ความคิดเห็นที่ 1 คนแรกครับคนแรก หวังว่าคงไม่มีเรื่องขัดแย้งให้เสียบรรยากาศอีกเนอะ สวัสดีปีใหม่ไทยครับ จากคุณ : Jump.Jr - [ 20 เม.ย. 49 02:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาเก็บตกอ่านต่อจากภาคที่แล้ว ที่คุณสื่อศิลป และคุณ ถึงจะบ้าเขียนทิ้งไว้ค่ะ สรุปแล้ว การรบที่ร่มเกล้า มีผู้แพ้ มีผู้ชนะหรือเปล่าค่ะ จากที่อ่านๆมา คุณสื่อเล่าว่า ลาวขอเจรจาให้ยุติการรบทั้งๆที่ภาพรวมแล้ว เขาได้เปรียบกว่า เหตุผลในการที่เขาขอเจรจา ก็สืบเนื่องมาจากที่เขารู้ว่า เรามีปืนใหญ่ 130 ผลิตในจีนใช้ ส่วนคุณถึงจะบ้าบอกว่า งานนี้ไทยแพ้ เพราะกองทัพไทย จัดวางกำลัง ไม่เหมาะสมกับหน้าที่ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 20 เม.ย. 49 10:32:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมมารับกรรมอยู่ที่เชียงใหม่ครับ แต่ที่ก็ร้อนไม่แพ้ กทม. หรอกครับ ดีไม่ดีจะร้อนกว่าด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่อากาศค่อนข้างแห้งกว่าเลยไม่เหนียวตัวเท่ากทม ที่ทำงานอนาถามากครับ มีปลั๊กโทรศัพท์ให้แต่ไม่มีเครื่อง เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องหาเครื่องมาต่อเอาเอง ทางนี้ไม่มีให้ แต่เอาเหอะ มี net ให้ใช้ก็บุญแล้ว วันนี้เพิ่งเอาพัดลมจากบ้านมาเสริมกำลังอีกตัว เพราะ พัดลมโคจรติดเพดานตัวเดียวเอาไม่อยู่ ต้องแว่บละครับ ได้เวลาไปดำหัวผู้อาวุโส จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 20 เม.ย. 49 10:32:05 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มารายงานตัวด้วยคนครับ สวัสดีหลังปีใหม่พี่สาวกาสะลองด้วย และคุณ รณชัยด้วย ว่างๆจะหาโอกาสดำหัว พี่สาวกาสะลองดีกว่า อิอิอิอิอิ เรื่องร่มเกล้า ขอเวลาวันนึงนะคร๊าบ พี่สาว จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 20 เม.ย. 49 12:42:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เนื่องจากในโพสต์นี้ผมคลิ๊กเอารูปมาลงผิด เลยต้องขอลบรูปในคอมเมนต์นี้นะครับ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 20 เม.ย. 49 12:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เอ่อ คุณTweety สี่ตา ครับ ชื่อผมอ่าน ริวซอน ครับ ............ จากคุณ : ryzon - [ 20 เม.ย. 49 13:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอลบภาพประกอบนะคะ เพราะเจ้าของภาพเขาบอกว่าผิดฝา ผิดตัวค่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 20 เม.ย. 49 13:54:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ได้เข้าไป search หาภาพสุเหร่า Aya Sofya หรือ ในภาษาละตินเรียกว่า Santa Sophia ส่วนภาษากรีกเรียกว่า Hagia Sophia ซึ่งเป็นคริสต์จักรที่สร้างโดยจักรพรรดิจัสติเนียน แห่งคอนสแตตินโนเปิล เมื่อ 537 ปี ก่อนคริสต์กาล โดยในอดีต ถูกใช้เป็นศาสนสถานของคริสต์จักรโรมัน กรีก ออโธดอกซ์ และถูกเปลี่ยนมาใช้เป็นสุเหร่าตั้งปี ค.ศ 1453 หลังจากที่ถูกออตโตมันยึดครอง ยังกะท่องไปในนิยาย อาหรับราตรี จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 20 เม.ย. 49 13:57:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ยังคงวนเวียนอยู่แถวอนาโตเลียค่ะ ส่วนที่เรียกว่า อนาโตเลีย คือส่วนของดินแดนออตโตมันที่อยู่ทางฝั่งของทวีปเอเชีย โดยมีความเป็นตะวันออก ถึง 97 % ส่วนอีก 3% อยู่ทางฝั่งยุโรป เรียกว่าเทรซ ตะวันออกกลางอีกประเทศนึงที่ชาวยุโรปเข้ายึดครองและได้รับวัฒนธรรมของตะวันตก จนเกือบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว คืออิรักค่ะ จากปัญหาความสับสนนานับประการที่อังกฤษต้องมาพบปะเจอะเจอในตะวันออกกลางตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 1 จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อังกฤษเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ไปเลย กับการเข้าไปยึดครองที่ไหนแบบเบ็ดเสร็จ เพราะเริ่มรู้ว่า การใช้กำลังยึดครองนั้นไม่ยาก แต่ภายหลังจากที่ยึดได้แล้วนี่สิ จะปกครองอย่างไรให้เป็นเอกภาพ เป็นเรื่อยากแทบเลือดตากระเด็นเชียว อังกฤษจึงฟันธงลงไปว่า การที่ประชาชนขาดการศึกษา เป็นสาเหตุสำคัญของความยากลำบากทั้งหมดทั้งปวง การวางรากฐานการศึกษาของอังกษในอิรัก เป็นเสมือนดาบสองคมสำหรับผู้ที่เป็นจ้าวอาณานิคม เป็นความจริงที่ว่า การศึกษาเป็นหนทางนำไปสู่การสิ้นสุดของการปกครองของต่างชาติ ซึ่งเกิดขึ้นในอิรักอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการสอนวิชาประวัติศาสตร์ จุดประสงค์ของวิชานี้ก็คือสอนให้รู้จักเรื่องราวต่างๆในอดีต สอนให้รู้จักชาติ และปลุกเร้าในความรู้สึกรักชาติ และในซีเรียของฝรั่งเศสเองก็คล้ายๆกัน เพียงแต่ฝรั่งเศสยังระมัดระวังในการควบคุมความเหนือชั้นกว่าของตนเอง ทั้งนี้ เพราะฝรั่งเศสเห็นว่า การศึกษาเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ก่อให้เกิดลัทธิชาตินิยมของชาวพื้นเมืองและจะสะท้อนกลับมาปักอกผู้ปกครองอย่างที่อังกฤษได้รับในอิรัก จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 20 เม.ย. 49 14:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ชาติอาหรับที่แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำของความชาติอย่างอดสู ก็คงเป็นอาหรับปาเลสไตน์ หากดูเพียวผิวเผินจะเห็นว่า ชาติอาหรับต่างๆได้แสดงออกถึงความต้องการที่จะปกป้องปาเลสไตน์จากการรุกรานของอิสราเอล แต่ทุกครั้งที่มีการปะทะกัน ไม่ว่าจะเป็นอิรัก อียิปต ์จอร์แดน ซีเรีย หรือเลบานอน ต่างแสดงความกระตือรือล้นที่จะเป็นศัตรูกับยิว แต่ไฉนเมื่อถึงเวลาจริงๆ จึงล้มไม่เป็นท่าเช่นนั้น แล้วก็พบความจริงที่ว่า ประเทศอาหรับเหล่านั้น มีจุดอ่อนมากมาย ไม่ว่าในเรื่องของการได้รับการยอมรับจากประชาชน การริเริ่มที่สร้างสรรค์ในการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง มิหนำซ้ำผู้นำอาหรับเอง ยังมีเรื่องวิวาทะส่วนตัวกันอยู่เป็นประจำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ลงเอยที่ว่า พวกเขาไม่แน่ใจว่า หากป้องกันปาเลสไตน์ให้รอดพ้นจากอิสราเอลได้แล้ว ใครจะได้เป็นผู้ครอบครองดินแดนแห่งนี้ ความแคลงใจที่ว่านี้ นำมาซึ่งความขมขื่นให้กับประชาชนชาวปาเลสนไตน์เป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นอาหรับเหมือนกัน แต่เมื่อต้องลี้ภัยไปอยู่ในซีเรียหรือเลบานอน สถานภาพก็เป็นได้เพียงผู้ลี้ภัย แต่หากอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ก็มีสภาพความเป็นอยู่ที่แสนจะเลวร้าย น่าเวทนา พวกที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยของประเทศต่างๆเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับความเมตาของผู้เป็นเจ้าของประเทศ ซึ่งไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตนเองได้ ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่และแก่ลงไปภายในค่ายนั่นเอง ความเป็นอยู่ในเต๊นขาดๆ หรือไม่ก็อยู่ในถ้ำ ซึ่งคนเหล่านี้ ไม่เคยรู้ชีวิตของการอยู่นอกค่าย เด็กๆที่เติบโตเป็นหนุ่มสาว จะอยู่ในโลกเล็กๆที่แคบและจำกัด ถูกปลูกฝังในความจงรักภักดีต่อค่ายซึ่งค่ายแต่ละแห่ง ก็ถูกแยกโดยพรมแดนธรรมชาติ ผู้ลี้ภ้ยเหล่านี้ เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความแตกแยก ไร้ระเบียบแบบแผน ความสิ้นหวังที่มีอยู่ก็ดูจะสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์มากขึ้น เรื่องขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ เคยติดตามข่าวสารในช่วงที่นาย ยัดเซอร์ อาราฟัด ยังมีชีวิตอยู่ แต่ในปัจุบันี้ ไม่แน่ใจว่ายังคงมีความพยายามที่จะก่อตั้งองค์การปลอปล่อยตนเองในปาเลสไตน์อยู่อย่างต่อเนื่องหรือไม่ เรื่องนี้ มาถึงตรงนี้แล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องกล่าวถึงเรื่องสงครามยิวอาหรับ ซึ่งเกิดครั้งใหญ่ขึ้น 4 ครั้ง และรบกันอีกประปรายนับครั้งไม่ถ้วน โดยในครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ 1948 ครั้งที่ 2 ค.ศ 1956 ครั้งที่ 3 ค.ศ 1967 และครั้งสุดท้ายที่อิสราเอลปิดฉากสงคราม ในปี ค.ศ 1973 แต่ละครั้ง อาหรับพบแต่กับความพ่ายแพ้อย่างไม่มีข้อสงสัย โดยในครั้งแรก ก็มีเสียงขู่คำรามมาจากฝั่งอาหรับเมื่อมีการประหัตประหารชาวยิวโดยกองทัพนาซี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และชาวยิวเริ่มอพยพเข้าในปาเลสไตน์เป็นจำนวนมาก เพราะ ชาวอาหรับเกรงว่า สัดส่วนที่มากขึ้นอย่างน่าตกใจของประชากรยิว จะเป็นอันตรายต่ออาหรับ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากกดดันอังกฤษ ซึ่งมีอิทธิพลอยูในขณะนั้น ให้ปิดกั้นการอพยพ แต่ชาวยิวก็เหมือนกับไม่มีทางเลือก เพราะต่างก็หนีตายกันมาทั้งนั้น เมื่อมีการอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากพอ ชาวยิวจึงได้ส่งสัญญานต่อกันด้วยการร้องเพลงชาติไซออนนิสต์ ซึ่งแน่นอนว่า ฝ่ายอาหรับไม่พอใจการกระทำขอยิวเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นนานถึง 2 สัปดาห์ เหมือนปลายสายชนวนได้ถูกจุดขึ้นแล้ว การปะทะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่จุดยืนของยิวในช่วงนี้ นับว่า แน่วแน่มากทีเดียว เป็นการพิสูจน์ในครั้งแรกว่าการจะฝ่าด่านตรงนี้ออกไปให้ได้ ก็ต้องเริ่มที่จะกล้าทำ และกล้าเผชิญ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ตัวอ่อนอย่างยิว ก็จะถูกบดบี้โดยไม่มีโอกาสฟักตัวออกจากไข่ด้วยซ้ำไป ในสงครามปาเลสไตน์ครั้งที่หนึ่งนี้ ไม่ต้องบรรยายขั้นตอนการสู้รบนะคะ เพราะบรรยายไม่เป็น ทราบแต่เพียงว่า ยิวรุกหนักจนสามารเข้าถึงใจกลางของดินแดนปาเลสไตน์ได้ และในวันที่ 14 พ.ค 1948 นายเดวิด เบนกูเรียน ก็ประกาศก่อตั้งประเทศอิสราเอล การรบในครั้งแรก จึงเป็นการเปิดฉากการสร้างชาติอิสราเอล อย่างแท้จริง ถึงแม้ อิสราเอลจะต้องสู้รบกับอาหรับถึง 6 ประเทศ แต่ก็ได้รับชัยชนะ เและป็นเพียงบทเริ่มต้นเท่านั้น ตลอดระยะเวลาแปดปี ทั้งสองฝ่ายได้บ่มเพาะความเกลียดชังซึ่งกันและกันตลอดมาจนก่อให้เกิดสงครามอีกสามครั้ง สงครามครั้งแรก ถือว่าเป็นการสร้างชาติยิว แต่สงครามครั้งต่อๆมาถื่อว่าเป็นการรบเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 20 เม.ย. 49 14:13:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนนี้คนเล่าเยอะ ขอถอยฉากเว้นวรรคชั่วคราว ไม่งั้นเดี๋ยวตีกันยุ่ง คนอ่านจะมึนตึบไปเลย ไว้ซาๆแล้วจะมาใหม่ ตอนนี้พี่สาวกาสะลองฯกับคุณถึงจะบ้าฯ เชิญตามสะดวกครับ.... จากคุณ : ryzon - [ 20 เม.ย. 49 21:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณกาสะลองบานแล้ว ครับ เมื่อเดือนที่แล้ว ได้นั่งดวดเบียร์ สนทนากับเพื่อนชาวยิว ซึ่งมาเมืองไทยทุกปี เรื่องสงคราม ระหว่างยิวกะอาหรับ เขาพูดแบบถ่อมตัวแบบน่าเตะๆว่า กองทัพอิสราเอลก็ ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก เพียงแต่คู่ต่อสู้ของเรา โง่กว่าเรามากเท่านั้นเอง.... และก็ได้รับรู้เรื่องความรู้สึกของยิวที่มีต่ออาหรับนั้น มันรุนแรง และตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงแค่ไหน เรื่องนี้น่ากลัวครับ ที่คำพังเพยเราว่ายังกะขมิ้นกับปูนน่ะ ยังงั้นเลย มนุษยโลกเรานี่มันอะไรกันนักหนานะ จากคุณ : ทองเบิ้ม - [ 21 เม.ย. 49 00:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องสงครามไทยกับลาวที่ร่มเกล้านั้น ผมว่าเรียกว่าเสมอแบบเดิมนะดีแล้วครับ เพราะดุลย์อำนาจในการรบนั้นมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และมีแนวโน้มที่จะต้องขยายความรุนแรงเข้าไปเรื่อยๆ ยังที่บิ๊กจิ๋วเขาบอกนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ต่างฝ่ายต่างเลือกหยุด ณ จุดที่หยุดได้น่าจะดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะลามไปเป็นสงครามเวียดนาม 2 เสียเปล่าๆ ดุลย์อำนาจในการรบที่ว่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาคืออะไร 1. สาเหตุของการรบ เป็นเรื่องของแนวพรมแดนกลางป่ายอดดอยสูง แถมมีประวัติศาสตร์การทำสนธิสัญญาพรมแดนผ่านฝรั่งเศสเสียอีก พวกเรากันเองอาจจะพูดได้ว่า มันข้ามแดนเรามา หรือลาวจะตะโกนดังๆ ว่าเฮ้ย ไม่ใช่พ่อค้าตัดไม้ไทยมันรุกมาตัดในป่าฉัน แต่เวลาเรื่องพวกนี้ขึ้นการพิจารณาในระดับโลก มันต้องมีการอ้างอิงหรือหลักฐานที่บางอย่างมันก็พูดยากในเรื่องของความยุติธรรมครับ อย่างเรื่องของเขาพระวิหารนั่นไง เพราะฉะนั้น ถ้าปล่อยยืดเยื้อถึงขนาดต้องเข้าสู่กระบวนการระดับโลก เรื่องคงไม่จบง่ายๆ 2. ลาวเองในช่วงแรกได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธและอุปกรณ์สงครามรวมทั้งการนำหน่วยจากสหภาพโซเวียต รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะขยายการช่วยเหลือด้วยกำลังทหารจากเวียดนามแท้ ๆ หากถึงคราวอับจน เนื่องจากกองทหารเวียดนามในลาวนั้นมีประจำการอยู่อย่างชัดเจนและแน่นอนจำนวนหนึ่งอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จุดแข็งตรงนี้ของลาวก็เปลี่ยนเป็นจุดอ่อนทันทีที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ทำให้ขาดการช่วยเหลืออย่างกระทันหัน แถมยังถูกบีบจากทูตโซเวียตให้หาทางเจรจากับไทยเสียอีก 3.ชัยภูมิของลาว ดีกว่าไทยในฐานะ "สูงข่ม" แถมเป็นพื้นที่ศึก พคท.เก่า ทำให้มีการจัดทำฐานที่มั่นเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ผิดกับทางเราที่ต้องยกพลขึ้นเขาเข้าตีตรงหน้า ซึ่งตำราพิชัยสงครามฉบับไหนๆ ก็บอกได้เหมือนกันว่าเสียเปรียบ ไม่นับถึงการัดสินใจเลือกใช้ทหารผิดกรมกองของไทยด้วย แต่จุดแข็งของลาวตรงนี้ ก็ลดน้อยลง เมื่อไทยนำเอากำลังทางอากาศมาใช้ แม้จะไม่ได้ผลอย่างสูงสุด เพราะความผิดพลาดของเราเอง และบทเรียนในอดีตพิสูจน์มาแล้วว่า การรบแบบอุโมงค์ของประเทศในอินโดจีนนั้น รับการทำลายล้างของการทิ้งระเบิดขนาดหนักและการโจมตีทางอากาศได้ ก็โถช่วงสงครามระหว่างอเมริกากะลาวนะ พี่เบิ้มเขาเอาลูกเหล็กไปโปรยทิ้งยิ่งกว่านกพับสันติภาพบ้านเราเสียอีก ลาวยังผ่านมาได้เลย แต่ในสมรภูมิร่มเกล้า มันก็ทำให้เขาสะดุดและสูญเสียมากเหมือนกัน จากคุณ : ร่มเกล้า 1 (สื่อศิลป) - [ 21 เม.ย. 49 10:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 4. การสนับสนุนการรบจากมหาอำนาจ ตามแบบฉบับของการรบในช่วงสงครามเย็นในสมัยนั้น ลาวนั้นชัดเจนว่ามีโซเวียตและเวียดนามหนุนหลัง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างเต็มที่ เพราะโซเวียตและเวียดนามไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการนั้นมากนัก นอกจากผลการเบี่ยงเบนประเด็นการรุกเข้ากัมพูชาของทหารเวียดนาม และการทำตามข้อตกลงสนธิสัญญาของพี่ใหญ่ค่ายสังคมนิยมเท่านั้น ส่วนไทยเอง มหามิตรอย่างอเมริกา หรือนอมินีเขาอย่างสิงคโปร์ ก็ไม่ได้สนใจอยากจะช่วยจริงๆ จังๆ เพราะนี่ไม่ใช่สงครามตามยุทธศาสตร์โลกของเมกัน ไม่รู้จะให้รบไปทำไม ประกอบกับช่วงนั้นเมกันเองก็ต้องลุ้นการเปลี่ยนแปลงในโซเวียตให้หงายมาด้านที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แล้วจะมาหนุนสงครามกระจอก ๆ นี้ให้กลายมาเป็นศึกสงครามเย็นระหว่างค่ายครั้งสุดท้ายทำไม ให้การเจรจากับกอร์บาชอฟมันฝืดคอเล่นงั้นหรือ จีนเองแม้จะเข้ามาเป็นพระเอกตอนจบด้วยการสนับสนุนอาวุธหนักให้กับเรา โดยเฉพาะปืนใหญ่ที่เรากำลังขาดแคลนกระสุนจากค่ายโลกเสรี เพราะเมื่อขาดสต๊อกการสั่งจากอเมริกา ต้องใช้เวลา หรือจะซื้อจากสิงคโปร์ยามไม่มีไฟเขียวจากลูกพี่ใหญ่ ลูกหลานคุณลีก็พูดคำเดียวว่า จะเอาเท่าไรก็ได้ แต่ต้องจ่ายสดนะเฟ้ย ไอ้ประเภทจะเอาบัตรเฟิร์ตช้อยท์หรือแคปปิตอล โอเค มารูดปรื๊ดๆ แล้วค่อยผ่อนจ่ายยันยายแก่นั้นหาได้ไม่ มันถึงมีแนวคิดเรื่องคลังอาวุธสำรองหลังสงครามครั้งนี้ไง 5. ยุทธศาสตร์การรบมันเริ่มเปลี่ยนจากป้องกันดินแดน ที่ส่อแววจะยืดเยื้อ กลายเป็นสงครามข้ามพรมแดน เพราะยุทธศาสตร์ทางทหารมันบังคับให้ต้องเล่นหลังบ้านเขาด้วยการส่งทหารหน่วยรบพิเศษออกไปแอบเตะตูด แทนที่จะชกตรงหน้าอย่างเดียว ทางทหารมันทำได้ครับ แต่ทางการเมืองระหว่างประเทศแล้วมันเรื่องใหญ่ เพราะจะเปลี่ยนจากสงครามป้องกันดินแดนเป็นสงครามเพื่อรุกรานทันที แล้วเรื่องก็จะเข้าสู่สหประชาชาติเหมือนๆ กับกรณีอิรักบุกคูเวตนั่นแหละ เพราะฉะนั้น แม้จะทำได้ผลแต่ก็โฉ่งฉ่างหรือขยายวงการทำสงครามด้วยหน่วยรบพิเศษออกไปไม่ได้ ลาวเองเมื่อเจอแบบนั้นก็กระอักเหมือนกัน เพราะด้วยทรัพยากรและศักยภาพของตัวเองโดยลำพังนั้น มันสู้กันไม่ได้แบบเห็นๆ เพราะการทำสงครามสมัยใหม่นั้น ไม่ใช่เรื่องการทหารเท่านั้น แต่มันยังมีเรื่องของความมั่นคงทางการคลัง เรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในประเทศนั้นๆ ที่จะรองรับการทำสงครามยืดเยื้ออีกด้วย เช่น อัตราการเกิดของประชากรที่จะมาทดแทนทหารที่บาดเจ็บล้มตาย ระบบพยาบาลที่จะรองรับการรักษา ระบบสวัสดิการสังคมที่จะรองรับทหารผ่านศึกหลังสงคราม ดูอย่างเมื่อครั้งที่เวียดนามเลิกรบสิ ต้องแบกรับปัญหาทหารผ่านศึกต่อมาอีกนับสิบๆ ปี เพราะตอนที่เวียดนามเกรียงไกรนั้น เขาคุยว่ากองทัพของเขานั้นสุดยอดถึงระดับ 4 ของโลก (ทั้งๆ ที่ไม่มีความสามารถในการผลิตอาวุธได้เองนี่นะ) ทหารประจำการของเขามีเป็นล้านๆ คน ซึ่งแน่นอนทุกคนต้องมีอาร์ก้ากันคนละกระบอก แล้วเกิดอะไรขึ้น เมื่อเสร็จสงครามกลางเมือง เมื่อต้องถอนตัวออกจากกัมพูชา ก็ทหารผ่านศึกที่เอาอาร์ก้ากลับไปบ้านกันคนละกระบอก พร้อมกับเที่ยวแสวงหางานทำกันอย่างจนตรอก เพราะเคยแต่รบมาตลอดชีวิต ไม่เคยไปทำงานอย่างอื่นสักที ร.ร.โปลีเทคนิคที่จะให้ไปหัดตีกันก็ไม่มี หรือที่มีอยู่ก็ไม่เคยได้ไปเรียน พอหาไม่ได้จริงๆ คุณว่าเขาจะกินอาร์ก้า หรือเอาอาร์ก้ามาหากินล่ะ ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในสภาพที่อยากจะเจรจาสงบศึกกันมากกว่าที่จะรบต่อไป ซึ่งผมว่าการเรียนรู้ที่น่าสนใจกว่า ก็คือการแสวงหาข้อมูลข้อเท็จจริงมาสนับสนุนหรือคัดง้างปัจจัยเหล่านี้แหละครับ เพื่อจะได้มาดูว่าสมดุลของอำนาจที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกตัดสินใจอย่างใดหลังเปิดฉากการรบไปแล้ว เพราะการรบยุคใหม่นั้น ไม่เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีอักษะฝ่ายนึงพันธมิตรฝ่ายนึง แล้วก็ห้ำหั่นกันจนอีกฝ่ายตายคามือแล้วประกาศชัยชนะอย่างเด็ดขาดชนิดไร้ข้อกังขาแล้วนะครับ ไม่เชื่อก็ลองดูเกาหลีสิครับ ใครบอกได้ว่าใครแพ้ใครชนะ เพราะตอนนี้เขายังมีสถานภาพสงครามกันอยู่เลย แค่พักรบเฉยๆ แม้กระทั่งเวียดนาม ที่สุดท้ายอเมริกาถอนทหารออกไป เหมือนจะแพ้ แต่ก็มีข้อสรุปแบบคลุมเครือประเภทว่า ชนะการรบแต่แพ้สงคราม ใช่ไหมละ เพราะการทำสงครามมันมีปัจจัยอื่นมากกว่าการเอาทหารไปยิงลูกปืนใส่กันนะครับ เวียดนามแม้จะแพ้การรบกับอเมริกัน เพราะเทคโนโลยีด้านอาวุธแตกต่างกันหลายขุม แต่ก็ชนะสงครามได้ หลังจากนั้นอีกกว่า 20 ปี ก็ต้องเผชิญกับสงครามเศรษฐกิจ ถูกสหรัฐฯประกาศเอ็มบาโก้ พึ่งจะมายกเลิกเอาเมื่อสิบกว่าปีนี้เอง แล้วเป็นไง เวียดนามชนะหรือสหรัฐฯชนะ เมื่อตอนนี้กลายเป็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาโดดเข้าไปลงทุนในเวียดนามเป็นทิวแถว ยึดดินแดนได้โดยไม่ต้องยิงปืนสักแอะ สนุกสนานนะครับ ไม่ได้ซีเรียส ใครอยากให้ไทยแพ้ก็ได้ หรืออยากให้ลาวพ่าย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แค่ขอแสดงความเห็นหน่อยเท่านั้นแหละ จากคุณ : ร่มเกล้า 2 (สื่อศิลป) - [ 21 เม.ย. 49 11:04:22 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ยินดีต้อนรับคุณสื่อศิลป สู่นครสวรรค์ครับ ว่าแต่มาทำอะไร แถวไหนหรือครับนี่? จากคุณ : @(-_-)@ - [ 21 เม.ย. 49 14:41:14 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คงไปเดินท่อมๆ อยู่แถวห้างที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมืองนครสวรรค์นั่นแหละครับ เสร็จแล้วพอตกกลางคืนก็ไปนอนพักผ่อนที่โรงแรมที่เขาเล่ากันว่าสร้างอยู่บนป่าช้าเก่านั่นแหละ ส่วนจะมาทำอะไรนั้น เจ๊ฯ วิวันดา เจ้าของกระทู้นี้เขาตั้งข้อสงสัยว่า ไอ้เจ้าสื่อศิลปนี่มันต้องหากินทางเป็นเซลล์แมนขายยาแหงๆ เพราะเห็นมันชะตาลงตี....น ไปนู่นมานี่ ไม่มีหยุดหย่อนเสียจริงๆ ก็ขอปฎิเ.......เอ้อ สนใจยาถ่ายพยาธิกินแก้เจ็บคอสักกล่องไหมครัย ยินดีที่ได้ไปนครสวรรค์ครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 21 เม.ย. 49 15:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 รับทราบค่ะคุณริว และขอโทษที่เรียกผิดอย่างจงใจค่ะ (ติดมาน่ะค่ะ ชอบแปลงชื่อเป็นไทยกันอยู่เรื่อยค่ะ) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 21 เม.ย. 49 23:26:48 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หุๆๆๆๆ จารย์ สื่อ มาถึงก้รัววะเป็นชุดเลย เหอๆๆๆๆๆ สวัสดีครับ นึกว่า จะ เว้นวรรค ไปนานเสียอีก ดีครับ ที่กลับมา ถกกัน ผมเองช่วงนี้ก้ยุ่งเช่นกัน ส่วนที่สัญญาพี่ กาสะลอง ไว้ว่าจะเอาภาพถ่ายสมรภูมิมาให้ดู นี่ครับ เป็นการถ่ายจากเครื่องบิน ช่วงทำศึก ดูจากภาพแล้ว ดุมันขุดคูเรดและวางแนวป้องกันอย่างดี แสดงว่ามันแฝงตัวมานานแล้ว การวางแนว ยิ่งดูพื้นที่รอบๆ สังเกตดีๆ ถ้าทำคอนทัวร์กับแผนที่ จะนึกออกว่า มันชันและแคบแค่ไหน จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 22 เม.ย. 49 17:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ส่วน อ.สื่อครับ ผมไม่ใช่ว่าจะเอียงว่าใครแพ้ชนะ เพราะหลายส่วนคิดเหมือนกันเลย ลาวยังพึ่งพาไทยอยู่เยอะ แต่ แต่ๆๆๆ อยากชี้ให้เห็น แนวความคิด การเมืองนำการทหาร การ คอรัปชั่น ที่มีมานาน และเป็นสิ่งที่แสดงออกมาในทุกวงการ ณ เวลานี้ ใครได้ประโยชน์จากพื้นที่สุญญากาศมายี่สิบปีล่ะ ล่ะ ลองทายดฺสิครับ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 22 เม.ย. 49 17:19:45 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกับคุณ สื่อศิลป ทุกประการคับ ในเรื่องบ้านร่มเกล้า ทางการลาวเขาฉลาดคับเมื่อลูกพี่ค้อนเคี่ยวเริ่มไม่มีตังค์ส่งและแนวโน้มสงครามเริ่มเปลี่ยนเป็นสงครามเบ็ดเสร็จลาวก็ต้องเริ่มถอยทางการเมืองเพราะยิ่งยืดเยื้อโอกาสโดนสวนกลับมีสูงมาก ส่วนภาพจาก คห.5 เป็นรถจี๊บ willy รุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับและน่าจะเป็นรถของอิสราเอลใช้ในสงครามกับเหล่าประเทศอาหรับ ( อันนี้เดาดูจากระบบอาวุธและสภาพภูมิประเทศ) ส่วน เจ้าm 151a1,2 บ้านเราเริ่มปลดแล้วคับ เพราะหันไปใช้เจ้า ฮัมวี่แทน และส่วนมากปืนที่ติด บนรถ m 151 เป็น ปืนกล M60 คับ ซึ่งก็เริ่มปลดแล้วเช่นกัน หันไปใช้ mag 58 แทน จากคุณ : ผ่านมา - [ 23 เม.ย. 49 09:35:22 A:203.146.201.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่องบ้านร่มเกล้าปล่อยมือโปรเค้าไป ผมขอต่อเรื่องออตโตมันจากภาคที่แล้วนะครับ หลังสงครามบอลข่าน จักรวรรดิออตโตมันเสียดินแดนในยุโรปและแอฟริกาเหนือไปเกือบหมด แต่ยังไม่ลืมความยิ่งใหญ่ของตนเองในอดีต ถึงแม้ว่าในเวลานั้นจักรวรรดิจะอยู่ภายใต้การปกครองของ เอนเวอร์ปาชา และกลุ่มยังค์เติร์กก็ตาม ทำให้ออตโตมัน(ตุรกี)ไปรับความช่วยเหลือทางด้านการทหารจากเยอรมันมากขึ้น เพื่อรอวันแก้แค้น แต่แล้วก็รอไม่นานเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นในกลางปี 1914 ในช่วงแรกออตโตมันยังวางตัวเป็นกลาง(แต่เอียงๆไปทางมหาอำนาจกลาง) แต่ด้วยความหวาดระแวงของอังกฤษ จึงยึดเรือลาดตระเวน 2 ลำที่ ตุรกีสั่งต่อไว้เพราะเกรงว่าตุรกีจะไปเข้ากับมหาอำนาจกลาง ตุรกีทั้งโกรธและแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตนเองอ่อนแอกว่าอังกฤษ แต่แล้วความหวาดกลัวนั้นหมดไปเมื่อเรือลาดตระเวน เกอเบน และเบรสเลาของเยอรมันแล่นผ่านช่องแคบดาดะแนล ออตโตมัน(ตุรกี)จึงได้เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจกลาง เมื่อเดือนสิงหาคม 1914 โดยที่เยอรมันขายเรือ 2 ลำนั้นให้ตุรกี ซึ่งว่ากันว่าเป็นการซื้อขายแบบหลอกๆเพราะลูกเรือของเรือทั้ง 2 ลำยังเป็นชาวเยอรมัน แค่เปลี่ยนจากหมวกกะลาสีของตนมาเป็นหมวกแดงของเติร์ก และเรือทั้ง 2 ลำก็ได้เข้าร่วมปฏิบัติการกับกองทัพเรือตุรกีด้วยในวันที่ 29 ตุลาคม 1914 โดยระดมยิงเมืองท่าของรัสเซียในทะเลดำ และประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1914 ตุรกีจึงเข้าร่วมสงครามด้วยประการฉะนี้ รูปเรือลาดตะเวนเกอเบน คำบรรยายใต้ภาพเขียนอย่างนี้ แปลเองเน้อ "Battleship Goeben. Germany faked its sale to Turkey. German officers and sailors operated it." จากคุณ : ryzon - [ 23 เม.ย. 49 11:27:07 ]

ความคิดเห็นที่ 22 รูปกองทหารตุรกีภายใต้การฝึกของเยอรมัน อันนี้รูปทหารราบครับ จากคุณ : ryzon - [ 23 เม.ย. 49 11:29:39 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อันนี้ทหารม้าครับ จากคุณ : ryzon - [ 23 เม.ย. 49 11:32:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 รูปเครื่องแบบทหารตุรกี อันนี้ก็อปมาจากของเยอรมันเลยครับ จากคุณ : ryzon - [ 23 เม.ย. 49 11:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ภาพการระดมพลเข้าสู่สงครามของตุรกีครับ จากคุณ : ryzon - [ 23 เม.ย. 49 11:34:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เพื่อนยิวของคุณทองเบิ้ม....รูปหล่อมั้ยคะ? แต่เพื่อนอาหรับของเรา... หล่อๆทุกคนค่ะ.... ............................. "คูเรด" แปลว่าอะไรคะ? "ใครได้ประโยชน์ในพื้นที่สูญญญากาศ" เขียนทิ้งทวนคลุมเลือแบบนี้ ขอให้เป็นแค่ อ.สื่อคนเดียวเถิดค่ะ เพราะอ่านแล้วงง ไม่เข้าใจ .... ช่วยเฉลยด้วยค่ะ หมายถึงใครกันเหรอ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 23 เม.ย. 49 21:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ออตโตมัน คนป่วยแห่งยุโรป เข้าร่วมสงครามโลกคั้งที่ 1 โดยเป็นฝ่ายเดียวกับมหาอำนาจกลาง เยอรมัน ตอนนั้น ออตโตมันเสร็จยังเตริ์ก ไปแล้วใช่เป่าคะ? และเพราะออตโตมัน เอนเอียงไปข้างเยอรมันนี่แหละ จึงทำให้พันธมิตร นำโดยอังกฤษ ต้องวางแผนทุกวิถีทางเพื่อดึงกลุ่มคนต่างๆในตะวันออกกลางมาเป็นพวกตน ทั้งอาหรับและยิว ก็เลยถือสัญญาคนละฉบับ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง และพันธมิตรได้รับชัยชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มาเรียกร้องให้สัญญาที่ตนถืออยู่นั้น มีผลบังคับ เล่นเอาอังกฤษซัดพาราไปคืนละหลายเม็ด เพราะแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องเอาปัญหานี้เข้า ยูเอ็น แต่ก็ยังยุ่งไม่เลิก เมื่อพี่ใหญ่ยูเอ็น เข้าเข้ามาถูกที่ถูกทางพอดี เรื่องการรบที่ยืดเยื้อนี้ เป็นไปตามความประสงค์ของพี่ใหญ่เขาละคะ เป็นเพราะในอดีต พี่เบิ้มเขาเคยโดนเรื่องสงครามน้ำมันมาแล้ว (ไม่แน่ใจว่า อียิปต์หรืออิหร่าน ทีประกาศใช้น้ำมันเป็นอาวุธต่อสู้กับอเมริกา) อเมริกา จึงวิตกอย่างมากกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมอีก จึงพยามยามกวนน้ำในห้ขุ่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ว่า เมื่อหาเวลาสงบได้ ก็จะไม่มีเวลามาคิดกลอุบายแก้กมส์อเมริกาไง การที่เขาปล่อยให้อิสราเอล (เซี่ยงจี้ข้างขวาของอเมกา) ยั่วยวนกวนประสาทของอาหรับอยู่เรื่อยๆ ก็เพราะสาเหตุนี้แหละค่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 23 เม.ย. 49 21:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 28 555 พี่สาวมาซะดึกเชียว ออตโตมันตอนนั้นเสร็จยังค์เติร์กไปแล้วครับ เพราะตั้งแต่ตัวผู้นำอย่าง เอนเวอร์ ปาชา ก็ได้รับการศึกษาจากเยอรมัน แถมตอนนั้นเยอรมันดูจะเป็นชาติเดียวที่จริงใจกับออตโตมันมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มความช่วยเหลือแก่จักรวรรดิออตโตมันโดยเฉพาะด้านการทหาร หรือโครงการทางรถไฟสาย เบอร์ลิน - แบกแดด ที่จะเบียดคลองสุเอซตกไปเลย ที่สำคัญเยอรมันดูจะเป็นชาติเดียวที่ไม่เคยฉวยโอกาสเข้าไปรุมทึ้ง คนป่วยคนนี้เหมือนมหาอำนาจตะวันตกชาติอื่น(หรือดูจากในไทยในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้ครับ) ........ จากคุณ : ryzon - [ 23 เม.ย. 49 21:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เออ ขออนุญาตแวบมานิดนึงครับ ตอนนี้อยู่นครสวรรค์แล้ว ได้พักโรงแรมที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะด้านหน้าเป็นเมรุเผาศพ ส่วนด้านหลังก็เป็นฮวงซุ้ยสุดลูกหูลูกตา เรียกว่า ถ้าท่านผีไทยจะไปมาหาสู่กะผีจีน ก็ต้องอาศัยลอยผ่านโรงแรมที่ผมพักอยู่นี่แหละครับ ที่สุดยอดคือ หากดึกๆ กับแกล้มหมดเมื่อไร เป็นอันต้องล้มวง เพราะทางเดินไปร้านเซเว่น ถ้าออกหน้าโรงแรมแล้วเลี้ยวซ้ายก็ต้องผ่านฮวงซุ้ยก่อน หรือจะแอบแวบไปทางขวา ก็จะเจอเมรุเผาศพเข้าพอดีเป๊ะ เมื่อคืนลองวัดใจดูแล้วทั้งนายทั้งลูกน้อง ปรากฎว่าปลาซิวเรียกพี่หมดครับ โธ่ ไอ้ที่เวลากลางวันเสียงดังๆ นะ เพราะแดดมันแจ๋อยู่หรอก แต่กลางคืนนี่สิ คนละบรรยากาศเลย เอาเป็นว่าถ้าหัวไม่โล้นกลับไปจะเล่าเรื่องการเมืองการบ้านกันต่อนะครับ ตอนนี้ขอเว้นวรรคไปหาหลวงพ่อขอน้ำมนต์สักขันก่อน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 เม.ย. 49 18:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 30 "ปลาซิวเรียกพี่หมดครับ" ชอบมุขนี้จังเลย ขออนุญาติเอาไปใช้นะครับ จากคุณ : ryzon - [ 24 เม.ย. 49 19:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แหม่ คุณสื่อศิลป์คิดอะไรมาก ออกไปเถอะครับ ถ้าเจอจริงๆ ก็สวัสดีรุ่นพี่ไว้ก่อนแค่นั้นเอง รู้จักกันไว้ อีก 30-40ปี เผื่อต้องรับน้องเค้าไม่ได้เล่นหนัก เอิ๊ก เอิ๊ก จากคุณ : Ace striker - [ 25 เม.ย. 49 09:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มีญาติคนนึง วันนึงเธอเดินผ่านถนนเล็กๆ ข้างหลัง ร.พ.เปาโล เห็นเขากำลังแบกศพจากห้องดับจิตไปขึ้นรถ ด้วยความเคยชิน เธอสวดแผ่เมตตาให้ ตกกลางคืน เธอฝันว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาขอบคุณ แล้วก็บอกให้ไปซื้อล้อตเตอรี่ เลขนี้ๆๆๆ นะ เธอก็เล่าให้คนอื่นฟัง แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะไม่เชื่อ ใกล้วันหวยออก ผู้ชายคนนั้นก็มาเข้าฝัน บอกว่า ทำไมยังไม่ไปซื้ออีก รุ่งเช้าเธอก็เลยเดินไปซื้อที่หน้าบ้าน ปรากฎว่าเธอถูกรางวัล ตั้งหกหมื่นแน่ะค่ะ เธอเอาสามหมื่นไปใช้หนี้ธุรกิจที่ถูกเพื่อนโกง อีกสามหมื่นเอาไปทำบุญให้ผู้ชายคนนั้นอีก ผีอาจจะไม่น่ากลัวก็ได้น้า..อาจารย์ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 25 เม.ย. 49 10:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แหม คุณพี่สาวกาสะลอง หากเอ่ยชื่อไปแล้ว เดี๋ยวจะมีคนหาว่าผมใส่ร้ายนักการเมืองพรรค คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อใครบางคน เสียอีก เพราะหลายคนถึงขั้นใกล้ชิด(เพราะเป็นนักการเมือง จว.ติดกัน)หัวหน้าพรรค เลยเอาเป็นว่าขอตอบทางหลังไมค์นะครับ จะได้ไม่เกี่ยวกับการเมืองในกระทู้ การมุ้งอย่างเดียวดีกว่า ส่วน อ. สื่อ ครับ ระวัง กลายเป็นคนแก่หัวล้าน(กว่าเดิม)นะครับ ไปเจอฮวงจุ้ยอย่างนั้น อิอิอิอิอิ ว่าแต่ว่า ไปคอนหวันนี่ มีการบอกพิกัดด้วยแฮะ ไม่กลัวคนที่บ้านแอบไปสืบข่าวรึ ระวังนะ ส่วน คคห. 20 เห็นคุณมาติงแล้วก็ตกใจ กลับไปดู ที่โพสต์เดิม ปรากฏว่าผมลงรูปผิดจริงๆ เอารูปเจ้าวิลลี่มาลง คงเพราะไฟล์ โฟลเดอร์เดียวกันเลยคลิ๊กผิด เพราะเน็ตบางร้านช้า ถ้าผมโพสต์ครั้งสุดท้ายแล้ว จะไม่ได้เปิดมาดู และหลังๆก็ไม่ค่อยย้อนไปดูของเก่า ยังไงก็ขออภัย และขอบคุณที่เตือนมา แต่ผมเอง ยังมีข้อโต้แย้งคุณในบางส่วนนะครับ อย่างเรื่องเจ้า วิลลี่กับ M151 นั้น คงไม่ใช่ เริ่มทยอย ปลดประจำการ แต่น่าจะปลดไปเกินครึ่งแล้วครับ เพราะ 5 ปีก่อน ประมูลกันแหลกราญเลย พรรคพวกก็ไปได้มาคันหนึ่ง คิดว่าตอนนี้ คงเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ พวก"ม้าดอย"หลายคนเวลาเขาเจอมักเข้ามาคุยความหลังให้ฟังด้วย เห็นแต่ละคนติดใจ ปรส.กัน ยิ่งกว่าของใหม่ๆ ก็คงแล้วแต่ว่าใครจะชอบอะไรล่ะครับ ส่วนที่คุณบอกว่า น่าจะเป็นรถของอิสราเอลใช้ในสงครามกับเหล่าประเทศอาหรับ อันนี้คุณเยี่ยมเลยครับ ผมกลับไปเช็คข้อมูล ปรากฏว่าเป็นยุทธภัณท์ที่ใช้ในอาหรับราตรีจริงๆ ส่วน เจ้าฮัมวี่นี่ คงไม่ใช่ของใหม่ เพราะเราก็ซื้อกันมาสักสิบสามปีแล้วครับ แต่ว่าจนเมื่อสัก 5 ปีก่อน ก็แทบจะงดซื้อ เพราะมันแพง(อันที่จริง ตามสเป็คไม่แพงหรอก แต่พวก เหลือบ ไร ขายชาติ มันงาบหัวคิว คันละ แสนกว่าดอลล์ รวมค่าตัวรถอีก แสนดอลล์ ดูซิ เงินของชาติ)หลังๆมา ยุค สุรยุทธ์ เลยเปลี่ยนไปใช้รถกระบะยุ่นทำเลียนแบบครับ คุณภาพไม่เท่า แต่ราคาพอรับได้ คันละล้านกลางๆ ผมเองก็พอจะติดตามรุ่นหลังนี้อยุ่บ้าง แต่ข้อมูลหายากเหลือเกิน แต่กองทัพยุคหลัง หากลดงบประมาณด้วยการกระทำแบบชาญฉลาด ก็โอเคนะครับ อย่างบางคัน ขนกำลังพลในหน่วย พลาธิการ ไม่ใช่หน่วย รบ ก็ใช้กระบะที่ทำจากสตราด้ามา(แล้วดัดแปลงบางส่วน ติดอาวุธ พ่นสี) ถึงแม้ว่าจะติดสินบนกันบ้าง แต่ก็โอเคครับ ไม่สิ้นเปลือง อย่าง มูจาฮีดิน หรือ อัล เคด้า ก้ใช้กระบะไทเกอร์ ติด ปืนกลหลังรถนะ ซิบอกหั่ย จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 25 เม.ย. 49 11:27:01 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เปิดภาค 87 ไม่ได้เลยครับ... จากคุณ : McDonut - [ 26 เม.ย. 49 11:31:01 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่ทราบคุณหมอ ha ha yee งอนใคร...... ไม่เข้ามาอัพเดทกระทู้สองภาคแล้วค่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 27 เม.ย. 49 09:12:40 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ที่เขากล้าบอกพิกัด โดยไม่เกรงกลัวหน่วยซุ่มยิงที่ไหน จะตามไปถล่มบังเกอร์ให้ราบเป็นหน้ากลอง ก็เพราะเขาไม่ได้ไปทำอะไรที่เป็นการส่อเจตนาให้เห็นว่าเป็นการ บ่อนทำลายสถาบันครอบครัวนะสิ จึงกล้าเปิดเผยฐานที่มั่นอย่างชัดเจน (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีคนคอยตามไปเช็คบิล อิ อิ อิ) ไม่เหมือนบางคน.....ที่เวลาจะไปไหนที ต้องแปลงกายเป็นนินจาอยู่เรื่อย! ระวังเต๊อะ....สักวันนึง คุณหมอจะสวมวิญญานฤทธิ์มีดสั้น ไล่เจี๋ยนซะให้หมด! จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 27 เม.ย. 49 09:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องของความขัดแย้งระหว่าง อาหรับและอิสราเอล ที่ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ในสมัยโบราณ ก็มุ่งประเด็นไปในด้านศาสนา ต่อมาก็ขัดแย้งกันในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง และที่สุดของที่สุด คือการแย่งชิงดินแดนซึ่งกันและกัน เคยมีประเทศมหาอำนาจ เสนอให้อิสราเอล ไปตั้งประเทศที่ซูดาน หรือประเทศอะไรไม่แน่ใจ ในแอฟริกานี่แหละค่ะ (บ้าหรือเปล่า ไล่ให้ไปอยู่ซูดาน...ใครจะไปเนาะ!) แต่อิสราเอลเขาไม่เอา บอกว่า ที่ตรงนี้ (เยรูซาเล็ม) เป็นแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้พวกเขามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเดวิดโน่นนนนแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่นบ้างเป็นครั้งคราว แต่จิตวิญญานของเขายังคงอยู่ที่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิแห่งนี้อยู่นะ ชาวยิวทั่วโลก จึงพยายามดิ้นรน ต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อสร้างชาติยิว ณ ที่ตรงนี้ให้ได้ จนประสบความสำเร็จ ในปี 1948 เมื่ออิสราเอลได้รับชัยชนะเหนืออาหรับปาเลสไตน์ในสงครามสร้างชาติ ยิวจึงได้ประกาศก่อตั้งประเทศตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ความสงบสุขอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นค่ะ เพียงแค่แปดปี ก็มีการแหย่รังแตนเกิดขึ้นอีก ระหว่างสองชาตินี้ ผลัดกันแหย่อยู่เรื่อยค่ะ ไม่เอ็งก็ข้า เหมือนอยู่เฉยกันไม่เป็น คราวที่สองนี่ ใครเป็นคนแหย่ใคร ก็ลองอ่านดูนะคะ สงครามปาเลสไตน์ครั้งที่สอง เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ 1956 เมื่ออิสราเอลเห็นว่า การกระทำของอาหรับ เริ่มจะหนักหน้าขึ้นเรื่อยๆ และจะกระทบถึงความมั่นคงของตนเอง เริ่มด้วยเรื่องที่อียิปต์ประกาศจะผนวกดินแดนฉนวกาซาเข้าด้วยกัน ฉนวนกาซา เป็นดินแดนซึ่งอิสราเอลเห็นว่าบริเวณนี้ เป็นสถานที่ล่อแหลมต่ออิสราเอลมากที่สุด หากถูกผนวกเข้าด้วยกันกับอียิปต์แล้ว จะกลายเป็นจุดอันตรายสำหรับชาวอิสราเอลไปทันที เนื่องจากจะมีการซ่องสุมพวกคอมมานโดของอาหรับในบริเวณนี้ และเป็นการง่ายที่จะยกข้ามพรมแดนเข้ามารบกวนปล้นสดมภ์หมู่บ้านของชาวยิว อีกเรื่องที่ยิวเห็นว่า การกระทำของอียิปต์ในครั้งนี้ มันมากไปแล้วคือ มีการปิดกั้นการใช้น่านน้ำอ่าวอะกาบา (อีกแล้ว) ซึ่งน่านน้ำนี้ เป็นเส้นทางทางน้ำทางเดียวที่อิสราเอลจะใช้เป็นทางออกทะเลแดงเพื่อทำการค้ากับโลกภายนอก แต่อียิปต์ก็มาปิดกั้นเสียนี่ จะให้พวกเราอดตายหรือไง? ปัญหาอีกอย่างที่สร้างความแค้นเคืองใจให้กับอิสราเอลเป็นอย่างมากคือ เมื่ออียิปต์เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจเรือที่ผ่านคลองสุเอชทุกลำ ถ้าเห็นว่าเป็นเรือของอิสราเอลแล้วละก็ มักจะถูกขัดขวาง เหมือนแกล้งกัน แต่อิสราเอลก็โวยบ่อยๆนะคะ แต่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นักหรอค่ะ เพราะอียิปต์มีลูกพี่ใหญ่ คือรัสเซียซึ่งมีเสียงดังพอสมควรในสหประชาชาติ ได้ใช้อำนาจยับยั้งไม่ลงโหวตให้กับข้อร้องเรียนของอิสราเอลอยู่เสมอ แต่การกระทำของอียิปต์ในการประกาศว่าคลองสุเอชเป็นสมบัติของชาวอียิปต์นั้น กลับเป็นการไปปลุกให้เสืออีกสองตัวตื่นจากการหลับฝันกลางวันค่ะ นั่นคือ อังกฤษ และฝรั่งเศส เพราะต่างก็มีความจำเป็นต้องใช้คลองสุเอชเพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมโยงผ่านทะเลแดง ออกสู่โลกภายนอกเหมือนกัน แต่เมื่ออียิปต์มาปิดกั้นเสียเช่นนี้ สองชาติยักษ์ใหญ่ที่ว่าก็โดนหางเลขไปด้วย จำต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าอิสราเอลทำอะไรกับอียิปต์บ้าง และหลังจากนั้น ก็ค่อยๆส่งทหารเข้ามายึดเมืองต่างๆ บริเวณคอลงสุเอช ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อรักษาควาปลอดภัยในการเดินเรือ สงครามในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งแรกค่ะ เพราะมีประเทศอียิปต์เพียงประเทศเดียวที่ประกาศสงครามกับอิสราเอล โดยอิสราเอลภายใต้การนำของ "ขุนพลตาเดียว" โมเช่ ดายัน ซึ่งได้เริ่มบุกอียิปต์ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค 1956 ในครั้งนั้น อิสราเอลได้เข้ายึดบริเวณฉนวนกาซาและอ่าวอะกาบาโดยใช้เวลาเพียงสี่วัน นอกจากนั้น การบุกแบบสายฟ้าแลบของ ขุนพลตาเดียวจึงทำให้อิสราเอลสามารถเปิดอ่าอะกาบาได้อย่างง่ายดาย แต่กฏ กติกา มารยาทของสังคมโลก ก็ยังมีอยู่ เมื่อสหประชาชาติเห็นว่า อิสราเอลรุกคืบหน้ามากไปแล้ว ก็เลยเข้ามาเบรคด้วยการสั่งให้หยุดรบ โดยเฉพาะผู้รุกรานคือ อิสราเอล เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ก็พอเหอะ (เปิดอ่าวได้แล้ว) อิสราเอลก็ว่าง่าย ยอมถอนกำลังออกจากอียิปต์ทันที ถ้าหากตำรวจโลกไม่รีบทำอะไรลงไปในสงครามครั้งนี้ มีหวังอียิปต์คงเสียความบริสุทธิ์ให้แก่อิสราเอลเป็นแน่แท้ เพราะยิวเข้าไปยึดครองอียิปต์อยู่ตั้ง 3 เดือนกับอีก 8วัน นานพอที่จะเกิดความรักซึ่งกันและกันได้ก็แล้วกัน ฮิๆๆ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 27 เม.ย. 49 09:32:33 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ชัยชนะของอิสราเอลในสงครามครั้งที่สองนี้ นับเป็นชัยชนะที่นำกำลังใจมาให้ชาวยิวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นชัยชนะที่ได้ทั้งด้านการสงครามและชัยชนะทางการเมืองระดับโลก อิสราเอลได้เสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และจากฝรั่งเศส ซึ่งเริ่มตระหนักแล้วว่า ความกระด้างกระเดื่องของดินแดนอาหรับที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเช่นโมร๊อกโค และแอลจีเรียเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มหาอำนาจตะวันตก จึงได้หันมาสนับสนุนกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอลอย่างเปิดเผย บุคคลสำคัญในกองกำลังของอิสราเอล นอกจานายพลโมเช่ ดายันแล้ว ก็ยังมีนายกรัฐมนตรี นายเดวิด เบน กูเรียน และผู้แทนทางการทูตที่ชาญฉลาดอีกสองคนคือ นางโกลเดอร์แมร์ รัฐมนตรีต่างประเทศ และนายอับบา อีบันซึ่งเป็นผู้แทนอิสราเอลในสหประชาชาติ ส่วนอียิปต์ดำเนินนโยบายผิดพลาดจากการประกาศปิดคลองสุเอช เพราะไปกระทบถึงผลประโยชน์ของอังกฤษและฝรั่งเศส งานนี้ก็เลยเดี๊ยงนิดหน่อย เพราะดันไปประกาศสงครามกลายๆกับสองชาติยักษ์ใหญ่ ครั้นจะหันไปพึ่งพิงรัสเซียก็ยาก เพราะรัสเซียก็ยังหลับไหลอยู่เลย จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 27 เม.ย. 49 09:36:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณสะลองบานแล้วครับ เพื่อนยิวของผมน่ะ ก็หล่อแบบยิวๆน่ะแหละครับ แต่ที่น่าแปลกใจคือแกยังโสดสนิทนี่แหละ อิอิ อายุปูนซีเมนต์นครหลวงขนาดนี้ยังโสด มันก็เลยน่าคิดอยู่ มาคราใดก็ได้แต่ถามเรื่องแรงงานไทยในอิสราเอล แกมักไปเป็นล่ามให้เมื่อเกิดคดีแปลกๆ(ในสายตาของแก)กะคนไทย เช่น พี่น้องชาวอีสานของผม แอบยิงกวางมาทำกวางแดดเดียวยังงี้ ล่ากระต่ายมาทำลาบยังงี้ โดนตำรวจยิวจับก็ยุ่งกันเลยล่ะ...... ....มารายงานตัวอ่านเอาเรื่องต่อน่ะครับ จากคุณ : ทองเบิ้ม - [ 27 เม.ย. 49 11:16:37 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ช่วงนี้พี่สาวกาสะลองขยันแฮะ ผมมาต่อของผมละกัน ภายหลังจากที่ออตโตมันประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรแล้ว ท่านผู้นำกลุ่มยังค์เติร์กของเราคือ เอนเวอร์ ปาชา ก็เริ่มลงมือปฏิบัติการทางทหารกับศัตรูเก่าแก่ข้ามศตวรรษอย่างรัสเซีย ภายใต้ยุทธการ"ซาริกามิซ" ซึ่งเป็นแผนที่วางมานานแล้ว โดยจะบุกเข้าไปในคอเคซัสของรัสเซีย เพื่อเข้ายึดทุ่งบ่อน้ำมันในเมืองบาลคูของรัสเซีย และกดดันให้รัสเซียถอนทหารออกจากเมืองคารส์โดยเริ่มโจมตีในวันที่ 22 ธันวาคม 1914 แต่แผนนี้ที่ปรึกษาทางทหารของเยอรมันติงว่าไม่น่าจะสำเร็จ รัสเซียคงไม่ยอมถอนแน่ และก็เป็นจริงเมื่อนายพล ยูเดนนิช(Yudenich) ของรัสเซีย ไม่ยอมถอยโดยมีทหารตั้งรับทั้ง สิ้น 100,000 คน เอนเวอร์ ปาชา นำทหารของออตโตมัน 190,000 คนที่กำลังสดชื่น บุกเข้าไปในคอเคซัสตามแผน แต่เนื่องด้วยกองทัพเติร์กไม่ได้เตรียมพร้อมกับอากาศหนาวเย็นในแถบคอเคซัส ทหารจึงหนาวตายซะส่วนมาก เมื่อทำการรบกับรัสเซียจริงๆ ก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ว่ากันว่าตัวเลขความสูญเสียของเติร์กนั้นน่าจะสูงถึง 100,000 คน (แต่ตัวเลขอย่างเป็ฯทางการขอิงตุรกีบอกว่าน่าจะตายซัก 70,000 คน ส่วนฝ่ายรัสเซียสูญเสียไปประมาณ 30,000 คน) การรบที่ซามิการีนี้นับเป็นการปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกและครั้งเดียวของเติร์กในตลอดสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกนั้นเป็นฝ่ายตั้งรับหมด แผนที่ของซามิการี(ได้มาแต่แผนที่ท่องเที่ยว)จะเป็นเมืองที่ติดกับรัสเซียทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอนาโตเลีย จากคุณ : ryzon - [ 27 เม.ย. 49 22:39:21 ]

ความคิดเห็นที่ 41 รูปความพินาศของทหารเติร์กในการรบที่ซามิการี จากคุณ : ryzon - [ 27 เม.ย. 49 22:40:37 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อีกรูป ว่างๆจะมาต่อให้ จากคุณ : ryzon - [ 27 เม.ย. 49 22:41:17 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อไหร่เราจะมีคลองคอดกระซะทีน่อ จะได้รวยแบบอียิปต์มั่ง ถ้ามีเมื่อไหร่ ไอ้ประเทศที่มันชอบพาดหัวข่าวประโคมข่าวไม่ดีของไทยเพื่อทำลายธุรกิจท่องเที่ยวของเราน่ะ มันต้องเน่า (หงุดหงิดหงุดหงิด) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 27 เม.ย. 49 23:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โอย ตามไม่ทัน ช่วงนี้ขอหายตัวไปซักพักนะครับ งานยุ่งจริงๆ ว่าจะพาลูกไปเที่ยวซักสองสามวันแต่ก็หาวันว่างไมได้ จะเปิดเทอมอยู่แล้ว... เฮ้อ... จากคุณ : ha ha yee - [ 28 เม.ย. 49 07:27:39 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณนกทวีตตี้ครับ ต่อให้ตอนนี้เราขุดคอคอดกระจริงๆ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าเราจะรายได้ดีกว่าสิงคโปร์ได้ยังไง เพราะระยะทางที่ร่นมามันสั้นจิ๊ดเดียวครับ เทียบกับ คลองสุเอซที่ร่นทวีปแอฟริกาทั้งทวีป หรือปานามาที่ ร่นทวีปอเมริกาใต้ทั้งทวีป เทียบไม่ได้เลย แถมพวกโรงกลั่นน้ำมัน ไม่รู้จะบ้าจี้ย้ายมากลั่นแถว คอคอดกระไหมนี่สิ อีกทั้งเรื่องพม่าอีก เรียกว่าผลประโยชน์ได้ไม่คุ้มเสีย กระมังครับ จากคุณ : Ace striker - [ 28 เม.ย. 49 10:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 46 การที่อียิปต์ได้คลองสุเอช ถามว่า แล้วอียิปต์รวยหรือไม่ เศรษฐกิจโดยรวมของอียิปต์ดีขึ้นค่ะพี่นก แต่ชาวอียิปต์รวยขึ้นหรือไม่ ข้อนี้หนูไม่กล้าฟันธงค่ะ แต่ที่แน่ๆอียิปต์ต้องจ่ายแพงมากกับการได้มาซึ่งสิ่งนี้ ส่วนคนที่รวยแท้แน่นอนก็คือฝรั่งเศสและอังกฤษค่ะ อ้อ หลังๆมา มีอเมริกาเอี่ยวด้วยค่ะ มีเรื่องมันๆเกี่ยวกับกรณีนี้มากมายค่ะ รออาจารย์สื่อกลับมาก่อน หนูจะยิงคำถามแบบไม่ให้ตั้งตัวเลย คอยดู จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 29 เม.ย. 49 20:55:49 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ไม่ได้ขยันอะไรหรอกค่ะน้องริว แต่เห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงปลอดคน ก็เลยกล้าโผล่เข้ามาทำให้กระทู้รกเล่น ได้ดูข่าวความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว จะเรื่องอะไร ก็เรื่องน้ำมันนั่นแหละค่ะ วิกฤตการณ์น้ำมันที่เคยเกิดขึ้นกับสหรัฐฯในอดีต ก็เกี่ยวเนื่องมาจากสงครามอาหรับอิสราเอลนี้เช่นกันค่ะ โดยสืบเนื่องมาจา สงครามยิวอาหรับครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1967 เรียกว่า สงคราม 6วัน หมายความว่า ยิวใช้เวลาแค่หกวัน ก็ยึดดินแดนของอาหรับได้หลายส่วน เช่น ยึดฉนวนกาซา และคาบสมุทไซนายของอียิปต์ไว้ได้ ยึดเขต เวสแบงค์ ของจอร์แดน และยึดที่ราบสูงโกรานของซีเรีย เพราะดินแดนเหล่านี้ อิสราเอลต้องการเอาไว้เป็นกันชนระหว่างกลุ่มก่อการร้ายอาหรับกับประชาชนชาวยิว ในสงครามครั้งที่ 3 นี้ อียิปต์เหนื่อยอีกแล้ว เมื่อประธานาธิบดีนัสเซอร์ ต้องตกกระไดพลอยโจนเป็นผู้นำในการรบโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ก่อนหน้านี้ นัสเซอร์จะมีความขัดแย้งกับพระเจ้าไฟซาล แห่งซีเรียอยู่บ้าง แต่จู่ๆ ความขัดแย้งนั้น ก็ถูกลืมไปชั่วคราวเมื่อมีมติในกลุ่มชาติอาหรับให้อียิปต์เป็นผู้นำในการแก้แค้น ประเด็นกลับมาที่เดิม การประกาศปิดอ่าวอะกาบาซึ่งเป็นทางน้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของอิสราเอล เท่ากับเป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ของอิสราเอล ถึงแม้อียิปต์จะไม่พร้อม แต่ด้วยศักดิ์ศรีของประธานาธิบดีนัสเซอร์ ทำให้อาหรับถลำเข้าสู่สงครามครั้งสามแบบไม่ตั้งใจ ในครั้งนี้ อิสราเอลตั้งใจรบเป็นพิเศษ เพราะรู้ว่ามีประเทศมหาอำนาจกำลังจ้องมองอยู่ อิสราเอลได้แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าของการจัดการกองทัพอย่างมีประสิทธิภาพ และการฝึกฝนอย่างดีของผู้นำและผู้ร่วมขบวนการ แน่นอนว่า มีความคลางแคลงใจจากสายตาชาวโลกถึงการเพิ่มขึ้นของปะสิทธิภาพของกองทัพอิสราเอลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อใคร่ครวญดูจึงพอเข้าใจได้ว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของฝ่ายยิวมีเงาดำมืดยืนถือประกาศิตไว้แล้วว่าต้องการให้สงครามตัวแทนครั้งนี้ เป็นไปในรูปแบบใด จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 29 เม.ย. 49 20:57:50 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ในสงคราม 6 วัน ยิวชนะ และได้ยึกครองพื้นที่มากมายที่เป็นของอาหรับ ได้เกิดการปะทะกันตลอแนวคลองสุเอช ชาติอาหรับยืนพิงรัสเซีย ส่วนยิว ก็แหง๋ล่ะ มีสหรัฐอเมริกาหนุนหลังอย่างเปิดเผย ช่วงจังหวะนี้ ประธานาธิบดีนัสเซอร์แห่งอียิปต์ขี้เกียจหายใจ ทำให้ประธานาธิบดี อัลวาร์ เอล ซาดัต ขึ้นปกครองประเทศ ด้วยนโยบายแข็งกร้าว นั่นคือ ต้องเอาดินแดนที่สูญเสียไปในสงครามครั้งที่ 2คืนให้ได้ ปรากฏว่าบรรดมิตรประเทศของอียิปต์ขานรับกันเป็นทิวแถว เมื่อสมาชิกโอเปค 5 ชาติ ประกอบด้วย อิหร่าน อิรัก คูเวต ซาอุดิขอาระเบีย และเวนซุเอลา และต่อมาอีก 8 ชาติ รวมเป็น 13 ชาติคือ อัลจีเรีย เอกัวดอร์ กาบอน อินโนเซีย ลิบยา ไนจีเรีย กาต้า และสหรัฐอาหรับอิมิเรส แรกทีเดียว กลุมโอเปค ได้ลดกำลังการผลิตลง และจัดสรรการผลิตให้ประเทศสมาชิก กำหนดราคานำมันเพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง และเนื่องจากสหรัฐให้การสนับสนุนอาวุธยุธปัจจัยแก่อิสราเอล ในการสู้รบกับอาหรับ กลุ่มโอเปคจึงตอบโต้ ในข้อหา "ยุ่งไม่เข้าเรื่อง" สหรัฐฯโดนไม้นี้เข้าถึงกับเข่าอ่อน เพราะคงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าอาหรับจะรวมตัวกันได้ขนาดนี้ เพราะตลอดระยะเวลา มีแต่ความขัดแย้ง วิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันในยุคนั้น นำมาซึ่งความยากลำบากให้แก่ประชาชนชาวสหรัฐเป็นอันมาก กรณีเรื่องการขายน้ำมันเพื่อซื้ออาวุธระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ที่เรียกว่า ปิโตรดอลล่า ก็เป็นเรื่องของการแทรกแซงกิจการภายใน ที่นำความเจ็บช้ำน้าใจให้แก่ชาวอิหร่านเรื่อยมา ช่วงนี้เป็นช่วงของ ผู้นำจิตวิญญานชาวอิหร่าน อยาตุเลาะ โคไมนี และประธานาธิบดีจิมมี่คาร์เตอร์ค่ะ ขอเวลาเรียบเรียงสักนิด แล้วค่อยมาต่อค่ะ ว่าแต่ครั้งนี้ เขาขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไรเหรอคะ? จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 29 เม.ย. 49 21:01:25 ]

ความคิดเห็นที่ 49 มีเพื่อนชวนไปดูหนังผี ชื่อเรื่องอะไรก็ไม่ได้จำค่ะ แต่เขาเล่าให้ฟังว่าเป็นหนังเกี่ยวกับความคะนองของคน ที่อยากเข้าไปพิสูจน์วิญญานในสถานที่จริงของคุกเขมรสมัย พลพต เรียกว่าเป็นเรียลิตี้โชว์ เข้าไปเพื่อพิสูจน์ว่า ภายในสถานที่นั้น บรรยากาศเป็นอย่างไร และใคร จะสติแข็งกว่ากัน ก็ต้องยอมรับว่า คนที่จะเข้าแข่งขันรายการแบบนี้ ต้องมีลูกบ้าระห่ำพอสมควร เพราะที่แบบนี้ ขึ้นชื่อว่าผีเฮี๊ยนน่าดู เรียกว่าตายแบบทารุณสุดๆ ใครได้ดูแล้วมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ ยังไม่ทันรับปากว่าจะยอมไปดูด้วยหรือเปล่า ที่ไม่ไปเพราะกลัวหนังผีค่ะ แต่ได้ฟังเรื่องเล่าของทหารพลพต มาเป็นขนมหวานนิดหน่อย เขาเล่าว่า วิธีที่ทหารพลพต ทรมานเชลยเพื่อให้คายความลับนั้น ฟังแล้วก็ได้แต่ขนแขนสแตอัพเสียเหลือเกิน พวกมหาโจรพลพตจะจับเชลยที่จับได้ แล้วมาบรรจงผ่ากลางอก แหวะออกพอไม่ให้ตาย (ทำได้ด้วยเหรอคะ คุณหมอ ผ่าอก แล้วไม่ตาย) แล้วจับตะขาบเป็นๆ ตัวขนาดพอจะเอาไปดองเหล้าได้สักสี่ ห้าตัว ใส่เข้าไป แล้วเย็บปิดแผล..... อึ๋ยยยยยยย แค่ผ่าอก ยังไม่ได้ถามเลยว่า เขาฉีดยาชาหรือเปล่า นี่เล่นเอาตะขาบเข้าไปวิ่งเล่นในท้อง โอ๊ย ฟังแล้วลมจะใส่ ทารุณชมัด ทำไมมนุษย์ถึงทำเรื่องป่าเถื่อนได้ถึงขนาดนี้น้อ ที่สำคัญคือ ใส่ตะขาบเข้าไปแล้วได้อะไร ทรมานมากไหม แต่ที่แน่ๆ คือยังไงก็ต้องตาย ความลับก็จะไม่ได้ แต่ทำไปเพื่อความสะใจมากกว่า คืนนี้คงนอนฝันร้ายแน่เลยเรา จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ วันแรงงาน 21:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เรียน อาจารย์สื่อศิลป ประมุขพรรค        พี่สาวกาสะลอง  รักษาการณ์ประมุขพรรค สำเนาเรียน  คุณWIWANDA ท่านเจ้าสำนัก ไม่มีอะไรครับ ขอลาไปเที่ยวภูเก็ต 3 วันครับ บริษัทฯพาไปเที่ยวครับ กลับมาจะช่วยทำมาหากินครับ จากคุณ : ryzon - [ 4 พ.ค. 49 08:28:45 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ป้าวิก็หาย............. คุณสื่อก็หาย.............. เหล่าพลพรรคก็หายกันไปหมด! ข้าพเจ้าเฝ้ากระทู้ตามเคย ท่านสื่อเคยบอกว่าจะกลับมาตอนต้นเดือน แต่เหตุไฉนป่านฉะนี้แล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงา อย่างนี้เขาเรียก"สัญญาห้าบาท"หรือเปล่าคะเนี่ย? จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ วันฉัตรมงคล 21:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เงียบจัง!!! ระวังผีหลอกนะ จากคุณ : Mamew - [ 8 พ.ค. 49 00:29:47 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แอบๆ มารายงานตัวครับ กลับมาแล้ว แบบ หะโหน่งมาแว้ว หน้าดำกล้ามขึ้นตามประสาคนทำงานแบกหามอยู่กลางแดดครับ ตอนนี้ยังเอ๋อๆ อยู่ เดี๋ยวรอท่าสักปั๊บแล้วค่อยมาว่ากันเน้อ ยังไม่รู้เลยว่าเขาไปกันถึงไหนแล้ว ส่วนเรื่องวิธีทรมานเชลยนะ แนะนำว่าลองไปเดินหาตามร้านหนังสือใหญ่ๆ ดูครับ เขามีหนังสือเกี่ยวกับการทรมานเชลยเพื่อให้ได้ความลับ คงแปลมาจากเมืองนอก ถ้าอ่านแล้วสนุกก็ไม่น่าคบด้วยแล้วละครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 8 พ.ค. 49 09:18:35 ]

ความคิดเห็นที่ 54 สวัสดีครับ คุณสื่อศิลป คุณกาสะลอง คุณ ha ha yee และเพื่อนๆนักอ่าน นักกบฏยังเติร์กทุกๆคน ที่ลืมไม่ได้คงต้องเป็นท่าน ผอ.wiwanda เจ้าแห่งไวน์ ผมได้ติดตามอ่านตั้งแต่ตอนต้น อ่านแทบตลอดวัน พักงาน ไม่รับงานเลยแม้กระทั่งงานที่บ้าน (ของคุณนายเขา)จนกระทั่งทันถึงตอนที่89 รุ้ว่าต้องรอท่าน อจ.ใหญ่และคณะ กลับมาเล่าเรื่อง ด้วยความกระวนกระวายและกระหายที่จะรู้เรื่องราว ตอนต่อไปเป็นอย่างยิ่ง ...ดีใจครับที่ อจ.ใหญ่ กลับมาโดย สวัสดิภาพ และขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาถ่ายทอดประสบการณ์ ต่างๆ เพื่อเสริมเติมให้เต็มช่องว่างของ สังคมประวัติศาสตร์ไทย......ขอบคุณอีกครั้งจากใจ จากคุณ : jitty_jitty - [ 10 พ.ค. 49 00:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 55 สวัสดีค่ะ เพื่อนๆที่น่ารักทุกท่าน ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง รักษาสุขภาพด้วยนะคะ เห็นแว็บๆว่าอาจารย์สื่อกลับมาจากทัวร์วิบากแล้ว คงจะลดหุ่นไปได้หลายกิโล เท่าที่เป็นอยู่ ก็ทรมานใจสาวจะแย่อยู่แล้วววว ลดพุงลงไปได้หลายขีดแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็ตีกันหัวร้างข้างแตกกันพอดี! จริงเท็จประการใด ข้าพเจ้าไม่ขอยืนยันนะคะ เพราะไม่เคยเจอตัวจริงสักกะที ผู้ที่จะยืนยันได้ก็คงเป็นคุณป๋าของเรานั่นแหละค่ะ แต่ถ้าพุงลดลงไปเยอะๆก็ไม่ดีเหมือนนะคะ เพราะน้องๆ หนูๆสมัยนี้ เขานิยมคนไว้พุงกันค่ะ เห็นบอกว่าเอาไว้"ลูบเล่น" ฮิๆๆ เพลินๆมือ... ช่วงนี้ มีคนมาติดต่อให้ทำ logistic เข้าไปในกลุ่มประเทศแถวๆทะเลดำกันเยอะเหลือเกิน จึงเป็นโอกาสให้ต้องเข้าไปศึกษาดูว่า มีประเทศอะไรบ้าง สองประเทศที่ถูก request เข้ามาก่อนคือ ประเทศอาร์เมเนีย และประเทศ จอร์เจีย ซึ่งทั้งสองประเทศต้องบินเข้าตุรกีก่อน แล้ว transit ออกไปยังเมืองต่างๆที่ว่านี้ แต่ก็ไม่ง่ายนัก เพราะระบบการขนส่งระหว่างประเทศเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราไม่รู้เรื่องเลย ครั้นจะมองหาท่าเรือที่พอจะเป็นท่าเศรษฐกิจได้ ก็ยังมืดแปดด้าน เพราะไม่รู้จะเข้าไปทางไหน จากที่ดูในแผนที่ ก็ไม่เห็นว่าประเทศเหล่านี้ มีตรงไหนที่เชื่อต่อกับมหาสมุทร ที่จำได้ก็คงมี เพียงช่องแคบพอสพอรัสละมั้ง ที่เชื่อมต่อ ระหว่างทะเลดำกับทะเลอาหรับ แต่ต้องผ่านประเทศไหนบ้างก็ไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง ภายหลังจากที่ USSR ล่มสลายลงเมื่อปี 1991 ถึงปัจจุบันนี้ก็ประมาณ 15 ปี สังเกตได้ว่า กลุ่มประเทศที่เคยเป็นรัฐบริวารของ อดีตสหภาพโซเวีต มาถึงปัจจุบัน มีความเข้มแข้งขึ้น หลายประเทศได้ทำการติดต่อการค้ากับโลกภายนอกมากขึ้น เช่นเดียวกัน บุคคลจากภายนอก เข้าไปมองหาช่องทางการลงทุนในประเทศเหล่านี้มากขึ้น ประเทศเหล่านี้ จัดอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกหรือเปล่าคะ? เริ่มตั้งแต่ จอร์เจียย .อาร์เมเนีย.อาเซอร์ไบจัน.ยูเครน.เตอร์เมนิสถาน.อูสเบคิสถาน.เบลารุสเซีย.ลัตเวีย.เอสโทเนีย.คาซัคสถาน. เคอร์กิสถาน และ ทัดซีกิสถาน รวมแล้วเป็นประเทศเกิดใหม่ 13 ประเทศใช่ไหมคะ การค้าขายกับต่างประเทศสมัยนี้ สิ่งที่ต้องเรียนรู้อันดับแรกเลยก็คือต้องรู้ว่า ประเทศที่เราจะเข้าไปค้าขายด้วยนั้น เขามีสมพันธ์ทางการค้าอะไรอยู่บ้าง ที่ถามว่า กลุ่มประเทศเหล่านี้ เป็นยุโรปหรือเปล่า เพียงเพื่อที่จะรู้ว่า ถ้าหากพวกเขาเป็นยุโรป เราจะต้องเจอกฏเหล็กอะไรบ้าง ยิ่งถ้าเป็นสมาชิกในกลุ่มอียูด้วยแล้ว ก็เป็นอันรู้กันว่า จะค้าขายกับประเทศไหนในกลู่มอียู ก็หนีไม่พ้นที่ต้องเจอกฏบ้าบอต่างๆที่เขาตั้งขึ้นมา เพื่อบีบ และบีบ ให้พวกเราต้องคิดกันหัวแทบระเบิดว่าจะทำไฉน จึงจะผ่านกฏเกณฑ์เหล่านั้นเข้าไปได้ ปัจจุบัน ไม่ทราบว่า ประเทศตุรกี เป็นสมาชิกในกลุ่มอียูแล้วหรือไม่นะคะ ความจริงอาจจะถามผิดที่ผิดทางไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีใครตอบก็ไม่เป็นไร เพราะถามผิดห้องเอง ถ้าพูดถึงความยากลำบากในการเข้าไปค้าขายกับต่างประเทศ ยอมรับว่า ไม่มีประทศไหนที่บ้าระห่ำเท่า ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อีกแล้ว เกจิ เซียนผลไทยทั้งหลาย ต่างถอดใจกันเป็นทิวแถว เพราะกฏระเบียบหยุมหยิม ที่เขาตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับกับการค้าแบบ FTA ทุกครั้งที่ดูข่าวเรื่องการไปตกลงการค้า FTA กับประเทศไหน เป็นอันรู้เลยว่า พวกเราต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมร้อยเท่า จากปัจจุบันที่ส่งสินค้าเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เมื่อมีข้อตกลง FTAกันขึ้นมา ไอ้แบบที่เคยส่งนี่ มันส่งไม่ได้เสียแล้ว ต้องมี Certificate จากกรมโน้น จากกรมนี้แนนบท้ายไปด้วย แล้วทีนี้คิดดู กรมต่างๆของไทยเรา ประสานงานกันดีแค่ไหนเชียว? บางทีไปติดต่อขอให้ออกใบ cerให้ เจ้าหน้าที่ยังงงๆ เลยว่า cer อะไรเหรอ ไม่รู้เรื่อง ทำไม่เป็น เพราะไม่เคยได้รับการอัพเดทเลยว่า ประชาคมโลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว เจ้าหน้าที่เพียงแต่นั่งทำงาน เช้าชามเย็นชามแบบนี้ จะไปทันกินอาไร้ เท่านั้นยังไม่พอนะคะ เพียงแค่ช่องโหว่ที่อียูแจ้งว่าต้องมีประรับรองผลิตผลสินค้าแนบท้ายไปด้วยทุกครั้ง พวกจมูกไวทั้งหลายก็หัวเสธ ตั้งจุดออกใบ cer ขึ้นมารองรับโดยตั้งตัวเป็น monopoly เสร็จสรรพ และใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่กำหนดว่า ใครก็ตามที่จะส่งสินค้าไปต่างประเทศ จะต้องมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการออก certificate จากหน่วยงานของรัฐบาล แต่....ตรงแต่นี่แหละค่ะเจ็บปวด แต่ certificate ที่จะออกให้ ต้องมีใบประกอบการรับรองมาจากสถาบันที่ว่านี้ก่อน certificate ใบนั้น จึงจะสมบูรณ์ และเป็นที่ยอมรับของศุลกากรต่างประเทศ (ซึ่งสถาบันนี้ คิดค่าออกใบรับรองแพงลิบ สถาบันนี้เป็นของใคร ขอไม่แฉในที่นี้นะคะ แต่ที่แน่ๆ มีความสัมพันธ์กับ คุณหญิงเจ๊....ที่ชื่อไม่ใหญ่ ชนิดที่ว่า เอ็งมั่ง ข้ามั่ง อย่ามาด่ากันก็แล้วกัน) แต่ศุลการกรต่างประเทศ ไม่รู้หรอกว่า การที่พวกเราได้ได้ cer ที่ ยูต้องการนั้น พวกเราผ่านกระบวนการมาอย่างไร นี่ไม่ใช่เจ๊แฉนะคะ แต่ยิ่งเขียนยิ่งยาว กำลังคิดว่าจะเปลี่ยนอาชีพไปเก็บมะพร้าวขายที่เกาะสมุยแล้วนะคะเนี่ย ถ้าไม่กลัวตัวดำเป็นเหนี่ยง..เร็วๆนี้ จะไปอยู่เป็นเพื่อกับไข่นุ้ยแล้วละคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 11 พ.ค. 49 15:01:20 ]

ความคิดเห็นที่ 56 หวัดดีครับ คุณ jitty_jitty ... ยินดีที่เข้ามาร่วมกบฏกับพวกเราในนี้ อาทิตย์หน้าจะเริ่มว่าง จะรีบ update เว็บให้ครับ จากคุณ : ha ha yee - [ วันวิสาขบูชา 06:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เฮ้อ..พ่อเจ้าประคุณกลับมาแล้ว ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย เป็นห่วง...ว่าจะประกาศคนหายอีกแล้วนะเนี่ย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 13 พ.ค. 49 11:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คราวนี้คงอยู่ยาวครับ เพราะยังไม่มีคิวไปไหนอีก สงสัยช่วงนี้กรรมกรคงไม่ขาดแคลน ผู้ใช้แรงงานอย่างเราเลยชักจะส่อเค้าว่างงาน เดี๋ยวอาศัยวันหยุด 2 วันนี้ กำลังค้นๆ ดูว่าจะเอาเรื่องอะไรต่อจากเรื่องของลาวดี คิดว่าจะเอาจีนก็กว้างใหญ่ไพศาล แล้วก็มีคนเขียนเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ไปหมดแล้ว ก็เลยกะว่าจะเอาจีนฉบับย่อถ้าจะดี เอาแค่พอเห็นภาพรวมและต่อเนื่องว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรกับจีนที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ช่วงอาณานิคม ในฐานะประเทศเดี่ยวที่ถูกเจ้าอาณานิคมรุมทึ้งมากที่สุด ก็ท่านเล่นเข้าไปล่อซะตั้ง 8 ประเทศ ขณะที่ประเทศอื่นๆ เขาอย่างมากก็แย่งชิงกัน 2-3 ประเทศเท่านั้นแหละ จีนเลยเยินยับซะ กว่าจะกลายมาเป็นมังกรผงาดแบบนี้ได้ ส่วนอีกประเทศนึงที่ยังไม่ได้พูดถึงเลย คือมลายู หรือมาเลเซียเพื่อนรักของไทยในยามนี้ นี่ก็เป็นประเทศที่ต้องผ่านการตกเป็นอาณานิคมและภัยคุกคามจากภายนอกอย่างหนักหนาสาหัสสากรรจ์เหมือนกัน ถ้าไม่เอาละเอียด (เพราะขี้เกียจจำชื่อเจ้าชาย สุลต่าน อะไรสารพัดของเขาที่เรียกยากๆ ) ก็จะเอามุขเดิมคือเอาแบบคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมและความสัมพันธ์อีกเหมือนกัน จากนั้นจะได้ปิดซีรีส์ กบฎยังเติร์กนี่เสียที ด้วยเรื่องของพัฒนาการของประเทศมหาอำนาจในยุโรป ที่จะเป็นกุญแจไขคำตอบว่าทำไม เมื่อร้อยปีที่แล้ว ประเทศเหล่านี้จึงสามารถครอบครองนานาประเทศไปค่อนโลกได้ เขามีพัฒนาการและจุดเปลี่ยนอย่างไร ทั้งๆ ถ้าจะย้อนอดีตกันจริงๆ แล้ว พวกยุโรปปัจจุบันนี้ก็มีบรรพบุรุษเป็นแค่คนเถื่อนตามชายขอบของอาณาจักรโรมันเท่านั้นเอง ส่วนพัฒนาการไปสู่มหาอำนาจของญี่ปุ่น คงไม่ต้องมั๊ง เพราะค่อนข้างแพร่หลายกันอยู่แล้ว และสุดท้ายคือ กรุณาอย่าหวังว่าการไปใช้แรงงานในต่างจังหวัดนานๆ แบบนี้ จะทำให้พุงลดอิทธิฤทธิ์ลงได้ ยังใหญ่เหมือนและกว่าเดิมครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 13 พ.ค. 49 14:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 59 คราวนี้คุณสื่อไปนานจริงๆค่ะ ก็เลยถือโอกาสพักการอ่านไปด้วยในตัว แต่ก็ยังตามไปอ่านกระทู้ไวน์ของป้าวิอยู่อย่างเสมอๆค่ะ อ่านที่คุณสื่อเขียนข้างบนแล้ว พอจะเข้าใจได้ว่า กระทู้นี้ คงจะยุติลงในตอนที่ร้อยเป็นแน่ เพราะเห็นคุณสื่อเกริ่นนำไว้แล้วว่า จะสรุปเรื่องอะไรเป็นบทส่งท้ายเพื่อเป็นการปิดฉาก กบฏยังเตริ์ก ขออนุญาติเรียนถามตรงๆนิดนึงนะคะ การเข้ามาเขียนเรื่องราวในประวัติศาตร์อย่างที่คุณสื่อทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ทราบว่าท่านผู้เขียนรู้สึกอย่างไรบ้างค่ะ มีความสุข สนุกสาน กับการเขียนมากน้อยแค่ไหนค่ะ? หรือมีความรู้สึกผูกพันกับผู้อ่านเพียงใดคะ ? ถึงแม้ว่าในบางครั้ง ก็ไม่ปรากฏชื่อผู้อ่านให้รู้ว่า มีใครติดตามอ่านหรือไม่ หรือคุณสื่อรู้สึกอึดอัดใจกับการที่ต้องเข้ามาเขียนในกระทู้นี้ เปรียบเสมือนกับเป็นหน้าที่หรือเปล่าคะ? อย่าเพิ่งแปรเจตนาในคำถามเป็นอื่นไปปนะคะ ที่ถาม ก็เพียงเพื่อที่จะเรียนว่า ไม่ว่าคุณสื่อจะรู้สึก ปิติมีความสุขกับการได้ทำแบบนี้ หรือ รู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ ที่ต้องเข้ามาเขียน แต่ก็เป็นการกระทำที่น้อยคนนักจะทำได้นะคะ ความเสม่ำเสมอตลอดระยะ สามปีกว่าที่ผ่านมา เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าคุณสื่อแฟนก็คงเสม่ำเสมอกับแฟนแบบนี้เช่นกันใช่ไหมคะ ...เอ๊ะ! เกี่ยวกันไหมเนี่ย? เห็นคุณสื่อบอกว่าจะปิดฉากกระทู้มมหากาพย์นี้เสียแล้ว ก็เลยอดเสียดายไม่ได้ค่ะ เสียดายที่เข้ามาเล่นกระทู้ตั้งนานสองนาน แต่ไม่เคยรู้จักตัวจริงของผู้เขียนเลย คนที่เป็นดีไซด์เนอร์ดังๆ เวลาเขาจะจบผลงานบทแคทวอล์ค ในชุดสุดท้าย นางแบบก็มักจะเดินควงแขนเจ้าของผลงานออกมาโชว์ตัวด้วยเสมอ คุณสื่อไม่คิดจะทำอย่างนั้นบ้างเหรอคะ? ห้ามตอบว่า ยังหานางแบบไมได้ หรือผมไช่ดีไซด์เนอร์ เด็ดขาดนะคะ แต่เคยอ่านที่ป๋าบอกว่า ห้ามป้าวิเอารูปคนเขียนกระทู้นี้มาแปะเป็นอันขาด...เดี๋ยวเรทติ้งตก....จะรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 14 พ.ค. 49 21:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แต่ไม่ว่าจะจบลงแบบพระเอกต้องลงไปอยู่ในหลุม หรือพระเอกจะได้แต่งงานก็ตามแต่ ปล่อยให้กาลเวลาเป็นผู้ตัดสินดีกว่านะคะ ขาแจม ขาจรอย่างกาสะลอง ก็ยังเข้ามาแจมอยู่เรื่อยๆละคะ เพราะการอ่านกระทู้นี้ ไม่ใช่อ่านอย่างเดียว แต่ถามได้ด้วย เรื่องหลายเรื่องที่ไม่รู้จะถามใคร ก็ได้ถามคุณสื่อนี่แหละคะ มาดูหัวข้อที่คุณสื่อเกริ่นนำดีกว่านะคะ เรื่องมาลายู กับการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เรื่องนี้ ต้องพ่วงเกี่ยวกับสิงคโปร์ด้วยค่ะ ยิ่งช่วงนี้ ไทยเรากับสิงคร์โปร์มีอะไรสัมพันธ์กันเยอะ อยากให้คุณสื่อเล่า และวิเคราะห์ถึงตอนที่ สองประเทศนี้ ต้องแยกจากกัน สาเหตุมาจากอะไร และทำไม สิงคโปร์ถึงไปได้ไกลถึงขนาดนี้ ทิ้งห่างมาลายูไปไกลพอสมควร ทั้งๆที่สิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ประเทศก็เล็กนิดเดียว เรื่องของจีนแดง ขอเรียนตามตรงว่า ซีรีย์เรื่องนี้ ยาวววววววมาก ยาวกว่ากำแพงเมืองจีนซะอีกค่ะ ถ้าจะเขียนจริงๆ ก็ขอบอกก่อนว่า ถึงร้อยตอนก็ไม่จบนะคะ แต่ก่อนอื่น อยากให้คุณสื่อช่วยเล่าเกร็ดชีวิต และประวัติของท่านผู้นำจีนที่สำคัญให้อ่านเป็นการนำร่องก่อนก็ดีนะคะ เช่นเรื่องของ เติ้งเสี่ยวผิง เคยเจอหนังสือเล่มเล็กๆ ขนาดหนังสือสวดมนต์พกพาในกระเป๋าได้ แต่เป็นหนังสือเก่าพบที่ เจๆ แต่ไม่ซื้อหรอกค่ะ เพราะตอนนั้น ยังไม่ได้สนใจ และเห็นว่า มีให้อ่านเยอะ และยังมีอีกหลายคน ไมต้องเอ่ยชือหรอกนะคะ เล่าอย่างเดียวไม่พอนะคะ ต้องวิเคราะห์ให้เข้าใจด้วยว่า แต่ละท่าน มีความสำคัญกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างไร และเส้นทางในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรค จนสูงสุด ได้เป็น ประธานาธิบดี ต้องผ่านเส้นทางอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะ เส้นทางของท่านหู อยากรู้มากค่ะ เพราะรู้สึกว่า ท่านเป็นผู้นำจีนยุคใหม่ที่ต้องอยู่ในช่วงรอยต่อของวัฒนธรรมและกระแสความเปลี่ยนแปลง อะไรเป็นข้อกำหนดให้ประเทศจีน ภายใต้ท่านหู หันซ้าย หรือหันขวา ซึ่งแน่นอนว่า กว่าจะมาถึงท่านหู ก็ต้องเล่าเรื่องของพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้เข้าใจก่อนนะคะ ถ้าอยู่ๆมาเล่าเรื่องท่านหู แล้วจบเลย แบบนี้โกรธกันแน่นอน เพราะจะถือว่าไม่เต็มใจเล่า! เรื่องสุดท้าย การจะสรุปถึงมูลเหตุของการเป็นจ้าวอาณานิคมของยุโรป ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ตอบไม่ได้ด้วยคำตอบสอง หรือสามบรรดทัดแน่นอนค่ะ เดี๋ยวจะหาขอมูลมาแชร์นะคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 14 พ.ค. 49 22:03:08 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ก่อนจะไปเรื่องอื่น ขอแจมเรื่องของความสัมพันธ์ไทย - ลาว ส่งท้ายอีกเรื่องนึง อย่างที่ทราบกันดีว่า ถึงทุกวันนี้ก็ตาม ทางการลาวยังระแวงว่าไทยเป็นฐานการสนับสนุนให้กับลาวฝ่ายขวาเพื่อต่อต้านรัฐบาลลาว และเหตุการณ์ที่ช่วยตอกย้ำความเชื่อของรัฐบาลลาวครั้งล่าสุดก็คือ เหตุการณ์ยึดด่านวังเตา ตรงข้ามกับด่านช่องเม็ก จ.อุบลฯของไทยเมื่อวันที่ 3 กรกฏาคมเมื่อ 6 ปีที่แล้วนี้เองครับ เหตุการณ์นี้ กลุ่มผู้ก่อการกล่าวอ้างว่าเป็น ขบวนการต่อต้านรัฐบาลลาว (Freedom Fighter) ได้เริ่มปฎิบัติการตั้งแต่เวลาตีสามกว่าๆ โดยยกพลเข้ายึดด่านที่ทำการศุลกากรและตรวจคนเข้าเมืองของลาวที่วังเตา ตรงข้ามกับช่องเม็กที่เราข้ามไปเที่ยวกันนั่นแหละ การบุกเข้าไปครั้งนั้น กลุ่มนี้จับเจ้าหน้าที่ด่านและประชาชนลาวเป็นตัวประกันได้ประมาณ 20 คน และได้มีการชักธงเดิมของลาวสมัยเป็นรัฐบาลฝ่ายขวาขึ้นที่ทำการด่านด้วย จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 7 นาฬิกา หรือเจ็ดโมงเช้านั่นแหละ ทางการลาวถึงส่งหน่วยจู่โจมทางทหารเข้ายึดด่านวังเตาคืน โดยการยิงถล่มแบบไม่บันยะบันยัง ทำให้ผู้ก่อการลงไปนอนดิ้นสิ้นชีวีถึง 6 ศพ ตั้งแต่การจู่โจมครั้งแรก ส่วนอีก 27 ชีวิตนั่นหนีกระเซอะกระเซิงเข้ามาในฝั่งไทย ซึ่งก็ถูกตำรวจไทยใจกล้าหาญเข้าจับกุมและปลดอาวุธได้ไว้ทั้งหมด แม้ว่าเหตุการณ์จะสงบลงอย่างรวดเร็ว (ไม่รู้ว่าตัวประกันเป็นยังไงบ้าง) แต่รัฐบาลลาวก็กังขาน่าดูว่าทำไม๊ทำไม สื่อทีวีเสรีบ้านเราถึงได้ไปถ่ายทอดสดได้เร็วขนาดนั้น หรือว่าซูเอี๋ย รู้กันหว่า เพราะปกติข่าวของลาว กว่าประชาชนจะฮู้เฮื้อง พ่อก็ล่อไปอาทิตย์ฝ่าๆ หรือประเหมาะเคราะห์ร้าย ก็อย่าให้ (แม่..ง) รู้ไปเลยวะ เรื่องนี้ ทางเจ้าของสถานีก็ออกมาแก้ข่าวว่า จริงๆ บ่ได้รู้กันก่อนหรอก แต่ว่าเป็นเพราะบังเอิญมีการแข่งขันกีฬาระดับสำคัญอยู่แถวนั้น แล้วบังเอิญว่าทางสถานีได้ส่งรถถ่ายทอดไปถ่ายทอดด้วย แล้วบังเอิญอีกว่า นักข่าวบังเอิญตื่นเช้า ได้รับข่าวที่บังเอิญว่านักข่าวท้องถิ่นส่งมาให้ ก็เลยบังเอิญโทรมาขออนุมัติจากหัวหน้าข่าว ซึ่งบังเอิญเข้าเวรเช้าเหมือนกัน เรื่องของเรื่องก็เลยบังเอิญว่าได้ส่งรถถ่ายทอดไปยังสถานที่เกิดเหตุทันเวลาและรายงานเหตุการณ์สด ๆ ประมาณว่าถ่ายไปหลบกระสุนไปให้ประชาชนชาวไทยและหมู่เฮาซาวลาวได้ชมกันม่วนชื่นพอ ๆ กันแหละเด้อ เรียกว่าศูนย์บัญชาการของลาวไม่ต้องเสียเวลาตั้งสถานีวิทยุถ่ายทอดคำสั่ง หรือรายงานสถานการณ์ให้เสียเงินกีบ แค่ท่านผู้นำเปิดทีวีช่องข่าวเสรีก็ได้รับชมสถานการณ์แบบสดๆ เร็วกว่าที่ลูกน้อง ว.รายงานมาซะอีก ส่วนที่ท่านผู้นำไม่สั่งลูกน้องแกล้งๆ ยิงพลาดไปโดนกระจกรถโอบีสักเปรี้ยงนั้น ก็คงเพราะกำลังมันส์กับรายการสดอยู่น่ะเอง จากคุณ : วังเตา (สื่อศิลป) - [ 15 พ.ค. 49 20:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เรื่องนี้ทางการลาวด่าไทยอย่างหมดแม๊กไม่มีหมกเม็ดว่า " ไทยได้ใช้กลุ่มขบวนการผู้ที่ไม่หวังดีต่อประชาชนลาว เป็นเครื่องมือในการทำลายความมั่นคงของลาวตลอดมา โดยใช้กลอุบายก่อความไม่สงบในประเทศและตามแนวชายแดน โดยมีเจตนาทำให้ลาวอ่อนแอไม่สามารถพึ่งตนเองได้ เพื่อที่จะได้หันไปพึ่งพาอาศัยประเทศไทยในทุกๆ ด้าน จนลาวกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในที่สุด การกระทำของไทยที่ผ่านมาเป็นเจตนาที่ร้ายแรงที่สุดต่อประเทศและประชาชนลาว" อันนี้กระ ทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม ของลาวอ่านออกอากาศเลยครับ จากคุณ : อุบล (สื่อศิลป) - [ 15 พ.ค. 49 20:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ได้ทราบข่าวที่ลาวอัดทางการไทยกรณีความบังเอิญถ่าย ทอดรายการทีวีครั้งนี้เช่นกันครับท่านสื่อ และเมื่อกี้ก็ได้ดูรายการถึงลูกถึงคน ท่านฑูตลาวพูดถึงกรณีภาพยนตร์ไทยเรื่อง "หมากเตะโลกตะลึง"ก็ได้แต่สะท้อนใจ ที่คนไทยเราบางกลุ่มขาดความเข้าใจที่จะมองเพื่อนบ้าน ในฐานะเท่าเทียมกัน ฉันท์มิตร โดยเฉพาะมิตรที่สนิทกับเราที่สุดในโลกอย่างลาว ยังมองในความรู้สึกเหยียดทั้งทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม แม้กระทั่งภาษา เห็นเป็นเรื่องตลก โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังดูถูกรากเหง้าของภาษาไทยของตนเอง ผมรู้สึกว่ามันจะมีเรื่องไม่ดีตั้งแต่ได้เห็นว่ามีภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะฉาย เมื่อประมาณหลายสัปดาห์ก่อน ความเปราะบางทางความคิด ความรู้สึกตรงนี้มันอธิบายและรับรู้ได้ไม่ยากเลย หากจะคิดแค่ว่า ถ้าเราเป็นเขาเท่านั้นเอง แต่ผู้สร้างก็ยังตะแบงเหมือนเมื่อก่อนเคยมีความคิดจะสร้างภาพยนตร์เรื่องท้าวสุรนารีน่ะแหละ.... ...อยากบอกทุกท่านว่า อยากให้ลองมาคบหรือไปเที่ยวเมืองลาว รู้จักกับคนลาวอย่างจริงจังบ้าง แล้วจะรักเมืองลาว รักคนลาวครับ จากคุณ : ทองเบิ้ม - [ 16 พ.ค. 49 00:49:02 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คนกระทำมักจะคิดน้อยกว่าคนถูกกระทำ ปัญหามันเลยเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น เรียนรู้ประวัติศาสตร์แล้วไม่รู้จักใช้กัน มันก็เลยซ้ำรอยอยู่นั่น จากคุณ : เพราะผมไม่มี Time Machine - [ 16 พ.ค. 49 03:31:06 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เอ้ เรื่องหนังนี่ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงดีเนอะ เห็นตัวอย่างหนังทีแรก นึกว่าเขาเจรจากันแล้ว ก็รู้ๆ อยู่ว่า เรื่องนี้มันเซนซิทีฟ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่ายังไม่พูดคุยกันให้รู้เรื่อง ผมชอบที่คุณสรยุทธเขาถามท่านทูตว่า ถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องสมมุติละ เป็นหนังตลก ท่านทูตตอบว่า ก็ธงที่ปักหน้าอกเสื้อนักฟุตบอลมันของจริง (นี่หว่า) แล้วก็เพลงชาติมันก็เป็นเพลงชาติที่เขาร้องกันทุกวันจริงๆ แล้วจะให้คิดว่าสมมุติได้ไง เห็นฉากนึงเป็นรูปกองเชียร์มีตำรวจลาวยืนหันหลัง ทั้งชุดแล้วก็ผมยาวนั่นใช่เลย ไม่ซ้ำเติมหรอกครับ ก็ว่ากันไปแล้วกัน จริง ๆ ถ้าเทียบกับทางฝั่งลาว เขาให้เกียรติไทยพอสมควรนะครับ แม้ว่าในยุคก่อนเราจะย่ำยีเขาน่าดู หรือแม้แต่ยุคที่เขากู้เอกราช เราจะช่วยกระทืบซ้ำไปหลายอยู่ แต่เวลาเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ทางลาวเขาจะใช้คำว่า "ศักดินาสยาม" หรือ "ปฎิการไทย" คือพยายามขีดกรอบในการ "ตำหนิ" ให้เหลือแค่บางกลุ่มบางพวก หรือพูดให้ชัดคือตำหนิเฉพาะชนชั้นปกครองที่มีอำนาจตัดสินใจในนโยบายของประเทศในแต่ละยุคสมัยเท่านั้น ประชาชนไทยไม่เกี่ยว แต่เวลาเราพูดถึงลาว เราไม่มีเจาะจงเลย ซัดเต็มๆ ว่าลาว เอามันทั้งนายทั้งไพร่ ทั้งรัฐบาลทั้งประชาชน ผมว่า เราน่าจะเอาอย่างเขาบ้างนะ คือรู้จักแยกแยะ หรือให้เกียรติกันสักนิดนึงอะไรยังงี้ วันนั้นอ่านคำสัมภาษณ์ของภริยาซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เขาเล่าถึงช่วงที่ซิโก้ไปเป็นนักเตะที่ฮัดเดอฟิลด์ ทีมฟุตบอลระดับดิวิชั่นธรรมดาของอังกฤษ แล้วอยู่ไม่ได้ เพราะถูกเหยียดหยามสารพัด เช่น ตะโกนถามว่า เฮ้ยรู้ไหมว่าที่นี่เขาใช้ช้อนส้อมกินข้าวกันแล้วฯลฯ อะไรประมาณนี้ เพื่อจะเยาะเย้ยว่าซิโก้มาจากประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อน ยังใช้มือกินข้าวอยู่เลย อ่านแล้วก็รู้สึกเคืองไอ้ฝรั่งขี้นกนั่นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ คนลาวก็คงประมาณกันกับเรานั่นแหละ หรือถ้าพูดถึงหนังเหมือน ๆ กัน ก็ดูอย่าง แอนนา แอนด์ เดอะ คิง นั่นไง ที่ทางการไทยกระเหี้ยนกระหือรือที่จะแบนไม่ให้แม้กระทั่งจะเข้ามาถ่ายทำในไทย ก็คงจะด้วยความรู้สึกคล้ายๆ กัน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 16 พ.ค. 49 14:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 66 55555 กลับมารายงานตัวครับ หายศีรษะไป 2 อาทิตย์ ไปต่างจังหวัดมาพึ่งกลับขอรับ อาทิตย์แรก ไปภูเก็ต กลับมาไม่ทันไร ต้องไปงานแต่งงานรุ่นน้องที่จ.เลย เลยไม่ได้มารายงานตัว ขออนุญาตเสริฟอาหารเข้านะครับ ไข่กระทะไปกินที่ จ.หนองคายมา จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 07:09:05 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ไปหนองคายเลยแวะไปถ่ายรูปบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ย้ำว่าบนสะพานนะครับ ถ่ายกลางสะพานเลย ส่วนไอ้อ้วนนี่ใครอย่าสนใจเลยครับ จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 07:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ถ่ายป้ายบนสะพาน น่าจะมีการดูแลดีกว่านี้หน่อยนะปล่อยให้โทรม จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 07:13:02 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ต่อไปต้องมูฟไปเลยแล้วครับเวลาไม่พอ บ้าน(แฟน)รุ่นน้องอยู่แถวภูหลวง นี่รูปภูหลวงตอนเช้ามืด รูปจริงๆสว่างกว่านี้แต่กล้องผมไม่ดีรูปเลยออกมาเป็นอย่างนี้ จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 07:15:16 ]

ความคิดเห็นที่ 70 อีกรูปหนึ่ง อันนี้เค้าเรียกภูหอ เหมือนชามคว่ำนะครับ แต่คนท้องถิ่นเค้าบอกว่าเหมือนยอดหน้าอกของผู้หญิงนะครับ จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 07:17:12 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เอารูปบรรยากาศในงานแต่งงานมาฝาก เค้าบอกมีธรรมเนียมลาวอยู่ด้วย เรียกว่า"ผูกข้อต่อ" เรา(ญาติฝ่ายชาย)ต้องไปผูกข้อมือรับขวัญฝ่ายหญิง ญาติฝ่ายหญิงต้องผูกข้อมือฝ่ายชาย เหมือนการรดน้ำสังข์ของบ้านเรานะครับ อ้อแล้วมีแบ่งไข่ต้มกินกันด้วย แต่ต้องมีคนมาป้อน ให้กินน้ำกันติดคอด้วย จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 07:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ตบท้าย ตอนกินเลี้ยงมีคนมารำ หรือเซิ้งนะแหละ เห็นขาวดี เอ้ยสวยดี เลยเอามาฝากท่านอาจารย์สื่อฯ และเหล่าสมาชิกท่านอื่นนะขอรับ จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 07:25:53 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ไอ้กินไข่ต้มนั่นนะ ของลาวแท้ๆ เลยละครับ ขอบคุณขาประจำ ที่ช่วยมาเสริมทัพ เพราะตอนนี้กำลังลังเลอยู่ว่าจะเริ่มเรื่องอะไรดี ทีแรกว่าจะเอาเรื่องของมาเลเซีย แต่พอไปค้นๆ ดูแล้ว เรื่องที่สนุก ๆ ประเภทตอนที่สยามกับอังกฤษยื้อยุดแต่ละรัฐอยู่นั้น มันก็เล่าไปแล้ว ส่วนช่วงการกู้เอกราชของมาเลเซียจากอังกฤษมันก็จืด ๆ ครับ จะมีก็พวก ขจก. หรือตำราปราบคอมมิวนิสต์ฉบับภาษาอังกฤษที่ได้รับบทเรียนมาจากการปราบคอมมิวนิสต์มาลายา ที่ว่ากันว่า อเมริกันเอาไปศึกษาก่อนลงคลุกโคลนในเวียดนามเหมือนกัน แต่ก็งั้นๆ แหละครับ ก็เลยเหลืออีกทางนึงคือ เรื่องของจีน ที่เป็นแม่บทของการปฎิวัติของเอเชีย คราวนี้จะมีเรื่องให้เล่ามากมายไปหมด นับตั้งแต่การประท้วงของนักศึกษาจนกระทั่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และกองทัพแดง แต่ก็อีกนั่นแหละ เรื่องของจีน คนที่สนใจเรื่องพวกนี้ มันมีหนังสือหนังหา ตำรับตำราออกมาเยอะแยะไปหมดแล้ว ผิดกับเรื่องพม่า เขมร ลาว ที่ไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไร ก็คิดไปคิดมาหลายวัน ก็เลยกะว่าคงจะเอาเรื่องของจีนดีกว่าเนอะ เพียงแต่จะเอาเฉพาะจุดเปลี่ยนที่สำคัญของแต่ละช่วงก็น่าจะพอ ที่เขียนมานี่ไม่ใช่อะไรหรอก เกรงใจคนโหวตให้เป็นกระทู้แนะนำน่ะ เขาอุตส่าห์ทำให้ขนาดนี้แล้ว คนเขียนยังไม่ยอมทำงานให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 18 พ.ค. 49 11:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คุณ ryzon มีญาติไปแต่งเป็นเขยลาวเหรอครับ? ผมเองมีโอกาสไปลาวก็ช่วงทำงานให้บริษัทแถวบ้าน ที่อุดรเท่านั้นเอง ปกติเต็มที่ก็ไปหาร้านอาหารอร่อยๆ แถวท่าเสด็จทานบ้างเท่านั้น คนไทยมัวแต่ไปดูถูกลาว ตอนนี้ทางเวียดนามเค้าแอบ ตีท้ายครัวอยู่นะครับ หุ หุ ตอนไปที่นั่นได้รู้อะไรมาบ้าง ไว้เก็บมาเล่า หลังจากที่เคยเกริ่นไว้ที่โต๊ะสีลมตอน กลับมาทำงานกรุงเทพใหม่ๆ ซะที จากคุณ : Ace striker - [ 18 พ.ค. 49 12:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คุณ ryzon ครับ งานแต่งของชาวอีสานนี่เขาเรียกว่า งานกินดองครับ หรือบางที่เรียกว่างานเซ่นผี หรืองานเอาผัว หรือเอาเมีย ศัพท์ง่ายๆตรงความหมายเผงเลยล่ะครับ มีการทำพิธีบายศรีในงานด้วย เสร็จแล้วจะมีการผูกข้อมือเรียกขวัญ เขาจะเรียกว่า "ผูกข้อต่อแขน" ครับ ผูกข้อคือผูกข้อมือ ส่วนต่อแขนนี่เวลามีการผูกข้อมือคนที่นั่งถัดไป (ในรูปคือคนที่สวมเสื้อสีชมพูและสีเหลือง) ก็จะยื่นมือไปแตะข้อศอกของผู้ที่ถูกผูกข้อมืออยู่ คือเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ต่อกันไปเรื่อยๆ ด้วยความเชื่อว่า เป็นการต่อเชื่อมพลังจิต หรือเสริมแรงช่วยกันทุกคนในงานนั้นให้เป็นเหมือนดัง สายนิงสายแนน(สายเครือญาติ) ประเพณีเหล่านี้ยังยึดถือปฏิบัติกันอย่างเหนียวแน่นในกลุ่มคนวัฒนธรรมไทยลาว หรือคนที่พูดภาษาลาว (ไม่อยากใช้คำว่าภาษาอีสาน เพราะจริงๆแล้วมันก็คือสำเนียงภาษาลาว) จากคุณ : ทองเบิ้ม - [ 18 พ.ค. 49 14:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ใครมีลิงค์ของคุณ Ha Ha Yee บ้างอะคับขอหน่อย จากคุณ : ผู้ชมที่ดี (สมาชิกใหม่) - [ 18 พ.ค. 49 14:32:17 ]

ความคิดเห็นที่ 77 จัดให้ตามคำขอครับ http://www.oocities.org/drsak/ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 18 พ.ค. 49 16:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 78 อ๊ะจ๊ากกกกกกก......น้องริวน่ารักจังเลย อวบอั๋นไปหมด ยืนบังซะมิดสะพาน แต่สงสัยจัง ทำไมผู้ชายชอบใส่กุงเกงใว้ใต้พุง ไม่กลัวมันหลุดเหรอ? อยากให้สมาชิก (ชาย) ทุกคนหมั่นโพสต์รูปตัวเองหน่อยค่ะ อย่างน้อย.... หากจำเป็นต้องเจอตัวจริงเสียงจริงเข้าสักวันหนึ่ง ข้าพเจ้าจะได้ตั้งหลักทัน! สำหรับของท่านผู้เขียนหลัก ต้องขอแรง คุณป้า หรือคุณป๋า หรือคุณหมอก็ได้ ช่วยกรุณาสงเคราะห์ด้วยเถิดค่ะ เผื่อหนูจะกลับตัวกลับใจได้ทัน สำหรับของหนู...โพสต์มะด๊าย โพสต์มะด้ายค่ะ... ......ประเดี๋ยวปลาจะคายเหยื่อ.....อิ อิ อิ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 18 พ.ค. 49 20:34:05 ]

ความคิดเห็นที่ 79 "แต่สงสัยจัง ทำไมผู้ชายชอบใส่กุงเกงใว้ใต้พุง" ตามอาวุโสต้องให้อาจารย์สื่อฯเป็นคนตอบครับ จริง...จิ้ง... จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 49 20:38:22 ]

ความคิดเห็นที่ 80 http://www.oocities.org/drsak/อัพเดทแล้วนะครับ เปลี่ยนรูปตามที่ อ.สื่อศิลปบ่นไว้ << ทำเว็บมาสามปี เปลี่ยนรูปให้ตั้งสองรูปแกยังบ่นว่าซ้ำซากอีก... จากคุณ : ha ha yee - [ 19 พ.ค. 49 08:58:33 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เอ้อ ขอบคุณเหลือขนาดครับคุณหมอ 3 ปี 2 รูป สถิตินี้กินเนสต์บุ๊คได้เลยนะเนี่ย รู้ไหมว่า กระทู้ของคุณพี่เจ๊ฯวิวันดานั่นนะ พณ ท่านเขียนปุ๊บ มีคนมาไล่แปะรูปตามให้ปั๊บทันที เอาแบบว่ามีขนกี่เส้นต่อกี่เส้นเป็นโดนเผาหมด อันนี้ไม่เว้นว่าจะเป็นรูปบุคคล หรือว่ารูปสถานการณ์ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ชนิดถูกงานเป๊ะๆ อีกต่างหากนะ เฮ้อ พิมพ์ถึงตอนนี้แล้ว ก็นึกถึงของเราจริงๆ 3 ปี เปลี่ยน 2 รูป ไม่ซ้ำาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาซาก เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย คุณพี่หมอขาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 19 พ.ค. 49 15:34:30 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เพราะพุงผู้ชายโชว์ได้ เจ๊เบียบไม่ว่า (ชอบด้วย) ครับผม จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 19 พ.ค. 49 15:35:33 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ไม่มีใครสงเคราะห์แปะรูปอาจารย์สื่อเลยแฮะ สงสัยกลัวเรทติ้งตกอย่างที่ป๋าว่าจริงๆ เห็นอาจารย์สื่อเกริ่นนำไว้ว่า จะเล่าเรื่องจีนให้ฟัง ก็ยินดีเป็นหนักหนา เพราะชอบฟังชอบอ่านเรื่องที่เอียงไปทางซ้ายๆอยูแล้วค่ะ อาจารย์สื่อบอกว่า จะเน้นย้ำถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญบางตอนเท่านั้น เพราะเรื่องของจีน มีให้อ่านเยอะแล้ว แต่จุดเปลี่ยนบางตอนของจีนนี่แหละค่ะ ถ้าจะเล่ากันจริงๆ ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะคะ แต่ถ้าอาจารย์สื่อ จะเอาให้จบภายในตอนที่หนึ่งร้อย ก็ไม่ว่ากันค่ะ จะรวบรัด และไม่ถามยืดเยื้อ จักรวรรดิจีนโบราณ มีมาเป็นเช่นไร หาอ่านได้ได้มุมจีนเวปผู้จัดการค่ะ แต่จุดเปลี่ยนของจีน ที่ว่าเปลี่ยนจรงิๆน่าอยู่ราวๆ ปี 1839เป็นต้นมา คือในสมัยของราชวงศ์ชิง ถ้ายังไม่เบื่อ ช่วงที่อาจารย์สื่อเล่าเรื่องจีนยุคปฏิวัติ กาสะลองจะขออนุญาตเข้ามาแจมเรื่องจุดเสื่อมของราชวงศ์ชิงนะคะ การเดินทางมาถึงจุดเสื่อมซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังตั้งหลักไม่ทัน ทำให้จีนในยุคของราชวงศ์ชิงตกอยู่ในฐานะตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เคยมีคนพูดว่า ประเทศจีนต้องพบกับความอัปยศเช่นนี้ เพราะผู้ปกครองราชวงศ์ชิงไม่ใช่คนจีน เป็นเหตุให้อาณาจักรแห่งโอรสสวรรค์ต้องถึงกาลปวสาน รัฐบาลจีนตั้งแต่ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงจากระดับที่พอรับได้ในปลายสมัยราชวงศ์ชิง สู่ยุคจีนสาธารณรัฐของนายพล เจียงไคเช็ค และสุดท้าย เมเซตุง ได้ให้ยาแรงขนาใหม่แก่จีนซึ่งเปรียบเสมือนกำลังเป็นผู้ป่วยที่ดื้อยา ไม่อาจเยียวยาได้ด้วยตัวยาสามาญทั่วๆไป แต่ทำไม่จีนสาธารณรัฐจึงเกิดอาการดื้อยา เดี๋ยวต้องรอคุณหมอใหญ่มาชี้แจงค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีรัฐบาลใหม่ปกครองประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นเจียงฯ หรือ จีนคอมมิวนิสต์ ข้ออ้างที่ถูกเอ่ยถึงเสมอๆคือ ความอัปยศอดสูที่จีนได้รับจากการที่ชาวตะวันตกได้เหยียบย่ำทำลายเอกราช อำนาจอธิปไตย และเกรียติภูมิของจีน ความอัปยศนี้เป็นเสมือนตราปาบและเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์จีน ความอัปยศนี้เริ่งปรากฏในช่วงสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองจีน เนื่องจากราชวงศ์ชิง ไม่สามารถสกัดดกั้นภัยจากตะวันตกได้ มหาอำนาจตะวันตกต่างข่มขู่แสดงกำลังแสนยานุภาพ และเล่เหลี่ยมทางการทูต และบีบบังคับให้จีนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นรัฐกึ่งอาณานิคม ความไม่ยินยอมที่จะรับสภาพดังกล่าวของจีน ทำให้จักวรรดิจีน ดิ้นรนต่อสู้ขัดขืน ด้วยวิธีทางการทูตซึ่งไร้ผลโดยสิ้นเชิง วิธีทางการทูตที่อ่อนหัด และกำลังแสนยานุภาพที่ด้อยกว่า ทำให้จักวรรดิจีน ต้องพบกับวาระสุดท้าย ในปี ค.ศ 1911 จากคุณ : Gasalong - [ 20 พ.ค. 49 21:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เอ้า ใครแพ้หมวยห้ามดู ถ้าใครแอบดู ขอให้เป็นตากุ้งยิง! จากคุณ : Gasalong - [ 20 พ.ค. 49 21:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 85 มารายงานตัวค๊าบ......แหะๆๆ ขอเป็นกุ้ง (มังกร) ยิง... ด้วยคนค๊าบ คุณ Gasalong ช่างสรรหาจิงๆๆ ผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหน...แม่อีหนู จะเอาเช็ดน้ำลาย..น่ะ จากคุณ : jitty_jitty - [ 21 พ.ค. 49 18:51:26 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ดีครับ ช่วยๆ กัน การเข้าใจการปฎิวัติในจีนของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ต้องเริ่มจากการเสื่อมสลายของราชวงศ์ชิงนี่แหละ มันมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกครับ ปัจจัยภายใน คือ ตัวระบอบ "โอรสแห่งสวรรค์" เอง ที่ทำให้ตัวมันเองเสื่อม ซึ่งเป็นไปตามวาระของแต่ละยุคมาตลอดประวัติศาสตร์ของจีน ส่วนปัจจัยภายนอก ก็มาจากตัวเร่งของมหาอำนาจที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศจีน ก่อนจะเกิดการปฎิวัติล้มล้างระบบ "โอรสแห่งสวรรค์" โดย ดร.ซุน นั้น คงต้องเริ่มต้นด้วยกบฎที่ใหญ่และถือว่ามีคนตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็แล้วกัน ชื่อว่าอะไรครับ กบฎนี้ ชื่อดังมาก ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร หนังจีน หนังฝรั่งเอามาสร้างกันตั้งหลายหน ตอบกันหน่อยเร็ว จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 พ.ค. 49 11:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 87 "นักมวย" กระมิดกระเมี้ยนมั่วตอบ กลัวผิดโดนจารย์ใหญ่ดุ... (ถ้าผิดเดี๋ยวเฉลยแล้วผมย้อนกลับมาแก้ไขข้อความ .. เอาให้ถูกจนได้ละ) จากคุณ : ha ha yee - [ 22 พ.ค. 49 13:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณ jitty เลือกให้กุ้งแพงๆยิงซะด้วยสิคะ พอมันยิงเราเสร็จ เราก็จัดการมันได้เลยใช่ไหมคะ? ฮิๆๆๆ กรรมวิธีในการเปิบกุ้งมังกรของชาวเกาะทะเลใต้ เท่าที่ฟังมา มันเข้าข่ายทารุณสัตว์หรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ แต่เขาเล่าว่า เวลาที่เขาออกเรือไปปิคนิคกันกลางทะเล (ไม่ทราบเรียกว่าปิคนิคจะถูกต้องหรือเปล่านะคะ แต่เขาไปนอนค้างในเรือด้วย) เวลาที่เขาได้กุ้งมังกรมา เขาก็จะค่อยๆบรรจงผ่าหลังในขณะที่ยังดิ้นพลาดอยู่เลย แล้วก็จะปรุงแต่งรสชาดตามกรรมวิธีแล้วแต่ว่าจะเอาไปทำเป็นลาบกุ้งมังกร หรือจะเป็นกุ้งมังกรสดๆจิ้มด้วยซ๊อสด้วยการใส่เครื่องปรุงลงไปบนเนื้อกุ้งที่ผ่านั่นแหละค่ะ เห็นเขาบอกว่า มันวิเศษเหลือเกิน แต่ว่ามันทรมานสัตว์นะคะ! เหมือนตอนที่พลพต เขามีวิธีการทรมานนักโทษด้วยการผ่าหน้าอกแบบไม่ให้ตาย แล้วจับตะขาบตัวโตๆใส่เข้าไปแล้วก็เย็บปิดแผล ปล่อยให้ตะขาบวิ่งไปวิ่งมา จนตายไปเองทั้งคน ทั้งตะขาบ บรื๋ออออออ สยองแต่เช้าเลย...แหะๆๆๆ จากคุณ : Gasalong - [ 23 พ.ค. 49 07:08:44 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอันเป็นเหตุให้จีนต้องถึงกาลอาทิตย์อัสดงเร็วขึ้น มาจากหลายสาเหตุค่ะ สาเหตุหลักๆ ก็คือการเกิดกบฏภายใน ซึ่งตลอดเวลาในประวัติศาสตร์จีน มักมีกบฏอยู่คู่กันมาตลอด ในสมัยสามก๊กหรือไงนี่แหละค่ะ ก็มีกบฏโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งการก่อตัว ก็เริ่มต้นมาจากความไม่พอใจในผู้ปกครอง และรวมตัวกัน จากกลุ่มเล็กๆ และยิ่งมีการปราบปรามจากรัฐมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะยิ่งลุกลามให้กลุ่มกบฏใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงปลายราชวงศ์ชิง ก็เหมือนกันค่ะ มีหลายๆกบฏ แต่ที่สั่นสะเทือนบัลลังค์จักพรรดิ์มากที่สุด เห็นที่จะเริ่มจาก กบฏไทผิงค่ะ การเริ่มต้นของกบฏไทผิง ซึ่งราชวงศ์ชิงเห็นว่า เป็นเพียงภัยก่อการร้ายธรรมดา จึงได้แต่ส่งกำลังไปปราบปรามเพื่อไม่ให้ขุนพลอยู่ว่าง แต่ยิ่งตี ก็ยิ่งโต เหล่ามวลชนตามมลทลต่างๆเข้าร่วมด้วยจำนวนนับล้าน นโยบายของราชวงศ์ชิงที่มีต่อภัยก่อการร้ายในช่วงนี้ ต่างก็มุ่งหวังไปในการปราบกบฏเหล่านี้ เพราะถือว่ากบฏเป็นภัยอันใหญ่หลวงค่อบัลลังค์ แต่ในศศตวรรษที่ 19 จีนมิได้เผชิญเพียงแต่ภัยคุกคามจากกบฏเท่านั้น แต่ยังมีภัยจากตะวันตกที่เข้ามาข้างหลัง จีนจึงต้องเผชิญภัยที่ขนาบเข้ามาทั้งสองด้าน แต่จีนให้ความสำคัญต่อการปราบปรามคนจีนด้วยกันเอง เพราะมองเห็นว่าภัยจากตะวันตกนั้นเป็นเพียงความบาดเจ็บตามแขนขา แต่ภัยจากกบฏไทผิงนี่สิเป็นโรคที่มีผลต่ออวัยะวะที่สำคัญต่อชีวิต เพราะสั่นสะเทือนบัลลังค์ จึงต้องให้ความสำคัญต่อการปราบปรามกบฏก่อน ทีนี้ทำยังไงล่ะ ที่จะเลือกในการก่อศัตรูด้านเดียว อาจารย์สื่อเคยเล่าว่า ไม่ว่าจะเป็นกองโจร หรือกองร้อย เวลารบจะต้องมีหลังพิง นี่ก็เช่นเดียวกันค่ะ ราชวงศ์ชิง เลือกที่จะทำลายล้างคนจีนด้วยกันเอง โดยการยืนหันหลังพิงตะวันตก ซึ่งก็เข้าทางตะวันตกพอดี การมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างผู้สำเร็จราชการและเหล่าบรรดาตะวันตก เป็นการเร่งให้จีนถูกรุมแบ่งเค็กเร็วขึ้น ชื่อตัวละครประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ขอเรียตามตรงว่า ยังจำไม่ได้เลยค่ะว่าใครเป็นใคร คงต้องรอใหอาจารย์สื่อหายแฮ๊งค์ก่อนนะคะ ท่านคงจะร่ายยาวเรื่องราวในช่วงนี้ให้อ่านกัน ส่วนข้าพเจ้า ขอตัวไปทำงานก่อนค่ะ จากคุณ : Gasalong - [ 23 พ.ค. 49 07:21:41 ]

ความคิดเห็นที่ 90 กบฏนักมวย จากคุณ : เด็กสะเดียง - [ 23 พ.ค. 49 09:52:01 A:203.114.98.117 X: ]

ความคิดเห็นที่ 91 ส่วนหนึ่งในการล่มสลายของราชวงค์ของจีน ผมว่าน่าจะเป็นทรรศนคติของผู้นำจีนที่ปิดประเทศ คิดว่าโลกนี้คือจีน จีนคือประเทศที่ศิวิลัยซ์ที่สุด ความรู้สึกว่า พวกฮั่น พวกฮวน ยังติดแน่นจากการสั่งสมมานานนับหลายพันปี พอเจอเหล็กลอยน้ำได้ (คุ้นๆว่า บางประเทศก็ได้เจอโต๊ะจายโหม๊ดเลย) เจ้าของปืนไฟขนานแท้ ก็อ้าว อ๊บ อ๊บ กบในกะลานี่นา จากนั้น ก็อังกฤษเอย ฝรั่งเศสเอย ฝรั่งหัวแดงทั้งนั้น เธอมั่ง ฉันมั่ง ยังกะปลาปิรันย่า อ้อต่อมาไม่เว้นกระทั่งญี่ปุ่น ยุ่นปี่ เด็กๆ ที่ลอยน้ำไปหายาอายุวัฒนะให้จิ๋นซีนี่เอง กลับมาก็จัดการกับจีนซะอ่วมเลย ขอเสนอความเห็นนิดหน่อยเป็นค่าสมัครสมาชิก เพราะชอบประวัติศาสตร์เหมือนกันแต่โอกาสในการอ่านสำหรับผู้ที่มีบ้านอยู่ในหุบเขาหนังสือมีน้อยกำลังทรัพย์ก็ไม่มี ห้องสมุดประชาชนที่มีประจำจังหวัดก็อ่านมาตั้งแต่อยู่ ม.1 ทุกวันนี้ก็เป็นสิบปีหนังสือยังมีอยู่เท่าเดิม ไอ้ที่เท่าเดิมก็เล่มเก่าทั้งนั้นอ่านจนสองรอบสามรอบ บางทีก็ให้ลืมๆซักสามปีค่อยมาหยิบเล่มเก่าอ่านเอาอรรถรส น่าเสียดายแทนเด็กใหม่ๆ ที่ชอบอ่านศึกษาจากหนังสือมากกว่าศึกษาจากการแชทในอินเตอร์เน็ต มีห้องสมุดห้องใหม่ก็โน่นเลยอยู่บนเขา เขาจริงๆครับท่าน เขาค้องี้ อยากอ่านทีก็ต้องขี่มอเตอร์ไซด์ฮ่าง กระตุ๊ก กระตุ๊ก ขึ้นเขาท่านที่เคยไปเขาค้อคงจะรู้ปิดประตูสำหรับนักอ่านพื้นล่าง เอ้า! อย่างไรก็เจอขุมทรัพย์ทางปัญญา คนชอบอ่านก็คงจะรู้ว่าดีใจเป็นล้นพ้น คุ้มค่ากับการเสียค่าบริการติดตั้งอินเตอร์เน็ตกะเค้า ก็ขอสมัครเป็นสมาชิกครับท่าน อ้อ! เรื่องร่มเกล้าผมมีเกร็ดเล็กๆ เพราะบ้านผมอยู่แถวๆวัดที่เขาทำการเผาศพทหารหาญคุณเอ๊ยเป็นเรื่องชินเลยนะครับเพราะเผากันทุกวันทุกเวลาไฟไม่มีการมอดดับเลยจนเมรุรับไม่ไหวต้องขยายจำนวนวัดในการทำการเผาทั้งวันทั้งคืนเลยเรียกว่าจังหวัดผมนิยมแต่งชุดดำกันทั้งจังหวัดเลยครับท่านไม่ญาติใครก็ใครโยงกันไปโยงกันมาต้องมีซักคนที่ใช้บริการวัดทุ่งสะเดียง แฟลตทหารงี้โล่งเลยค่ายพ่อขุนผาเมืองนี่โล่งเลยครับ พ่อเพื่อนไปชุดแรก กว่าจะเอาศพออกมาได้เน่าจนแฟะ แกแก่แล้วนะครับจะเกษียณอยู่แล้ว พวกทหารเกณฑ์งี้ฝึกเสร็จส่งขึ้นเขาพวกรุ่นพี่ที่ไปเล่าให้ฟังสั่นเป็นเจ้าเข้าพระเพรอะเพียบครับ คนที่นี่จำเรื่องร่มเกล้าได้ไม่เคยลืม ไม่ลืม ลืมไม่ได้จริงๆ ครับ คุณคิดดูขนาดเมรุเผาศพระเบิดก็แล้วกัน ตอนนี้ยังมีซากอยู่เลย ในวัดยังมีศาลาไว้เป็นอนุสรณ์จากค่ายทหารม้า สวัสดีครับผมชอบอ่านยังไงก็ขอรายละเอียดเกี่ยวกับพวกซีไอเอในไทยหน่อยครับจากอดีต-ปัจจุบัน บทบาทของเขาเริ่มจากเมื่อใด และบทบาทในปัจจุบันต่อประเทศไทยด้วยครับขอบคุณหลายเด้อ (ล่วงหน้าครับ) จากคุณ : เด็กสะเดียง - [ 23 พ.ค. 49 09:56:30 A:203.114.98.117 X: ]

ความคิดเห็นที่ 92 ชื่อเก๋จริงๆ ครับ เด็กสะเดียง พึ่งรู้เหมือนกันว่ามีชื่อนี้ด้วย เรื่องเกร็ดร่มเกล้า น่าสนใจครับ เสียดาย เป็นบุคคลประเภทมาช้าดีกว่าไม่มา ไม่งั้นคงได้มาแจมเรื่องร่มเกล้ากันบ้าง แต่ไม่เป็นไร เสริมกันได้ เรื่องกบฎในจีน ก็ตอบๆ กันมาเถอะครับ เดี๋ยวก็มีคนเสริมเอง จริงๆ จีนก็มีกบฏเยอะแยะไปหมด เล่ากัน 3 วัน 3 คืน ไม่จบ ก็เลยจะข้าม จะตัด จะตอน (แต่ไม่สงวนสิทธิใครจะเสริมเติมแต่งนะครับ) เรื่องการปฎิวัติของจีน มาเข้าเรื่องการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์เสียเลย เพราะไม่งั้นเดี๋ยวอีก 100 ตอนก็ไม่จบ เรื่องของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น เมื่อเขาเล่าประวัติศาสตร์ตัวเอง ก็มักจะเริ่มต้นที่การเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษา เมื่อวันที่ 4 พ.ค.1919 อยู่เสมอ เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำสนธิสัญญาแวร์ซายที่กรุงปารีส ภายหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เยอรมันเป็นฝ่ายแพ้ยับเยิน และถูกเรียกร้อง(บังคับ)ให้ชดใช้ค่าเสียหายซะยับเยินยิ่งกว่า จนทำให้นายสิบโทผู้นึงทนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้จนกลายมาเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ยับเยินหนักเข้าไปอีก ทีนี้ในสมัยนั้นต้องเข้าใจว่า นานาประเทศ ยังไม่มีกฎเกณณ์ในการอยู่ร่วมกันอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ก็มีกฎสากลแบบยอมรับกันไปแกนๆ ก็คือ ใครชนะคนนั้นก็ถูกต้อง แล้วจะเอาอะไรจากคนแพ้ก็ได้ การเรียกร้องของพันธมิตรต่อมหาอำนาจกลางจึงเล่นกันแบบไม่มียั้ง รีดจนซีดเกินกำลังจะใช้คืนและฟื้นฟูประเทศได้ ทีนี้ประเด็นมันเกิดจากว่า ในสงครามโลกครั้งแรกนั้น ญี่ปุ่น ที่พึ่งจะเริ่มสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ 1 เดียวของเอเชีย มาเทียบบ่าเคียงไหล่ประเทศในยุโรป หลังจากซดกับกองทัพพระเจ้าซาร์ซะเดี้ยงไป จนกลายเป็นเรื่องซุปเปอร์ เซอร์ไพรซ์ระดับอภิมหากาฬในยุคนั้น เมื่อเยอรมันแพ้สงคราม สิ่งที่เยอรมันครอบครองอยู่ก็ต้องหลุดมือไปให้กับผู้ชนะได้จัดสรรปันส่วนกัน ทีนี้ที่เกี่ยวข้องกับจีนก็คือ เยอรมันนั้นเป็น 1 ใน 8 ชาติมหาอำนาจที่เข้ามาแบ่งเค้กจีน ทำให้ได้มณฑลซานตงไปครอบครอง (ออกตัวหน่อยนะครับ ภาษาจีนนี่ บางทีมันที่เดียวกัน ชื่อเดียวกัน แต่ออกเสียงต่างกันซะจนตามหาไม่เจอ หรือบางทีก็อิงเอาคำสะกดที่เป็นภาษาเขียน ซึ่งก็เพี้ยนๆ ต่างๆ กันไปสำหรับตำรับตำราต่างเล่มกัน ยังไงก็เสริม กันหน่อยแล้วกัน) ทีนี้เมื่อเยอรมันแพ้ แทนที่จีนจะได้รับสิทธิในมณฑลนี้กลับคืน ที่ประชุมสันติภาพแวร์ซายดันพิเรนท์ เอาเขตเช่าของเยอรมันนี้ รวมทั้งผลประโยชน์ต่างๆ ที่เยอรมันเคยได้จากแผ่นดินนี้ ไปยกให้ญี่ปุ่นเสียนี่ แถมยังปฎิเสธข้อเรียกร้องของจีนทุกข้อที่พยายามจะปลดแอกตัวเองออกจากการรุกรานของต่างชาติให้หมดเสียนี่ จากคุณ : ซานตง (สื่อศิลป) - [ 23 พ.ค. 49 12:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นก็คือ คณะทูตของจีนที่ไปเจรจา ดันมีทีท่าว่าจะยอมตามที่ประชุมแวร์ซายเข้าให้เสียอีก ที่เป็นดังนี้ก็เพราะตอนนั้นญี่ปุ่นกำลังเถลิงอำนาจการรบขึ้นมาทัดเทียมกับยุโรป ทำให้นานาประเทศไม่ค่อยอยากจะไปขัดใจญี่ปุ่นโดยไม่จำเป็น และที่สำคัญคือทุกฝ่ายก็ยังคงมองจีนเป็นหมูน้อยในอวยที่ต้องประคองเลี้ยงเอาไว้เชือดเนื้อถือหนังกินไปเรื่อยๆ ขืนไปปล่อยให้เป็นอิสระ จะเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี เดี๋ยวจะมาเรียกร้องให้มหาอำนาจอื่นๆ สละสิทธิ์เหนือดินแดนจีนไปเสียอีก เรื่องของเรื่อง เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ย้อนกลับมาในจีน จึงสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนจีนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาปัญญาชนที่มีความสามารถในการรับรู้ข่าวสารได้ดีกว่าคนกลุ่มอื่นในสังคม ในวันที่ 4 พ.ค.1919 นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สมทบกับนักเรียนนักศึกษาจากหลากหลายสถาบัน จำนวนกว่า 3,000 คน จึงเริ่มต้นปักธงแห่งการปฎิวัติสมัยใหม่ขึ้นในครั้งนั้น ด้วยการชุมนุมประท้วงการยอมรับในสิทธิของญี่ปุ่นเหนือมณฑลซานตงแทนเยอรมัน และความพ่ายแพ้ทางการทูตของคณะทูตจีนอยางหมดรูป จนต้องยอมตกลงที่จะลงนามในสนธิสัญญาที่จีนต้องเสียเปรียบทุกรูปแบบ จากคุณ : มณฑล (สื่อศิลป) - [ 23 พ.ค. 49 12:19:43 ]

ความคิดเห็นที่ 94 โฮย เพิ่งมาค่ะ อ่านซะตาแฉะก็ยังไม่ถ้วน ตอนแรก scroll ปรื๊ดๆ เห็นรูปเล็กๆ นึกว่าอาจารย์สื่อไปแต่งงานซะอีก อิ๊อิ๊ น้องริวน่ารักอารมณ์ดีจริงนะคะ กางเกงใต้พุง... ก็เขาฮิตกันอยู่นี่นาน้องกาสะลอง พี่ยังใส่เลย (เสื้อยาวปิดพุงนาจ๊า) ชอบรูปมากค่ะ เห็นไข่กระทะก็อยากกิน เห็นชุดเจ้าบ่าวสวยๆ แล้วยังอยาก "เอาผัว" ซะอีกรอบนึงเลย ส่วนเรื่องชอบอ่านอยู่แล้ว ขอบคุณค่ะ อย่าหยุดเขียนค่ะ คนอ่านสู้อ่านยิบตา(แฉะ)ค่ะ :D จากคุณ : เจ๊กปนลาวตัวจริง (Tweety สี่ตา) - [ 23 พ.ค. 49 22:09:05 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ช่วงนี้นำมันแพง "เอาผัว" แต่ละที ไม่ง่ายแล้วนะครับ เพราะ"ค่าสิน"น่ะไม่เท่าไร แต่"ค่าสอด" มันขยับตามราคาน้ำมันเจ้าค่ะ จากคุณ : บักอึดถลาลม (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 09:16:36 ]

ความคิดเห็นที่ 96 นี่อาจารย์สื่อ "เอาผัว" นี้ข้าพเจ้าเอามาจากที่คุณทองเบิ้มบอกใน คคห 75 นะคะ ท่านว่าศัพท์ทางโน้น แต่ "ค่าสอด" นี้ไม่เคยได้ยินนะคะ แปลว่าอะไร แล้วทำไมต้องเสียเงินล่ะคะ ไม่เข้าใจเลยค่ะ (ทำหน้าบ้องแบ๊ว) ส่วนค่าสินสอด ถ้าพ่อแม่เจ้าสาวไม่ยากจน สมัยนี้เขาก็ยกให้ลูกสาวไปเก็บไว้ จะได้ไม่ชื่อว่าขายลูกกิน ค่าสินสอดก็เป็นธรรมเนียมและเป็นหน้าเป็นตาเสียมากกว่า อาจารย์อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลยน่า เดี๋ยวลูกสาวพ่อเลี้ยงเขาจะรอไม่ไหวนะคะ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 24 พ.ค. 49 10:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เอ้อ ไม่ทราบนะดีแล้วครับ อธิบายมากเดี๋ยวกระทู้จะโดนปิดเสียก่อน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 11:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 98 อ้อ อีกอย่าง ลูกสาวพ่อเลี้ยงที่ว่าจะรอผมไม่ไหวเนี่ย เขาเกิดแล้วหรือครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 11:26:26 ]

ความคิดเห็นที่ 99 กลับมาที่จีนสักนิดแล้วกัน เรื่องกบฎในจีนนี่ตลอดประวัติศาสตร์ มันเป็นเรื่องปกติ เหมือนคำขึ้นต้นของวรรณกรรมเรื่องสามก๊กนะครับ คือ แผ่นดินนี้เดี๋ยวสงบร่มเย็น เดี๋ยววุ่นวาย สลับกันไปอยู่ตลอดเวลา ก็ตามประสาคนหมู่มากนั่นแหละ แต่กบฎช่วงยุคใกล้ที่รู้จักกันดีจะมีอยู่ 2 ครั้งครับ คือ กบฏไต้ผิง ที่เป็นกบฎชาวนาขนานแท้ เนื่องจากกำลังส่วนใหญ่เป็นชาวนาจากกังไส ที่ต้องการเบื้องต้นแค่ขอข้าวให้พอกินประทังชีวิตไปวันๆ จนกระทั่งกลายเป็นกลุ่มใหญ่ลุกลามไปทั่วประเทศ เกือบๆ จะล้มราชวงศ์ชิงได้นั่นแหละ กบฎนี่แหละครับที่ประวัติศาสตร์โลกยอมรับให้เป็นกบฏที่มีคนตายมากที่สุด เพราะกลุ่มกบฎนั้นสู้จนตัวตาย ชนิดที่เมื่อทัพหลวงมาล้อมปราบ แม่ทัพหลวงยังแหยง ว่ากลุ่มกบฎนี้สู้อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้กระทั่งทหารกล้ายังสยองเลยละ ถึงสุดท้ายแม้ว่าจะสู้ไม่ชนะ เหล่ากบฎก็ถึงขั้นเอาไฟคลอกตัวเองและลูกเมียตายเพื่อไม่ให้ถูกจับ อาจจะฟังดูโหดนะครับ แต่ถ้าคุณเป็นกบฎแล้วถูกจับในสมัยนั้นนะ คุณต้องถูกจับไปมัดอยู่กลางเมือง แล้วเอามีดทื่อๆ มาแล่เนื้อที่ละชิ้นจนกว่าจะตายนะครับ ฟังแล้วอยากโดนไฟดูดตายมากกว่าใช่ไหม ส่วนกบฎยุคใกล้เข้ามาอีกหน่อย และมีชื่อเสียงมากพอๆ กัน เพราะเป็นช่วงที่ฝรั่งมังค่าเข้าเมืองมาแล้ว และเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากกบฎนี้โดยตรง คือ กบฎ นักมวย ครับ คำว่ากบฎนักมวยเป็นคำที่ฝรั่งในสมัยนั้นเรียกกบฎกลุ่มนี้ว่าพวก boxer เนื่องจากกลุ่มกบฎจะใช้มวยจีนเป็นหลักในการรวมกลุ่มกันเพื่อฝึกฝนและใช้มวยจีนนี้เป็นอาวุธ และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านต่างชาติ ส่วนจีนนั้นเขาเรียกกลุ่มกบฎพวกนี้ว่า อี้เหอฉวน และต่อมาเปลี่ยนเป็น อี้เหอถวน เนื่องจากกบฎกลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษ คือ การกระจายกำลังกันออกไป ไม่ได้รวมเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆ กับกลุ่มรำมวยอะไรของจีนสมัยนี้ที่ทางการไล่ปราบอยู่นี่แหละ การแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างมีอิสระ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ยิ่งมีการใช้การฝึกหัดมวยอำพรางบังหน้าอยู่ด้วย ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ทีนี้ กลุ่มกบฏกลุ่มนี้ มีอุดมการณ์พร้อมกันอยู่ 2 อย่าง คือ ต่อต้านต่างชาติหรือพวกล่าอาณานิคมตะวันตก พร้อมๆ กับต่อต้านราชวงศ์ชิง ผิดกับไต้ผิง ที่มุ่งต่อต้านราชวงศ์ชิง ที่เขาเห็นว่าเป็นต้นตอของปัญหาความยากจน นอกจากมวยไทเก๊กที่เป็นศูนย์กลาง หรือสัญลักษณ์ของการรวมกลุ่มกันแล้ว กบฎอี้เหอถวน หรือหมัดคุณธรรมและสันตินี้ ยังมีการแบ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งใช้สัญลักษณ์ต่างกัน คือ ผู้หญิงจะใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ และมีเจ้าแม่บัวเหลือง เป็นศูนย์รวมจิตใจ ขณะที่ผู้ชายจะใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ และเน้นการฝึกหัดมวยไทเก๊กให้สามารถใช้งานได้ จากคุณ : ไทเก๊ก (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 11:38:58 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ยุคของกบฎนักมวยนี่จะเกิดขึ้นในสมัยของพระนางซูสีไทเฮา สตรีที่จับพระเจ้ากวางสู ขังไว้ในพระราชวังตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กวางสูร่วมมือกับปัญญาชนและขุนนางสายก้าวหน้า ทำการปฎิรูปประเทศเพื่อพัฒนาไปให้พ้นความล้าสมัยและต่อสู้กับการล่าอาณานิคมได้ เหมือนที่สยามทำสำเร็จ และรอดพ้นจากอาณานิคม หรือญี่ปุ่นที่นอกจากจะรอดพ้นจากอาณานิคมแล้ว ยังผงาดขึ้นเป็น 1 ในประเทศมหาอำนาจทั้ง 8 ที่เข้ามารุมกินโต๊ะจีนอีกด้วย เสียดายที่จีนทำไม่สำเร็จ เพราะติดอยู่กับพระนางซูสีไทเฮานี่เอง ซึ่งภายหลังกวงสูสิ้นพระชนม์แล้ว ตะละแม่ยังอุตส่าห์ไปชูเอาเจ้าชายน้อยปูยี ปริ๊นบ้านนอก มาเป็นฮ่องเต้ต่อ เพียงหวังแค่ว่าอำนาจจะไม่หลุดไปจากตัวเท่านั้นเอง ในช่วงยุคแรกของการครองเมืองของพระนางซูสี การเข้ามาของต่างชาติเป็นที่รังเกียจของพระนางเพียงประการเดียว คือ ชาวต่างชาตินั้นลบหลู่ ไม่ให้เกียรติพญาหงษ์ที่บินเหนือมังกรอย่างเธอ ทำให้พระนางมีซิกกับกลุ่มกบฎอี้เหอฉวนบางกลุ่มที่ไม่ได้ยึดมั่นหลักการต้านราชวงศ์ชิงเท่าไร ให้มาร่วมมือกันในทางลับในการต่อต้านกับกลุ่มต่างชาติ กลุ่มอี้เหอฉวนบางกลุ่มก็ยินดี เพราะการได้เคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย แถมได้รับการสนับสนุนลับๆ จากทางการ ซึ่งหมายถึงทั้งคน เงิน อาวุธ และโอกาส ย่อมดีกว่าการเป็นสมาคมลับ อย่างแน่นอน อี้เหอฉวน จึงยินดีที่ได้เป็น อี้เหอถวน คือ กลายเป็นกลุ่มสันติที่ไม่ทำร้ายราชสำนักและข้าราชการของราชสำนักชิง แต่มุ่งไปที่ชาวต่างชาติแทน เหตุการณ์ที่ทำให้อี้เหอถวนต้องสิ้นชื่อก็คือการล้อมสถานทูตในกรุงปักกิ่งนานเกือบ 2 เดือน ใครทันดูหนังเรื่อง 52 วันในปักกิ่งบ้าง ยกมือขึ้น แล้วสารภาพมาซะว่า อั๊วแก่เลี้ยว ตลอดเวลาที่อี้เหอถวนล้อมเจ้าหน้าที่ทูตของประเทศตะวันตกนานถึง 2 เดือนนี้ พระนางซูสีก็เล่นบท 2 หน้า คือ ด้านนึงก็ให้ขุนนางของตนไปสนับสนุนกลุ่มกบฎ ขณะที่อีกด้านนึงก็แอบดึง ๆ เกมไว้บ้าง เพื่อต่อรองกับชาวต่างชาติ เช่น ส่งผลไม้และอาหารเข้าไปในสถานทูตที่ถูกปิดล้อม แล้วประโคมข่าวออกไปใหญ่โต เพื่อไม่ให้ผิดใจกับตะวันตก รวมทั้งการสั่งปรามๆ กลุ่มกบฎว่าอย่าใช้อาวุธหนักในการโจมตีสถานทูต เพราะไม่งั้นขืนปล่อยให้ลากเอาปืนใหญ่มายิงได้ สถานทูตคงไม่เหลือ จากคุณ : อีเหอฉวน (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 11:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 101 กบฎอี้เหอถวน จบลงด้วยการปราบปรามของนาวิกโยธินที่สนธิกำลังกัน 8 ชาติ จำนวน 16,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอังกฤษ ยกพลขึ้นบกมาเพื่อปราบปรามกบฎอย่างโหดเหี้ยม ยิ่งพวกกบฎบางกลุ่มเชื่อว่าตัวเองทนลูกปืนได้ ยิ่งตายไว สุดท้ายก็ไม่เหลือซาก ผลของการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ทำให้ พระนางซูสีไทเฮา ที่รู้ดีกว่าพวกตะวันตกนั้นทราบว่าพระนางอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ต้องอาศัยการปลอมตัวเป็นหญิงสามัญ นั่งเกวียนแอบหนีจากพระราชวังต้องห้ามไปอยู่ชนบท แต่อยู่ได้ไม่นาน ตะวันตกก็ตระหนักดีว่า ถึงพระนางจะไม่ค่อยคงเส้นคงวา แต่ก็เป็นตัวแทนได้ดี และพอเจรจากันได้ จึงอนุญาตให้พระนางกลับวังมานั่งรับสภาพการทำสนธิสัญญาแบ่งเค้กที่มีหลีหงจางเป็นหน้าเสื่อให้ การทำสนธิสัญญาครั้งนั้น จีนเสียเปรียบมโหฬาร เพราะต้องเสียพื้นที่หลายแห่งเป็นเขตเช่าแบบ 99 ปี (ฮิตมาก) แล้วยังต้องกู้ยืมเงินจากประเทศเหล่านี้ที่ต้องเสียดอกเบี้ยแบบทบต้นที่ชนิดสูงกว่าต้นไป 2-3 เท่า ที่หนักที่สุด คือ การที่ประเทศตะวันตกใช้วิธียึดสิทธิการเก็บภาษีในแต่ละมณฑลเป็นหลักประกันในการใช้หนี้ นั่นหมายถึงชาวต่างชาติจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการเก็บภาษีเหล่านี้แทนการชำระหนี้ ประชาชนก็อานกันไป มณฑลชานตงที่เยอรมันได้สิทธิในการเช่าไป 99 ปี ก็เป็นช่วงนี้แหละครับ ซึ่งภายหลังเมื่อเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 จีนก็หวังว่าจะได้สิทธิเหล่านี้กลับคืน (เหมือนกับสยามที่ได้สิทธินอกอาณาเขตกลับคืน) แต่ที่ไหนได้ แวร์ซาย ดันไปยกสิทธินี้ให้กับญี่ปุ่น คนเอเชียด้วยกันนี่เอง เรื่องมันถึงต้องออกมาประท้วงกันไง เห็นไหม ย้อนไปย้อนมามันก็เป็นเรื่องเดียวกันนี่แหละ เรื่องมั่วนี่ขอให้บอก จากคุณ : ชานตง (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 11:58:10 ]

ความคิดเห็นที่ 102 การก่อกบฎของประชาชนจีนทั้ง 2 ครั้งนี้ มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการพ่ายแพ้หรือชัยชนะขึ้นด้วย กรณีกบฎไต้ผิง เป็นกบฎชาวนาที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัดที่ชาวนาระทมทุกข์จากความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ปากท้อง ชนิดไม่มีจะกิน ก็เลยรวมตัวกันเพื่อต่อสู้ ทีนี้โดยวัฒนธรรมชาวนา หรือกลุ่มเกษตรกร ผู้ที่พึ่งดินฝนลมฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ เมื่อจะรวมกลุ่มกัน ผู้นำก็ต้องมีลักษณะที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของเขาด้วย นั่นคือต้องมีลักษณะกึ่งเทพเจ้า และเป็นผู้นำแบบสูงสุด ผลก็คือ กลุ่มกบฎไต้ผิง มีผู้นำคนเดียว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อยู่ได้เพราะศรัทธา เมื่อเคลื่อนไหวแล้ว สูญเสียผู้นำไป ก็ขาดแกนในการยึดเหนี่ยว ทำให้พ่ายแพ้ ขณะที่กบฎอี้เหอถวน แม้ฐานรากจะเป็นคนชนชั้นล่าง แต่ก็มีลักษณะปัญญาชนอยู่สูง และมีการจัดตั้งที่เน้นการแบ่งตัวออกเป็นหลายหน่วย แต่ละหน่วยก็มีผู้นำของตนเอง ทำให้เมื่อเคลื่อนไหว แล้วสูญเสียผู้นำ ก็ยังไม่สูญเสียการนำ เพราะยังมีคนอื่นเข้ามาทดแทนได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้ง 2 กลุ่ม ต่างขาดอุดมการณ์ชี้นำที่ชัดเจนทั้งคู่ กล่าวคือทางไต้ผิงก็ขาดอุดมการณ์ เพียงมุ่งหวังล้มล้างราชวงศ์ชิงที่ตนคิดว่านี่คือตัวปัญหาเท่านั้น กบฎอี้เหอถวนก็ไม่ชัดในอุดมการณ์ ไม่แน่ใจว่าจะต้านชิง (ตามแนวประเพณี) หรือจะต้านต่างชาติ(ที่เป็นกระแสหลักอยูในขณะนั้น) ทำให้เข็มมุ่งของกลุ่มรวนเร เมื่อได้รับการสนับสนุนจากราชสำนัก ก็เริ่มเป๋ จนกลายเป็นเครื่องมือของราชสำนักชิงไปในที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไร การก่อกบฎทั้ง 2 กลุ่มนี้ก็มีคุณูปการต่อการปฎิวัติจีนในสมัยต่อมา อย่างแรกคือ การก่อกบฎทั้ง 2 ครั้ง เป็นกบฎชาวนาหรือกบฎที่เกิดจากประชาชน ไม่ใช่ข้าราชการหรือขุนศึก ทำให้ประชาชนคุ้นเคยกับการต่อต้านรัฐบาลด้วยการลุกขึ้นจับอาวุธสู้ การก่อตัวและเคลื่อนไหวของกองทัพแดงของพรรคคอมมิววนิสต์จีน จึงง่ายต่อการอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ซึ่งเรื่องนี้ผิดกับไทยที่ไม่ค่อยผ่านประสบการณ์ที่ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐมากนัก ที่เคยเกิดก็เป็นแค่กลุ่มย่อยๆ ในท้องถิ่น อย่างเช่นเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีเป็นเงินในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่นั่นก็เป็นแค่ระดับท้องถิ่น ไม่ได้ลุกลามหรือเชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาคหรือประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์ไทยจึงไม่ได้อานิสงส์เช่นเดียวกับ พคจ. ฐานกำลังของ พคท.จึงเป็นแค่นักศึกษาปัญญาชนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับทฤษฎี ดีอยู่แล้ว ผสมกับชนกลุ่มน้อยในแต่ละพื้นที่ที่ พคท.เคลื่อนไหว มากกว่าที่จะเป็นประชาชนทั่วไปจริงๆ อีกประการหนึ่งคือ การปราบและวิธีลงโทษกบฎของจีนสมัยนั้น หากใครเป็นกบฎ ไม่ใช่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะต้องถูกลงโทษอย่างสาหัสที่สุดเท่าที่มนุษย์ด้วยกันจะพึงคิดขึ้นได้ แต่หมายรวมถึงใครก็ตามที่ใช้ "แซ่" เดียวกันกับกบฎ จะต้องถูกประหารตามไปด้วย ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ก็ตาม วิธีนี้คล้ายๆ กับไทย ที่เรียกว่า 7 ชั่วโคตร แต่ของเรานับแค่ 7 ชั้น คือ พ่อ แม่ ปู่ย่า ลูก หลาน เหลน แล้วก็โหลน แต่ด้วยวิธีการไล่ล่าคนแซ่เดียวกันทั้งตะกูล ทำให้การก่อกบฎไต้ผิง มีความรุนแรงมาก เพราะหากแพ้ก็ตายยกตระกูล หรือคนที่ใช้แซ่เดียวกันกับผู้ก่อการ เมื่อพ่ายแพ้ก็ต้องหาทางหลบหนีกันให้ไกลสุดกู่ คนจีนจำนวนมากในช่วงนั้นจึงเดินทางออกนอกประเทศไปอาศัยอยู่ในหลายๆ ประเทศในแถบนี้ ไม่ว่าไทย มลายู สิงค์โปร์ อินโดฯ หรือแม้แต่จะไกลโพ้นถึงสหรัฐฯ เพื่อไปเป็นคนงานทำทางรถไฟข้ามประเทศ (ผู้ถือหุ้นยุคแรก ๆ ของบริษัทที่ทำทางรถไฟ มีแรงงานชาวจีนเหล่านี้ด้วย เพราะบางทีก็โกงคนงานด้วยการจ่ายเป็นใบหุ้นแทน สมัยอาม้า อาเจ๊ก ก็แค้นใจอยู่ ที่ทำงานหลังแทบหัก แต่ได้แค่เศษกระดาษใบเดียว แต่รุ่นลูกรุ่นหลาน พวกอาตี๋อินเตอร์กลับยิ้มแป้น เพราะได้ถือหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ซะงั้น ว่ากันว่าบริษัทอย่างวอลท์ ดิสนีย์ ก็มีการถือหุ้นแบบนี้เหมือนกัน) กลายเป็นพวก หัวเฉียว หรือ จีนโพ้นทะเลไป และคนจีนโพ้นทะเลเหล่านี้แหละที่กลายมาเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนเงินทอง รวมทั้งลูกหลานให้กับการปฎิวัติของ ดร.ซุน ยัด เซ็น เพราะตัวเองเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดต่อการปกครองของราชวงศ์ชิง จากคุณ : ตี๋ใหญ่ (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 12:18:29 ]

ความคิดเห็นที่ 103 การปฎิวัติของ ดร.ซุน ยัด เซ็น ก็ไม่สมประกอบ เหมือนกับการกบฎ 2 ครั้งหลังนี่เหมือนกัน คือ มีอุดมการณ์และเข็มมุ่งที่ชัดเจนว่าจะล้มราชวงศ์ชิง และสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะวิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปหมด จีนไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลมานานหนักหนาแล้ว ตื่นเสียที แต่ดร.ซุน ยัด เซ็น และก๊กมินตั๋ง ก็ขาดสิ่งที่กบฎไต้เผงมี นั่นคือ กองทัพของตนเอง การที่ก๊ก มิน ตั๋ง ต้องอาศัยจมูกขุนศึกหายใจ ทำให้การปฎิวัติทำท่าจะพังตั้งแต่ยกแรก เมื่อล้มราชวงศ์ชิงได้ หยวน ซือ ไข ขุนศึกแห่งภาคเหนือผู้เกรียงไกร ก็นึกอยากจะเป็นฮ่องเต้เสียแทน ถึงขั้นเดินทางไปทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเพื่อสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ ก็น่าเห็นใจแกอยู่หรอก เพราะแกเกิดและโตมาในสมัยฮ่องเต้ ที่เราก็รู้กันดีว่า ฮ่องเต้ของจีนนั้น มันสุดๆ ขนาดไหน ทั้งสุรา นารี ทั้งอำนาจ ผลประโยชน์ เรียกว่าเป็นเทวดากันตั้งแต่ยังไม่ตายเลยทีเดียว ก็ไม่ผิดที่หยวน ซือ ไข อยากเป็นฮ่องเต้บ้างสักครั้งในชีวิต การขาดกองทหารของตัวเองของก๊ก มิน ตั๋ง ถูกแก้ไขโดยเจียง ไค เช๊ก ที่เสนอให้ตั้งโรงเรียนนายร้อยหวังผู่ขึ้น เพื่อผลิตนายทหารที่ได้คุณภาพตามแบบตะวันตก และกลายมาเป็นกำลังหลักของรัฐบาลเจียงในการต่อสู้กับประธานเหมาในเวลาต่อมา ในขณะเดียวกัน ถ้าเอารูปแบบเหล่านี้มาเปรียบเทียบ เราจะเห็นได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนนั้น ได้อุดช่องโหว่ ช่องว่างเหล่านี้โดยครบถ้วน เพราะนอกจากจะมีพรรค ซึ่งหมายถึงการมีผู้นำหลายคน พร้อมสับเปลี่ยนกันได้ โดยเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว อุดมการณ์ทางการเมืองยังชัดเจน ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง ควรจะต่อสู้กับใครก่อน ระหว่างการรุกรานของต่างชาติหรืออำนาจรัฐภายใน (เช่น กรณีจับมือกับก๊กมินตั๋งต่อต้านญี่ปุ่น) รวมทั้งการมีกองทัพเป็นของตัวเอง และถูกควบคุมทิศทางโดยการชี้นำทางการเมืองมาโดยตลอด ผสานกับประสบการณ์ของคนจีนในชนบทที่คุ้นเคยกับการลุกขึ้นสู้เพื่อต่อต้านอำนาจรัฐในยามที่ตัวเองลำบากอย่างสาหัสสุดๆ ประกอบกับปัจจัยภายนอกที่ได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตและสถานการณ์สงครามปลดแอกที่ต่อเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคคอมมิวนิสต์จึงเป็นฝ่ายมีชัยในการปฎิวัติได้ในที่สุด จากคุณ : ตี๋ อินเตอร์ (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 12:30:09 ]

ความคิดเห็นที่ 104 คุณหมอ ฮา ฮา ยี ถ้าว่างขอรบกวนลิงค์เวบรวมกระทู้ให้อีกทีเถอะครับ จะฝากไปให้กับคุณปุ๊ ณ อาคารสารสิน ที่เข้ามาอ่านแต่ไม่ยอมเขียนอีกคนนึง แล้วขออวยพรว่าอย่าได้เกิดเหตุต้องไปพักห้องเดียวกับคุณแหม่มฝรั่งอีกเลยแล้วกัน เดี๋ยวจะช๊อกตาตั้งไปเสียก่อน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 พ.ค. 49 15:53:08 ]

ความคิดเห็นที่ 105 หมายถึงลิงค์นี้เหรอครับ http://www.oocities.org/drsak/ อย่าลืมบอกเขาล่ะว่าเปลี่ยนรูปสามครั้งแล้ว... ;-) จากคุณ : ha ha yee - [ 25 พ.ค. 49 13:16:37 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ลงชื่อครับ ช่วงนี้ไม่สบายครับ ไว้หายแล้วจะมาแจมครับ จากคุณ : ryzon - [ 25 พ.ค. 49 13:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 107 คุณปุ๊ เวบไซต์ของคุณหมอ ฮา ฮา ยี เขาเปลี่ยนรูปถึง 3 ครั้งแล้วนะครับ หมายถึง 3 ปีมาเนี่ย คุณหมอแกขยันเปลี่ยนรูปถึง 3 ครั้งทีเดียว รับรองว่าผู้ที่ไปเปิดดูจะพบกับความแปลกใหม่ ตื่นเต้น ระทึกขวัญ ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน และไม่ตกเทรนด์แน่นอน เพราะแกเปลี่ยนรูปถึง 3 ครั้งต่อ 3 ปี ครับ โอเคไหมพี่หมอ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 25 พ.ค. 49 15:34:30 ]

ความคิดเห็นที่ 108 แหม อุตส่าห์ซ้อมค้าง ไม่ยอมหลงกลเราบ้างเล้ยอาจารย์นี่ อ่า... 3 รูปสำหรับผู้ชมทางบ้านอย่างข้าพเจ้า ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหมอค่ะ ขอบคุณคนเขียนให้อ่านด้วยค่ะ (ทุกคนเลย) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 25 พ.ค. 49 22:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 109 กระทู้จะตกขอบแล้ว..ขึ้นใหม่นะคะ ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ K4402438 จากคุณ : WIWANDA - [ 26 พ.ค. 49 03:06:34 ]