้าวหลังแข่งกอล์ฟให้ดูอะค่ะ หัวเราะกันจนปวดท้อง หวังว่าพี่คงไม่โกดนะ เรื่องของเรื่องคือคิดถึงพี่กันมากไม่รู้จะทำไงดี อิ๊อิ๊ คุณ Evilmo คะ นกยังไม่มีอะไรไปแลกค่ะ ฝากไว้ก่อนละกัน กลัวของฟรีด้วยค่ะ (เชื่ออาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศค่ะ ที่ท่านว่า....โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี) อย่างไรก็ตาม ขอบคุณในน้ำใจนะคะ ใจดีจังเลย จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 30 ก.ย. 49 12:33:18 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มาสมัคร fan club คุณ WIWANDA ค่ะ วันนี้เข้ามาหานิยาย เจอกระทู้โดยบังเอิญ เคยคิดมานานว่าน่าจะมีเวบบอร์ดที่คุยเรื่อง ไวน์ๆ ดีใจมาเจอปรมาจารย์และท่านผู้รู้ ขอแจมด้วยคนนะคะ ตามอ่านมาชั่วโมงเต็ม ยังอ่านไม่หมดเลยค่ะ ตามหากระทู้เก่าๆที่แตกประเด็นมา ไปได้ถึงตอนที่ยี่สิบเท่านั้น เคยทานแต่ไวน์แดงค่ะ pinot noir, merlot, shiraz แต่สังเกตบางทีจะมีอาการแพ้กับบางรุ่น ของบางประเทศ เลยหันมาลองไวน์ขาวค่ะ มื้อเย็น มักจะขาดไวน์ไม่ได้ เนื่องจากเปิดขวดไม่เก่ง ทานคนเดียว หลังๆจึงดื่มไวน์ออสซี่ ที่เป็นแพคเกจกระดาษ ของ Banrock Station บ้าง Piere Henry บ้าง พอทานได้ ราคาย่อมเยา ช่วงนี้ดื่ม ชาโดเน่ย์ 2005 ของ VENDANGE California กล่องละร้อยกว่าบาท ห้าร้อย ซีซี ค่ะ พกพาง่าย สงสัยว่าคนที่เริ่มดื่มไวน์ใหม่ๆ จำเป็นต้องเริ่มจาก ของดีที่สุดไหมคะ 0kd grande cru classe อะไรทำนองนั้น ส่วนตัวเคยนึกว่า ต้องรู้จักของดีก่อน เป็นสำคัญ แต่พอลองมากๆเข้า รสนิยมตัวเองชักจะลงร่องค่ะ คือคงจะตามๆภาวะเศรฐกิจ .... จากคุณ : nijja - [ 30 ก.ย. 49 19:22:57 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ในสมัยท่าน ปลินนี่ จะมี Purfumers คู่ใจ อย่าง มิเชล โฮลอง หรือเปล่า น้า.... จากคุณ : พ่อหมี Polar Bear - [ 30 ก.ย. 49 21:14:03 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เรื่อง Purfumers นั้น คุณอาวิ เคยอ่านเรื่อง Das Parfum หรือไม่ครับ ชื่ออังกฤษ .. Perfume: The Story of a Murderer สนุกมากจนวางไม่ลง และจะมีทำเป็นหนังเร็วๆนี้ด้วยครับ สไตล์ ฮันนิบาล เลดเตอร์ ภาคนักปรุงน้ำหอม ในราชสำนักฝรั่งเศส หลอนหน่อยๆ จากคุณ : sofatboy - [ 29 ก.ย. 49 13:50:30 ] เรื่องนี้สนุกจริงๆค่ะ มีคนเเปลเป็นภาษาไทยตั้งสองคน นัยว่าคนที่สองไม่ทราบว่าเคยมีแปลลงสตรีสารมาก่อน จากคุณ : nijja - [ 30 ก.ย. 49 22:38:16 ]

ความคิดเห็นที่ 42 รับน้อง...... เย้เย้ ขออนุญาตพูดแทนป้าวิ .... คุณ nijja เข้าแล้วห้ามออกนะคร้าบ... จากคุณ : Master_Indy - [ 1 ต.ค. 49 01:55:20 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ต้นฉบับ Das Parfum เขียนโดยนักประพันธ์เยอรมัน Patrick Suskind มาเป็น Perfume: The Story of a Murderer อ่านมานานมากแล้วค่ะ แต่ไม่ค่อย "อิน" เท่าไหร่ เพราะ เรื่องลึกลับสยองขวัญ ไม่ค่อยปลื้ม...ค่ะ หนังที่สร้างจะออกมาในเร็วๆนี้..ตามกำหนดคือ 14 กันยา..แต่..ยังไม่เห็นมาฉายเลย (หมายถึงที่เมืองที่อยู่นี่) ขอส่งข่าวหน่อยนะคะ.. สำหรับคอไวน์มือใหม่ที่จะไปร่วมในงานพบปะชาวไวน์..อยากจะได้ชุด "ดีวีดี" (3 แผ่น) อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับไวน์ขั้นปฐมบท ทั้งการผลิตและแนะนำต่างๆ ... ขอได้ที่คุณ ทวีตี้สี่ตา ค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ คุณป๋าชช. เธอเป็นผู้ออกทุนให้ (ขอบคุณมากค่ะ ป๋าขา) แต่มีข้อแม้คือ..ต้องเอาแผ่นเปล่ามาแลก เพราะ ป๋าจะได้เอาไปอัดต่อเพื่อไว้ให้เพื่อนคนอื่นๆที่สนใจ .......... ขอต้อนรับ คุณ nijja เข้ากระทู้ในฐานะน้องใหม่ค่ะ คุณ nijja นี่น่ารักดี..เป็นคนที่ชอบทานไวน์เพื่อเจริญอาหารจริงๆ และเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องที่สุด (ขอย้ำ) เพราะการทานไวน์แบบคุณ จะกลายมาเป็นนิสัยส่วนตัวในที่สุด.. เมื่อมาเป็นนิสัยแล้วก็จะกลายมาเป็นการพัฒนาในความเคยชิน..นั่นคือ คุณจะยึดเอามาตรฐานของ ไวน์กล่อง เอาไว้เป็นตัวตั้ง.. ทีนี้ ถ้าคุณลองไวน์อื่นๆที่แตกต่าง..ความรู้สึกก็จะบอกคุณเองละค่ะ ว่า..มันต่างกันอย่างไร ลึกซึ้งกว่าเช่นใด ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร.. ถึงมันจะเป็น Grand Cru Classe เลอเลิศมาจากไหนก็ตาม ถ้าเราไม่ชอบ...มันก็ไม่มีความหมายใดๆ และไม่ต้องอายใครด้วย..ที่จะประกาศว่า.. ชอบไวน์กล่องมากกว่า..!! เพราะนี่คือความเป็นตัวของตัวเอง... ในการเขียนเรื่องไวน์ในครั้งนี้ ไม่เคยมีเจตนาหรือชักจูงว่า..ต้องกินแต่ของดี..ของแพง..ของหายาก เท่านั้น.. ไม่มีใครสามารถหา"ของดี"มาสนองอารมณ์ตัวเองได้บ่อยๆหรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่เศรษฐีที่มีเงินล้นฟ้า หรือ ได้รับแจกให้ชิมฟรีๆจากสปอนเซอร์ต่างๆโดยสาขาวิชาชีพ เราควรมีไวน์ในดวงใจ..ที่มีคุณสมบัติ คือ ถูกใจ ถูกปาก และ ถูกกระเป๋า... ส่วน "ของดี" ที่อาจจะมีแว๊บๆเข้ามาบ้างในชีวิตให้ลองได้ชิม ได้ลิ้มรส.. ก็ขอให้ถือว่า..นั่นคือ รายการ"ส้มหล่น" ในสมัยนี้..ที่วงการไวน์ได้พัฒนาไปมากแล้ว..โอกาสที่เราจะได้ชิมไวน์ต่างๆนั้นไม่ยากเย็นอะไร ทราบว่ามีไวน์บาร์ หลายๆแห่งเปิดให้บริการ ขายเป็นแก้ว..ที่เราสามารถไปนั่งจิบอ้อยอิ่ง..เรียนรู้หาประสบการณ์ไปได้เรื่อยๆ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 04:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สวัสดีค่ะพี่หวาน... มาปลุกในฝันนี่นา (หลังไมค์ด้วยค่ะ) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 1 ต.ค. 49 05:05:18 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คคห. ที่ 38 ที่คุณ Tweety สี่ตา เล่ามาน่ะ.. พรรคพวกที่นี่อาจไม่เข้าใจว่าอะไรได้เกิดขึ้น.. คือ พวกกลุ่มกอล์ฟเขาพบปะเจอะเจอกัน และมีการนินทา วิวันดาประปราย.. เนื่องจากผู้ที่ถูกเอ่ยถึง..ไปสร้างวีรกรรมไว้ที่สนามกอล์ฟทบ. ที่มีอาการ "ของขึ้น" จนเรียกว่า ช้างแทบจะฉุดไม่อยู่ กำลังจะ "ลุย" โต๊ะนายพลอยู่รอมร่อ.. ส่วนที่น้องนกได้ถามมาเรื่อง "ไมเกรน" ที่เป็นโรคประจำตัว ว่า..เพราะพี่กินไวน์หรือเปล่า..? ตอบ..เป็นมาตั้งแต่อายุ 14 แล้วค่ะ อาการจะเกิดต่อเมื่อ นอนน้อย ทำงานมาก เขียนกระทู้เยอะๆ (อิอิอิอิ) อ้อ.และขอบอกว่า คุณtinglee tingamee ออกหนังสือแล้ว..ชื่อ ภูฎาน แนบชิดสนิทรัก น้องนกช่วยไปซื้อเก็บไว้ให้พี่หน่อยนะ...ขอบคุณม๊าก มาก จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 05:09:54 ]

ความคิดเห็นที่ 46 อรุณสวัสดิ์ครับพี่วิ และทุกๆท่าน ดีใจมากครับ ในที่สุดพรุ่งนี้ก็จะได้กลับแล้ว มาเที่ยวนี้ ตอนว่างๆ แทนที่จะไปเที่ยว ดันหมดเวลาไปหลายกับ Institute ของไวน์สองแห่งที่ลิสบอนครับ เลยว่าจะมาเล่าสู่กันฟังซักเล็กน้อย อันแรกที่ไปเป็น Solar do Vinho do Porto ครับ จากชื่อก็คงจะทราบได้เลย ว่าเป็น Institute เกี่ยวกับ port wine ครับ เสียดายว่าผมไปถึงก็ค่ำแล้ว เลยไม่แน่ใจว่ามันมีส่วนให้ชิมพอร์ทไวน์ฟรีและมีโซน exhibition หรือเปล่า แต่เขามีส่วนที่เป็นร้าน wine bar ตกแต่งสวยงามเป็นโซฟานั่งสบายๆ ให้คนเข้าไปนั่งจิบพอร์ทไวน์แกล้มชีสต่างๆครับ ในตัว wine list ของเค้า ก็จะมีให้ความรู้เรื่อง port wine ในแบบต่างๆ (เช่น ว่าแบบไหน ต้องหมักกี่ปี และรสจะต่างกันอย่างไร เป็นต้น) มีให้เลือกชิมมากกว่าร้อยชนิดครับ จากถูกสุดๆ ไปจนแพงระยิบเลย และถ้าเราสนใจ เขาก็มีพอร์ทไวน์ขายด้วยเช่นกันครับ จากคุณ : LaGrandeRue - [ 1 ต.ค. 49 05:46:34 A:87.196.231.60 X: TicketID:105596 ]

ความคิดเห็นที่ 47 รับปฏิบัติคับป๊ม อาทิตย์หน้านี้พี่สาวนกบอกวาจะได้พลอยแกมเพชรฉบับเจ้าชายมาแล้วค่ะ หลังจากวนไป 4 บ้าน สภาพจะเป็นไงน้อ -_-" จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 1 ต.ค. 49 06:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 48 สวัสดีค่ะ คุณ LaGrandeRue โถ..พ่อคุณ..อุตส่าห์รีบส่งข่าว ว่าแต่สมัครสมาชิกกับพันทิบส์หรือยังคะ..เพราะจะได้โพสต์รูปให้พวกเราดูกันได้ รออ่านเรื่องไวน์เยอรมันอยู่นะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 06:06:10 ]

ความคิดเห็นที่ 49 (พี่หวานอ่านแล้วนกขอลบออกนะคะ) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 1 ต.ค. 49 06:49:56 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อรุณสวัสดิ์คับทุกๆท่าน มารอแต่เช้าเลยคับ จากคุณ : Nic (Nic Nenin) - [ 1 ต.ค. 49 07:50:57 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ควรจะเล่าต่อเสียทีกระมัง..ก่อนที่ไมเกรนจะขึ้นอีก แหะ แหะ.. ขอขอบคุณพ่อหลาน sofat ด้วยที่เข้ามาเพิ่มเติมให้ทั้งภาพและคำบรรยาย ช่วยๆกันหน่อยนะ หลานเอ๋ย...ตอนนี้เครื่องคอมพ์ใหม่ของป้ามันไม่น่ารักเลย..คือยามที่จะเปลี่ยนตัวอักษร ต้องไปกดที่มุมล่างซ้าย ตรงที่สลับอักษร ไม่สามารถทำได้ด้วยการกดไอ้ตัวนี้ ~ อย่างเครื่องเก่าง่ะ เลยไม่ค่อยสะดวก .................................... ไวน์ในยุคต้นคริสต์กาลนั้น..มีการแบ่งเป็นชั้นเป็นระดับเหมือน ดังที่ได้เอ่ยแล้วมาถึงเรื่องของไวน์ Caecuban และ ไวน์ Falernain ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของในยามนั้น.. จากการบันทึกของ ปราชญ์ Strabo ที่มักชื่นชอบไวน์จาก หลายแคว้น..โดยเฉพาะไวน์จาก เตอร์กี, หมู่เกาะเอเจียน (Aegean Islands) และ ไวน์ที่มาจากตอนใต้ของอิตาลี ที่ได้รับคะแนนท่วมท้น ส่วนไวน์จาก Liguria ท่านว่า มีกากเยอะไป ไวน์ของ Libya ท่านว่าเติมน้ำทะเลเยอะไป.. ส่วนไวน์เด็ด.. เคคิวบัน ที่มาจากตอนใต้ของโรม อันเป็นที่รู้จักในยามนี้ว่า มณฑล Latium ส่วนเรื่องของอายุไวน์เก่า วินเทจโน้น วินเทจนี้ ไม่มี.. แต่ไวน์เก่านั้นมี..หมายถึงไวน์ที่เหลือรอด..ไม่บูดเสียก่อน จากปีที่แล้วตกค้างมา.. ดังที่มีปรากฏในหลักฐานที่เขียนไว้ใน 301 AD ว่า.. ในยุคของจักรพรรดิ์ Diocletian พระองค์ได้กำหนดราคาไวน์ไว้ว่า ไวน์(ธรรมดา)ราคาไหละ 8 เบี้ย (หน่วยนับคือ deniers a setier) ส่วนไวน์เก่า ราคาไหละ 24 เบี้ย.. นั่นแสดงว่า..ไวน์เก่ามีราคาดีกว่าไวน์ใหม่หลายเท่าตัว ส่วนไวน์ Falernain นั้น..โด่งดังเพราะนอกจากจะเป็นไวน์เด็ดดังแล้ว..ยังได้รับเกียรติจากท่าน Opimius ท่านผู้ว่ากรุงโรม (ในปี 121 BC) ที่ได้ดิบได้ดี ได้รับตำแหน่งเพราะว่าสามารถปราบการจราจลการเลือกตั้งให้มีความสงบเรียบร้อยได้ ซึ่งท่านได้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะโดยใช้ไวน์ ฟาเลอเนียน วินเทจปีนั้น 121 ฉลากที่เขียนที่ไห เขียนไว้ว่า "Falernian Consul Opimius" เลยได้ชื่อมาใหม่ว่า..อีกชื่อหนึ่งว่า Opimian (ออพิเมียน..คือชื่อที่เหล่ากลุ่มเกจิไวน์ชอบเอาไปตั้งเป็นชื่อชมรมไวน์...) ก็ตั้งตามชื่อของท่านผู้ว่า ออพิเมียส นี่แหละ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 07:51:53 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ในหนังสือของท่านปลินนี่ที่เขียนทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังได้อ่าน..คือ Natural History นั้นได้บรรยายถึงเรื่องไวน์ในต้นคริสต์กาลได้อย่างละเอียด (ใครสนใจก็ไปหาอ่านเอานะ แค่ 37 เล่มยักษ์ๆเอง) ท่านได้จัดเรียงไห้เราทราบว่า ในยุคนั้น มีไวน์นานาชนิด กล่าวคือ 50 ชนิด เป็นไวน์ที่มีคุณภาพดี 38 ชนิด คือไวน์ที่มาจากต่างเมือง รวมทั้งจัดอันดับ แบ่งเขตของพันธุ์องุ่น และ วิธีการผลิตให้เรียบร้อยทั้งในและนอกอิตาลี.. ไม่ใช่เฉพาะไวน์เท่านั้น ที่เขียนบันทึกไว้ มีหมด ตั้งแต่ชนิดของเกลือ น้ำตาล ไวน์ที่กล่าวมา..ย่อมทราบกันดีว่าเป็นไวน์แดงแน่นอน เพราะหมักทั้งเปลือกทิ้งไว้ในไห แต่ไวน์ขาวก็มี..และมีราคาแพงกว่าไวน์แดง เพียงแต่สีจะออกเป็นอำพัน ไม่ใช่ขาว เนื่องจากวิธีการหมักที่เอาไหไปตั้งบนชั้นบนของส่วนที่ตั้งเตาไฟ..เป็นการรมด้วยความร้อนกลายๆ (หรือที่เรียกว่าวิธี maderize) และสำหรับรสชาติ ท่านปราชญ์ปลินนี่ ได้จำกัดไว้แค่สาม อย่าง..นั่นคือ dry, sweet, light หากแต่รสชาติของไวน์นั้น ไม่ใช่คุณสมบัติสุดยอดของไวน์..ว่าจะเป็นไวน์ดี หรือ วิเศษประการใด.. คนที่จะบอกได้ว่าไวน์ไหนดีหรือไม่ดีนั้น..คือ แพทย์ เนื่องจากไวน์..คือ ยารักษาโรคสารพัด กรรมวิธีการใช้ก็ต่างกัน..ตามสมุฏฐานของโรค อย่าง ไวน์ที่ผสมกับน้ำส้มหมัก สามารถรักษาโรคตาแดง ตาอักเสบ..ฯลฯ จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 08:17:34 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณค่ะ ทุกๆท่าน รู้สึกอบอุ่นจัง คุณ Master_Indy เล่นปิด exit ดื้อๆ ก๊อ... เลยตามเลยก็ได้ค่ะ อุ อุ ขอบคุณ คุณวิที่กรุณาตอบให้หายข้องใจ ขออนุญาตไม่เรียกป้าวินะคะ ......... ยังเหลือ grand cru classe อีกขวดค่ะ ที่ไม่ได้เปิด เพราะเปลี่ยนมาทานไวน์ขาว Chateau Latour-Martillac Pessac Leognan ของปี 1997 หาในเวบจะเจอแต่ที่ขาย ต่างปีกัน http://www.finestwine.com/en/wine.php?item=Chateau-Latour-Martillac--Pessac-Leognan-Red-Wine-1999-wb750-1&PHPSESSID=16f59d49b9f56bb11874a6159871c437 ซื้อโดยบังเอิญที่ญี่ปุ่น ทำไมราคาถูกมากก็ไม่ทราบ พันกว่าบาท อาจจะเก่าเกิน รสเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปได้ไหมคะ กับ กรอง กรู กลาเซ่ รูป ถ่ายเองอาจโหลดไม่ขึ้น ไม่เคยทำ จะเอารูปจากเวบขึ้นนะคะ ///มาขอเติมข้อความว่า ถ้าเคยคุยไปแล้วเรื่องนี้ รุ่นนี้ ขออภัยค่ะ เดี๋ยวตามอ่านเองได้ค่ะ ... และ จริงๆด้วยค่ะ รูปที่ถ่ายเอง โหลดไม่ขึ้น/// จากคุณ : nijja - [ 1 ต.ค. 49 08:38:21 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แต่..ในช่วงเดียวกันกับปราชญ์ปลินนี่ยังมีชีวิตอยู่นั้น.. ยังมีอีกกลุ่มที่เหนือชั้น(กว่า) ที่ตัดสินไวน์ของตัวเองด้วยรสชาติ ไม่เกี่ยวกับการนำมาทำยา.. และใช้เป็นเครื่องดื่มเพื่อความจรุงใจ จรุงลิ้น.. นั่นคือ ชาวเอเธน ที่ได้ยกย่องไวน์ขาว Mareotic (จากแถบเมือง อเล็กซานเดรีย) ว่า.. "ยอดเยี่ยม หอมหวาน ใส กินง่าย ยิ่งกินยิ่งมัน..ไม่ปวดหัว ไม่ทำให้ท้องเสีย" เพราะไวน์ในยุคนั้น คือสูตรสำเร็จของการขับถ่าย ช่วยการถ่ายท้อง ส่วนที่ว่าไม่ปวดหัว เพราะว่า เป็นไวน์ที่มีแอลกอฮอลต่ำ ไม่มีแทนนินส์มาก (เพราะแทนนินส์ในไวน์ มีสาร ฮิสตามีนส์ ด้วย..) เรื่องเมาไวน์นี้ มีบันทึกไว้ด้วยว่า. กินหนึ่งไห (crater) เท่ากับเป็นการส่งเสริมสุขภาพ และความรื่นรมย์เหมาะกับในการชุมนุมงานซิมโพเซี่ยม ฟาดสองไห..เท่ากับ กำลังคึก เหมาะกับกิจกรรมร่วมเพศ ซดสามไห..เท่ากับ..หลับสบาย..ยาวโลดดด ถ้ายังไม่หลับ..ตามต่อด้วยไหที่สี่.. รับรองว่า..สันดานเสียๆที่มีทั้งหมดในตัวจะปรากฏต่อสายตาของสาธารณชน.. ท่านปราชญ์ Plato (427 BC - 347 BC) ได้เคยจัดระบบการเมาไวน์ในยุคก่อนคริสต์กาล ว่า... 1. ผู้ที่จะดื่มไวน์ได้ ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป 2. สำหรับผู้ที่มีอายุในเกณฑ์ที่ดื่มได้ ต้องรู้จักกำหนดของตัวเอง ห้ามเมาจนครองสติไม่ได้ 3. สำหรับผู้ที่มีอายุเกินสี่สิบขึ้นไป ดื่มได้ตามสบาย ไม่จำกัด 4. สำหรับผู้ที่ต้องใช้สติปัญญา เช่น ทหาร, ศาล, นายท่า ดื่มน้ำ.. 5. ทาสแรงงาน ห้ามดื่มไวน์ชนิดเดียวกับเจ้านาย 6. (อันนี้น่าสนใจมาก) ว่า..คู่ผัวตัวเมีย ที่ต้องการจะมีลูก ห้ามดื่มไวน์ในคืนที่จะมีกิจกรรม ข้อนี้ไม่ใช่การห้าม แต่เหมือนกับเป็นการเตือนสติต่อฝ่ายชาย..ว่า..การจะมีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรต้องใช้ "ตัวช่วย".. นี่ละค่ะ...คนโบราณยุคดึกดำบรรพ์ ที่เจริญไปด้วยความคิดและอารยธรรมอย่างชนิดที่เราไม่มีวันคาดถึง ภาพ..Plato จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 08:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 55 สวัสดีค่ะ คุณ nijja ยังค่ะ ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้ แต่ขอเรียนให้เข้าใจนิดหนึ่งว่า ไวน์ของ Chateau Latour-Martillac Pessac Leognan ที่คุณยกมา และข้องใจว่าทำไมราคาจึงไม่แพง.. ทั้งๆที่เป็น กรอง ครู กลาเซ่ (ตามที่คุณเข้าใจ) คุณยกมาไม่หมดค่ะ มันเป็น Grand Cru Classe de Graves ที่ไม่ใช่ Grand Cru Classe 1855 อันหมายถึง กรอง ครู แท้ๆที่เราพูดถึงกัน.. ถ้าอย่างของกราฟส์ที่อยู่ทางตอนใต้ชายแดน บอร์คโดซ์นั้น..ก็เหมือนกับการจัดอันดับไวน์ใน St.-Emilion ที่มาเกิดขึ้นในทีหลัง(สงครามโลก) เนื่องด้วยกระแสการค้าชักจูงให้จัดการทำโอท๊อปของเมือง ของแคว้น เพื่อกระตุ้นการขาย..เพื่อพยุงเศรษฐกิจ และเพื่อบอกให้คนทราบว่า เป็นของดี.. เพราะหนึ่งในไวน์จาก กราฟส์นี้ คือ กรอง ครู ที่มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งในห้าอรหันต์ นั่นคือ Ch. Haut Brion ไวน์ของ Graves ได้มาจัดอันดับในปี 1959 นี่เองค่ะ โดยรวบรวมทั้งหมดเป็น 16 ชนิด นั่นคือ Ch. Bouscaut (red & white) Ch. Carbonnieux (red & white) Ch. Couhins (white) Ch. Couhins Lurton (white) Ch. Domaine de Chevalier (red & white) Ch. Fieuzal (red) Ch. Haut-Bailly (red) Ch. Haut-Brion (red) Ch. La Mission Haut-Brion (red) Ch. Latour Haut-Brion (red) Ch. La Tour Martillac (red & white) Ch. Laville Haut-Brion (white) Ch. Malartic-Lagravere (red & white) Ch. Olivier (red & white) Ch. Pape Clement (red) Ch. Smith-Haut-Lafitte (red) ส่วนพื้นที่การปลูกองุ่นผลิตไวน์ของกราฟส์นั้นมีดังนี้ค่ะ Sauternes, Pessac, Talence, Leognan, Martillac, St. Morillon, and Portets และที่คุณเห็นว่า..ที่ป้ายขวดเขียนว่า Pessac-Leognan (เปสซัค-ลีโอญอน) นั้น หมายถึงการต่อเชื่อมติดกันของสองพื้นที่ ระหว่าง..Pessac และ Leognan ซึ่งเป็นพื้นที่ของการทำไวน์กราฟส์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เวลาที่จะเรียกชื่อ ต้องบอกให้หมดค่ะ ว่า.. กรอง ครู กลาเซ่ เดอ กราฟส์ (ส่วนพวกที่คุ้นเคยกับไวน์ เช่นบรรดาเกจิทั้งหลาย แค่บอกชื่อ ..เขาก็ทราบค่ะ ว่า เป็นไวน์ชั้นไหน ชนิดไหน..) จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 09:51:34 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณมาก มาก กกก ค่ะ คุณวิ .... เพิ่งกระจ่าง จริงๆมีสองขวดค่ะ ยังไม่ได้เปิด .... Grand Cru Classe de Graves จะจำไว้เลยค่ะ เห็นเรียกสั้นๆว่า กรอง ครูฯ เลยนึกว่านี่เป็นชื่อเต็ม ทำเก๋เรียกสั้นๆไม่ได้นะคะงานนี้ ... หุ หุ หุ เดี๋ยวถ้าทำรูปให้เล็กๆเป็น จะส่งรูปไวน์ขาวอีกขวดที่น้อง..... ให้มา นัยว่าเสริฟบนการบินไทย กับอีกหนึ่งชาโดเนย์ขวดเล็ก ที่ Emirate Airline ให้ ผดส ชั้นประหยัดค่ะ จากคุณ : nijja - [ 1 ต.ค. 49 11:10:25 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ดัง คคห.ที่ 37 ที่ได้นำ Ch. Haut Bailly 2000 มาให้ชม นั่นก็เป็น Grand Cru Classe de Graves เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ ไวน์ของกราฟส์ได้ตื่นตัว เริ่มพัฒนาคุณภาพอย่างจริงๆจังๆแล้วค่ะ จึงน่าจะรีบฉวยโอกาส อย่างรายการของ โอต์-เบยี ที่พูดถึงนี้ เราติดตามการพัฒนาของเขามาโดยตลอด เจ้าของเก่าตายไป ลูกหลานไม่อยากมาทำงาน ไม่อยากเสียภาษีมรดก จึงขายให้กับนักธุรกิจชาวอเมริกัน นาย Robert T Wilmers เมื่อปี 1998, แต่ยังจ้าง Veronique Sanders อดีตเจ้าของและผู้บริหารเอาไว้คงเดิม เจ้าของใหม่ทุ่มทุนไม่อั้นเพราะมองเห็นการณ์ไกล รวมทั้งเทคนิคการทำไวน์ที่ทันสมัยกว่าเดิม ดังนั้น..ผลที่ได้ต่อมา..จึงดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนไวน์จากกราฟส์อื่นๆ ก็ตื่นตัวไปตามๆกัน เพราะมองเห็นความสำเร็จจาก แซง-เตมิญอง และ เงินทองที่ไหลมาเทมา อยากให้เข้าไปดูในเวบของเขาค่ะ สวยและทันสมัยมาก.. ดูเท่าไหร่ไม่มีเบื่อ..พวกเขาทำออกมาด้วยความตั้งใจ ที่เราสามารถสื่อถึงได้.. http://www.chateau-haut-bailly.com/ จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ต.ค. 49 11:29:30 ]

ความคิดเห็นที่ 58 วิธีทำให้ใช้ปุ่ม ~ เปลี่ยนตัวอักษรได้นะครับ 1.ให้คลิ้กขวาที่ตรง ตัวอักษร EN หรือ TH ก็ได้นะครับ ตรงมุมขวาล่างครับ (ถ้าไม่มีให้คลิ้กขวาตรงแถวนาฬิกา แล้วเลื่อนขึ้นไปตรง tool bar ให้เลือกตรง language bar ครับ) เลือก setting ครับ 2.คลิกเลือก ตรง key setting ครับ 3.ให้คลิกเมาส์ 1 ที ตรง switch between input languages แล้วมาคลิกตรง change key sequence 4.ให้ติ๊กในช่อง switch input language ครับ แล้วให้เลือกตรง grave accent ครับ แล้วก็กด ok มา 2 ทีแล้วก็ apply และก็ ok ครับ จากคุณ : jearjear - [ 1 ต.ค. 49 14:39:27 ]

ความคิดเห็นที่ 59 พูดถึงไวน์ เป็นยารักษาโรค .... ไวน์จากไร่นี้ แก้วแรก.. แก้ Jet lag ชะงัดนัก ครับ จากคุณ : พ่อหมี Polar Bear - [ 2 ต.ค. 49 01:05:44 ]

ความคิดเห็นที่ 60 สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ คุณวิและชาวแฟนคลับ น้องใหม่คงเป็นอย่างนี้ทุกคน เช้าขึ้นก็มาตอกบัตรรายงานตัว เวบที่คุณวิให้มา สวยงามจริงๆค่ะ ดนตรีฟังคุ้นๆ โรแมนติค เปิดฟังมากกว่าเปิดดู ค่ำว่าจะไปหาที่ร้าน ..... ฝนตกเลยตรงกลับบ้านค่ะ ยังไม่ได้เอารูปขึ้นเพราะเหตุทางเทคนิคค่ะ โฟโต้เอด ไม่ทำงาน รูปใหญ่เกิน มีไวน์แดงอีกตัวที่ทานแล้วชอบ เคยถ่ายรูปไว้จะต้องหาก่อนค่ะ โอ.. ติดหนี้ไว้แยะเลย จริงๆขณะนี้อยู่.... (ต่างจังหวัด เมืองเล็กๆค่ะ) ตามฟังข่าวการเมืองตลอดสองวัน จนไม่เป็นอันทำงานทำการ เช้านี้ต้องไป...... แล้วค่ะ .....จะกลับเมืองไทย แต่เห็นปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิ กลัวมากว่าจะต้องรอกระเป๋าเป็นหลายๆชั่วโมง Happy working day naka everyone! จากคุณ : nijja - [ 2 ต.ค. 49 07:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เข้าไปดูhttp://www.chateau-haut-bailly.com/มาล่ะคับ ที่บ้านเนตช้า มาออฟฟิตเร็วกว่ามากๆ เป็นเวปที่ดีมากๆเลยคับ รูปสวยๆทั้งนั้นวิธีพรีเซ็นต์ ก็เริด.....คับ จากคุณ : เช้าที่ไม่มีแดด (Nic Nenin) - [ 2 ต.ค. 49 08:45:54 ]

ความคิดเห็นที่ 62 หวัดดีเจ๊... ไวน์ที่เคยถามไปปรากฎว่ามัน "แหลกไม่ล่าย" เลยครับหรือมันเสียแล้วก็ไม่รู้? ขอถามเจ๊ว่าถ้าเอาไปรดต้นไม้จะทำให้ต้นไม้ตายหรือเปล่า? หรือจะเอาผ้าขี้ริ้วชุบเช็ดนอกชานแทนชแล็คดีครับ? จากคุณ : Uncle Tee - [ 2 ต.ค. 49 08:48:48 ]

ความคิดเห็นที่ 63 สวัสดีค่ะ ทุกๆท่าน และ ขอขอบคุณคุณ jearjear ด้วยที่กรุณาให้คำแนะนำ ปรากฏว่า สำหรับ โน๊ทบุ๊คไม่มีปัญหา แต่ เครื่องตั้งโต๊ะ ทำไม่ได้ เพราะมันไม่มี ตัวเลือกของ grave accent ไว้ให้.. ช่างมัน..คอยกดเปลี่ยนเอาก็ได้.. คุณ nijja เข้ามาแต่เช้า..ดิฉันก็เช่นเดียวกันกับคุณค่ะ คือ..ทำงานด้วยใจพะวักพะวน อยากจะฟังเสียงท่านนายกฯ คนใหม่..ความจริงจะว่าไปแล้ว.ท่านเป็น "เขย" ของรุ่นดิฉันนะคะ เพราะ คุณหญิงภรรยาท่าน เป็น classmate ที่เขมะฯ คุณพ่อหมีฯ..ยังไม่หายเมาเครื่องอีกหรือนี่..? คุณ Nic ที่รัก..ไม่ใช่เว๊บสวยอย่างเดียวนะ ไวน์ของเขา นับตั้งแต่นี้ไป..พี่ถือว่าเป็น "เพชรน้ำงาม" เม็ดหนึ่งทีเดียว ลุงทีเพื่อนรัก..ถ้ามันแหลกไม่ล่าย..ก็อย่าเอาไปทรมานต้นไม้เลย..เททิ้งไปเหอะ อย่าไปเสียดาย "Life is too short to drink bad wine." จากคุณ : WIWANDA - [ 2 ต.ค. 49 09:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อันนั้นเป็นรูปที่ถ่ายที่ Greenock Creek ครับ คุณอา ผมขึ้นเครื่องเมืองไทย 6 โมงเย็น ต่อเครื่องที่ SIN ตอน 5 ทุ่มบ้านเรา.. ถึงอเดเลด ตี4 ครึ่งบ้านเราครับ.. รับรถที่ AVIS ขับไปบารอสซ่า เลย... สภาพ โทรม สุดๆ ได้ไวน์ 2-3 แก้ว .....ปิ๊งเหมือน เพิ่งตื่นนอนตอนเช้า... อะไรมันจะเห่อไวน์ขนาดนั้น... จากคุณ : พ่อหมี Polar Bear - [ 2 ต.ค. 49 11:07:37 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แวะมาตอกบัตรครับ... จากคุณ : Thirdwave - [ 2 ต.ค. 49 11:50:23 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตอกบัตรครับป้าวิ ส่วนเรื่องที่ไม่มี grave accent ผมถามเพื่อนมาได้ความว่าหากอยากจะให้มันมีต้อง install font ใหม่ครับ วิธีคือ 1.ให้คลิ้กขวาที่ตรง ตัวอักษร EN หรือ TH ก็ได้นะครับ ตรงมุมขวาล่างครับ (ถ้าไม่มีให้คลิ้กขวาตรงแถวนาฬิกา แล้วเลื่อนขึ้นไปตรง tool bar ให้เลือกตรง language bar ครับ) เลือก setting ครับ 2.ให้คลิ้กที่ thai kedmanee แล้วกด remove และ คลิ้กที่ keyboard แล้วกด remove และ คลิ้กที่ thai และกด remove และให้ทำแบบเดียวกันนี้กับ us ด้วยครับ 3.พอเสร็จแล้วมันจะเป็นค่า default ของเครื่อง ให้ restart ทีนึง แล้วใส่แผ่น window แล้วเลือก install font ครับ สวัสดีทุกๆคนครับ จากคุณ : jearjear - [ 2 ต.ค. 49 12:26:48 ]

ความคิดเห็นที่ 67 สวัสดีครับ พี่วิและสหายไวน์ ...เพิ่งกลับจากเมืองกาญจน์ ...ไปดื่มไวน์ในชายป่ามาครับ ...ฝนตกชะดินได้กลิ่นอาย ...มองดูน้ำซับ...ไหลระทวยไล้ซอกหิน ...ไวน์วอดไปแค่ห้าขวด ...Tasca d'Almerita 2000, Chardonnay, Chile ...สุดยอดกับน้ำพริกลงเรือ ...Ninquen 2003, Cabernet, Colchagua, Chile สุดยอดมากๆ ...พร้อมด้วยน้องเล็ก Ninquen 2004, Antu, Shiraz , Chile ...อร่อยมากกับคอหมูย่างเกรียม ...ตบท้ายด้วย Vieux Telegaphe 2001 'La Crau' Cht. du Pape ...Pecfecto..... ปล. ตอนนี้งาน Wiwanda FC นับตัวได้...15 คนแล้ว จากคุณ : วิโรจ (แดนไตร) - [ 2 ต.ค. 49 13:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 68 อิจฉาคุณพ่อหมีจัง เหนื่อยแต่ก็คุ้มหล่ะคับ ปล.รบกวนพี่วิโรจ ก๊อปซีดีที่ ตามิเชสโรลองค์ แสดงให้หนึ่งแผ่นด้วยคับเดี๋ยวผมไปก๊อปแจก เพื่อนๆในกลุ่มเอง ขอบคุณมากคับผม จากคุณ : nic Nenin (Nic Nenin) - [ 2 ต.ค. 49 14:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 69 มาตอกบัตรครับ ช่วงนี้อาจหายหน้าไปบ้าง อย่าว่ากันนะครับ จากคุณ : ผีติดสอบ (Phantom of the Cellar) - [ 2 ต.ค. 49 14:47:57 ]

ความคิดเห็นที่ 70 วันที่ 13 อย่าหายนา ค้าบ.. ศุกร์ 13 ผีออกนา ค้าบ.. จากคุณ : พ่อหมี Polar Bear - [ 2 ต.ค. 49 18:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ศุกร์ 13 จริงๆด้วยไม่ใช่ว่ามี 13 คนด้วยนะครับ แหมคุณพ่อหมีดื่มแต่เช้าเลยนะครับ ไร่ Greenock Creek นี้ไวน์หาซื้อยากจังเลยนะครับ เคยเห็นแวบๆที่ไวน์เซลล่าร์เหมือนกัน ตะกายกองข้อสอบมาพักผ่อนด้วยการอ่านกระทู้ครับคุณวิ จากคุณ : D19 - [ 2 ต.ค. 49 20:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ตัดสินใจได้ละ Riesling Brand 2001 ละกันครับ ^_^ วันก่อนไปนั่งดื่มกับพี่เล็กมา ติดใจ อยากดื่มอีกสักหน พกขวดนี้ไปละกัน จากคุณ : LightStream1010 - [ 2 ต.ค. 49 20:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ...ผมมีไอเดียว่า...วันศุกร์ที่ 13 นี้ ...จะดำเนินการกับไวน์ทั้งหมดที่ทุกคนนำมา ...เหมือนอย่างที่ผมเคยได้รับจาก En Primere ...ซึ่งจะเช่นนี้ครับ ...ไวน์ทั้งหมดจะถูกจัดวางบนโต๊ะ...วางรวมกัน ...ไวน์ทุกขวดถูกเปิดรอท่าไว้เท่าเทียมกัน ...ทุกคนจะมีแก้วในมือคนละใบ...ไปตลอดงาน ...แก้วใบนั้นจะใช้กับไวน์ทุกขวด..ที่อยากดื่ม ...ไม่เว้นว่าจะเป็นไวน์แดงหรือขาว ...ไม่มีแก้วไวน์ขาว...มีแต่แก้วไวน์แดง ...ใครใคร่ดื่มอะไร...ก็จัดการเอาเอง ...เคลียร์แก้วเอง...เลือกไวน์เอง...รินเอง...ดื่มเอง... ...อาหารเป็นกึ่ง...หางไก่...หลากหลาย...เรียงรายให้เลือกสรร ...จับกลุ่มนินทา (ไวน์กับอาหาร) กันเอง ...ทุกคนจะได้มีโอกาสหมุนเวียนกันจับกลุ่มสนทนาได้ ...ทำชีวิตให้เรียบง่าย จากคุณ : วิโรจ (แดนไตร) - [ 2 ต.ค. 49 21:36:58 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อยากไปด้วยจังเลย.... โฮ่ๆๆๆ ....... รอดูรูปถ่ายนะครับ WIWANDA FC จงเจริญ..โย่ว.. จากคุณ : Master_Indy - [ 2 ต.ค. 49 22:01:21 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อืมน่าสนครับ เป็นกึ่งหางไก่ก็ไม่เลว แต่มีที่นั่งซักนิดก็ไม่เลวนะครับ พี่วิโรจ จากคุณ : Phantom of the Cellar - [ 2 ต.ค. 49 22:41:24 ]

ความคิดเห็นที่ 76 วันที่13ไม่หายแน่ครับคุณพ่อหมี จากคุณ : Phantom of the Cellar - [ 2 ต.ค. 49 22:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เอ ... คุณวิคะ ไปร้านที่เป็น distributor ไวน์ มาค่ะ Yamaya เวบข้างล่าง http://www.yamaya.co.jp/en/cave/cave.htm ปรากฎว่ามีของชาโต้ Ch. Haut Bailly รูปใน คห ๓๗ ของคุณวิ อยู่ขวดเดียว เป็น Grand Cru Classe de Graves ดังที่ว่า แต่ของปี 1989 ค่ะ รสชาติก็น่าจะไม่แย่นักใช่ไหมคะ พนักงานเค้าก็หาในโกดัง (ในคอมพ์) ให้ค่ะ แต่ไม่มี เห็นคุณวิว่าเค้าอิมพรูฟมากตั้งแต่ปี ๒๐๐๐ เป็นต้นมา ใช่ไหมคะ เลยลองดูตามที่เขาขายในเวบ นี่ค่ะ http://www.finestwine.com/en/wine-search.php?wine=+Haut+Bailly เมืองไทยคงต้องไปดูที่ พารากอนมังคะ อาจจะราคาพอๆกับในเวบ เรื่องนายกฯคนใหม่ คุณหญิงท่านกระฉับกระเฉงดี แปลกใจค่ะที่ท่านก็รับราชการมาก่อน อย่างนี้ต้องให้เป็น เขยดีเด่นของรุ่นมังคะ .... อิ อิ จากคุณ : nijja - [ 2 ต.ค. 49 22:58:42 ]

ความคิดเห็นที่ 78 โทษทีครับ เมื่อวันก่อนกะว่าจะโพสตอนสองต่อเลย แต่เนทดันมีปัญหา เลยไปทำอย่างอื่นแทนครับ ตอนนี้ได้พักหายเหนื่อยแล้วก็มาต่อกันเลยดีกว่า แห่งที่สองนี่ชื่อว่า ViniPortugal ครับ ลักษณะเท่าที่ฟังและอ่านใบปลิวเค้าเข้าใจได้ว่า เป็นองค์กรณ์ส่วนหัวสุดของอุตสาหกรรมไวน์ในโปรตุเกสนี้ครับ และยังทำด้านการตลาดด้วย เค้าจะมี exhibition center อยู่ใจกลางเมืองครับ เพียงแต่ถ้าไม่สังเกตคงจะไม่ทราบเท่าไหร่ ที่นี่ มีให้ชิมไวน์ฟรีครับ แต่ทำเป็นระบบดี ช่วงที่ผมไปนี่ จะเป็นไวน์จาก Douro กับ Beiras (เป็นแคว้นใหญ่เลย อยู่ทางใต้ของ douro) คือเริ่มต้น เค้าจะแจกกระดาษให้เราก่อน ติ๊กว่าจะเอาไวน์อะไร สองอย่าง จากขวดที่โชว์ประมาณสี่สิบขวดได้ครับ พอเลือกแล้ว เค้าก็จะรินให้ จากนั้นเราก็เหมือนเติมคำในช่องว่างที่เค้าให้มาครับ ว่าสี กลิ่น รส เป็นยังไง และควรดื่มกับอาหารประเภทไหน และสรุปเราชอบเบอร์หนึ่งหรือเบอร์สองมากกว่า เรียบร้อย เราก็ส่งคืนให้เค้าครับ ก็คุยกันตามสมควรว่ารู้สึกว่าไวน์เป็นยังไง ดีไม่ดีตรงไหนอะไรแบบนั้นครับ ก็เป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งจะทำให้ผู้ชิมต้องตั้งใจมากกว่าการไปชิมไวน์ทั่วไป โดยรวมค่อนข้างประทับใจกับการบริการและการจัดการ เสียแค่ว่าไม่มีไวน์ระดับเรือธงมาให้ชิมครับ และระหว่างที่ผมชมในศูนย์ ก็เหลือบไปเห็นเจ้าหน้าที่เค้าเอาขวดไวน์มาเรียงกันเต็มพรืดบนโต๊ะ เลยไปถามเค้าได้ความว่า มันจะมีงานประมูลไวน์ตอนหกโมงเย็น ตอนแรกก็ว่าจะเข้าร่วมครับ ถึงกับลงชื่อ รับเบอร์และแค็ตตาล็อคไรเสร็จสรรพ อยากรู้ว่าจะต่างจากในเยอรมนีแค่ไหน แต่คิดไปคิดมาว่า สมควรจะไปชมเมืองบ้าง ก็เลยจำใจคืนป้ายเค้าไป อ่านดู มี Moscatel de Setubal ของ JM. Fonseca ที่พี่วิแนะนำด้วยครับ เพียงแต่มันเป็นจากปี 1900 น่ะสิ และราคาเริ่มที่สองร้อยห้าสิบยูโรครับ จริงๆ ถ่ายรูปทั้งสองแห่งไว้เหมือนกัน อยากจะโพสรูปเพียงแต่สมัครสมาชิกไม่ได้ครับ เพราะจำเลขบัตรประชาชนตัวเองไม่ได้ แถมหาไม่เจออีก จากคุณ : LaGrandeRue - [ 3 ต.ค. 49 02:11:42 A:80.171.83.31 X: TicketID:105596 ]

ความคิดเห็นที่ 79 กลับมาเยอรมนี ก็ได้ข่าวจากบริษัทไวน์ที่ผมเป็นลูกค้าอยู่เชิญชวนไปร่วมงานชิมไวน์ครับ โดยเค้ารับหน้าที่จัดให้กับ Bang & Olufsen ตามสาขาต่างๆทั่วเยอรมนีทุกปี ซึ่งปีนี้จะเอาไวน์หกชนิดจาก Les-5 มาให้ชิมกันครับ เป็นแดงห้า และขาวหนึ่ง ซึ่งเจ้า Les-5 นี่ก็เหมือน consortium ของผู้ผลิตห้าแห่ง ที่มาจากห้า Appellation ครับ โดยเค้ารวมตัวกันเพื่อจะได้โปรโมตไวน์ร่วมกันครับ ก็จะมี Branaire Ducru, Canon-la Gaffelière, Gazin, Pontet-Canet, ละก็ Smith-Haut-Lafitte น่าสนใจดีครับ ว่างานนี้จะเป็นยังไง กลับมาก็เลยจัดแจงโทรไปจองที่เรียบร้อย ส่วนเรื่องไวน์เยอรมนี เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาเขียนนะครับ จากคุณ : LaGrandeRue - [ 3 ต.ค. 49 02:30:08 A:80.171.83.31 X: TicketID:105596 ]

ความคิดเห็นที่ 80 งั้นเอาภาพกลุ่มเจ้าของ Les 5 ทั้งหมดมาให้ดูก่อน.. ทั้งหมดเป็นเพื่อนและค้าขายร่วมกันมานาน ต่างจับมือรวมตัวกัน กลุ่มเขาที่ต่างไร่ ต่างถิ่น..มีดังนี้ค่ะ Chateau Branaire (Saint Julien) Chateau Canon la Gaffeliere (SaintEmilion) Chateau Gazin (Pomerol) Chateau Pontet-Canet (Pauillac) Chateau Smith Haut Lafitte (Pessac Leognan) มีแค่ 5 ชาโต เพียงแต่ของ Smith Haut Lafitte มาทั้ง สองชนิดคือ ขาวและ แดง.. คุณ LaGrandeRue เล่าไปเรื่อยๆนะคะ เรื่องไวน์ของ ปอร์ตุเกส และเรื่องของพื้นที่ Douro กับ Beiras พี่จะเล่าขยายให้ฟังทีหลัง เพราะมันจะต่อเนื่องกับไวน์ของ โรมันที่กำลังเล่าอยู่.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ต.ค. 49 03:59:37 ]

ความคิดเห็นที่ 81 คุณ nijja ที่รัก เข้าไปดูในเวบที่คุณให้มา..เห็นว่า.. 1999 - Chateau Haut Bailly Appellation Pessac-Leognan Region Bordeaux, France Category Red Wine Price $ 143.00 price per unit Weight 0Kg Volume 750ml ราคาที่เขาว่ามานั่น..ราคา $ 143.00 ต่อ ยูนิท.. หมายถึงหนึ่งขวด (หรือคะ?) โอย...จะเป็นลมมมมม.. ราคานั้น ซื้อที่อเมริกาได้เกือบสามขวดค่ะ (สำหรับดิฉัน) รอไว้ซื้อของจากปี 2000 ขึ้นมาดีกว่าค่ะ เพราะเขาได้พัฒนา ปรับรูปโฉมในการผลิตใหม่ ถังโอ๊คใหม่ (ของเก่าโละทิ้งหมด) และกำลังสร้างฝีมือเพื่อเรียกชื่อเสียง.. ของปี 1999 นั้น ต่างกับของปี 2000 ราวกับฟ้ากับเหว ดิฉันแทบไม่เคยสนใจไวน์ของยี่ห้อนี้เลย (ในอดีต) เพราะเสียเวลาชิม.. แต่เมื่อทราบถึงการเปลี่ยนแปลงและเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่เหล่าผู้ค้าไปชิมในถัง เมื่อปี 2003 ส่งข่าวมาว่า..ดีแทบไม่น่าเชื่อ ขนาดกลุ่ม wine spectator ที่ขึ้นชื่อนักในเรื่อง "เหนียว" คะแนน ไม่ให้ใคร 90 ง่ายๆ ยังให้ โอต์-เบยี 2000 ถึง 92 (ของปี 1999 ได้แค่ 85 ประมาณนั้น) ของปี 2000 ใครต่อใครก็แย่งกันซื้อ อาจจะขาดตลาดในญี่ปุ่น เพราะ ต้องชิงมาครองก่อนที่บ๊อบจะมาชิม และเทคะแนนให้ในปีสองปีข้างหน้า ทีนี้ละ..ราคาจะโดดขึ้นไปจนจับไม่ลง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ต.ค. 49 04:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 82 อิจฉาคนที่นอนดมกลิ่นน้ำค้าง เคล้าชิมไวน์ที่เมืองกาญจน์ จิง จิ๊งงง.. ไปเจอกับคุณปีบหรือเปล่าคะ..นี่กำลังเคืองเธออยู่นะเนี่ย เพราะหายหน้า หายหนวดไปจ้อย ไม่เข้ามาทักทายกันเลย.. .............................. คุณผีติดสอบน่ะ...สอบอะไรหรือคะ..คุณ Phantom of the Cellar นี่ต้องจับเข้ากลุ่มไปกับ หลาน sofat หลาน Natt ส่วนบรรดาอาจารย์นั่นก็ คุณ D19 เจ้าพ่อคลับเอฟ คุณ nijja ซัง ก็สอนภาษาไทยให้ลูกศิษย์ต่างแดน แล้วคุณ LightStream1010, คุณ Nic, คุณ LaGrandeRue ล่ะคะ อยู่กลุ่มไหนเอ่ย...? จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ต.ค. 49 04:29:51 ]

ความคิดเห็นที่ 83 คุณ jearjear ที่รัก ขอบอกว่าคงต้องคอยจนกว่าจะมีชายใดที่มีความสามารถพลัดหลงเข้ามาในชีวิต จึงอาจจะทำตามที่แนะนำได้.. ป๊าดธ่อ..ถ้าเก่งขนาดนั้น ป่านนี้ไม่มานั่งหน้าจอเขียนเรื่องไวน์หรอกค่ะ ไปทำงานพาร์ทไทม์เกี่ยวกับเครื่องคอมพ์ ก็รวยเละ รู้ป่าว..ว่าเขาคิดชั่วโมงละ 75 เหรียญ สำหรับแค่ดูเครื่องเฉยๆ จะซ่อมหรือไม่ซ่อม ก็คือ ต้องจ่ายก่อน เป็นค่าหาสมุฏฐาน จากนั้นก็บวกต่อไปชั่วโมงละ 75 อีกเช่นกัน แล้วแต่ว่าจะซ่อมกี่ชั่วโมง คน(อย่างป้า) จึงแก้ไข หาทางออกด้วยการซื้อเครื่องใหม่ไงล่ะ และที่แนะนำมานั้น ฟังดูไม่ยาก แต่ไม่กล้าทำ กลัวว่าไปกดอะไรยุ่งเหยิง แก้ไขไม่ได้ ต้องไปซื้อใหม่มาอีก.. แต่ก็ขอบคุณมากค่ะ เอาไว้ตอนหลอกล่อให้เพื่อนผู้มีหัวทางนี้มาชิมไวน์ และให้ช่วยแก้ไขให้ตามขั้นตอนที่คุณได้ให้มา.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ต.ค. 49 08:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 84 พี่วิครับ ...ผมกลับบ้านเมืองกาญจน์เป็นครั้งคราว ...ดมกลิ่นฝน ดิน ต้นไม้ ...ดูหอยทากคลาน ดึ๊บๆ ...นั่งดื่มไวน์เงียบๆ กันสองคน...กับหวานใจ ...อายุปูนนี้...สายตาก็ไม่ได้มาประสบกันนัก ...ก็ได้แต่มองเลยผ่านไป...ในชายป่า ...นี่ก็กำลงรอ...คุณปีบ ...กลับมาอ่านว่า...เรากำลังจะมีสังสรรค์เหมือนกัน ...อยากเจอจริงๆ ครับ จากคุณ : วิโรจ (แดนไตร) - [ 3 ต.ค. 49 08:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 85 เล่าต่อเสียที..รับรองว่าสองวันนี้จะได้อ่านกันตาแฉะ เนื่องจากออกไร่ไม่ได้ เขาว่าฝนจะตก จะต้องอยู่โยง ดูราคาไวน์หน้าคอมพ์.. ................. ไวน์ในสมัยกรีก-โรมัน นั้น คือยาวิเศษ รักษาได้ทุกโรค ทั้งคนและสัตว์ เพราะท่าน Hippocrates (ฮิบพอคราทีส์ ที่ถือว่าเป็นศาสดาของวงการแพทย์ 470 BC-410 BC) ได้เขียนตำรารักษาวัวและแกะด้วยยาที่มีส่วนผสมของไวน์ ส่วนทางพระทางเจ้าก็ใช้เป็นส่วนประกอบของพิธีทางศาสนาอย่างไม่มีหกตกหล่น แม้ว่าปราชญ์อย่าง ท่านปลินนี่จะมาเขียนเรื่องส่วนเสียของไวน์ หรือข้อห้ามตามที แต่การใช้ไวน์ในยุคนั้น มีข้อแม้..ว่า ถ้าจะกินอย่าง ผู้ลากมากดี ต้องเติมด้วยน้ำสามส่วน.. มันผู้ใดก็ตาม..ที่ดื่มไวน์ไม่ผสมน้ำ หรือ น้อยกว่านั้น ถือว่า เป็นคนชั้นไม่มีระดับ ไม่มีวัฒนธรรม เรื่องการเติมน้ำสามส่วนในไวน์นั้น มาจากตำนานของ Dionysus เทพเจ้าแห่งไวน์ของกรีก อ่านได้ทั้งสองอย่าง คือ ไดออนนีซัส และ ดิออนนีซัส ส่วน Bacchus แบคคัส นั้น..ชาวโรมันเป็นคนเรียก.. ที่ว่า..ยามที่ท่านกำลังเพลินๆกับไวน์ที่ผสมด้วยน้ำสามส่วน ตามจำนวนของเทพธิดาสามองค์ที่ต่างช่วยกันรินให้คนละส่วนนั้น..ท่านสนุกสนาน คึกคักถึงกับพาเข้าห้องหอได้พร้อมๆกันทั้งหมด.. ส่วนทางด้านการกีฬา..ปราชญ์ Epictetus (เอปิเททัส) ท่านได้บันทึกไว้ว่า เหล่านักกีฬาโอลิมปิค (โบราณ) ทั้งหลายนั้น ในการเก็บตัวเพื่อการแข่งขันจะไม่แตะต้อง น้ำเย็นและของหวานเลย..แต่จะกินไวน์แทน ผลการตรวจร่างกาย มีว่า ไม่มีพิษมีภัยอะไร นอกจากทำให้เลือดลมสูบฉีดแรงขึ้นกว่าธรรมดา (ก็เท่านั้น) จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ต.ค. 49 09:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 86 พี่วิครับ ผมจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับพี่นิคครับ :D จากคุณ : LightStream1010 - [ 3 ต.ค. 49 09:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ส่วนตำนานของ Bacchus ในกรุงโรม มีตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับการเฉลิมฉลองงานกินไวน์แบบหัวราน้ำ ทุกคนจะต้องมนต์สะกด ร่ายรำ ร้องเพลง มีความสุขสนุกสนานเฮฮา และแน่นอนว่า ..ทั้งชายและหญิงที่ต่างร่วมกันทำกิจกรรมหมู่.. ซึ่งตรงนี้..ถูกใจใครต่อใครที่รักสนุกหลายคน เพราะในสมัยนั้น มันไม่มีเธค หรือ อาบ อบ นวด ให้เที่ยว ต่างก็ต้องสร้างแหล่งบันเทิงของตัวเอง โดยการจัดกิจกรรมตามแบบอย่างการใช้ชีวิตของท่านแบคคัส โดยตั้งเป็นชมรมรักสนุก (แบบลับๆ) กันขึ้นมา..จัดงานเรียกว่า Bacchanalia (บัคคะเนเลีย) และตั้งเป็นลัทธิ Bacchic (บัคคิค) ซึ่งเอาไว้ต้อนรับสาวก เข้าชมรมใจตรงกันด้วย ถ้าอยากทราบว่า บัคคะเนเลีย คืองานอย่างไหน ตอบได้ทันทีเลยค่ะ ว่างานอย่างฟูลมูน ปาร์ตี้ ที่จัดที่เกาะ อะไรนั่นน่ะ ใช่เลยค่ะ และผู้จัดที่ชอบจัดกันนัก ซ้ำซากได้ทุกปี เข้าข่ายว่าเป็น กลุ่มนิยมลัทธิ Bacchic ได้เลย.. ทีนี้ไอ้งานบัคคะเนเลียนี่ได้รับความนิยมจากชายชาวโรมันมากเข้าทุกที..ชักจะสร้างความเสื่อมทรามให้กับสังคม.. ดังนั้น..ทางกลุ่มนักการเมืองจึงรีบเบรคตัวโก่ง ออกกฏหมายห้ามทันที ในปี 182 BC ที่มีโทษหนักหนาสาหัสสำหรับคนที่ฝ่าฝืน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ต.ค. 49 09:53:14 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เข้ามาอ่านเมื่อสายๆ ค่ะวันนี้ยังวุ่นๆต่อ สอนภาษาไทยอาจง่ายถ้านศ เป็นชาติเดียวกันหมด วานนี้มีคนจีน อินโดฯ เข้ามาเพิ่ม จากที่มีอยู่ก่อน เขมร ญี่ปุ่น อเซอร์ไบจัน คิรกิสถาน? แถวๆนั้น เรียกไม่ค่อยถูกค่ะ และฟิลิปปินส์ .... ไวน์ตัวนั้นจริงๆ หยิบมาแล้วค่ะ สามพันกว่านิดหน่อย ปลายเดือนก็จะอยู่กรุงเทพฯเพียงสามวัน ไม่อย่างนั้นจะสมัครไปขอชิมด้วยค่ะ ... อยากรู้จักทุกคนค่ะ แต่เล่นกอล์ฟไม่เป็นนะคะ .... แวบก่อนค่ะ จากคุณ : nijja - [ 3 ต.ค. 49 10:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 89 "สมุฏฐาน" ศัพท์นี้คลาสสิคจริงๆ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 10:43:18 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เห็นด้วยกับพี่วิโรจคับ เอาแบบเรียบง่ายสบายๆ อยากทานอารายทาน ตามสะดวก ถ้าจะดีก็นำไวน์สัมผัสง่ายไม่ซับซ้อนมาก จับคาร์แร็คเตอร์ได้ ผมว่าจะเอาเขต Languedoc-Roussillon ไป แต่ตัวนี้ไม่มีขายในบ้านเราน่ะคับ ว่าจะเปิดไว้ตั้งแต่เที่ยงเลย พี่วิคับ ผมเป็นกลุ่ม พนักงานบริษัท เงินเดือนออกทีก็เจียดไปซื้อไวน์เก็บเดือนหล่ะขวดสองขวดอ่ะคับผม จากคุณ : :) (Nic Nenin) - [ 3 ต.ค. 49 13:20:02 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เห็นด้วยครับ ว่าแต่หางไก่นี่มีแต่ขนไก่หรือปล่าวครับ อย่างนี้ขนหน้าแข้งเราก็ไม่ร่วงแน่นอนครับ จากคุณ : D19 - [ 3 ต.ค. 49 19:37:01 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เข้าบรรยากาศเมืองกาญจน์ด้วยคนครับ วันพฤหัสนี้ไปคุมสอบครั้งสุดท้ายของเทอมนี้แล้วครับ จริงๆชอบไปนอนที่แคมปัสเหมือนกัน เช้าตื่นมาสดชื่นจริงๆครับ ดูจากรูปแล้วกันน้ำตกไทรโยคน้อยตอนเจ็ดโมงเช้าครับ จากคุณ : D19 - [ 3 ต.ค. 49 20:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ...วินาทีนี้ ผมกำลังทึ่งกับไวน์อิตาลีตัวหนึ่ง ...ที่มาของไวน์คือ...ส่งมาให้ลองและขอคำวิจารณ์ ...Tenuta dele Terre Nere 2004, Guardiola ...Rosso, DOC, Etna, Italia ...จับจ้องอยู่ครู่ใหญ่...ด้วยขวดทรงเบอร์กันดี...ที่แปลกตา ...ตลอดจนฉลากก็มิได้มีส่วนใด...ที่แจ้งถึงพันธุกรรม ...ต้องจำใจเปิดชิมด้วยเหตุที่ในครัวบัญชา...เพื่อแลกกับสปาเก็ตตี ...น้ำรินไหลใสแหน่ว...เข้มปานกลาง ...ดูหนาใกล้เคียงเบอร์กันดีใหม่ๆ ...เฮ้ย...แต่นี่มันอิตาเลียน...ต้องเป็นองุ่น...เนบบิโอโล..แหงม ...กลิ่นผลไม้แดงจัด...ลูกขนาดกลาง...ลูกไหนเข้ม ...แป้งฝาด...กระดาษชื้น...โอ๊กเก่า ...โครงเนื้อหนาเต็ม ผลไม้แดงฉ่ำ แอซิดดีมาก...ให้ความสดชื่นดีเร้าใจ ...โอ๊กสวยงามดี...สง่างามเฉกเบอร์กันดีที่เหนือบาโรโล ...ให้สมดุลเยี่ยม...ความลงตัวดีมาก...จบยาวปานกลาง ...ต้องรีบเปิดเน็ท...เพื่อหาข้อมูล...ซึ่งผลปรากฏว่า ...Tenuta dele Terre Nere คือไวน์จาก Sicily ...ที่ใช้องุ่นสายพันธุ์แปลก...Nerello Mascalese ...อายุ 50-150 ปี เลียบเลาะผืนลาดชันของภูเขาไฟ Etna ...หมักบ่มด้วยถังโอ๊กเก่าสามในสี่เป็นเวลาปีครึ่ง ...คือความหน้าแหก...ยับ...ด้วยความไร้เดียงสา ...ผมให้ Rate: 92 ทันที..ทั้งที่สนนราคาถูกจนน่าใจหาย จากคุณ : วิโรจ (แดนไตร) - [ 3 ต.ค. 49 23:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ครับ ป้าวิ ครับ เป็นผมก็คงไม่กล้าทำเหมือนกันครับ ตอนนี้อ่านเรื่อง ประวัติศาสตร์ไวน์ ในสงครามโลกครั้งที่สองของป้าวิ อยู่ครับ สนุกมากๆ ยังอ่านไม่จบเลย แต่มีความคิดว่า ถ้าป้าวิว่างๆ ลองรวบรวมและเรียบเรียงใหม่ และส่งบทไปเสนอค่ายหนังดู ไม่แน่อาจจะได้สร้างเป็นหนังก็ได้นะครับ เพราะลองอ่านแล้วมันครบรสเลยครับ มีความเป็น drama อย่างมากมีความลึกของตัวบทมาก อีกทั้งยังมีกลิ่นของประวัติศาสตร์อย่างเต็มเปี่ยม แถมมีตัวชูเรื่องที่สำคัญ 2 อย่าง ไม่ใช่แค่สงครามกับความรัก ที่เป็นที่นิยมของหนัง hollywood แต่นี่เป็นสงคราม ในช่วงเวลาสำคัญ กับ ประวัติศาสตร์ไวน์อันยาวนาน ถ้าได้สร้างเป็นหนังจริง ผมว่ามีแววชิงออสการ์เลยครับ ขออนุญาตไปอ่านต่อก่อน ต้องค่อยๆอ่าน กลัวจบแล้วไม่มีให้อ่าน จากคุณ : jearjear - [ 4 ต.ค. 49 01:56:51 ]

ความคิดเห็นที่ 95 Dear all, For Wiwanda FC on Friday the 13th, may I suggest one thing? If possible, please print out an information page about the wine your bring (i.e. from producer's website) so that we have more information about the wine as we drink them krup? DP จากคุณ : DP WINE (DP Wine) - [ 4 ต.ค. 49 02:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 96 สวัสดีค่ะ... ตื่นเช้ามา ทำงานแบบตะลุยไปก่อน เขียนต้นแบบส่งหญิงไทยด้วยความอืดอาดยิ่ง เนื่องจากต้องกรองภาษาสองสามชั้น เกรงว่าจะเขียนแบบติดสำนวนกระทู้ไป เข้ามาอ่านพบว่าคุณวิโรจได้เข้ามาแนะนำไวน์ซิซิลีตัวใหม่ นับว่าเป็นของดี ราคาพอหาได้ ซึ่งยังมีอีกเยอะในท้องตลาด เพีนงแต่เราต้องทำความรู้จักและเข้าใจในอดีตและสายพันธุ์องุ่น ไวน์อิตาเลี่ยน..ไม่ว่าจะมาจากส่วนไหน ล้วนแล้วแต่เป็นพันธุ์องุ่นโบราณตกค้างมาแต่สมัยก่อนพระมหาคัมภีร์ แทบทั้งนั้น เพราะมีบัญญัติให้พวกเราได้ทราบอย่างชัดเจนว่าได้มีการผลิตไวน์ ตั้งแต่ครั้ง The Great Flood หรือ ครั้งเกิดน้ำท่วมโลก ที่ Noah ที่เป็นลูกหลานสิบรุ่นหลังจากกำเนิดอาดัมกับอีฟ ได้รีบสร้างเรือเพื่อบรรทุกครอบครัว ที่มีลูกชายสามคน นามว่า..Japheth. Ham และ Shem พร้อมทั้งสิงสาราสัตว์อื่นๆ รวมทั้งสิ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นคือ กิ่งองุ่น.. เมื่อพระเจ้าได้ปรานีกับเรือของโนอาห์ เพราะเห็นว่าเป็นลูกหลาน จึงไม่ได้รับภัยจากน้ำและได้มาถึงปักหลักอยู่ที่ Mountains of Ararat (อยู่ในเตอร์กี ตอนเหนือของเยรุซาเล็ม) พอตั้งถิ่นฐานได้ โนอาห์ก็เริ่มพรวนดิน ปลูกองุ่นแบบเอาจริงเอาจัง จนสามารถนำมาทำไวน์ได้สำเร็จ เมื่อมีไวน์ ก็ต้องมีการชิม..ชิมไปชิมมา..โนอาห์เมาเละ นอนแก้ผ้าแก้ผ่อนหมดสติในเต้นท์... ภาพนี้..วาดโดย Michelangelo จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 02:59:31 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ลูกชายคนหนึ่ง คือ Ham เข้ามาเห็นเข้า..จึงรีบไปเรียกพี่น้องคนอื่นๆให้เข้ามาดู (ด้วยความขบขัน) ทั้ง Japheth และ Shem สงสารพ่อ จึงนำผ้ามาห่มให้กันอุจาด.. พอโนอาห์ ตื่นขึ้นมา และทราบเรื่องเข้า..โกรธไอ้ลูกชาย ปากเปราะ ไม่มีน้ำจิตจ้ำใจ Ham จนประกาศตัดลูกตัดพ่อ เท่านั้นไม่พอ..ยังประกาศแช่งออกไปก้องโลกว่า... "ต่อไปนี้..ขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้าง คอยพิทักษ์ Shem และขอพระอำนาจประทานความยิ่งใหญ่ให้กับ Japheth ลูกของพ่อ และ ขอพระองค์ทรงลงโทษให้ Ham และ Canaan ลูกของมัน(และหลาน เหลน โหลน สืบไป) จงเป็นขี้ข้าของลูกทั้งสองของพ่อ...ตลอดจน กัลปวสานต์ ไม่อยากโยงไปถึงของการเมือง (โลก)...แต่ขอให้ทราบว่า ทั้ง Ham และ Canaan หมายถึง ต้นตระกูลของเชื้อสายยิว โดยเฉพาะ Canaan นั้น คือดินแดนของ Israel และPalestine ในปัจจุบัน... ในภาพคือพระมหาคัมภีย์เก่าแก่ฉบับ Genesis หรือที่เรียกว่า ฉบับฮีบรู เขียนไว้บนเปลือกใข่ด้วยตัวอักษรขนาดจิ๋ว ตั้งอยู่ที่ พิพิทธภัณฑ์ประเทศอิสราเอล จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 03:46:06 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ตาสื่อ ..."สมุฏฐาน" มันคลาสสิคตรงไหนยะ? จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 04:19:32 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เพราะว่าองุ่นเป็นพืชที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในไบเบิ้ล นั่นหมายถึงความเก่าแก่ที่ย้อนยุคไปได้ตั้งแต่ครั้งสร้างโลกทีเดียวมัง จนถือได้ว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ (อันนี้วิวันดาจะเอ่ยถึงบ่อยๆ) พอๆกับที่พระองค์ได้ประทานดินแดน Canaan (อ่านว่า เคนัน หรืออิสราเอล) แก่ชาวยิว..ที่ต่างอพยพหนีตายมาจากอียิปต์โดยการนำของโมเสส เมื่อได้รับบัญชามาจากพระผู้เป็นเจ้า..โมเสสจึงส่งกลุ่มชายฉกรรจ์ออกไปตระเวณตามหาดินแดนที่เรียกว่าเคนัน และให้มาส่งข่าวว่า..มันเป็นอย่างไร..อุดมสมบูรณ์หรือไม่ ชายกลุ่มนั้นได้ออกเดินทางไปตามทิศทางที่ได้รับมา และกลับมาถึงภายในสี่วัน..โดยหามพวงองุ่นขนาดยักษ์ ที่ต้องใช้คานสอด แบกด้วยชายสองคนที่หัวและท้าย นอกนั้นก็ยังมีลูกมะเดื่อ ลูกทับทิมอีกเป็นจำนวนมากที่หอบกลับมาด้วย ชายพวกนั้นได้รายงานให้โมเสสทราบว่า..ดินแดนนั้น อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารมากมาย ดูอย่างองุ่นนี่ซิ..และที่ยังมีอีก..นั่นคือ "The land was flowing with milk and honey." ฟังดูแล้ว..ใครต่อใครคงขำกลิ้ง เพราะคงคิดไปว่า อิสราเอลเนี่ยนะ อุดมสมบูรณ์ ...เหอ เหอ เหอ... แม้ว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น..ดังว่า.. แต่ สองพันกว่าปีต่อมา..พระผู้เป็นเจ้าเพิ่งจะประทานมาให้ ปัจจุบัน..อิสราเอลเจริญมากในด้านเกษตรกรรม ส่งพืชผลไปขายทั่วยุโรป รวมทั้งไวน์..(ที่จะเล่าให้ฟังต่อไป) ในภาพคือ ผลไม้ส่งออกของอิสราเอล จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 05:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 101 และในบทลงโทษที่จัดว่าร้ายแรงที่สุดของพระเจ้า รองมาจากการให้น้ำท่วมโลกนั้น..คือการพิพากษาโทษว่า "มันผู้ใดที่กระทำความผิด ขอให้มันจงเป็นข้าทาสบีบองุ่น คั้นองุ่น..แต่..มันจะไม่ได้ลิ้มรสในไวน์ที่มันทำเลยแม้แต่อึกเดียว" เห็นม๊ะ..ว่า ร้ายกว่าโทษประหารอีก.. ไวน์ในอิสราเอล..ที่ผลิตขึ้นมาในระบบอุตสาหกรรมใหญ่ มักจะเป็น Kosher ไวน์..ที่มีขั้นตอนในการทำขึ้นอยู่กับกฏเหล็กของ kashrut (คัชรุธ หมายถึงกฏระบียบข้อบัญญัติในการบริโภค)ดังนี้..คือ 1. องุ่นที่จะมาใช้ทำไวน์จะต้องมีอายุเกินกว่าสี่ปี จากนั้น ทุกเจ็ดปีจะต้องหยุดทำการปลูกองุ่นในพื้นที่นั้น หากแต่จะต้องหันมาปลูกพืชอื่นๆแทน.. 2. ห้ามปลูกพืชอื่นๆระหว่างแนวขององุ่น.. 3. เมื่อเก็บเกี่ยวองุ่นเสร็จ เครื่องมือในการทำไวน์จะต้องเป็นอุปกรณ์ โคเช่อร์แท้ๆ ที่ต้องสะอาด ไม่มีสิ่งหรือสารแปลกปลอมทั้งในถังหมักหรือในเครื่องมือ คือต้องใช้ยีสต์ธรรมชาติ และ เครื่อมือโคเช่อร์นั้นหมายถึง เป็นเครื่องมือที่ชาวยิวออโธดอกซ์ หรือ ซับบาธ (Orthodox , Sabbath) เท่านั้นที่จับต้องได้ ไม่ใช่เครื่องสาธารณะ 4. รายได้จากการขายไวน์โคเช่อร์ 1 % จะต้องนำถวายให้กับ Temple in Jerusalem เป็นการทำนุบำรุงพระศาสนา อยากทราบว่าใครมั่งที่ทำ โคเช่อร์ ไวน์ นอกเหนือจากประเทศอิสราเอล ที่ค่อนข้างหายาก ลองดูในเวบนี้ค่ะ..มาจากที่ต่างๆ หลายประเทศแต่.. เจ้าของคือยิวทั้งน้านนน...รับรองได้ http://www.kosher-wine.com/ จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 05:38:27 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เรื่องการแสดงอภินิหารเกี่ยวกับไวน์นั้น พระเยซูท่านก็แสดงนะ ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า.. การการไปร่วมในงานแต่งงานที่เมือง Cana ปรากฏว่าไวน์หมด..มารดาของพระองค์ได้มาขอร้องให้ช่วยจัดการให้หน่อย..เมื่อทนการรบเร้าไม่ได้ พระองค์จึงได้สั่งให้นำน้ำเปล่ามาหกไห..ให้เอามาเสริฟ... พอรินออกมา..มันกลายเป็นไวน์ชั้นดี ดังนั้น..จึงได้นำไปเสริฟต่อคู่บ่าวสาวเป็นแก้วแรก.. ซึ่งตรงนี้..ในการแต่งงานหรือในพิธีต่างๆ จึงได้ถือปฏิบัติมาในทุกวันนี้ คือ ต้องเสริฟไวน์ดีๆแก่แขกสำคัญก่อน.. เพราะว่า ตอนนั้น palate กำลัง fresh กำลังตื่นตัว และ พร้อมต่อการรับรสที่ดีๆ.. ในพระคัมภีร์ได้แปลออกมาได้ ว่า พระเยซูไม่เสวยไวน์ แต่..ในคืนของ The Last Supper ได้ปรากฏว่า ทรงดื่ม และได้ตรัสว่า.. "เราจะบอกแก่พวกท่านทุกคนว่า..ต่อไปนี้ เราจะไม่ดื่มอีก จนกว่าจะถึงวันที่เราได้ไปถึงพระมหาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า" นั่นคือ พระดำรัสในช่วงหนึ่งก่อนที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน และเมื่อถูกตรึงแล้ว..ทหารเลวได้เอาไวน์ (ชั้นเลวที่ผสมกับน้ำส้มหมัก อันเป็นไวน์ส่วยแจกทหาร) สาดไปที่ร่างของพระองค์ เลือดผสมไวน์นั้นได้ไหลรินลงมา.. ใน Christian Theology จึงได้ถือว่า..ไวน์คือ เลือดของพระเยซูเจ้า หรือ Blood of Christ ซึ่งความเชื่อนี้ ได้ทำให้ข้อเปรียบเทียบระหว่าง พระเยซู และ เทพเจ้าบัคคัส ที่มีส่วนคล้ายกันหลายอย่าง..คือ หนึ่ง..ถือกำเนิดมาจากหญิงพรหมจรรย์เหมือนกัน สอง..มีอิทธิฤทธิ์ไม่แพ้กัน องค์หนึ่งเสกน้ำให้เป็นไวน์ได้ อีกองค์หนึ่ง สามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ ดังนั้น..การใช้ไวน์ที่แนบไปกับศาสนกิจ..จึง "เนียน" สนิท ไม่มีใคร (กล้า) ข้องใจ..หรือ..โต้แย้ง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 06:05:52 ]

ความคิดเห็นที่ 103 อรุณสวัสดิ์ครับพี่วิ วันนี้อ่านลงมาเรื่อยๆ จนมาเจอที่พี่วิพูดถึงประโยคอมตะของเกอเธ่ ที่ว่า ชีวิตนี้สั้นนัก สำหรับการดื่มไวน์ไม่ดี อยากจะบอกว่าทีแรกที่อ่านเจอก็รู้สึกว่า "คม" จริงๆครับ ขอคัดเอาเวอร์ชั่นฉบับภาษาจริงมาลงเลยละกัน ไหนๆก็จะเขียนเรื่องไวน์เยอรมันวันนี้พอดี Das Leben ist viel zu kurz, um schlechten Wein zu trinken. (อ่านว่า ด๊าสเลเบนอิสท์ฟีลซูคัวรส์ อุมชเล็กเท่นวายน์ซูทริงเค่น) (Johann Wolfgang von Goethe, 1749-1832) ที่ครั้งที่แล้วทิ้งท้ายไว้ว่าจะเขียนต่อเรื่อง traditional Pradikaet จริงๆ ก็เพื่ออยากจะให้คนอ่านฉลากได้เข้าใจมากขึ้น ว่าสิ่งที่มันเขียนอยู่บนไวน์เยอรมัน หมายความว่าอะไร และจะสื่อถึงอะไร (โดยเฉพาะฉลากที่ออกมาก่อนปี 2006) เพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้นก่อนตัดสินใจซื้อครับ อาจจะค่อนข้างพื้นฐานนิดนึงนะครับ ถ้าใครทราบอยู่แล้วก็ผ่านไปเลยละกัน แต่้ถ้าเห็นมีตรงไหนผิดรบกวนแก้ให้ด้วยนะครับ และผมคาดว่า ถ้าตามอ่านจนจบ ก็น่าจะเข้าใจได้ครับ ว่าทำไมเค้าถึงอยากจะให้มีการ classification ใหม่ขึ้น :) แรกเริ่มก่อนเลย จะมีการแบ่งอยู่สองแบบครับ โดยแบบแรกก็คือการแบ่งตามระดับน้ำตาล "ก่อน" ทำการหมัก fermentation ซึ่งคำใช้เรียกก็ได้เกริ่นไปแล้วเช่น spaetlese หรือ auslese เป็นต้นครับ และแบบที่สอง คือการแบ่งตามระดับน้ำตาลที่เหลืออยู่ในขวดครับ (residual sugar) เรามาพูดกันถึงแบบหลังก่อนแล้วกัน เพราะจะง่ายกว่าหน่อย โดยตามทฤษฏีจะแบ่งได้สี่อย่างครับ คือ trocken (ทร็อคเค่น-dry-แห้ง) กับ halb-trocken (ฮัลบ์ทร็อคเค่น-off dry-ครึ่งแห้ง) ตามมาด้วย Lieblich (ลีบลิช-semi sweet-ครึ่งหวาน) และก็ Suss (ซู๊ซ-sweet-หวาน) โดยไวน์แห้งจะมีปริมาณอยู่ไม่เกิน 9 กรัมต่อลิตรครับ ส่วนพวกครึ่งแห้งนั้น จะมีอยู่ระหว่าง 9-18 กรัมต่อลิตร แบบครึ่งหวานจะ 18-45 กรัมต่อลิตร และแบบหวาน จะมีน้ำตาลมากกว่า 45 กรัมต่อลิตรครับ ส่วนเรื่องข้อยกเว้นนี่ ก็จะมีเล็กน้อยครับ โดยไวน์แบบแห้งนั้น จะต้องมีปริมาณ acidity ไม่น้อยกว่าสองกรัมต่อลิตร เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลตกค้างด้วย ไม่เช่นนั้น ปริมาณน้ำตาลตกค้างสามารถมีได้สูงสุดเพียงสี่กรัมต่อลิตรเท่านั้นครับ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากเหตุผลที่ว่าไวน์บางตัว แม้จะมีน้ำตาลเยอะ แต่ถ้ามี acidity ต่ำเกินไป หรือ alcohol สูงเกิน มันก็จะมีรสหวานออกมาได้เหมือนกัน จากคุณ : LaGrandeRue - [ 4 ต.ค. 49 06:24:26 A:213.39.204.253 X: TicketID:105596 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ทีนี้ คำถามก็คือ แล้วมันบอกอะไรเราได้มั่งล่ะ?? อย่างแรกที่สุด ไวน์ที่เค้าบอกว่า trocken นี่ เราน่าจะพอเดาได้ว่า มันไม่น่าจะมีรสหวานเท่าไหร่ (ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป) หรือถ้า halb-trocken นี่ รสมันน่าจะหวานมากกว่า เป็นต้นครับ ต่อมานะครับ ถ้าเราไปซุปเปอร์มาร์เก้ตในเยอรมนี เค้าจะมีป้ายปิดไว้ครับ ว่าไวน์นั้นๆ จัดเป็นประเภทไหนเพราะด้วยเหตุผลที่ว่า บนฉลากโดยปรกติแล้ว จะมีบอกอยู่เพียงสองแบบ คือ trocken กับ halb-trocken เท่านั้น ดังนั้นโดยส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีขึ้นพวกนี้ และไม่มีป้ายแปะไว้บนหิ้ง เราคิดไว้ก่อนเลยครับ ว่ามันน่าจะต้องเป็นไวน์หวานแน่ๆ อย่างที่สาม ง่ายๆนะครับ สำหรับผมแล้วเนี่ย คำว่า halb-trocken เนี่ย แปลว่า "แหลกม่ายล่าย" ครับ เค้าบอกกันครับ ว่าจริงๆแล้วเนี่ย ไวน์ขาวที่เค้าเรียกกันว่า dry เนี่ย จริงๆแล้วมีรสชาติแบบ off-dry ทั้งนั้นเลย ทั้งนี้เป็นเพราะจิตวิทยาของผู้บริโภค ว่าต้องซื้อไวน์ dry เท่านั้น อันนี้สงสัยอาจจะต้องรบกวนพี่วิอธิบายเพิ่มซะแล้วครับ ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และอย่างที่สี่ครับ คือเรื่องน้ำตาลที่เหลือเนี่ย มันไม่จำเป็นว่าไวน์จะต้องหวานเลยครับ เพราะมันยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆอีก เช่น acidity หรือระดับแอลกอฮอล์ เป็นต้น สรุปแล้ว ฉลากเกี่ยวกับตัวนี้ เหมือนจะมีประโยชน์ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้เรารู้รสของมันได้อย่างแท้จริงครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ ที่เล่ามาเรื่องปริมาณน้ำตาลนั้น จะไม่ใช่กับกรณีของไวน์ซ่านะครับ เพราะเขาจำเป็นต้องมีระดับที่สูงกว่านี้ครับ แน่นอนว่าเนื่องมาจากคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง อย่างเช่น ระดับ Brut ต้องมีไม่เกิน 15 กรัมต่อลิตร หรือ trocken ต้องมี 17-35 กรัมต่อลิตรครับ ก็คงจบแบบสั้นๆเท่านี้ครับ เดี๋ยวรอบหน้ามาต่อกันที่เรื่องของ classification ในแบบแรกกัน จากคุณ : LaGrandeRue - [ 4 ต.ค. 49 06:33:15 A:213.39.204.253 X: TicketID:105596 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ของคุณคับ คุณ LaGrandeRue ผมยังไม่เคยทาน ไวน์ขาวของเยอรมันเลย เมืองไทยหายาก จะฝากใครซื้อก็ไม่มีความรู้ มีตัวไหนดีแนะนำด้วยน่ะคับ ขอบคุณคับ จากคุณ : เปิดโลก (Nic Nenin) - [ 4 ต.ค. 49 07:06:30 ]

ความคิดเห็นที่ 106 แหม..คุณ LaGrandeRue มีการโยนลูกด้วย.. รับแทบไม่ทัน.. คือไวน์ขาวเนี่ยนะคะ ส่วนใหญ่คือ จะผลิตมาเอาใจผู้หญิง หรือนักเริ่มหัดกินไวน์ใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีอากาศร้อน ที่ดื่มไวน์ขาวเย็นๆแล้วจะชื่นใจ.. ผู้ผลิตตระหนักในข้อนี้ดีค่ะ จึงทำไวน์ขาวออกมาเป็น สไตล์ off-dry หมายถึงเจือหวานนิ๊ดๆ..ไว้ให้ทิ้งท้ายเพื่อคนึงหา เพราะถ้ามันจะ Dry ไปเลย..อย่างพวก White Burgundy จริงๆ..คนมักจะถอย..พาลไม่ชอบเอาเสียเลย ไวน์ขาวที่ขายดี จึงเป็นประเภท ออฟ-ดราย เสียส่วนใหญ่ ซึ่งมักเป็นการผสมด้วยองุ่นมากกว่าหนึ่งชนิด เช่น โคลัมบารด์ 70 ชาร์ดอนเนย์ 30 หรือ..มาหมู่แบบเหมารวม คือ 30% Riesling,30% Chenin Blanc, 19% Sauvingon Blanc, 9% Pinot Blanc, 9% Chardonnay, 3%Semillon หรือถ้าจะใช้องุ่นพันธุ์เดียว 100% ก็เป็นพวก Blanc de Blanc (คือเอาองุ่นขาวมาทำไวน์ขาว) ส่วนผู้บริโภคส่วนใหญ่เขามักจะรู้จักรสหลักๆ แค่.. Dry กับ Sweet ไม่ค่อยได้ยินคนเรียกหา ไวน์ off-dry มากเท่าไหร่หรอกค่ะ นอกจากคนที่คุ้นเคยไวน์จริงที่สามารถแยกแยะได้ เพราะบางคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ไอ้ออฟ ดราย นี่มันหวานจนเลี่ยน หรือ หวานปานไหน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 07:19:57 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ...คุณ LaGrandeRue ครับ ...ชัดเจนดีมากเลยครับกับไวน์เยอรมันที่มีแต่ภาพเบลอๆ ...เมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ไปทำเทสต์ไวน์ Alsace ...Mr.Thierry Fritsch...ตัวแทนจาก CIVA (Conseil Interprofessionnel des Vins d Alsace) ...พูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ไวน์เยอรมัน...ในวันนี้ พยายามทำไวน์ให้ได้อย่าง Alsace" ...เพราะยังไม่สามารถทำไวน์ขาวให้ Dry...ได้อย่างมีคุณภาพเท่า" ...พี่วิ...กับคุณ LaGrandeRue พอจะมีเหตุผลสนับสนุนหรือขัดแย้งไหมครับ จากคุณ : วิโรจ (แดนไตร) - [ 4 ต.ค. 49 07:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 108 สวัสดีค่ะทุกท่าน ก่อนจะออกไปทำงาน .... วันพุธกลางสัปดาห์ วันยุ่งไม่แพ้วันอังคาร ... ขอบคุณสำหรับความรู้ต่างๆค่ะ พี่วิและคุณ LaGrandeRue แวะมาขอแจมว่า ไวน์ขาวเยอรมัน ที่ สยามพารากอน (ร้านในซูเปอร์มาเก็ต ที่ห้องไวน์หนาวจนสั่น) มีสองสามตัวค่ะ คิดว่าไม่ใช่ระดับที่คุณวิ คุณ LaGrandeRue จะแนะนำ ตัวป๊อบปูล่าชื่อคล้าย แม่ชีสีฟ้าหรือไง (ไม่ชอบค่ะ) กับอีกตัวไม่เคยชิมค่ะ แหม น้องสะใภ้ไปประจำตั้งแปดปี กลับมาเสียแล้วค่ะ .... /// กลับมาต่อค่ะ แปลกใจเพื่อนเมืองไทยพาไปทานข้าวเปิดไวน์ขาว แคลิฟอร์เนียตัวนึง ไม่มีพันธุ์องุ่นหรือปี บอก แต่นัยว่าคนไทยนิยมมาก ชื่อคล้ายๆ carlo rosso ไปกับอาหารไทยได้ดี เพราะเย็นเจี๊ยบ กลิ่นรสไม่ชัดเจน (มือใหม่อย่างดิฉัน บอกไม่ถูกค่ะ) พอมาหาที่ พารากอน เอามาทานกับชีส บิสคิท รู้สึกหวานจังเลย และดูราคาแปลกใจ คือที่ร้านอาหารชาร์จเกือบพัน ที่พารากอนเหลือราว สี่ร้อย ที่ญี่ปุ่นสองร้อยกว่าบาทค่ะ ขอโทษค่ะที่ต้องเอ่ยเรื่องราคาเสมอ เพราะเริ่มดื่มไวน์จากคนสอนที่บอกให้สร้างสัมพันธ์ราคากับรสชาติ (เช่น ราคานี้ รสชาติจะแนวนี้ เป็นต้น) /// (เปลี่ยนมาเรียกคุณวิ นะคะ เพราะดู คุณหญิงท่าน ส้าว สาว ค่ะ) จากคุณ : nijja - [ 4 ต.ค. 49 07:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 109 "ไวน์เยอรมัน...ในวันนี้ พยายามทำไวน์ให้ได้อย่าง Alsace" ...เพราะยังไม่สามารถทำไวน์ขาวให้ Dry...ได้อย่างมีคุณภาพเท่า" ...พี่วิ...กับคุณ LaGrandeRue พอจะมีเหตุผลสนับสนุนหรือขัดแย้งไหมครับ ...... อันนี้ต้องยกให้กับคุณ LaGrandeRue เป็นคนตอบค่ะ เพราะไวน์เยอรมันที่ฝ่าด่านเข้ามาในอเมริกาได้นั้น.. มีไม่มาก และไม่ใช่ชนิดเลิศ สาเหตุคือ..การสับสนในเรื่องของฉลาก และราคาที่จัดว่าแพงมาก (กว่าไวน์คาลิฟอร์เนีย) คนจึงไม่กล้าเสี่ยงซื้อค่ะ แถมส่วนใหญ่..ที่เห็นๆอยู่ในท้องตลาด หมายถึงราคาแบบไวน์โต๊ะ ยังอยู่ในแนวแหลกไม่ล่ายด้วยซ้ำ !!! จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 08:01:14 ]

ความคิดเห็นที่ 110 นั่นละค่ะ คุณ nijja ไอ้ที่ว่าแหลกม่ายล่าย นั่นก็คือ แม่ชีสีฟ้า (หรือ Liebfraumilch) นั่นแหละค่ะ น่าเสียดายที่เมื่อก่อน เป็นไวน์ที่มีคุณภาพที่มีชื่อเสียงขจรขจาย แต่..ยิ่งมุผลิตออกมามากก็ยิ่งแย่.. หรืออาจจะเป็นเพราะไวน์ที่ดีกว่าได้มีมากให้เปรียบเทียบก็ได้ คุณ LaGrandeRue กำลังเล่าเรื่องไวน์เยอรมัน..เล่นเอาพลิกตำราแทบไม่ทัน เพราะจะได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ให้ต่อเนื่องกันไปเลย..อารมณ์คนอ่านจะได้ไม่ "โดด" ................. ในช่วงของต้นศตวรรษของคริสต์ศักราช การผลิตและบริโภคไวน์ได้กระจายไปทั่วยุโรป จากเกาะครีตมุ่งขึ้นไปสู่เกาะบริเตนตอนใต้ จากโปรตุเกสมุ่งสู่โปแลนด์.. และพอเมื่อโรมันได้ประกาศรับศาสนาคริสต์เข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติด้วยแล้ว..ไวน์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญไปเสียในทุกเรื่อง เพราะไหนๆก็เป็น "พระโลหิตแห่งพระเจ้า" ไปเสียแล้วนี่.. ต่อมาอาณาจักรของโรมันทางฝั่งตะวันตกเริ่มเสื่อมและเสียอำนาจให้กับเยอรมัน ในสมัยของจักรพรรดิ์ Theodosius I ที่เป็นองค์สุดท้ายแห่งความรุ่งเรือง หลังจากที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ในปี 395 นั่นหมายถึงการเสื่อมถอยในอำนาจที่เคยครองอยู่ในฝั่งตะวันตก จนมาถึงสมัยของ Romulus Augustus ที่อ่อนแอ จนต้องยอมสละราชสมบัติลงจากบัลลังค์ เพราะกระแสของความดังของ แม่ทัพเชื้อชาติเยอรมันนิค (แต่เป็นทหารที่ อยู่ในกองทัพโรมันที่เข้มแข็งมาก) นามว่า Odoacer ในปี 476 ที่ต่อมา..ได้ขึ้นครองราชย์สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ของอิตาลี.. และจากนั้นมา..ส่วนนี้ของโรมันก็ถูกเฉือนออกไป เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า..Byzantine Empire (อ่านว่า ไบเซนทีน หรือ บิเซนทีนไม่ใช่ ไบเซนไทน์ อย่างที่ชอบเขียนกัน) และอาณาจักร์ Byzantine ก็ครองตัวอยู่มาได้นับพันปี จนมาเสียเอกราชให้กับ Ottoman ในปี 1453 หรือที่เรารู้จักกันในนามของ the Middle Ages. ในแผนที่จะมีให้เห็น Byzantine ถึงสามยุคเลย.. สูงสุดสู่สามัญ จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 08:49:02 ]

ความคิดเห็นที่ 111 การผ่องถ่ายอำนาจจากโรมัน..ที่เปลี่ยนมือไปให้กับชาวพื้นเมืองเยอรมัน วิธีการกินไวน์ก็เปลี่ยน หรือ เพี้ยนไปด้วย.. เพราะชาวกรีกและชาวโรมันนั้น..มีวัฒนธรรม และอารยธรรมมาดั้งเดิมโบราณ เรื่องการกินไวน์ก็มีกฏหยุมหยิม แบ่งชั้นวรรณะชัดเจน..ว่าเป็นเจ้าเป็นนาย หรือ คนชั้นแรงงานข้าทาส.. ดังที่เล่ามาว่า..ถ้าไม่เติมน้ำ หรือดื่มจนเมามาย ก็ไม่ใช่ผู้ดีอะไรทำนองนั้น ส่วนชาวบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างเยอรมัน ที่อยู่ห่างไกลความเจริญนั้น ได้ถูกพวกโรมันเรียกว่าเป็นพวก บาเบเรี่ยน เพราะชนพวกนี้ไม่รู้จักไวน์ ดื่มเป็นแต่เบียร์ เมื่อครั้งที่ซีซ่าร์ พยายามจะส่งไวน์ออกไปค้าขายกับพวก Germanic นี่..ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย เพราะ ชาวบาเบเรี่ยนไม่ยอมรับ..ด้วยเกรงว่า..จะทำให้ประชาชนชายชาวเผ่าเปลี่ยนนิสัยกลายมา"ตุ้งติ้ง" กันหมด.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 09:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 112 คุณ nijja คงหมายถึงไวน์ carlo rossi ไวน์ของ E.J. Gallo ที่มียอดขายสูงสุดในอเมริกา เพราะ เขาทำไวน์เพื่อชนหมู่มาก อันเป็นเป้าหมายของตลาด เป็นเครื่องดื่มระหว่างเพื่อนฝูงที่รู้ใจค่ะ..ถ้าชอบก็สบายไปแปดอย่าง เพราะ ไวน์อย่างนี้สามารถดื่มได้ทุกวัน และทุกมื้อ เดี๋ยวนี้เขาทำขวดเล็กขนาดขวดเบียร์ด้วย ฝาบิดเกลียว แต่ที่อเมริกาขายเป็นตุ่ม.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 09:32:16 ]

ความคิดเห็นที่ 113 มัน "คลาสสิค" ก็หมายถึงว่ามัน "คลาสสิค" น่ะสิครับ นานๆ จะเห็นสักที จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 4 ต.ค. 49 10:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 114 แผนที่ในการขยายตัวของบาเบเรี่ยนที่เข้ามาสู่อาณาจักรโรมันฝั่งตะวันตก ในทุกสาย ทุกสี คือ กลุ่ม Germanic แม้จะต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ยกเว้นเส้นสีเขียว นั่นคือ พวกฮั่น..อันหมายถึง อัตติลา..(Attila the Hun) จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 10:39:22 ]

ความคิดเห็นที่ 115 กระทู้นี้ปรมาจารย์เยอะเลยแวะมาถามว่าจะมีใครไปงาน Chilean Wine Tasting หรือเปล่าครับ? ทาง Wine Connection เขาเปิดสาขาใหม่ที่ทองหล่อ10 เลยร่วมกับTerraMater จัดขึ้น วันที่ 10 ตค.นี้ละครับ 19:00-21:00 น. ในฐานะมือใหม่ก็อยากไปลองของถูกดูบ้าง เผื่อเกิดถูกใจจะได้ซื้อหาติดไม้ติดมือแบบเจียมเนื้อเจียมตัวครับ จากคุณ : Uncle Tee - [ 4 ต.ค. 49 11:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 116 คุณ Uncle Tee ครับ ...เขา Open หรือว่าต้องเป็น Guest ครับ ...ถ้า open จะได้พบหน้ากันครับ จากคุณ : วิโรจ ไวน์ (แดนไตร) - [ 4 ต.ค. 49 11:21:02 ]

ความคิดเห็นที่ 117 Dear P Wiwanda, Refer to your comment number 109 na krup. It is true that in supermarket, you won't find many good German wine in the US. But good classic level German wine is easy to find if you know where to look. Many reputable wine shop has good selection of German wine. These are stores that compete fiecely on internet pricing and so it keeps the price down. For a great bottle of Spalese and Auslese it usually goes for under $50. Of course, BA and TBA will cost more but, I think Cali cab is more expensive since a great bottle usually go for $50 and upto who-know-what. But it is true that the label is confusing to mainstream wine buyer, so many people still don't buy a lot of German wine. จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 4 ต.ค. 49 11:22:39 ]

ความคิดเห็นที่ 118 รูปสลักหินอ่อนฝีมือ Michelangelo เทพ Bacchus และ สหายที่รักไวน์เป็นชีวิตจิตใจ Satyr (Satyr ผู้ที่ดูแลป่าเขาต้นไม้ กึ่งมนุษย์และแพะ สำราญ กับเหล่านางไม้ทั้งหลายเป็นอาจิญ ... satyr แปลว่า ผู้ชายที่มัวเมาในตัญหาราคะก็ได้ครับ) รูปสลักหินอ่อนนี้ตั้งอยู่ใน The National Museum of the Bargello เมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 11:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 119 นึกแล้วเชียวว่า..เดี๋ยวลุงทีก็ต้องมา..อดีตนักเรียน(เอก)เยอรมัน... ................ คุณ D19 คงจะหมายถึงเมืองใหญ่ๆในอเมริกา เช่น บอสตัน แอลเอ นิวยอร์ค ซีแอตเติล ซาน ฟรานซิสโก ที่มีร้านขายไวน์แบบครบทุกประเภท จริงค่ะ..มันมักจะไปกระจุกกันอยู่ที่นั่น อย่างซาน ฟรานที่ใกล้ที่สุด สำหรับพี่ก็ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่ากว่าจะถึง ทีนี้ในคาลิฟอร์เนียเนี่ย..เขาขายไวน์ตามสากลนิยม คือ เอาของโอท็อปนาปาเป็นใหญ่ ที่มีนับพันๆชนิด จากนั้นมาก็ไล่ไปตามรีเจียนภายในรัฐ แล้วก็กระโดดไป ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ออสเตรเลีย..ของเยอรมันเหลือจ้อยเดียวค่ะ นอกจากจะไปร้านขายผลิตภัณฑ์ของเยอรมันละก้อ อาจจะได้หลายแนวหน่อย.. หรืออาจจะสั่งซื้อตามเน็ทก็ได้..ง่ายนิดเดียว ...แต่.. ค่าส่ง..ขวดละ $18.25 ค่ะ(ดูเหมือนว่าจะแพงกว่าไวน์ด้วยซ้ำ) หมายถึงต่อหนึ่งขวด ถ้าสั่งสองหรือสาม หรือมากกว่านั้น จะเพิ่มขึ้นอีกขวดละ $3.50 จะทำใจซื้อได้..ก็ต้องหมายถึงพิสวาทกันจริงๆ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 11:55:17 ]

ความคิดเห็นที่ 120 พี่วิอ่านกระทู้จนตาลายหรือปล่าวครับ อ่าน DP เป็น D19 ซะแล้ว อิอิ จากคุณ : d19 (D19) - [ 4 ต.ค. 49 12:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 121 Dear P Wiwanda I want to add a point about internet shipping na krup. Unless you are shipping accross the continent, there is no need to do air shipping. UPS ground is pretty cheap. 1 bottle for $10, 6 bottles for around $20. Thus, larger order make shipping cost per bottle cheaper. The catch is that you cannot ship wine to all states (i.e. MA), but most major states like CA, IL, and NY accept wine shipment. Another plus side about order from internet is that if the wine shop is not in your state, you pay no TAX. That's 8% for California, and 7% in NY!!!! So if you buy $200 worth of wine in a store, your tax is about the same as shipping cost already! At any rates, try to avoid any shipping at all in the 3 hottest months of year (late May to mid-Aug). Most wine shop will hold your wine for you free during these month! DP ps I'm not the same person as K. D19 na krup. Don't get confused. :) จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 4 ต.ค. 49 12:30:21 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ภาพวาดสีน้ำมัน The Marriage at Cana วาดเมื่อคริสต์ศักราช 1503 โดยศิลปินชาวเนเธอร์แลนด์ Gerard David ในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ Renaissance ปัจจุบันอยู่ใน พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 12:39:39 ]

ความคิดเห็นที่ 123 คุณอาวิครับ วันศุกร์ติดงานด่วนครับ ส่งใจไปก่อน อ้าว ... Cheers จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 12:56:24 ]

ความคิดเห็นที่ 124 เข้ามาดม.... กระทู้ไปเร็วมากเลยครับ พลาดไปอาทิตย์เดียวต่อไม่ติดแน่ จากคุณ : Master_Indy - [ 4 ต.ค. 49 14:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 125 คุณวิโรจฯครับ เข้าใจว่า open นะครับเพราะเขาชวนแล้วชวนอีก แถมแนบ Tasting voucher for 6 half glasses มาให้ตั้งหลายใบแน่ะ ลองแวะไปที่ร้านตรง convent หรือโทร 02 714 7548 แล้วถามไถ่ดูก็ได้ครับ ผมเองเวลาไปทานอาหารที่คาร์ลตันก็จะแว่บออกประตูหลังร้านไปหาไวน์ที่นี่ละครับ จากคุณ : Uncle Tee - [ 4 ต.ค. 49 14:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 126 สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆทุกท่าน ในฐานะที่ผมเป็นคุณพ่อลูกอ่อน ไม่อายที่จะบอกว่าอ่านไปร้องไห้ไป และอยากให้เพื่อนๆที่มีลูกได้อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ ถ้าวันหนึ่งมาเกิดกับเราจะได้ตั้งรับได้ครับ ขอโทษพี่วิ..ด้วยครับที่ออกนอกเรื่อง ตอนนี้เรื่องนี้กำลังดังในพันทิพย์ครับ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4763240/A4763240.html จากคุณ : วาริชเวสม์ - [ 4 ต.ค. 49 15:59:26 ]

ความคิดเห็นที่ 127 สวัสดีครับทุกคน โอ๊ะ งานชิมไวน์ชิลีหรือครับ น่าสนใจจัง ถ้าไม่ติดอะไร อาจจะไปครับ จากคุณ : ทำไมมันยากจัง (Phantom of the Cellar) - [ 4 ต.ค. 49 17:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ++++++ถ้าจะกินอย่างผู้ลากมากดี ต้องเติมด้วยน้ำสามส่วน..มันผู้ใดก็ตาม..ที่ดื่มไวน์ไม่ผสมน้ำ หรือ น้อยกว่านั้น ถือว่าเป็นคนชั้นไม่มีระดับ ไม่มีวัฒนธรรม .... .... เรื่องการเติมน้ำสามส่วนในไวน์นั้น มาจากตำนานของ Dionysus เทพเจ้าแห่งไวน์ของกรีก อ่านได้ทั้งสองอย่าง คือ ไดออนนีซัส และ ดิออนนีซัส ส่วน Bacchus แบคคัส นั้น..ชาวโรมันเป็นคนเรียก.. ที่ว่า..ยามที่ท่านกำลังเพลินๆกับไวน์ที่ผสมด้วยน้ำสามส่วน ตามจำนวนของเทพธิดาสามองค์ที่ต่างช่วยกันรินให้คนละส่วนนั้น..ท่านสนุกสนาน คึกคักถึงกับพาเข้าห้องหอได้พร้อมๆกันทั้งหมด..+++++++ สำนวนคุณวิข้างบนเนี่ย มันมันมั้นมัน ค่ะ ไม่ต้องเกลาสำนวนหรอกค่ะ .... แฟนไวน์คงรับได้ .... ขอบคุณสำหรับรูปต่างๆค่ะ น่าดู สวยงาม อ้อ เจ้า Carlo Rossi นี่ เจอวันนี้ราคาไม่ถึงขวด (750 ml) ละสองร้อยบาทค่ะ ถูกกว่าบะหมี่หนึ่งชาม กำลังวางขายทั่วไปในซูเปอร์เล็กๆ อิทธิพลอเมริกันแรงค่ะที่นี่ เรื่องเติมน้ำ เคยเติมน้ำแข็งในไวน์ขาวอิตาเลี่ยน เอ๊ะ อร่อยดีนะคะ กลิ่นจางลง ดื่มได้มากขึ้น ดื่มต่างน้ำไปเลย ขณะนี้กำลังทาน Botte di Bacco Trebbriano Rubicone จากกล่อง 1 ลิตร อยู่ค่ะ มันคงเข้าประเภท +แหลกไม่ล่าย+ แต่ยามไร้(ทรัพย์) เด็ดดอกหญ้าแซมผม (พระเอย) มันก็ +พอแหลกล่าย+ นะคะ .... อิ อิ หาในเวบ เข้าใจว่าเป็น ไวน์เนอรี่นี้ค่ะ http://www.medici.it/ จากคุณ : nijja - [ 4 ต.ค. 49 20:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 129 คุณ วาริชเวสม์ คะ ขอบคุณที่ส่งต่อมาให้ ที่จริงได้รับเป็นฟอร์เวิดเมล์ถึงไวรัสตัวนี้ Enterovirus อยู่เหมือนกัน เสียใจสะเทือนใจกับคุณพ่อคนนี้มาก เค้าอยู่ห้องสินธรมาก่อนค่ะ จากคุณ : nijja - [ 4 ต.ค. 49 20:09:32 ]

ความคิดเห็นที่ 130 อรุณสวัสดิ์ค่ะ อ้าว..ต้องขอโทษคุณ 2 D ทั้ง P และ 19 ที่สับสนไปชั่วขณะ เพราะเมื่อวานนั่งหน้าจอทั้งวัน ต้องแต่เช้ายันค่ำ ตาลายไปจริงๆค่ะ เอ่อ..ต้องขออธิบายเรื่องการส่งไวน์ ซื้อไวน์ ไม่ว่าจะจากไหนนะคะ ในกรณีของพี่..ไวน์ที่ต้องการ(ถึงขนาดนั้น)มักจะเป็นไวน์ที่หายาก ไม่ว่าจะจากการประมูล หรือ จากแหล่งที่ไว้ใจได้ ฉะนั้น..การส่ง เรารอไม่ได้ค่ะ ต้องด่วน ถึงด่วนที่สุด เพื่อเลี่ยง..การนอนนิ่ง นอนอบความร้อนในรถบรรทุกของ Fedex รวมทั้งไม่ต้องการให้พบกับความกระเทือนด้วย.. ค่าส่ง..ถ้าเขาบอกมาว่า..แค่ 10 เหรียญ เราก็จะทราบได้ทันทีว่า คนขายไม่รู้จักการส่งไวน์..ถ้าเปลี่ยนใจไม่ซื้อได้ก็จะเปลี่ยนทันที หรือถ้าเปลี่ยนไม่ได้ เราจะแจ้งให้เขาทราบทันทีว่าเราต้องการการส่งแบบไหน รูปห่อต้องเป็นอย่างไร เพราะราคานั้น..ก็แค่ส่งลงกล่อง ห่อด้วยกระดาษ โรยทับด้วยโฟมเม็ด.. เพราะถ้าแตกหรือเสียหายต่อให้ประกันจ่าย มันก็เสี่ยงเสียหายมากกว่า..ยิ่งถ้าเป็นลูกค้าสั่งผ่านมาด้วยละก้อ..เรื่องใหญ่มากกกก.. ไม่ได้เลยค่ะ... ไหนๆคุยเรื่องไวน์ จึงต้องขอนำภาพมาอธิบาย.. นี่คือกล่อง..ที่จะต้องเฉพาะกิจจริงๆ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 22:15:05 ]

ความคิดเห็นที่ 131 อย่าให้เกิดขึ้นอีกเป็นดีที่สุด เมื่อไร จะมีแค่ เกิด แก่ ตาย นะ จากคุณ : jearjear - [ 4 ต.ค. 49 22:15:36 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ข้างใน..นี่คือ แบบสรวมเกราะกันแตก แต่ยังไม่ใช่แบบดีที่สุด เพราะ ไม่ได้กันความร้อน ซึ่งค่ากล่องและค่าเกราะ ก็หลายเหรียญแล้วค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 22:17:10 ]

ความคิดเห็นที่ 133 อันนี้คือดีที่สุด..สำหรับการส่งไวน์ มีขายเป็นชุดค่ะ ราคาไม่น้อย เพราะกันได้ทุกอย่าง.. ส่วนไวน์ที่ซื้อแล้วรอ ให้เขาเก็บให้จนกว่าจะครบโหล แล้วส่งนั้น ถ้าเป็นไวน์ธรรมดา คนซื้อต้องอยู่ในถิ่นฐานที่ ขาดแคลนจริงๆ เพราะส่วนใหญ่ คือ การสั่งซื้อไวน์ในอนาคต (ที่ยังไม่ได้บรรจุขวดออกขาย) ที่เราต้องรีบสั่งตั้งแต่การ release ราคาใหม่ๆ เพราะยังเป็นราคาที่ผ่านตัวกลางชั้นเดียว เรียกว่าจ่ายเงินกั๊กไปก่อน อีกสองปีข้างหน้า ค่อยรับไวน์ ทีนี้เรื่องส่ง..ก็มาว่ากันอีกที ว่าจะให้จัดส่งอย่างไร จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 22:27:19 ]

ความคิดเห็นที่ 134 เกราะใส กับ โฟม อย่างละกี่เหรียญเหรอครับ ป้าวิ แล้วไม่ทราบว่าหาซื้อได้ทั่วไปที่อเมริกาหรือเปล่าครับ ตอนเพื่อนผมส่งไวน์มาให้คราวนั้นใช้แบบ พลาสติกหุ้มขวด ลักษณะเหมือนกับทึ่หุ้ม แอปเปิ้ล หนะครับ และก็มีโฟมที่คล้ายๆ หอยใส่มาอีกเพียบเลย ใส่มาในกล่อง กล่องนึงประมาณ 16 ขวด ส่งมา 2 ครั้ง ก็ไม่แตกแต่อย่างใดครับ เพื่อนผมก็กลัวแตกเหมือนกัน แต่ที่ส่งมาเป็นไวน์ราคาถูก เลยใส่มาแค่นี้ก็พอแล้ว เห็นรูปที่ป้าวิ โพส สองรูปนี้ ผมนึกอะไรได้อย่าง จากคุณ : jearjear - [ 4 ต.ค. 49 22:37:16 ]

ความคิดเห็นที่ 135 มีหลายแบบ อย่างชุด 133 นั่นก็ ตกหกเหรียญกว่าๆค่ะ คุณ jearjear หรือวิธีที่ดีที่สุด ถ้าต้องการไวน์ชนิดเดียวกัน และยกโหล ไม่เร่งรีบ..รอได้ และเป็นไวน์ราคาไม่แพง ไปสั่งผ่านร้านขายไวน์จะดีที่สุด เพราะ ค่าส่งจะคิดเป็นเศษส่วนนิดเดียว แต่เขาอาจจะคิดกำไรค่าเสียเวลานิดหน่อย.. แต่ก็ยังประหยัดกว่า และที่สำคัญ คือเราได้เพื่อนในวงการค้าไวน์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 ต.ค. 49 22:45:06 ]

ความคิดเห็นที่ 136 Dear P Wiwanda, I have never seen the clear plastic package before, and I agree with you that the foam package is the best for protection. All wine shops, auction houses, (and surprisingly individual sellers) I deal with are very professional when come to shipping. Almost everyone use foam packages saving a few that use cardboard wine shipper package, which serve the purpose but not as good as the foam packages. Many sellers also include packaging cost in the shipping cost. I recently made 2 orders: 1) Shipping 5 bottles within California so I go for UPS ground for $11. 2) Shipping 4 bottles from CA to IL and I use UPS 2nd days air. That's $27. Ouchhhhhhh! My recommendation is that ground shipment is prefered whenever you are not shipping accross the US. Since it only take 3 days from CA to IL, or IL to NY, 1 day difference doesn't really worth extra cost. Again, don't ship in the summer months. The best time to ship wine is fall or early spring when temperature is 10-15C, cellar temperature. When my wine are delivered in NY, the bottles are cool but not refrigerated during these months. And wine, when pack properly, is more resistant to shipping than most people think. Vibration is never an issue for such a short transit. Imported wine are vibrated all the way from Europe and Australia anyhow and that doesn't destroy the wine. But if you buy old wine, which are more fragile, you might want to go air shipment. DP จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 5 ต.ค. 49 00:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 137 2 types of foam packaging example krup. จากคุณ : DP Wine - [ 5 ต.ค. 49 00:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 138 Cardboard wine shipper on top krup. The hole-type foam packaging come in 1 bottles (in P Wi's picture), 2 (above picture), 3 (shown here), 4, 6, and 12 bottles version krup. จากคุณ : DP Wine - [ 5 ต.ค. 49 00:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 139 สั่งมาเพียบเลยนี่ครับ อร่อยไปอีกนาน จากคุณ : jearjear - [ 5 ต.ค. 49 00:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 140 Old stock na krup. Drink pai pen pee laew.... These are also useful to pack suitcase for airplane krup. จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 5 ต.ค. 49 01:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 141 พึ่งทานข้าวเย็นเสร็จเลยแวะมาตอบครับ โปรเซ็คโก้เย็นๆ กับพาสต้า ชื่นใจจริงๆ หลังจากเลิกงาน.. พี่วิครับ ขอบคุณมากครับ อุตสาห์รับลูกให้ต่อ ผมอยู่ในข่ายงานการศึกษาครับ ตอนนี้ทำวิจัยอยู่ครับ คุณ Nic Nenin ครับ คงต้องถามก่อนครับว่า ต้องการไวน์ขาวแบบหวาน หรือไวน์ขาวดรายธรรมดาครับ จริงๆมันมีเยอะมากๆ เลยไม่รู้จะแนะนำอะไรครับ ถ้าไม่เคยดื่มไวน์เยอรมันมาก่อน ก็แนะนำให้ลองซื้อไวน์ที่เป็น Riesling และขึ้นว่า trocken มาดื่มดูก่อนครับ ซึ่งจะเป็นไวน์ดรายทั่วไปและราคาประหยัด ผู้ผลิตดังๆจริงๆก็มีเยอะมากครับ เช่น Fritz Haag, Doennhoff, Dr. Loosen, J.J. Pruem, Diel, Kuenstler, Egon Mueller, และอีกมากมายครับ ถ้าได้ลองเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังด้วยนะครับ และถ้าอยากเอาสนุก แนะนำให้ลองซื้อไวน์ขาวรีสลิ่งจากอัลซาสมาดื่มเทียบด้วยครับ เพราะอะไรลองอ่านต่อไปครับ คุณวิโรจครับ จริงๆก็ไม่แน่ใจมากนะครับ กับคำตอบที่เขียนนี้ เพราะเป็นการสรุปเอาเอง แต่คิดว่าเนื่องเพราะเยอรมันแต่ไหนแต่ไรมา มีความถนัดและมีชื่อเสียงด้านการทำไวน์แบบหวานมากกว่าครับ ผู้ผลิตบางคน treat องุ่นสำหรับทำไวน์หวานกับไวน์ดรายเหมือนๆกัน ซึ่งจริงๆแล้ววิธี treat ย่อมไม่เหมือนกันครับ อีกประการนึงก็เนื่องด้วยข้อจำกัดของ classification ที่เน้นเรื่อง residual sugar ควบคู่ไปกับเรื่อง ของตัวปริมาณน้ำตาลก่อนการหมักในการเลเบิลว่าเป็น spaetlese หรือ auslese เป็นต้น ประกอบกับเหตุผลเรื่องการตลาดว่า ไวน์ขาวเยอรมันต้องแบบหวานเท่านั้นถึงจะดีเลิศ เขาเลยไม่ค่อยจะเอาองุ่นที่เข้าคลาสนั้นมาทำไวน์ดรายครับ ซึ่งทำให้ไวน์ขาวแบบดรายส่วนใหญ่กลายเป็นการนำองุ่นที่ไม่ ripe เพียงพอมาใช้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะมี acidity สูงเกินไป และองุ่นที่ ripe หน่อย (คือมีปริมาณน้ำตาลก่อนหมักสูงเพียงพอ) เขาก็ดันเอาไปทำให้เป็นไวน์หวานแทนหมดครับ ดังจะเห็นได้ว่า spaetlese หรือ auslese ส่วนใหญ่ของเยอรมนีจะไม่ได้ทำออกมาให้เป็น trocken ครับ จากคุณ : LaGrandeRue - [ 5 ต.ค. 49 02:10:38 A:213.39.169.27 X: TicketID:105596 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ดูกล่องมาหลายขนาดแล้ว..ดูเหมือนว่าจะขาดขนาดลังไปนะคะ เลยต้องเอามาให้ดูด้วย..จะได้ครบ.. และที่คุณ DP ว่ามาว่า.. "But if you buy old wine, which are more fragile, you might want to go air shipment." ก็ซื้อและสะสมอยู่อย่างเดียวนี่แหละน้องเอ๋ย..ไวน์ดีๆเก่าๆ ถึงได้ต้องพิถีพิถันเรื่องการจัดห่อและการส่ง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 5 ต.ค. 49 05:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ขอบคุณคับคุณ LaGrandeRue ผมจะลองหาทานแล้วมาเล่าสู่กันฟังคับผม น้อง DP สั่งไวน์เยอะเหมือนกันน่ะเนี่ย บินไปหิ้วเองไม่ดีกว่าเหรอคับ ผมว่าพวกไวน์เบอร์กันดี เปราะบางมากถ้าขนส่งไม่ดีอาจจะเสียตังค์ฟรีเลยน่ะคับ จากคุณ : :) (Nic Nenin) - [ 5 ต.ค. 49 07:29:12 ]

ความคิดเห็นที่ 144 อรุณสวัสดิ์ครับ จากคุณ : Phantom of the Cellar - [ 5 ต.ค. 49 10:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 145 Dear P Nic (#143), Those package are the one I use to put in samsanite suitcase on the way back to Bangkok krup. They are very sturdy. No bottle break and no heat damage yet. Even for Burgundy, a few years back I put 98 & 99 vintage into a suitcase and let it rest for a few months at home. Now they are delicious krup :) DP จากคุณ : DP Wine - [ 5 ต.ค. 49 11:04:23 ]

ความคิดเห็นที่ 146 Dear P Wi (#142), The 12 bottles package is way too big to fit into a suitcase krup, so I don't have any now :) I use to have a 6 bottles package that are really compact (and fit in suitcase), but unfortunately I had to throw away at the airport because my luggage become too heavy and I need to hand carry the wine on board. :( DP ps Which auction house do you use krup? I use winebid, magnumwines, and winecommune (online), and sometimes bid on Zachys (not online). จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 5 ต.ค. 49 11:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 147 Dear P Wi (#142), Laew P Wi mai buy young wine to age rer krup? How old is the wine you are purchasing now krup? For me I like to buy wine on release and wine that are not too old. So for Bordeaux and Burgundy, I only buy vintage 1999 and up. For Cali wine, today I only buy 2002 and up. This way, they are cheaper and I get too enjoy the wine at every stage of development too krup. จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 5 ต.ค. 49 11:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 148 เข้าไปอ่านลิงค์ที่คุณวาริชเวสม์ ให้มา..ใจแป้วไปเลยค่ะ สงสารหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่จริงๆ.. โรคนี้เป็นโรคใหม่ หมอคงไม่ได้ระวังระไวอะไรนอกเหนือไปจากการเป็นไข้หวัด เลยได้แต่แจกยา เฮ้อ.. ................ คุณ nijja คะ..ที่เขียนในหญิงไทยไม่ได้เขียนเรื่องไวน์หรอกค่ะ เป็นการเขียนเรื่องประสบการณ์การทำงานล้วนๆ เพราะบก.เขาว่า..คุณแม่บ้านชอบอ่าน.. กำลังจะเบนไปเขียนเรื่องไวน์เหมือนกัน เพราะมันก็เกี่ยวกับการทำงาน แต่..คงไม่เวิร์ค คุณ LaGrandeRue วันนี้พี่เอารายการไวน์เยอรมันมานั่งดู ว่าจะตัดใจซื้อสักขวดสองขวด (เพราะไปกินฟรีของเขามาเยอะแล้ว..) ทีนี้มาดู..นะคะ ท่านเกจิแถวนี้ พวกกลุ่มใกล้ตัวนี่แหละ เขาบอกว่า..ถ้าจะเสียเงิน ให้เอานี่เลย.. 1.Simon, Bert Kaseler Kehrnagel Auslese Riesling 2.Pauly Bergweiler Bernkasteler alte Badstube am Doctorberg Auslese Riesling (ชื่อนะเนี่ย) ที่ต้องๆจดๆจ้องๆอยู่ เพราะ ไม่ค่อยปลื้มกับไวน์ขาวน่ะค่ะ ต้องแน่ใจว่า ..ดีจริงๆ อิอิอิอิ จากคุณ : WIWANDA - [ 5 ต.ค. 49 11:34:24 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ซื้อแต่ไวน์เก่า เพราะชอบสะสมด้วยน่ะค่ะ เรื่องประมูล จะประมูลก็ต่อเมื่ออยากได้จริง ..โดยใช้บริการของ The Chicago Wine Company , winecommune หรือ K&L Wine Merchants และ Aabarat ค่ะ เพราะติดต่อกันมานาน..ไว้ใจได้ ส่วนไวน์ใหม่ ก็จะซื้อไวน์ future แล้วแต่ว่าอันไหนน่าสนใจ เอามาเก็บเอาไว้ เพราะในงานเทศกาลของขวัญอะไรต่างๆ จะให้เป็นไวน์เสมอค่ะ แทบไม่เคยให้ของอย่างอื่นเลย นอกจากผู้รับจะเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 21 ถึงต้องให้อย่างอื่น เมื่อก่อนการเดินทางไปเมืองไทย จะใช้กล่องไวน์อย่างที่เห็นนะคะ 12 ขวด ใส่ลงไปในกล่องกระดาษแบบที่พวกฟิลิปปินส์ชอบใช้ ยัดใส่ไปในถุงกอล์ฟอีกเจ็ดแปดขวด หิ้วขึ้นเครื่องอีกหก..บางทีมีงานเยอะที่ต้องไป ก็หิ้วสองกล่องเลย..และยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับถุงกอล์ฟ ที่ตามกฏการบินเขาจะต้องคิดราคาเราเพียงครึ่งเดียว เพราะเป็นอุปกรณ์กีฬา..จาก $130 มาเหลือ $65 เองค่ะ ตอนนี้เขาห้ามของเหลวขึ้นเครื่องแล้ว..ก็คงต้องจ่ายค่ากระเป๋าเพิ่มตามเคย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 5 ต.ค. 49 11:51:29 ]

ความคิดเห็นที่ 150 พูดถึงไวน์เบอร์กันดี...นี่เอามาจากจดหมายของ winecommune ที่ส่งรายการมาให้.. เลยเฉือนส่วนหนึ่งมาให้ดู.. Burgundy Red: 1999 Henri Jayer Vosne Romanee Cros Parantoux 1500ml - $9100 2003 DRC Richebourg 1500ml - $2835 Burgundy White: 1996 Coche-Dury Corton Charlemagne - $1979 RP96-99, WS99: “The cult wine per excellence hits another home run. Ripe but racy, with a lush, opulent and fat mouthfeel. Very attractive thanks to its richness, this vibrates on the palate as it powers its way to a toasty, ripe, velvety finish that will need years to show it all.” 2001 Coche-Dury Corton Charlemgne - $1494 RP98-100: “...Magnificently supple, yet focused, boisterous, yet refined, thick, yet balanced, it possesses a finish that easily lasts for over a minute. Moreover, it has all the ear-marks of perfection...” ............................................ โชคดีที่เคยได้ลองลิ้มมันไปแล้ว..สมัยที่ยังไม่แพงขนาดนี้ จากนี้ไป...ก็คงได้มอง แล้วปลงอนิจจัง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 5 ต.ค. 49 12:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ป้าวิครับ อยากจะรบกวนป้าวิดู ราคา ให้หน่อยหนะครับ ว่าที่อเมริกา กับที่สิงคโปร์ ราคามันต่างกันไหมครับ http://www.wineculture.com.sg/images/products/pricelist/WineCulture_WineList_2006.pdf ขอบคุณครับ จากคุณ : jearjear - [ 5 ต.ค. 49 15:57:10 ]

ความคิดเห็นที่ 152 Dear P Wi, Your 12 bottles foam package would count as 1 piece of luggages chai mai krup? And wine in golf bag... That is so brilliant. How do you manage to not have bottle not hit each other in golf bag krup? Usually, I can fit 8-12 bottles in samsanite suitcase kup. With 2 suitcases coming back from US, I get reasonable amount of wine. Also, I carry on board about 10 bottles (5 in bagpack and 5 in small carry-on luggage). With no more wine on board, I may have to opt for the golf bag like you in the future. จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 5 ต.ค. 49 16:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 153 เจ๊...กลับมาเที่ยวหน้าเอาติดมาซักหนึ่งคอนเทนเนอร์ได้ไหมเจ๊ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ... จากคุณ : Uncle Tee - [ 5 ต.ค. 49 17:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 154 Khun Jear, To compare prices between US and Singapore na krup, I think that for European wine, it is cheaper in US usually around 10-20%. And US wine is of course much cheaper in the US, sometimes 50% cheaper. For Australian wine, I found many bottles that is cheaper in Singapore so they are quite a good buy there. จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 5 ต.ค. 49 18:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 155 พี่หวานขา ถ้าตื่นแล้วช่วยกรุณาเช็คอีเมล์ด้วยค่ะ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 5 ต.ค. 49 21:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 156 เอาไวน์ใส่ถุงกอล์ฟ ให้ตายเถอะ...! จอร์จ ไม่เคยนึกมาก่อนเลย บังเอิญจริงๆ ครับที่ ทริปหน้า เจ้านายต้องพาเพื่อนๆไป ตีกอล์ฟที่ Adelaide คงต้องเอาวิทยายุทธ์ ของคุณอามาใช้บ้าง เวลาขึ้นเครื่องผมเอาไวน์ 14 ขวดใส่ overnight bag ของ samsonite ขึ้นเครื่องครับ... จากคุณ : พ่อหมี Polar Bear - [ 5 ต.ค. 49 22:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 157 Khun พ่อหมี Polar Bear, Be careful your back na krup. I usually had a backache a day after carry so much wine on airplane! :( จากคุณ : DP (DP Wine) - [ 5 ต.ค. 49 22:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 158 มาหวัดดีตอนดึกครับ จากคุณ : อาการหนัก (Phantom of the Cellar) - [ 6 ต.ค. 49 00:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 159 เอ้า..มาตอบรวบยอดเลย เกี่ยวกับการใช้ถุงกอล์ฟ "ต่างหน้า" เพื่อการซุกไวน์... การเดินทางไปเมืองไทยทุกครั้งนั้น ก็คือการไปตีกอล์ฟและเฮฮาชิมไวน์ อันเป็นงานหลัก.. อุปกรณ์กอล์ฟของตัวเองที่ใช้จริงๆ..มีอยู่ที่เมืองไทยแล้ว แต่ที่แบกไป..คือ..การนำไปให้น้องให้นุ่งมั่ง เอาไปทิ้งไว้ให้เพื่อนเล่นมั่ง (เพราะมีเยอะมาก ครั้งหนึ่งในชีวิต ก็สะสมไม้กอล์ฟแบบเป็นบ้าเป็นหลังเช่นกัน) ทุกครั้งที่จะใช้ถุงกอล์ฟแบบมวลเบา นั่นคือถุงที่ใช้ผ้าร่ม ใส่ไม้กอล์ฟ..คือ ชุดเหล็กหนึ่งชุด หัวไม้อาจมีสองสามอัน (กรณีที่มีคนสั่งซื้อ) แค่นั้น.. และจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์กอล์ฟจริงๆนะคะ เพราะยามที่เราไปขอจ่ายราคาอุปรณ์กีฬานั้น เขาจะขอเปิดดูว่ามีไม้กอล์ฟจริงๆ อันนี้..สายการบินบางสาย หรืออาจจะเป็นพนักงานบางคนที่ไม่ทราบถึงกฏนี้ และปฏิเสธ..เรายืนยันให้เขาไปเปิดสมุดคู่มือดู หรือ ขอพูดกับเจ้าหน้าที่ที่ระดับสูงกว่าได้ค่ะ ทีนี้ถุงกอล์ฟนั้น เรายังต้องใช้ถุง Golf Traveling Bag สวมคลุมขึ้นเครื่องอีกครั้ง..อันนี้ละค่ะ มีเนื้อที่เพียบ.. เราก็ห่อไวน์ทุกขวดด้วยพลาสติคลูกโป่ง(ขนาดเม็ดกลาง) ปิดด้วยเทปให้แน่นหนา.. ทีนี้..เราก็จะเอาถุงกอล์ฟใส่ในถุงเดินทาง..เนื่องจากถุงกอล์ฟเป็นขนาดเล็ก (8 นิ้วครึ่ง) ก็เตรียมผ้าห่ม(นวม) ขนาด twin หนึ่งผืน (อันนี้..เนื่องจากตัวเองเป็นคนติด"น้องห่ม" ผืนโปรด..เพราะที่เมืองไทยชอบนอนเปิดแอร์กัน) มาห่อถุงกอล์ฟแบบพันรอบตัวมันจะเป็นสองสามชั้น ก็เอาไวน์สอดลงไปตามรอยชั้น จะได้หลายขวดเลยค่ะ เคยทำได้ถึง 12 ขวด ส่วนที่ลงกล่องกระดาษนับเป็นกระเป๋าหนึ่งใบนั้น.. คือลังกระดาษสองใบซ้อนกัน (ที่ใช้ลังเพราะขี้เกียจหอบกระเป๋า อีกทั้งน้ำหนักเบากว่ากันมาก) ข้างในใส่ไวน์ ล้วนๆ เป็นลังโฟมแล้วแต่ขนาดตามสะดวกที่มี..จะได้ 18 ขวด..ตามน้ำหนักที่กำหนดให้ คือ 70 ปอนด์ อีกใบหนึ่งก็เช่นกัน..เหมือนกันเดี๋ยะ.. ที่ลังปิดป้ายว่า Fragile และ รัดด้วยเชือก พร้อมติดหูจับให้แน่นหนา.. รับรองค่ะ..ว่าไม่เคยแตก..แม้กระทั่งตอนมาถึง.. ลังยังไม่ช้ำ หรือ มีรอยบุบสลายเลย.. นี่คือกระเป๋าคลุมถุงกอล์ฟสำหรับเดินทางมีล้อไว้สำหรับลากด้วย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ต.ค. 49 02:41:37 ]

ความคิดเห็นที่ 160 และลัง..ที่ใช้ มีหลายชนิดตามสะดวก.. แต่อันนี้ดีที่สุด คือสำหรับใช้เคลื่อนย้ายเสื้อผ้า..เพราะยกสะดวก และที่สะดวกมากที่สุด สำหรับตัวเองคือขากลับ..เดินทางตัวโล่ง ไม่มีกระเป๋าให้รุงรังเป็นภาระที่ต้องหอบกลับมา นอกจาก กระเป๋าถุงกอล์ฟใบเดียว ที่พับให้เล็กได้ตามขนาด นี่ละค่ะ การเดินทางของนักกอล์ฟที่กินไวน์.. ป.ล. น้องนกที่รัก ตอบอีเมล์กลับไปแล้วนะคะ... จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ต.ค. 49 02:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 161 ลุงทีที่รัก.. เอาไว้เมื่อกลับไปเมืองไทยถาวร..เชื่อว่าต้องมีเต็มตู้คอนเทนเน่อร์แน่ๆ ระหว่างหนังสือกับไวน์ ช่วยหาทางเคลียร์เรื่องภาษีให้มั่งก็แล้วกัน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ต.ค. 49 02:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 162 ขอขึ้นกระทู้ใหม่เสียทีนะคะ เพราะมันโหลดยากแล้ว ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้K4769423 จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ต.ค. 49 03:48:09 ]