ความคิดเห็นที่ 1 อิอิอิ รถถัง โรดโชว์ เข้าตามสูตรเด๊ะเลย เหมือนลุงสื่อมาบรรยายแล้วก็มีของจริงให้ดู สงสัยสูตรนี้จะใช้ได้อีกนาน คราวนี้นัดแล้วมากันครบเลย แทบจะไม่เหลือรถถังประจำชายแดนแล้วมั้งครับ ว่าจะแปะที่ สศษ ให้สัมภาษณ์ CNN แต่แหะแหะ เสี่ยงเป็นอย่างยิ่งต่อสถานะภาพชาวกบฎ จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง - [ 21 ก.ย. 49 03:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แถมให้พี่วิ คนข้างหลังนักข่าว ซีเอ็นเอ็น ตอนถ่ายรูป มีนักดนตรีวนิพกเปิดหมวกเล่นเพลง ดอกไม้ให้คุณด้วย มีคนเอาขนม ดอกไม้ให้ทหารเต็มไปหมด -*- จนพี่ทหารบอกให้ทานเองเลยน้อง พี่ไม่มีที่เก็บแล้ว จากคุณ : มีดบินกรีดฟ้า - [ 21 ก.ย. 49 04:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เอารูปมาลงให้ครับ ท่าเต้น สมัยปฏิวัติ พิลึกดีฮะ จากคุณ : Natt_ac121 - [ 21 ก.ย. 49 05:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หลิว โดนเล่มแดงตบหน้า (ไม่รู้ว่าเป็นภาพจริง หรือ จากหนังครับ) จากคุณ : Natt_ac121 - [ 21 ก.ย. 49 05:46:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สองรูปหลังนี่น่าจะมาจาก The last emperor นะครับ จากคุณ : Zhivago - [ 21 ก.ย. 49 08:10:22 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ดูแล้วไม่น่าจะใช่ฉากในหนังนะครับ ลองสังเกตคนกลางในหมู่ดูสิครับ เธออ้วนตุ๊บเลย ในหนังนั่นมีแต่เด็กสาวๆ ท่าทางสะโอดสะองทั้งนั้นเลย ส่วนรูปหลังก็น่าจะไม่ใช่ในหนังเหมือนกันนะ ลองช่วยๆ กันดูหน่อยแล้วกัน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ย. 49 10:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ได้มาจาก The Last Emperor แน่นอนครับ ดูไปหลายรอบ ไม่เห็นมีฉากนี่เลย จากคุณ : Nut - [ 21 ก.ย. 49 10:49:49 A:58.9.82.168 X: TicketID:127046 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 2 วันก่อนก็มีเรื่องตื่นเต้นกันไปนะครับ แต่ละท่านก็ติดตามข่าวกันตามอัธยาศัยแล้วกัน ส่วนในกระทู้นี้ ก็งดพูดเรื่องปัจจุบันไว้ก่อน เกรงใจพันธ์ทิพย์เขา เดี๋ยวจะไม่มีเวทีให้พวกเราได้ใช้กัน ถ้าคับข้องหมองใจใคร่รู้ยังไง ก็ใช้บริการหลังไมค์เอาก็แล้วกัน เอ๊ะ จะผิดกฎไหมเนี่ย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ย. 49 11:20:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กลับมาเรื่องของการปฎิวัติวัฒนธรรมนะครับ หลังจากที่มีการปิดหนังสือพิมพ์กำแพง เล่นงานอธิการบดีของตัวเองแล้ว ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นทั่วไปทั้งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และสถาบันการศึกษาต่างๆ มีการนัดชุมนุม จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ และ เปิดไฮด์ปาร์คกันเต็มไปหมด โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์กำแพง ที่เขียนกันเกลื่อน ในฐานะศูนย์กลางการนำ หลิว และเติ้ง ได้จัดตั้งหน่วยปฎิบัติการพิเศษขึ้น เพื่อเข้าไปรักษาความสงบในมหาวิทยาลัยและสถานศึกษา (ผมยังขาดข้อมูลในส่วนนี้ครับว่า ทำไมต้องเป็นหลิว และเติ้ง เป็นผู้ดูแลเรื่องความสงบตรงนั้น เพราะ รมต.ก็ยังมีอยู่ รวมทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้หน่วย นปพ. ทำไมไม่ใช้ทหารหรือตำรวจปกติ ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมช่วยบอกกันมั๊งนะครับ) การส่ง นปพ.เข้าไปจัดการควบคุมความสงบใน ม.ปักกิ่ง และสถาบันการศึกษานี้ แม้ว่าจะควขคุมได้ระดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วกลับกลายเป็นกับดักของ 2 ผู้เฒ่าไปอย่างจัง โดยเฉพาะหลิวเซ่าฉี จากคุณ : หลิวเซ่าฉี (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ย. 49 12:23:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องการส่งหน่วย นปพ.เข้าไปควบคุมสถานการณ์นี้ กลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงหลิวเซ่าฉีเข้าอย่างจัง เมื่อท่านผู้นำเหมาได้กล่าวตำหนิว่า ทำไมจึงทำร้ายประชาชนเช่นนั้น ที่สำคัญ เหมา ยังให้เครดิต ยกย่้องการกระทำของพวกเรดการ์ด ประมาณว่า นี่คือการกบฎ แต่การกบฎ เป็นสิ่งที่ชอบธรรม และควรทำ หลังจากถูกตำหนิแล้ว เหมาสั่งให้ถอน นปพ.กลับให้หมด ทำให้เรดการ์ดได้ใจและขยายออกไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น เหมาก็เรียกประชุมคณะกรรมการกลางของพรรคขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการใหม่ ดังนี้ 1. หลินเปียว คนที่ขึ้นมาแทนเผิงเต๊อะไหว ในตำแหน่ง รมว.กลาโหม กระโดดข้ามหัวผู้อาวุโสทุกคน ขึ้นมาดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคคนที่ 1 แทนหลิวเซ่าฉี 2. คังเซิง เพื่อนซี้ของเจียงชิง และเฉินป๊อต้า ผู้ดำเนินการเรื่องเรดการ์ด ได้เข้ามานั่งในคณะกรรมการกรมการเมือง ซึ่งมีอำนาจมาก และหลังปิดการประชุมเพื่อเปลี่ยนแปลงตำแหน่งคณะกรรมการพรรคครั้งนี้แล้ว เหมาก็ได้ จัดชุมนุมใหญ่เรดการ์ดที่ลานเทียนอันเหมิน ในวันนั้น เหมาแต่งชุดทหาร และมีปลอกแขนสีแดงที่แขน ที่เป็นสัญญลักษณ์ของเรดการ์ดทั่วประเทศ ซึ่งเท่ากับประกาศว่า นับแต่นี้ไป ผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด คือ เรดการ์ด เพราะท่านผู้นำสนับสนุน และใครจะมาล่วงเกินท่านประธานไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงเป็นปฎิปักษ์กับเรดการ์ดด้วย จากคุณ : พิทักษ์แดง (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ย. 49 12:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เหยื่อรายแรกและรายใหญ่ของการปฎิวัติวัฒนธรรม คือ หลิวเซ่าฉี รองประธานพรรคคนที่ 1 ทายาทของเหมาเจ๋อตุง และเป็นนักจัดตั้งที่ร่วมสร้างพรรคคอมมิวนิสต์จีนจนยิ่งใหญ่ แต่ช่วงนี้ หลิวเป็นได้แค่ ปฎิกิริยา ผู้เดินทางแนวทางทุนนิยมหมายเลข 1 (เติ้่ง เป็นหมายเลข 2 ก็คงจริงอย่างที่พวกเรดการ์ดว่า) สิ่งที่หลิวโดนกระทำคือถูกพวกเรดการ์ดล้อมจับตัวออกมาจากที่พัก เอาลูกปิงปองมาร้อยห้อยคอประจาน และให้สารภาพความผิด พร้อมกับหวางกวงเม่ย ภรรยา หวางกวงเม่ย ภรรยาของหลิวเซ่าฉีนี้ นับว่าเป็นนักปฎิวัติที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน แม้ว่าเธอจะเป็นภรรยาคนที่ 2 ของหลิว พ่อม่ายเมียตาย และอายุห่างกันกว่า 20 ปี หวาง เป็นนักเรียนนอกที่มีความสามารถสูง ประมาณเดียวกับพี่น้องตระกูลซ่ง แต่เลือกแนวทางปฎิวัติ หวางมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ประสานกับชาวตะวันตกในช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังเร่ร่อน ทำสงครามกลางเมือง โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับคณะของนายพลมาร์แชล ช่วงการเจรจาระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับก๊กมินตั๋ง โดยมีสหรัฐฯเป็นคนกลาง หวาง คงเป็นที่หมั่นไส้ของนางเจียงชิงอย่างยิ่ง เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว เหมา คือประธาน เจียงชิง ในฐานะภรรยา น่าจะเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 หวางควรเป็นอย่างมากก็แค่ หมายเลข 2 เท่านั้น แต่ก็เหมือนกับภรรยาผู้นำคนอื่นๆ เมื่อเอาเจียงชิงไปเทียบแล้ว ทุกคนก็ดูเหมือนจะสะอาด สว่าง สดใส กันไปหมด โดยเฉพาะกับหวางกวงเม่ย ที่เคยมีคดีข้อหาหมั่นไส้กับนางเจียงชิงมาแล้ว เมื่อครั้งที่ประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนิเซียมาเยือนจีน ครั้งนั้น ภาพของเหมาและเจียงขณะต้อนรับ ปธน.ซูการ์โน ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นที่น่าปลื้มใจเจียงชิงยิ่้งนักที่ได้ปรากฎตัวในฐานะสุภาพสตรีหมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ ถ้าไม่มีภาพของหลิวเซ่าฉี และหวางกวงเม่ย อยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นก่อนเจียงถึง 5 วัน โอ้ พระเจ้าจอร์จ ทำกับเจียงยังงี้ได้ไง ดังนั้น เมื่อมีโอกาส เจียงเลยไม่มีปรานีต่อหลิวและภรรยา เพราะนอกจากจะถูกนำตัวออกมาประจานแล้ว หลิวและภรรยายังถูกปลดออกจากกรรมการพรรค และถูกขังคุกอยู่ที่เรือนจำปักกิ่งด้วย แต่นั่นหลังจากที่ถูกเรดการ์ดซ้อมซะสะบักสะบอมแล้วนะ ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือภายหลังเรดการ์ดนำตัวหลิว แยกไปขังที่เรือนจำไคฟง ขณะที่ปล่อยให้หวางติดคุกอยู่ที่ปักกิ่งต่อ หลิวติดคุกอยู่ไม่นาน ด้วยอาการของโรคเบาหวานและการถูกทรมาน นักจัดตั้งแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้ไม่เคยนำทัพออกศึก แต่มีความสำคัญต่อพรรค ขนาดได้เป็นทายาทอันดับ 1 ต่อจากเหมาเจ๋อตุง ก็สิ้นชีวิตคาเรือนจำในสภาพที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ เหลืออยู่ในพรรคเลย ไม่เว้นแม้แต่ใบมรณกรรมที่ระบุชื่อปลอม รวมทั้งชื่อของลูกชายที่ลงไว้ในฐานะผู้มารับศพก็เป็นชื่อที่ไม่ถูกต้อง เพราะจริงๆ แล้ว ลูกชายของหลิวคนโต หลิวหลงปิน ถูกคุมขังและฆ่าตายที่เรือนจำในมองโกเลียใน หลิวหลงรั่ว ติดคุกอยู่ 11 ปี และถูกซ้อมอย่างหนักจนร่างกายอ่อนแอ ติดวัณโรคจากนคุกและถูกปล่อยให้ออกมาตายข้างนอกใน 3 เดือนต่อมา หลิวอ้ายชิง บุตรสาว ถูกเนรเทศไปทำงานอยู่มองโกเลียใน ซึ่งเป็นดินแดนที่แสนทุรกันดาร ส่วนหวาง ภรรยาของหลิว ถูกขังลืมอยู่ในคุกที่ปักกิ่ง ข้อหาเป็นที่น่าหมั่นไส้ของเจียงชิง (หลังจากพยายามหาคนและหลักฐานจำนวนมากมาปรักปรำเธอว่าเป็นสายลับของสหรัฐฯ หรือโซเวียตอะไรก็ได้สักประเทศนึง แต่หาไม่เจอ ซึ่งคนที่ไม่ยอมปรักปรำเธอก็โดนทำร้ายกันสาหัสสากรรจ์ไปหมด ไม่เว้นแม้แต่พ่อครัวประจำบ้าน) ที่ร้ายแรงที่วุดคือ เจียงชิง เคยเอาชื่อของหวางกวงเม่ยใส่เข้าไปในบัญชีนักโทษประหาร เสนอให้กับเหมาเจ๋อตุงพิจารณา แต่เหมาขีดออกในนาทีสุดท้าย เธอจึงถูกปล่อยตัวออกมาเป็นๆ ได้หลังสิ้นสุดการปฎิวัติวัฒนธรรม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า 10 ปีผ่านไปแล้ว จากคุณ : หวาง (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ย. 49 17:29:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนรายที่ 2 หรือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ผู้เดินตามเส้นทางทุนนิยมหมายเลข 2 ก็คือ เติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งในเวลานั้นเป็นเลขาธิการใหญ่ พรรคคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งใหม่ มีขึ้นหลังจากเหมาถูกกกดดันให้เปลี่ยนระบบการบริหารพรรคจากรวมศูนย์อำนาจไปที่เหมาเพียงคนเดียว เป็นการกระจายอำนาจออกมายังคนอื่นให้มากขึ้น ตอนนั้น นอกจากคณะกรรมการกรมการเมือง ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดแล้ว ก็เลยตั้งตำแหน่งเลขาธิการพรรคใหญ่ขึ้นมาอีกตำแหน่งหนึ่ง ที่ต้องมีใหญ่ด้วยเพราะว่า ตำแหน่งเลขาธิการพรรคนี้มีหลายระดับ ตั้งแต่หมู่บ้าน อำเภอ มณฑล จนกระทั่งถึงตำแหน่งของเติ้งที่ใหญ่ที่สุด และสำคัญมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่มีหน้าที่นำนโยบายไปปฎิบัติ ชะตากรรมของเติ้ง อาจจะดีกว่าหลิวอยู่สักหน่อย ตรงที่เหมาเคยเอ่ยปากกับกลุ่มแก๊งค์ 4 คน และคณะกรรมการพรรคว่า "ต้องแยกเติ้งออกจากหลิว" นั่นหมายถึงว่า การพิจารณาคดีของเติ้ง ให้เป็นเรื่องของเติ้ง ไม่ต้องไปผูกพันกับหลิว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เติ้งคงต้องถึงตาย แต่ขนาดนั้นแล้ว เติ้งก็โดนถอดหมดทุกตำแหน่งในพรรค เหลือไว้เพียงสถานภาพสมาชิกพรรค ที่เหมากรีดเอาว่า ให้เติ้งเก็บไว้อวดลูกหลาน (จริงๆ แล้ว เหมาเก็บเติ้งไว้เป็นกระสุนสำรอง) จากนั้นก็ส่งเหมาไปทำงานในชนบททางใต้ เป็นโรงงานซ่อมแทรกเตอร์โทรมๆ โรงงานหนึ่ง เติ้งมีหน้าที่ขัดถูตะไบชิ้นงานเล็กๆ น้อยๆ ความโทรมกระจอกงอกง่อยของโรงงานแห่งนี้ ยืนยันได้จากบันทึกของลูกสาวเติ้งว่า เมื่อตอนที่ลูกชายผู้พิการของเติ้งถูกส่งไปอยู่ด้วยกันแล้ว เติ้งเห็นว่าลูกชายพิการ ต้องนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ เกรงว่าจะยิ่งคิดมาก เพราะลูกชายเติ้งเป็นผู้มีความสามารถในด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะเรียนปริญญาสาขาฟิสิกส์ คณะเดียวกับแม่ของเขาที่ ม.ปักกิ่ง ก่อนจะถูกเรดการ์ดซ้อมจนสาหัส เติ้ง ได้เอ่ยปากถามผู้จัดการโรงงานว่า พอจะมีงานเกี่ยวกับการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกชายที่นอนเป็นอัมพาตทำแก้เหงาบ้างไหม เช่นวิทยุของผู้จัดการเองก็ได้ ถ้าเสียอยู่ก็เอามาให้ลูกชายซ่อมได้ ผู้จัดการอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ปฎิเสธว่า ไม่มีหรอก และเพื่อไม่ให้ผู้เฒ่าเติ้ง ที่ตอนนั้น 60 แล้ว เสียความรู้สึก ผู้จัดการโรงงานก็บอกว่า ลำพังเงินเดือนของตนนั้น มันไม่พอที่จะไปซื้อหาวิทยุมาฟังหรอกครับ แล้วจะไปเอาวิทยุพังๆ ที่ไหนไปให้ลูกชายท่านซ่อมแก้เหงากันเล่า จากคุณ : เติ้ง (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ย. 49 17:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 รีบเร่งทำงานให้เสร็จเร็วๆค่ะ จะได้ออกไปส่งกำลังใจให้น้องๆตาหาน ที่ยกกองร้อยเข้ามาถึงหน้าบ้าน แถวกองทัพอากาศนี่เองค่ะ ยืนกันให้เขียวพรืดไปหมด มีทั้งรุ่นลุง รุ่นหลาน บ้างยืน บางนั่ง บ้างเอนคุยโทรศัพท์กะหวานใจแหง๋ๆ ยิ้มละมัยอย่างงั้นหน่ะ! ปฏิวัติสมัยนี้ เป็นเรื่องน่ารักไปเสียแล้วสำหรับสังคมไทย เพราะมองยังไงก็น่ารักค่ะ ทหารไม่ต้องยืนเกร็ง เก็กหน้าเหมือนเมื่อก่อนสักนิด อาจานสื่อเล่าซะน่ากลัว ออกไปกิ๊บก๊าบแบบนี้ จะมีใครมาค่อนขอดว่าแก่แล้วไม่เจียมบอดี้บ้างไหมนี่ย แต่ก็อย่าถือสาเลยนะคะ เพราะนานๆเห็นแบบนี้ที ก็ขอไปส่งยิ้มให้น้องเขาหน่อยละกัน ทหารสมัยนี้ เป็นมิตรกับประชาชน จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้วค่ะ เพราะพวกเขาก็คือลูกหลานเราเองทั้งนั้น กลมกลืนกันแบบนี้ เข้าข่าย นักรบคือปลา ประชาคือน้ำ ได้หรื่อเปล่าคะ อาจานสื่อ? จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 21 ก.ย. 49 19:29:49 ]

ความคิดเห็นที่ 14 น้อง Natt และ อาจารย์สื่อ คะ ฮว่ากว๋อเฟิง (นายกรมต. คนต่อจากเติ้ง) แบบนี้ออกเสียงจีนกลางหรือเปล่าคะ? และภาษาอังกฤษเขียนยังไง และอยากทราบอีกว่า ทฤษฎี "สองบรรดา" ของเขาน่ะค่ะ ในภาษาอังเกฤษใช้คำว่าอะไรคะ? จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 21 ก.ย. 49 21:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สงสัยว่า ทำไมลูกผู้นำพรรค ไม่มีอภิสิทธิ์อะไรเลยเหรอคะ? (ถึงจะเป็นหมู่คอมมิวนิสต์ก็เถอะ) ทำไมถูกกระทืบปางตายเอาได้คะ? จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 21 ก.ย. 49 21:47:09 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านเงียบๆ มานาน ระหว่างมือแปะรูปตัวจริงลาพัก ขออนุญาตมาขัดตาทัพคับ ภาพ หวางกวงเหม่ย ครับ ภาพขวาเป็นภาพเมื่อปี 2004 ขณะให้สัมภาษณ์นักข่าว ของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนครับ รูปนำมาจากในลิงค์นี้ครับ (มีบทสัมภาษณ์ภาษาจีนด้วย) http://www.cctv.com/history/20041008/100708.shtml จากคุณ : DogRobo - [ 21 ก.ย. 49 22:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ภาพข้างบนนี่ ปลงอนิจจังได้ดีนักแลนะครับ สาว ตาย แก่ เหลือแต่เกิด กับ เจ็บครับ... ฮู่ๆ จากคุณ : ลูกแม่ลอยพ่อน้อย - [ 21 ก.ย. 49 23:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 18 "2 บรรดา" นี่คืออะไรครับ ส่วนรื่องทหารแบบ นักรบคือปลา ประชาคือน้ำ นี่ สมัยนี้ถ้าทำไม่ได้ ก็แย่แล้วละครับ ยิ่งสมัยนี้เป็นสงครามก่อการร้าย จะหาศัตรูประเภทยกทัพฝุ่นตลบมาแต่ไกลยังสมัยบางระจันคงไม่มีแล้ว จะมีก็แต่คนที่ยืนข้างๆ เราที่ดูเฉิ่มๆ และไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมอะไรนี่แหละ ที่ไม่ปาดคอก็วางระเบิด หรือยิงหัวเราได้ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 ก.ย. 49 11:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาแว้บนึง.. "สองบรรดา" เป็นคำที่เติ้งเรียกความคิดของ ฮว่ากว๋อเฟิง เป็นแนวคิดของฮว่ากว๋อเฟิง ว่าจะไม่ละทิ้งความคิดของเหมาหลังจากที่เหมาตายไปแล้ว "บรรดาข้อกำหนดทั้งหลายของประธานเหมาเจ๋อตง เราจะต้องสนับสนุนอย่างเด็ดเดี่ยว และ บรรดาคำชี้แนะทั้งหลายของประธานเหมาเจ๋อตง เราจะต้องปฏิบัติตามอย่างเสมอต้นเสมอปลาย" (เล่มนั้นน่ะจ้ะ หน้า 166) อยากรู้ว่า ฝรั่งเขาเอาไปแปลว่าอะไร จะได้ไปหาอ่านอีก ไปธุระก่อนเดี๋ยวเย็นๆ มาดูใหม่ค่ะ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 22 ก.ย. 49 14:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แว้บมาใหม่ ยุ่งหน่อยเพราะโรคมือเท้าปากกำลังระบาดอยู่ตอนนี้ค่ะ มีเด็กตายไปแล้วด้วย ลูกเป็นหวัดก็ไม่กล้าพาไปหาหมอที่โรงบาล กลัวติด เลยตามๆเพื่อนที่เป็นหมอ รอไปหาไปดูอาการกันข้างนอก ข้างบนนี้ถ้าถามข้ามตอนไปก็ขออภัยด้วยนะคะ ไม่ตอบก็ได้ถ้ายังเล่าไม่ถึง เรื่องปาดคออะไรนั่น ..อาจารย์สื่อดูหนังมากไปหรือเปล่า? ประเภท perfect murder หรือ deceive อะไรเทือกนั้นน่ะ อิ๊อิ๊ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 22 ก.ย. 49 15:13:32 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตาม link ของคุณ DogRobo ไป มึนกับภาษาจีนอยู่พักนึงแล้วค่ะ แต่ก็จนด้วยเกล้า เพราะอ่านไม่ออกค่ะ อ่านได้อยู่สามคำ หว่อ อ้าย หนี่ แต่มันไม่อยู่ติดกันนี่สิค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร น้อง Natt ก็เก็บตัวอยู่ในถ้ำเสียแล้ว เห็นบอกว่า ช่วงนี้ เล่าซือเร่งรัดการบ้านเหลือเกิน ก็เลยต้องงงต่อไป กวงเหม่ย ปัจจุบันนี้ ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าคะ เห็นบอกว่า ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ สองปีที่ผ่านมานี้เอง และจากรูปที่แปะไว้ให้ ดูเหมือนว่า จะมีการมอบอะไรให้กันนะคะ ใคร มอบอะไรให้เธอเหรอคะ ความจริงแล้ว อุดมการณ์ของสหายคอมมิวนิสต์ เป็นสิ่งที่ซื้อหาด้วยสิ่งใดไม่ได้ นอกจาก ใจ แลกด้วย ใจ เท่านั้น แต่สหายเหมา ในยามที่มัวเมากับความกระหายอยากของอิสตรีนั้น ช่างพลิกฟ้าให้เป็นเหวได้จริงๆ บทสรุปของความเป็นนมุษย์ ก็มีถึงข้อคำถามที่ว่า อันว่าบรุษที่เก่งกล้าสามารถ มักจะสยบแก่อิสตรีเสมอไปหรือไม่ ถ้าเราชี้ดำ แล้วบอกเป็นขาว เขาก็คงจะว่าขาว นั่นแสดงให้เห็นว่า ผู้ชาย (บางครั้ง) ก็ไม่อยากให้สมองทำงาน หรือสมอง ไม่ยอมทำงานไปเลยก็เป็นได้นะคะ ตรงนี้เป็นเรื่องน่ากลัวมากค่ะ ถ้าเขามัวเมาอยู่กับความ ฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยานของจ๊อกกี้ที่กุมบังเหียนอยู่ ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ จ๊อกกี้ นี้ก็แปลกนะคะ มักจะอยากลอง คอนโทรล ม้าพยศ เสียด้วยสิ ข้างกายพระเจ้า อเล็กซานเดอร์มหาราช มักมี ''เลปทีน" นางผู้เป็นดวงใจ ติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ แม่ยอดชีวิตของอเล็กซานเดอร์ จะตามไปเช็ดเลือด ตามไปทำแผล ดูแลผัวที่ป่วยใข้ในสนามรบ และเหนือสิ่งอื่นใด เลปทีน ยังต้องแบ่งใจให้รักทหารเสือของอเล็กซานเดอร์เท่าเทียมกันทุกคน เธอจะรู้ว่า ทหารเอกคนไหน มีนิสัยส่วนตัวอย่างไร และชอบ หรือ ไม่ชอบอะไร และเธอจะบรรจงปรุงแต่งอาหาร และประดิดประดอยอาหารที่แต่ละคนชอบ ให้ดีที่สุด เท่าที่จะหาได้ในท้องถิ่นนั้นๆ ไม่ต้องแปลกใจว่า อเล็กซานเดอร์ จะหลงไหล คลั่งไคล้นางขนาดไหน ทุกครั้งที่ตีเมืองใดได้สำเร็จ อเล็กซานเดอร์เป็นต้องเหนื่อยทุกที เพราะมักจะมีพวก "นกรู้" หาของกำนัลดิ้นได้ ใส่พานมาถวานถึงที่บรรทมทุกทีไป แต่แม่แสนงอน ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรอกค่ะ แต่คอยพูดเหน็บพ่อยอดขมองอิ่มเล็กๆพอน่ารัก ประมาณว่า "สิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มคลุมบรรทมของทูลกระหม่อมแก้ว เขาไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะเพคะ ทูลกระหม่อมจะว่าอย่างไร" อเล็กซานเดอร์ ก็ต้องอึ้งเป็นธรรมดาสิคะ จำใจบอกให้เหล่าชะนีดิ้นได้เหล่า กลับไปก่อน (แต่อาจจะกระซิบบอกกันภายหลังว่า "อย่าประเจิดประเจ้อนักสิวะ! ใช่ไหมคะอาจานสื่อ?) ที่ร่ายยาวมา ก็เพียงแต่จะบอกว่า มารยาหญิง ร้อยเล่มเกวียนยังน้อยไปค่ะ พลังของเธอ พลิกปฐพีได้ทีเดียวเชียว ใครไม่เคยเจอ คงไม่รู้ อ่านชะตากรรมของกวางเหม่ย ก็ได้แต่รันทดค่ะ อยากจะถามว่า เธอมีความผิดอะไรหนักหนาหรือ คะ หรือเธอผิด ที่เกิดมาเป็นภรรยาของหลิว เซ่า ชี??? จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 22 ก.ย. 49 20:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ยังอ่านอยู่ครับอาจารย์สื่อฯ จากคุณ : Uncle Tee - [ 23 ก.ย. 49 08:13:51 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แวะมาทักครับ กำลังหัวฟูได้ที่ อาทิตย์หน้าคงได้กลับมาติดตามกระทู้อีกครับ จากคุณ : ha ha yee - [ 23 ก.ย. 49 08:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อาจารย์สื่อป่วยค่ะ ทีแรกว่าเป็นหวัด แต่ดูๆ ฟังๆ แล้ว ข้าพเจ้าว่าเป็นโรค ไอร้อยวัน (ชื่อโรคนี้ ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ตั้งกันเองตามอาการ) คือไข้ เจ็บคอ อะไรๆก็หายแล้ว มีแต่ไอลูกเดียว ......จบรายงานข่าว (จาน..ไอก็ไอไป นิ้วยังจิ้มได้นะโอเค้ คิกๆๆ) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 23 ก.ย. 49 22:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ระวังจะไอออกสียง คุก คุก นะ...จารย์.. เมื่อคืนดูหนังเรื่อง หนูหิ่น เดอะ มูฟวี่ส์ สนุกมาก น่ารักดี เด็กคนนั้นคือใครกัน เล่นเก่งมาก มีความสามารถ เกินพิกัด น้องนกช่วยตอบที... จากคุณ : WIWANDA - [ 24 ก.ย. 49 08:18:05 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เลปทีนนี่มันคนไหนในประวัติศาสตร์อะครับ ดูหนังเรื่องอเล็กซานเดอร์ที่เขาตีความว่าอเล็กซานเดอร์ เป็นเกย์นั่น เห็นว่ามีเมียคนเดียว และค่อนข้างเป็นชะนีถึกๆ ไม่มีลักษณะของผู้หญิงที่น่ารักเลย (ตามประสาหนังที่เกย์ ทำน่ะนะ) จากคุณ : เชษฐา - [ 24 ก.ย. 49 15:11:33 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อ้าวพี่ ดูหนุหิ่นแล้วหรือ เธอเป็นคนเขียนบทละครตลกแบบซิทคอม "ก่อนบ่ายคลายเครียด" ที่เอาตลกมาเล่นสนุกสนาน ของพี่เป็ด เชิญยิ้มเขา ตอนที่เขาจะสร้างหนังเรื่องนี้ เขาแคสติ้ง มีคนบอกให้มาสมัครด้วย เพราะบุคลิกเหมือนมาก สุดท้ายก็ได้รับเลือกเล่น ซึ่งเหมือนในการ์ตูนจริงๆ ช่วงนี้หนูหิ่น ก็พอดูได้ครับ แต่อย่าพลาดไปดู ม.8 นะครับ เดี๋ยวจะเบื่อหนังไทยอีกรอบ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 ก.ย. 49 18:00:05 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ส่วน 2 บรรดา พอฟังว่าอยู่เหตุการณ์ไหน ก็ถึงบางอ้อ ภาษาอังกฤษว่าไง ยังไม่ได้ค้นเหมือนกัน แต่คำนี้เป็นช่วงที่เหมาตายแล้ว แล้วตั้งหัวโก๊ะฝงขึ้นแทน คือว่า ตอนที่เหมายังอยู่ เขาตั้งทายาทไว้อยู่ 4 คน คือ 1.หลิวเซ่าฉี คนนี้เป็นฝ่ายจัดตั้งของพรรค อาวุโส เสมอกัน เพราะร่วมกันสร้างพรรคและทำสงครามกันมาแต่ต้น สุดท้ายก็กลายเป็นเหยื่อปฎิวัติวัฒนธรรม เพราะเหมาและเจียงต้องการกำจัดทายาทที่ชอบธรรมที่สุดให้พ้นทาง 2.หลินเปียว คนนี้เป็นแม่ทัพกองทัพสนามที่ 3 ที่บุกเข้ายึดปักกิ่ง เป็น 1 ใน 10 นายพลของจีนใหม่ มาแทนเผิงเต๊อะไหวในตำแหน่ง รมว.กลาโหม หลังเผิงถูกปลด เหมา ให้อำนาจมาก แต่สุดท้ายก็ไปเครื่องบินตกตายแบบปริศนาแถวมองโกเลีย พร้อมข่าวปล่อยว่าเขาพยายามปฎิวัติแต่ไม่สำเร็จ 3.หวางหงเหวิน คนนี้เป็น 1 ในแก๊งค์ 4 คน ที่อายุน้อยที่สุด แต่ได้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นคณะกรรมการกรมการเมือง ถึงขนาดได้นั่งคู่กับเหมา และโจวเอินไหล ตอนประชุมพรรค และเขาหวังว่าจะได้เป็นทายาทสืบแทนเหมา แต่สุดท้ายโดนรวบพร้อมอีก 3 แก๊งค์ โดยอุบายนัดมาประชุม 4.หัวโก๊ะฝง คนนี้เป็นเจ้าหน้าที่พรรค ระดับท้องถิ่น เป็นเลขาธิการพรรคที่หูหนาน บ้านเกิดของเหมา เหมาไปเจอขณะตรวจเยี่ยม และชอบใจที่เขาเป็นคนซื่อๆ และไม่เอียงซ้ายขวาสุดโต่งมากนัก หัวโก๊ะฝง เอาด้วยกับเติ้งเสี่ยวผิง ในช่วงแรกที่จับแก๊งค์ 4 คน แต่เนื่องจากเขาเป็นคนแบบคนกินข้าวผัดกระเพราไก่ไข่ดาวเป็นอาหารกลางวันนั่นแหละครับ คือ "อะไรก็ได้" เพราะฉะนั้น หลังจากเหมาตาย และแก๊งค์ 4 คน ถูกกำจัด เติ้งก็เถลิงอำนาจ แต่มีหัวโก๊ะฝง ในตำแหน่งประธานาธิบดีขวางอยู่ ซึ่งเติ้งได้ใช้อิทธิพล กำจัดหัวซะ เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนโลเล ขณะที่เติ้งเดินหน้าพาจีนหนีไปจากระบบเหมาอย่างเต็มที่ ได้ดูเดอะ ก๊อดฟาเธอร์ ไหมครับ ลูกเลี้ยงที่ชื่อ ทอม ที่มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของครอบครัวมาตั้งแต่พ่อ และมาเป็นให้กับซันนี่ลูกชายคนโต แต่พอคนเล็กได้ขึ้นมาเป็น "ดอน" แทน เขาปลด "ทอม" ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาทันที โดยให้เหตุผลว่า "ไม่เหมาะกับที่จะเป็นที่ปรึกษาในยามศึก" ทอมไม่เข้าใจและไม่ค่อยยอมรับ ถึงขนาดบอกว่า ทำไมกันเขาออกนอกวง จนก๊อด ฟาเธอร์ ตัวจริง ต้องมาบอกว่า เป็นคำแนะนำของเขาเอง หัวโก๊ะฝง ก็ประมาณ "ทอม" แหละครับ คือไม่เหมาะสำหรับยามศึก จากคุณ : หัวโก๊ะฝง (สื่อศิลป) - [ 24 ก.ย. 49 18:10:29 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อุแม่เจ้า อาจารย์สื่อลงกระทู้วันอาทิตย์ มิน่าวันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนทั้งวัน อิอิ.... ........... จากคุณ : นึกมุกไม่ออกแซวอย่างเดียว (ryzon) - [ 24 ก.ย. 49 20:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรียนพี่หวาน นกตอบไม่ได้ค่ะเรื่องหนังไทย เพราะไม่ได้ดูเลย ถ้าพี่หวานว่าสนุกเดี๋ยวนกจะไปหามาดูค่ะ ขอบคุณอาจารย์สื่อนะคะที่ตอบให้ (มีอะไรตอบไม่ได้มั่ง วู้!) ฮว่ากว๋อเฟิง = หัวโก๊ะฝง อันไหนสำเนียงอะไรเนี่ย (สงสัยต้องถามน้อง Natt ..ทำการบ้านเสร็จยังจ๊ะ?) คุณแจ๋วกลับบ้านไปเกี่ยวข้าว 1 เดือนค่ะ ขี้เกียจถูบ้านจัง หนีไปตีกบก็ไม่ได้เลยด้วย จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 24 ก.ย. 49 20:13:42 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โอ้ เพิ่งไปเห็นที่คุณ Ronachai (amscmu) เขียนในกระทู้ที่แล้ว ขออภัยที่ไม่ได้ตอบ ตอนนั้นไม่เห็นค่ะ อยากจะบอกว่า ถึงจะเขียนว่าเอามาแปลเป็นวิทยาทาน ก็ไม่ทำให้พ้นความผิดค่ะ ถ้าเขาจะเอาเรื่องจริงๆ นะคะ แต่ส่วนมากเขาขี้เกียจ เพราะคิดๆ ดูแล้ว บางทีบางกรณีเขาอาจได้มากกว่าเสีย ส่วนงานราชพฤกษ์ นกต้องไปค่ะ เป็นธุระเป็นหน้าที่ที่จะต้องไป แต่ไม่อยากไปเลยเพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบเมืองเชียงใหม่เอาเสียเลยค่ะ ไปทีไรไม่เคยสนุก เหนื่อยทุกที ไปไหนทีนั่งรถนาน ร้อนก็ร้อน ชอบอย่างเดียวคือข้าวซอยค่ะ (ไม่ใส่หมี่กรอบนะ) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 24 ก.ย. 49 20:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 32 "หลิวเซ่าฉี" 24/11/1898 - 12/11/1969 ลิงค์ข้างล่างเป็นภาพอื่นๆ ของหลิวเซ่าฉีครับ มีตั้งแต่ภาพตอนหนุ่มถึงตอนเสียชีวิตเลย http://www.sx12345.com/news_page.asp?fox=714 จากคุณ : DogRobo - [ 24 ก.ย. 49 20:33:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 "หลินเปียว" 5/12/1907 - 13/9/1971 ลิงค์ภาพอื่นๆ รวมถึงภาพซากเครื่องบินด้วยครับ http://www.itcnw.com/Article/hot/cool/200510/29563.html จากคุณ : DogRobo - [ 24 ก.ย. 49 20:39:36 ]

ความคิดเห็นที่ 34 "หวังหงเหวิน" เกิดปี 1935 - 3/8/1992 ภาพอื่นๆ และประวัติบางส่วน (ภาษาจีนอีกแล้วครับ) http://dafeng.blog.hexun.com/4926247_d.html จากคุณ : DogRobo - [ 24 ก.ย. 49 20:44:15 ]

ความคิดเห็นที่ 35 "หัวกั๋วเฟิง" 16/2/1921 - ปัจจุบัน รูปและประวัติโดยย่อ (ภาษาจีนแน่ๆ ครับ) http://www.zysy9688.com/gf023/hgftz01.htm จากคุณ : DogRobo - [ 24 ก.ย. 49 20:51:14 ]

ความคิดเห็นที่ 36 "เผิงเต๋อไหวย" (Peng De Huai: 24/10/1898 - 29/11/1974) ลิงค์ข้อกล่าวหาของเผิง ซึ่งร่ายยาวเหยียดถึง 75 ข้อ http://www.kaoshi.ws/html/2005/0225/168666.html จากคุณ : DogRobo - [ 24 ก.ย. 49 21:32:37 ]

ความคิดเห็นที่ 37 รูปครับ จากคุณ : DogRobo - [ 24 ก.ย. 49 21:34:06 ]

ความคิดเห็นที่ 38 จะมีก็แต่คนที่ยืนข้างๆ เราที่ดูเฉิ่มๆ และไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมอะไรนี่แหละ ที่ไม่ปาดคอก็วางระเบิด หรือยิงหัวเราได้ รูปจากไทยรัฐครับ ขออภัยที่โผล่กลางวง จากคุณ : Dearance - [ 24 ก.ย. 49 22:32:33 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อีกซักรูปนะครับ จาก thainetclub.com ไปละครับ อิอิ จากคุณ : Dearance - [ 24 ก.ย. 49 22:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 40 บอกว่าเป็นวิทยาทานก็ยังไม่รอดหรือนี่ อ้าวไหงคุณ Tweety สี่ตา ไม่ชอบเชียงใหม่ล่ะครับ งั้นลองมาที่นี่ตอนสงกรานต์สิครับ แล้วจะไม่ชอบหนักกว่าเดิม ฮิ ตอนนี้ที่เชียงใหม่ทหารแยะจัง ตรงแยก airport-robinson นี่ เอารถฮัมเมอร์ติดปืนกลมาตั้งจังก้า แค่รู้สึกว่ามันยังทะแม่งๆ หรือเขาแค่ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนกันแน่ แบบว่าเอามาขู่ คนบางคนแถวๆนี้ แต่ดูๆแล้วสถานการณ์ก็ปกติดี จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 25 ก.ย. 49 13:11:45 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าอ่านประวัติศาสตร์ อเล็กซานเดอร์ จากเวอร์ Blue Sky แล้วละก็ จะเจอเรื่องแบบที่คุณเชษฐาว่าไว้นั่นแหละคะ คือ หนังเกย์ มักจะมุ่งโจมตีผู้หญิงเป็นสำคัญ ยิ่งสวยมาก ยิ่งโดนวิจารณ์มาก หาว่าเป็นชะนีถึกบ้างหละ บ้างว่าแข้งขายาวเก้งก้าง เยื้อย่างตะละทีนึกว่านกกระจอกเทศกำลังจะเอาหัวมุดลงรูบ้างล่ะ ความจริง หญิงสาวของอเล็กซานเดอร์ ออกจะสง่างาม ก้าวย่างแต่ละทีงี้ ยังกะพญาหงษ์ ยังมีคนวิพากษ์วิจารณ์ให้เสียหายได้นิ ครั้นจะถามว่า แล้วเลปทีน นี่คือคนไหนกัน ข้าพเจ้าก็จนด้วยเกล้าเจ้าค่ะ เพราะอ่านมาอีกทีเหมือนกัน บังเอิญเกิดไม่ทันค่ะ ก็เลยยืนยันไม่ได้ว่า หล่อนคือ "เด็ก" ของ อเล็กซานเดอร์จริงหรือเปล่า อเล็กซานเดอร์ เป็นกษัตริย์นักรบ ที่เกิดมาเพื่อลุยอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ ในระหว่าสหายศึกด้วยกัน ต่างรู้กันดีว่า พระองค์ไม่ได้รบเพื่อตัวเอง เพราะในทุกครั้งที่รบชนะ พระองค์ จะไม่เคยหยิบฉวยสมบัติสิ่งใดเป็นของตัวเองเลย สมบัติที่ริบได้ พระองค์จะแบ่งให้แก่ขุนศึกคู่ใจเท่าๆกันทุกคน แต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะไม่หยิบฉวยสิ่งใดเลยหรอกนะคะ หากพระองค์เจอสิ่งของสวยงามถูกใจ พระองค์ก็จะหยิบฉวยบ้างเหมือนกัน อย่างเช่น เมื่อคราวที่พระองค์ยึดเมืองฮาลิการ์นัสไว้ได้ พระองค์ก็เจอของถูกใจอย่างนึงล่ะ ปรารถนาอย่างแรงกล้าจะเก็บไว้เชยชมคนเดียว คราวนั้น พระองค์จึงหยิบฉวย "เลปทีน" ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวคะ ส่วน คุณนายชะนีถึกที่คุณเชษฐาพูดถึงนั้น เธอคงเป็นราชินี ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มั้งค่ะ ส่วน เลปทีน น่าจะเป็นราชินีที่นั่งอยู่ในใจของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ค่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 25 ก.ย. 49 21:50:52 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ Ronachai (amscmu) คะ ที่จริงไม่ใช่ความผิดของเมืองเชียงใหม่เลยค่ะ ที่นกไม่ชอบ คงจะคาดหวังมากเกินไปกับเมืองนี้ คิดว่ามันจะหนาว และมีกลิ่นกรุ่นของอีกอาณาจักรหนึ่งที่แตกต่างจากกรุงเทพ... ...อย่างที่เคยรู้สึกเมื่อสมัยไปเที่ยวกับคุณย่าเมื่อสามสิบปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป เราต้องทำใจรับความเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้เอง อะไรๆ ก็อยู่ที่ใจเราเนอะ มองให้ดี..ก็ดี มองให้ไม่ดี..ก็ไม่ดี ไปเที่ยวนี้จะไปมองใหม่ค่ะ ยู้ฮู อาจารย์สื่อ..วันนี้หายป่วยหรือยังคะ? มาเขียนต่อเร้ว รออ่านอยู่จ้ะ จากคุณ : Let it be (Tweety สี่ตา) - [ 26 ก.ย. 49 09:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เอ้า มาร่ายคาถาปัดรังควาน(เชื้อโรค)ให้หายเร็วๆ นะ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 26 ก.ย. 49 10:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 44 พี่นก ไอ้เจ้าไม้ขนไก่ในมือพี่ นั่น สั้นกว่ากริปพัตเตอร์ปะครับ อย่าโกรธน้า แซวเล่นครับ ลากิจยาวถึงวันที่เจ็ดฮะ จากคุณ : Natt_ac121 - [ 26 ก.ย. 49 18:09:53 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ใครก็ได้..ช่วยไปตามหรือไปดูใจคุณสื่อศิลปหน่อย.. ว่าอยู่ดีมีสุข หายป่วยหายใข้หรือยัง.. บอกด้วยว่า..พี่เป็นห่วงมาก..อภัยให้ทุกอย่าง กลับบ้านได้แล้ว !! จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ก.ย. 49 02:18:57 ]

ความคิดเห็นที่ 46 หนูโทรไปเขาไม่รับสายค่ะพี่หวาน (ฟ้องซะเลย) ชาตินี้หนูจะไม่โทรอีกแล้วค่ะ (งอนแล้วด้วย) เอ... หรือว่า ... เอ... ไม่อยากคิดเลย คือถ้าเวิร์สท์เคสซีแนริโอ้... ต้องรอสามวันค่อยไปพิสูจน์กลิ่นหน้าบ้านค่ะ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 27 ก.ย. 49 09:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ยังไม่หายดีหรอกครับ แต่พอลากสังขารมาได้ วันนี้เลยแวบเข้ามาหน่อย หัวโก๊ะฝง ไม่รู้ว่าสำเนียงอะไรเหมือนกัน แต่เป็นคำสะกดที่หนังสือพิมพ์ไทยใช้กันครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 27 ก.ย. 49 10:21:01 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ปรากฎการณ์ของการเริ่มต้นการปฎิวัติวัฒนธรรม ที่ฮือฮามากในสมัยนั้น คือ หลังจากที่เหมาเก็บตัวเงียบมานานกว่าครึ่งปี จนคนชักสงสัยว่าสุขภาพของท่านประธานจะไปรอดหรือเปล่า จู่ๆ เหมาก็แพร่ภาพที่ตัวเองลงไปว่ายในแม่น้ำแยงซีเป็นระยะทางถึง 15 ไมล์ ใช้เวลาว่ายตามกระแสน้ำนี้ถึง 1 ชั่วโมงกว่าๆ โลกตะลึงครับ ปรากฎการณ์นี้ เหมาต้องการสะท้อนให้เห็นว่าตนนั้นยังแข็งแรงพอที่จะเป็นผู้นำในการปฎิวัติได้ (จำได้ไหม ใครบางคนเคยประกาศว่า จะกระโดดแม่น้ำโขง เขาเอามุกมาจากเหมาในเหตุการณ์นี้แหละ) จากคุณ : ฉางเจียง (สื่อศิลป) - [ 27 ก.ย. 49 11:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จริงๆ แล้ว ปรากฎการณ์ "ปฎิวัติวัฒนธรรม" นั้น เป็นเพียงฉากหน้าของสงครามการเมืองภายในราชสำนักจีนใหม่เอง โดยมีความรู้สึกสั่นคลอนในบัลลังก์ของเหมาเป็นตัวตั้ง เสริมด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจียง ชิง ที่อุตส่าห์พลีกายพลีใจ ใช้เต้าไต่จนได้เป็นเมียประธานพรรค แต่ดันถูกห้ามข้องแวะทางการเมือง เมื่อ 2 แรงนี้มาบรรจบกัน คนที่ทำท่าเหมือนจะแข่งบารมีเหมาได้ ก็เลยโดนสอยเป็นแถว และที่สำคัญ คือ คังเซิง ซึ่งมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกพรรคคนสำคัญในมือจำนวนมาก เพราะทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัยของพรรค หรือประมาณเกสตาโป อะไรยังงั้น ดังนั้น เมื่อไรที่คังเซิงจะกวาดล้างใครที่คิดว่าจะขวางเส้นทางใหญ่ของเขาและแก๊งค์ 4 คน ก็เพียงส่งรายชื่อพร้อมประวัติของคนนั้นให้่กับพวกเรดการ์ดเสีย มันก็ต้องมีบ้างแหละครับ พฤติกรรมที่มันติด 4 เก่าเนี่ย ซึ่งแค่นั้นก็มากพอที่จะเป็นเหตุให้เรดการ์ดลากตัวออกไปประจานและทุบตีบนท้องถนนแล้ว และแน่นอนว่ากลุ่มแรกๆ ที่โดนก็คือพวกที่ใกล้ชิดกับหลิวเซ่าฉี นั่นเอง จากคุณ : เรดการ์ด (สื่อศิลป) - [ 27 ก.ย. 49 11:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 50 มาแว้วววว...พ่อยอดขมองอิ่ม..นึกว่าพ่อจะล้มหมอนนอนฟูก หยอดน้ำข้าวต้มไปเสียแล้ว.. แหม..กะแค่รัฐบาลเปลี่ยนแปลงเข้าหน่อย ถึงกับไข้ขึ้นเจียวหรือ.. เอ่อ..ว่าแต่ไปหาหมอมาหรือยัง?? จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ก.ย. 49 11:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 51 และแม้ว่าเบื้องหลังชองปรากฎการณ์ "ปฎิวัติวัฒนธรรม" จะเป็นการเมืองเรื่องแย่งชิงอำนาจล้วนๆ แต่เบื้องหน้า งานปฎิวัติวัฒนธรรม ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปไม่หยุดหย่อน นั่นคือการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาสาระและรูปแบบของงานศิลปทุกชนิด ในช่วงการการปฎิวัติวัฒนธรรม งิ้ว จะต้องเปลี่ยนลีลาท่าทาง และเรื่องเล่นใหม่ ที่สำคัญมากๆ คือจะต้องมีเรื่องของการปฎิวัติเข้าไปด้วย และนักปฎิวัติที่ปรากฎอยู่ในเรื่องนั้น จะต้องไม่ก้มหน้า ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนนต่อศัตรู และไม่ท้อถอยแม้ว่าจะเผชิญอุปสรรคสักเท่าไรก็ตาม งานเขียน งานแสดง ดนตรี เนื้อเพลง ก็เช่นกัน จะต้องมีเนื้อหาที่รับใช้ประชาชน รับใช้การปฎิวัติ ห้ามมีเรื่องของนายทุน ความถูกต้องของเหล่าขุนนางศักดินาใดๆ ทั้งสิ้น ไอ้ประเภทขุนนางตงฉิน หรือจักรพรรพดิใจดีมีคุณธรรมนั้น ถ้าขืนเล่นละก็ เชือดลูกเดียว ด้วยนโยบายนี้ ก็ทำให้งานศิลปในสมัยนั้น บิดเบี้ยวไปกันอย่างสุดโต่ง ถึงขนาดกระทั่งเครื่องดนตรีสากลก็ห้ามเล่น บัลเลต์ก็ต้องประยุกต์เรื่องมาให้สอดคล้องกับงานปฎิวัติ ไอ้ที่จะไปเฉิดฉายเป็นหงษ์ดำในสระนะอย่าหวัง ยิ่งถ้าจะเล่นที่บีบถั่วด้วยละก็ โดนข้อหาโปรโซเวียต เดินตามแนวทางลัทธิแก้ นั่นทีเดียว หนักแค่ไหน ก็ลองถามคนไทยที่โดนข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในสมัยจอมพล ส. ดูก็แล้วกัน ถ้าจุดธูปแล้วเฮียแกมานะ จากคุณ : ไซคอฟกี้ (สื่อศิลป) - [ 27 ก.ย. 49 11:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณครับพี่ ที่อุตส่าห์วางแผนให้ส่งแมวไปเดินด้อมๆ ดมกลิ่นแถวหน้าบ้าน ก็ยังพอสบายดีอยู่ครับ หลังจากไอหัวสั่นหัวคลอนไป 4 วันเต็มๆ ด้วยโรคอะไรจนป่านนี้ก็ยังเรียกชื่อไม่ถูก ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้อยากคบมันเท่าไรนักหรอก หมอกับผมนี่ไม่ค่อยจะถูกกันครับ (เว้นแต่หมอฮันนิบาล แต่หมอนั่นก็เห็นถนัดแต่เปิดเวบไซต์กะเก็บกระทู้ เลยไม่แน่ใจว่าจะจำวิธีฉีดยาได้หรือเปล่า) ก็เลยใช้วิธีรักษาตัวเอง ด้วยการ ไม่กินยา เพราะตอนเริ่มเป็นลองกินยาฝรั่งเข้าไป แล้วรู้สึกว่า มันไปกระตุ้นระบบอะไรในร่างกายมากเิกินไปหน่อย ก็เลยเปลี่ยนมาหยุดยา 1 วันเต็มๆ แล้วกินแต่น้ำอุ่นๆ แทน จากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้ยาสมุนไพรไทย มันก็พอประทังบรรเทาอาการไปได้ครับ อาศัยนอนแหมบอยู่ที่บ้าน หาหนังมานั่งดูไปเรื่อย ทั้งหนังเก่าหนังใหม่ ดูกันจนหนังตาเปื่อย ง่วงเมื่อไรก็หลับคามันไปยังงั้น ตื่นมาก็ดูต่อ ยังดีที่มี ป๋า ช.ช.โทรมาหาด้วยความห่วงใย กลัวผมป่วยไข้ แล้วจะไม่ได้ไปรับตำแหน่งนายกฯ ตามคำเชิญ ก็เลยบอกป๋าแกไปว่า ไม่เป็นไร ให้พี่รับตำแหน่งนี้ไปก่อนเลย ส่วนผมของแค่ รมต.เทกระโถนสักตำแหน่ง พอได้สติ๊กเกอร์แปะหน้ารถเข้าทำเนียบเท่ๆ สักอันก็พอแล้ว ป๋าแกตกลงครับ ก็เอาเป็นว่าวันสองวันนี้ก็รอฟังประกาศแล้วกันครับ ส่วนประกาศแล้ว พี่จะส่งข้าวผัดหรือโอเลี้ยงมาเยี่ยม ก็แล้วแต่สะดวกครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 27 ก.ย. 49 11:37:47 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อ่านหลังไมค์ด้วย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ก.ย. 49 11:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 54 มีหลานชายที่น่ารักคนหนึ่ง..แอบส่งข้อความมาให้แบบ เกรงจั๊ยย..เกรงจัยย ว่า.. "@(-_-)@ [27 กันยายน 2549 15:50] ขออนุญาตท้วงข้อความเปิดกระทู้กบฏภาค 96 ครับ รถที่ทหารเอามาวิ่งคือรถฮัมวี่ครับ ถ้ารถฮัมเมอร์จะเป็นรถหน้าตาคล้ายกันแต่คนธรรมดาใช้ครับไม่ใช่รถสำหรับรบ ส่วนฮัมวี่ถึงจะเป็นรถของกองทัพครับ .... ขอบคุณมากค่ะ ที่บอกให้ เพราะป้าเองก็ไม่รู้หรอกหลานเอ๋ย..ว่าไอ้นี่มันคือ รถฮัมวี่.. จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ก.ย. 49 21:51:43 ]

ความคิดเห็นที่ 55 มาแก้ตัวด้วยคน ฮัมวี่ นี่มาจาก HMMWV (High Mobility Multipurpose Wheeled Vehicle)http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9490000120674 เชียงใหม่ตอนนี้กลายเป็นกรุงเทพ2 ไปแล้วครับ คุณ tweety แต่ก็ยังพอที่จะมีเค้าเชียงใหม่อยู่บ้าง ถ้ามีเวลา แนะนำให้ไปแม่แจ่มครับถ้าทนนั่งรถไหว ที่ว่านี่ ไม่ใช่เคยได้ไปนะ มีคนเขาว่ามาอีกทีนึง อีกแห่งนึงก็ หลวงพระบางครับ อันนี้ต้องลองถามคุณสื่อศิลปดูว่าเหมือนจริงหรือเปล่า บอกตรงๆครับว่ากลับมารอบนี้แทบไม่ได้ออกไปไหนไกลๆ หรือแปลกๆเลย ภาระมันแยะทั้งราษฏร์ทั้งหลวง จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 27 ก.ย. 49 23:03:26 ]

ความคิดเห็นที่ 56 นี่อาจารย์... ไม่ใช่แมวนะ Tweety จ้ะ ไม่ใช่ Sylvester น้อง Natt ลาไปไหนนานจัง เมืองจีนเขาทำไวน์กันหรือเปล่าคะ? (ไวน์เหมาไถ ..มีป่าว?) จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 28 ก.ย. 49 09:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ไอ้รถประเภทนี้ มันเป็นรถของพวกเศรษฐีตะวันออกกลางที่ไม่มีอะไรทำ ชอบซื้อมาขับลุยดูมกลางทะเลทรายเล่นกันครับ ไม่งั้นก็เอามาเป็นรางวัลไว้แจกพวกแข่งอูฐ แต่ขอโทษ ไม่ใช่รางวัลที่ 1 - 3 นะ เป็นแค่รางวัลปลอบใจท้ายๆ เพราะที่นั่น ที่ 1 เขาต้องโรส์รอยซ์เท่านั้น ส่วนท่านชีคจริงๆ ท่านก็ไม่นั่งเจ้ารถผู้ดีอังกฤษรุ่นสั่งทำพิเศษนี้แล้ว ท่านว่ามันเซ็ง เดี๋ยวนี้ เขามานั่งเจ้ามายบัคคันละร้อยกว่าล้านกันหมดแล้ว ตอนที่รถรุ่นนี้วางแผนการผลิต เซลล์มันหิ้วโน๊ตบุคไปตัวเดียว ตระเวณตามแถวบ้านเศรษฐีน้ำมันทั้งหลาย บรรยายพร้อมฉายภาพ 3 มิติขึ้นมอนิเตอร์ แป๊บเดียว มันขายได้ก่อนจะขึ้นไลน์ผลิต ตั้งเกือบร้อยคันแน่ะ ค่าที่มันผลาญน้ำมันอย่างสุดๆ เลยทำเป็นรถขายแบบตลาดไม่ค่อยรุ่ง กองทัพที่มีรถประเภทนี้ใช้ แสดงว่ารวยใช้ได้ทีเดียว ก็มัน ปั๊ดตะนา แล้วนี่ครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 10:02:50 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เรื่องของการปฎิวัติวัฒนธรรมในเรื่องของรูปแบบและเนื้อหา ยังมีที่แปลกๆ อีกเยอะ เช่น มีการนำเสนอว่า เมื่อมีคนตกน้ำและกำลังจมน้ำตาย แต่ได้มีผู้ว่ายน้ำเข้าไปช่วยเหลือ คนที่เข้าไปนั้น ไม่จำเป็นต้องช่วยประคองอะไรเลย แค่ไปพูดข้อความในสรรนิพนธ์ของท่านประธานเหมา ปลุกปลอบใจคนที่ใกล้จะจมน้ำตาย เขาผู้นั้นก็เกิดแรงฮึดขึ้นมา และสามารถว่ายน้ำกลับถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย ฟังแล้ว นึกถึงเรื่องของสำนักจานบินไหมครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 12:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ส่วนเหยื่อรายสำคัญอีกคนนึงของการปฎิวัติวัฒนธรรม คือ จอมพลเผิงเต๊อะไหว นายทหารที่เริ่มชีวิตมาจากเด็กขอทาน หนีออกจากบ้าน และต่อสู้มาอย่างทรหดจนได้เข้าร่วมในพรรคตั้งแต่เป็นแค่พลทหาร เมื่อผลงานโดดเด่นจึงได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้คุมทัพ และเป็นแม่ทัพที่ทหารฝ่ายก๊กมินตั๋งครั่นคร้ามที่สุด หลังจากได้ชัยในสงครามกลางเมืองแล้ว เขายังได้รับตำแหน่งนายพล 1 ใน 10 คนแรกของประเทศ และรมว.กลาโหม พร้อมเป็นผู้นำทัพไปร่วมศึกสงครามเกาหลี และยันทัพสัมพันธมิตรไม่ให้ข้ามแม่น้ำยาลูขึ้นมาได้ โดยได้รับคำชื่นชมจากนักการทหารของสหรัฐฯว่ามีความสามารถในการประสานกองทหารจำนวนมากให้เข้ารุกรบได้ราวกับเป็นทหารเพียงกองพลเดียว สุดท้าย ด้วยความขัดแย้งกับเหมาในเรื่องของนโยบายก้าวกระโดดใหญ่ และการประท้วงเงียบด้วยการโกนหัวและเดินออกจากห้องประชุมที่หลูซาน บัดนี้ เผิงเต๊อะไหว ที่ถูกแทนที่โดยหลินเปียว ก็ถึงเวลาที่จะต้องลิ้่มรสความแค้นของเหมาเจ๋อตุง สหายร่วมศึกกว่า 40 ปีคนนี้แล้ว ด้วยกองกำลังเรดการ์ดจากสถาบันอวกาศ โดยคำสั่งของหลินเปียว เรดการ์ดกลุ่มนี้ขึ้นเครื่องบินตรงไปเสฉวนเพื่อบุกเข้าจับตัวนายพลเผิงมาสอบสวนในข้อหาเป็นปฎิปักษ์ต่อประธานเหมา เมื่อเดือนธนวาคม 1966 ตลอดระยะเวลาของการถูกจับกุมและถูกสอบสวนกว่า 100 ครั้ง เผิง ไม่เคยสามารภาพผิดเลย เขาถูกซ้อมจนตายในปี 1974 ซึ่งเป็นช่วงปลายของการปฎิวัติวัฒนธรรมแล้ว เรื่องการสารภาพของเหยื่อเรดการ์ดนี่ต้องอธิบายหน่อยว่า พวกเรดการ์ดเขามีหลักในการสอบสวนดังนี้ครับ 1. ถ้าจำเลยสามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้ทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว พร้อมหลักฐานที่พร้อมมูล (ข้อกล่าวหาก็เช่น เลี้ยงปลาทองทำไม เป็นนายทุนเหรอ หรือทำไมจึงมีหนังสือของขงจื๊อในบ้าน เป็นทาสศักดินาหรือไง ฯลฯ) คนประเภทนี้ให้ถือว่า น่าจะมีความผิดจริงตามคำกล่าวหา มิเช่นนั้นแล้ว จะสามารถแก้ตัวได้อย่างฉะฉานได้อย่างไร แสดงว่ามีการเตรียมตัวมาแล้วเป็นอย่างดี 2. พวกที่ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้เลย หรือแก้ได้นิดๆ หน่อยๆ ไม่พอเพียงที่จะหักล้างต่อความผิดที่ถูกกกล่าวหา แสดงว่าทำผิดจริง จึงแก้ตัวไม่ได้ สรุปแล้ว ใครที่ถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะถูกหรือผิด แก้ตัวได้หรือไม่ เรดการ์ดเขาถือว่า ผิด อย่างเดียว และมาตรการการลงโทษ ก็คือ แขวนป้ายประจานและรุมซ้อมจนกว่าจะพอใจ เรื่องกระบวนยุติธรรมอย่างอื่น ไม่ต้องพูดถึง มีดีอยู่อย่างเดียว คือ พวกเรดการ์ดจะไม่ใช้อาวุธหนัก เช่นปืน หรือมีด เพราะประธานเหมาเคยสั่งไว้ว่า อย่าใช้อาวุธ เรดการ์ดที่ใช้อาวุธก็จะกลายเป็นขัดคำสั่งท่านประธานเหมา ไม่ยอมเดินทางแนวทางของท่าน มีสิทธิโดนจับเสียเองอีก จริงๆ แล้วเรดการ์ดก็มีตีกันเองเหมือนกัน โดยที่ดังที่สุดก็ ที่เมืองกวางเจา เมื่อคนงานได้ตั้งกลุ่มเรดการ์ดขึ้น แต่ดันมี 2 กลุ่มในเมือง ที่ไม่ค่อยชอบหน้ากัน คือ กลุ่มธงแดง (ภาษาจีนออกเสียงว่าไง ช่วยหน่อย) กับกลุ่มลมตะวันออก 2 กลุ่มนี้นำพรรคพวกเข้าห้ำหั่นกันจนเป็นสงครามกลางเมืองย่อมๆ ปั่นป่วนไปทั่ว จนสุดท้าย กองทัพปลดแอกต้องเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ และจับพวกนี้ออกไปพัฒนาชนบท เรื่องจึงสงบลงได้ จากคุณ : หงฉี (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 12:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ภาพเหมาว่ายน้ำ จากคุณ : sofatboy - [ 28 ก.ย. 49 14:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ภาพเหมาว่ายน้ำอีกรูป จากคุณ : sofatboy - [ 28 ก.ย. 49 14:27:43 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ... จากคุณ : sofatboy - [ 28 ก.ย. 49 14:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ระดับแกนนำอีกคนที่ตกเป็นเหยื่อของการปฎิวัติวัฒนธรรม คือ นายพลเฮ่อหลง ที่ร่วมสงครามกลางเมืองกันมา และมีเกียรติประวัติดีเด่นจนได้รับแต่งตั้งเป็น1 ใน 10 นายพลของประเทศ ปัญหาของนายพลผู้นี้คือ ภรรยาของเขา (ภรรยาคนที่2 คนแรกหย่ากันก่อนหน้านี้) เป็นเพื่อนกับภรรยาของนายพลหลินเปียว เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ก่อนหน้านั้น สมัยวัยสาว ภรรยาของเฮ่อหลงเป็นเพื่อนกับเมียหลินเปียว ซึ่งเมียของหลินเปียวนี้เคยชนะการแข่งขันปฐกถา ที่จัดทางสถานีวิทยุ โดยมีเนื้อหาในการสนับสนุนก๊กมินตั๋งมาก่อน ก่อนที่จะมาแต่งงานกับหลินเปียวและเข้าร่วมกองทัพปลดแอก เมื่อถึงยุคปฎิวัติวัฒนธรรมใหม่ๆ เมียของนายพลเฮ่อหลง ก็พูดความลับเรื่องนี้กับเฮ่อหลง ว่า สมัยสาวๆ นั้น เมียนายพลหลินเปียวผู้นี้เป็นพวกสนับสนุนก๊กมินตั๋งนะ น่าจะให้เธอวิจารณ์ตัวเองเรื่องนี้ด้วย เฮ่อหลง ก็ไปบอกหลินเปียวตามนั้น ซึ่งเป็นนโยบายของเหมาเองที่กระตุ้นให้มีการวิจารณ์ตนเอง ปรากฎว่า เรื่องนี้สร้างความขุ่นเคืองให้ทั้งหลินเปียว (ที่อยากมีประวัติสะอาด สมกับเป็นทายาทของเหมา) กับศรีภรรยาอย่างยิ่ง เนื่องจากจ่อคิวขึ้นเป็นคุณนายหมายเลข 1 ของประเทศอยู่ พอหลินเปียวขึ้นมามีอำนาจ เขาก็เล่นงานเฮ่อหลงทันที แต่โชคดี เมื่อตอนที่เดินทัพทางไกล โจวเอินไหล เป็นมาลาเรีย ได้เฮ่อหลง คอยดูแลใกล้ชิดอยู่ โจวเลยพยายามช่วยเหลือเฮ่อหลงให้พ้นมือเรดการ์ด ด้วยการให้เข้ามาพักที่บ้านของโจวในทำเนียบจงหนานไห่ เมื่อหลินเปียวให้เรดการ์ดไปลากตัวเฮ่อหลงมาประจานกลางถนนไม่ได้ ก็ไปขอความช่วยเหลือจากคังเซิง ซึ่งกุมข้อมูลสมาชิกพรรคชั้นนำอยู่ คิงเซิงนั้นมีข้อมูลว่า เฮ่อหลง มีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวาน เขาก็ประสานงานไปยังแพทย์ที่ดูแลเฮ่อหลงว่า ต่อจากนี้ไปให้ฉีดกลูโคสให้กับเฮ่อหลง แทนอินซูลินนะโว๊ย คนป่วยโรคเบาหวาน แทนที่จะได้อินซูลิน ดันเจอกลูโคสเพิ่มขึ้นไปอีก อาการก็เลยมีแต่ทรงกับทรุด (สำหรับท่านที่ข้องใจว่าทำไมแพทย์ที่ปกติต้องมีจรรยาบรรณที่เข้มงวดกำกับอยู่ จึง ยอมทำแบบนี้ได้ ก็ขอบอกว่าในสมัยปฎิวัติวัฒนธรรมนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพา่ะหมอนั้น เมื่อถูกยิงก็ตายเช่นเดียวกับคนอื่น หรือถูกซ้อมก็เจ็บเท่าๆ กับคนอื่นครับ) เฮ่อหลง ป่วยตายด้วยโรคเบาหวานกำเริบในปี 1969 หรือ 4 ปีหลังการปฎิวัติวัฒนธรรม แม้ว่าจะมีความพยายามช่วยเหลือจากนายฯโจวเอินไหลเท่าที่จะทำได้แล้วก็ตาม ส่วนภรรยาของเฮ่อหลง กลับต้องพบกับชะตากรรมที่หนักกว่านั้น ทั้งนี้เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของภรรยาหลินเปียว จึงรู้เรื่องในอดีตของเมียหลินเปียวมากกว่าคนอื่น โทษานุโทษของการเป็นเพื่อนในอดีต ทำให้เมียของหลินเปียว ในฐานะนายพลหญิงแห่งกองทัพอากาศจีน สั่งให้จับเย่หมิง ไปขังที่ค่ายผู้ใช้แรงงานในกุ้ยโจว ในนามของนักโทษของกองทัพอากาศ โดยให้ปกปิดชื่อจริงเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าหญิงชราที่ติดคุกอยู่นี้เป็นใคร เย่หมิงถูกจับขังคุกและใช้แรงงานอยู่ถึง 6 ปี แม้กระทั่งลูกๆ ของเฮ่อหลง ก็โดนจับขังคุกไปด้วย ที่ร้ายกว่านั้น คือ ภรรยาคนแรกของเฮ่อหลงที่หย่ากันไปแล้ว ก็ถูกจับมาซ้อมให้สารภาพปรักปรำเฮ่อหลงด้วย และเมื่อไม่มีเรื่องจะปรักปรำก็โดนทำร้ายจนสาหัส จากคุณ : เฮ่อหลง (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 14:55:25 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เรื่องรถถังนี้ขอแจมหน่อยแล้วกันนะ สังเกตให้ดีว่ารถถังที่เข้ามาวิ่งเล่นในเมืองช่วงนี้ จะมากันเฉพาะรุ่นเยาว์ พวกสกอร์เปี้ยน สติงเรย์ (รุ่นเกราะร้าว) รวมทั้งต่อสู้อากาศยานสมัย รสช.พ่วงมาด้วย หนักสุดก็จะเป็น เอ็ม 48 จาก ม.พัน 4 ซึ่งโบราณจริง ไม่รู้ว่าจะมีคันไหนเคยพาพลทหารมะโหนก มาเที่ยวงานพระรูปเมื่อ 20 ปีที่แล้วหรือเปล่า แต่รถถังหลักของบ้านเราจริงๆ คือ เอ็ม 60 นั้น ไม่โผล่มาให้ยลโฉมกันบ้างเลย เพราะเจ้ารุ่นนี้มันอยู่ที่ค่ายอดิศร ศูนย์กลางทหารม้า สระบุรีเลี้ยวขวาปู๊น ไม่รู้ว่ามันไกล กลัวมาไม่ทัน แล้วจะพาลเบี้ยวไม่มาตามนัดให้เสียวไส้เล่นซะงั้น หรือว่ามันหนักจนกลัวจะทำถนนของพี่อภิรักษ์เขาพังแล้วเดี๋ยวไม่มีงบซ่อมให้กันแน่ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 15:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แหม รวดเร็วทันใจ ไม่เคยเห็นมาก่อน รูปประธานเหมาลงลอยคอพิสูจน์สมรรถภาพในแม่น้ำฉางเจียง แกก็เก่งนะ อายุปูนนั้นแล้ว ยังกล้าลงไปล้อเล่นกับแม่น้ำอีก ผิดกับใครบางคน ที่ชอบอ้างอิงพี่เหมาเขาเรื่อย แต่ไม่ยักกะกล้ากระโดดลงแม่น้ำโขงสักที พูดเรื่องเลียนแบบแล้ว ขออีกหน่อยเถอะ ทีแรกว่าจะเก็บเอาไว้พูดตอนจบการปฎิวัติวัฒนธรรม แต่เห็นคุณนก (ไม่ใช่แมว) ถามถึงเรื่องแนวทางของหัวโก๊ะฝง ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า ไม่ใช่แค่พี่จิ๋ว หวานเจี๊ยบ เท่านั้นนะ ที่เลียนแบบนักการเมืองจีน คนแถวทางท้องทุ่งภาคกลาง ที่ได้คำนิยามว่า 5 สั้น เหมือนเติ้งเสี่ยวผิง ก็เอากะเขาด้วย ก็ภายหลังจากหมดยุคปฎิวัติวัฒนธรรมแล้ว และเติ้งสถาปนาตัวขึ้นมาเป็นใหญ่แทนนั้น เขาประกาศหลักการใหม่ว่า ต่อแต่นี้ไปให้ "ศึกษาจากความจริง" หรือพูดง่ายๆ คือ ให้อนุวัตรไปตามโลก ตามความจริง มันเป็นไงก็เป็นงั้น ไม่ใช่ไปพร้ำเพ้อกับทฤษฎีบ้าๆ บอๆ หรือแนวคิดท่านประธานเหมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ขณะที่หัวโก๊ะฝงนั้นยังคงโลเลว่า แนวทางของเหมาก็เอาไว้อยู่ ส่วนของเติ้งก็เห็นด้วย ก็เลยโดนเชือด คุ้นไหมครับ แนวทางของเติ้ง "สัจจนิยม" จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 15:13:37 ]

ความคิดเห็นที่ 66 และเหยื่อคนสำคัญอีกคนนึงที่ต้องสังเวยความบ้าคลั่งของการปฎิวัติวัฒนธรรม ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเลขานุการส่วนตัวของเหมานั่นเอง อย่างที่รู้กันอยู่ว่า เจียงชิงและแก๊งค์ 4 คนนั้น พยายามไล่เตะคนที่ใกล้ชิดกับเหมาให้หลุดไปจากอำนาจให้มากที่สุด โดยหวังว่า จะทำให้พวกตนได้ใกล้ชิดกับประธานเหมาได้มากขึ้น และแสวงหาอำนาจจากการนั้นได้เพิ่มขึ้นอีก เถียนเจิยอิง ในฐานะเลขานุการส่วนตัวของเหมาจึงต้องตกเป็นเหยื่อไปด้วย ทั้งที่เหตุนั้นมีอยู่นิดเดียวเอง คือ กลุ่มปฎิวัติวัฒนธรรม ได้วิพากษ์และลงโทษ กลุ่้มแอนตี้พรรค จำนวน 4 คน คือ หยางซ่างคุน ลุติงอี้ เผิงเจิง และหรอลุยชิง ปรากฎว่า เมื่อชื่อทั้ง 4 นี้เสนอผ่านแฟ้มรายงานถึงมือของเถียนเจิยอิง ก่อนนำเรียนท่านประธานเหมา เถียนเจียอิง ในฐานะเลขานุการของเหมามาเกือบ 20 ปี รู้จักคนเหล่านี้ดีว่าจงรักภักดีต่อพรรคแค่ไหน ก็บอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเหล่านี้จะแอนตี้พรรค ผลที่เถียนได้รับจากการแสดงปฎิกิริยาปฎิเสธการลงโทษของกลุ่มปฎิวัติวัฒนธรรม คือ ในวันรุ่งขึ้นก็มีพวกเรดการ์ดมาหาถึงทำเนียบจงหนานไห่ และยื่นข้อเสนอที่เถียนไม่อาจปฎิเสธได้ นั่นคือ ออกไปจากจงหนานไห่ และตำแหน่งเลขาของประธานเหมาเสีย เพราะทางการสืบทราบแล้วว่า ท่านเป็นพวกแอนตี้พรรค ตลกไหมครับ เป็นเลขานุการของหัวหน้าพรรคมาเกือบ 20 ปี พึ่งจะรู้กันหรือว่า เขาแอนตี้พรรค สุดท้าย เถียนจีอิง ก็กินยาตายคาห้องที่จงหนานไห่ในคืนนั้นนั่นเอง จากคุณ : จงหนานไห่ (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 17:26:08 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ตอบแทนน้อง natt ให้ก็ได้ ที่จีนมีการทำไวน์ครับ และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ยี่ห้อดังๆ ก็คือ Dynasty (ถ้าเป็นช่วงปฎิวัติวัฒนธรรม กิจการนี้ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด ผลิตเครื่องดื่มของทุนนิยมไม่พอ ยังใช้ชื่อแบบศักดินาอีก) ตามมาติดๆ ก็เป็นพวก Red Dragon มีแบบ Reserve ด้วย เคยขอลิสท์คุณพี่วิวันดา ส่งต่อไปให้รุ่นน้องที่เมืองจีนดู เผื่อจะฝากมันซื้อบ้าง หนอย มันบอกว่าที่ทำงานมันอยู่บ้านน๊อก บ้านนอก ทุกวันนี้ซัดแต่เบียร์ชิงเตา กะพวกเหมาไถ ไม่เคยลองกินไวน์จีนสักที เลยไม่รู้จะฝากมันยังไงดี ส่วนไวน์จีนที่ขายกันอยู่ตามด่านชายแดน ถ้าอยากเป็นผู้พิการทางสายตาดูสักครั้งในชีวิต ก็ลองซื้อกินดูครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 28 ก.ย. 49 17:35:42 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ยุ ให้ฝากซื้อเหมาไถแทนเลยครับ อาจารย์สื่อ เหล้าเหมาไถเขานี่ไม่ธรรมดานะครับ ขวดละเป็นพันเหมือนกัน ยิ่งพวกปี 82 83 เกรดดีๆนี่ราคา เกินแสนเลยครับ จากคุณ : DogRobo - [ 29 ก.ย. 49 12:13:09 ]

ความคิดเห็นที่ 69 "เฮ่อหลง" 22/3/1896 -9/6/1969 ภาพเฮ่อหลงและครอบครัวครับ ลิงค์ภาพอื่นๆ ของเฮ่อหลง http://www.zjj.gov.cn/city/hong/lao/tupian1.htm จากคุณ : DogRobo - [ 29 ก.ย. 49 12:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ภาพ "เถียนเจียอิง" 1922 - 22/5/1966 จากคุณ : DogRobo - [ 29 ก.ย. 49 12:48:12 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ภาพ "คังเซิง" 1898 - 16/12/1975 จากคุณ : DogRobo - [ 29 ก.ย. 49 13:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณครับ ภาพ คังเซิง นี่ ดูเผินๆ เหมือนพวกนาซีเลยนะ ตามประวัติแล้ว คังเซิง ถือเป็นพวกปลิ้นปล้อนใช้ได้คนนึงทีเดียว เพราะช่วงปลายๆ ของชีวิต (เขาตายด้วยโรคมะเร็งก่อนการปฎิวัติวีฒนธรรมจะจบ) เขาพยายามที่พลิกลิ้นไปโจมตีเจียงชิงกับประธานเหมาเสียเอง เหมาไถ เคยฝากซื้อมากระปุกนึงครับ หอมดี เคยดูข่าวที่ "สมเด็จพระเทพฯ" ท่านทรงเสด็จไปเยี่ยมชมโรงงานเหมาไถ เห็นเขาโชว์สินค้าแล้ว ไม่ธรรมดาเลย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 29 ก.ย. 49 13:48:10 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ความวุ่นวายของการปฎิวัติวัฒนธรรม เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญครั้งที่ 1 คือ ปี 1971 หรือ 6 ปีหลังการเริ่มต้น นอกจากกรณีของเรดการ์ด 2 กลุ่ม ยกพวกตีกันเอง อย่างที่เหมาเองก็ไม่เข้าใจแล้ว เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ได้สร้างคามเปลี่ยนแปลงต่อการปฎิวัติวัฒนธรรมไปอีกก้าวนึง นั่นคือการเสียชีวิตของหลินเปียว ทายาทอันดับ 1 ของประธานเหมา หลังสิ้นยุคหลิวเซ่าฉี เรื่องการตายของหลินเปียว เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการเปิดประชุมพรรคขึ้นอีกครั้งที่หลูซาน สถานที่เดิมที่ทำให้เผิงเต๊อะไหวตกเก้าอี้ และหลินเปียวเข้าเสียบแทนนั่นแหละ การประชุมครั้งนี้มีสารสำคัญคือการปรับปรุงรัฐธรรมนูญ เหมานั้นเสนอว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรที่จะยกเลิกตำแหน่งประธานแห่งรัฐไปเสีย ซึ่งตำแหน่งนี้ เหมาเคยเป็นแล้วถูกวิจารณ์ในเรื่องของนโยบายก้าวกระโดด ลามไปจนถึงการนำแบบรวมศูนย์ ทำให้เหมาลาออกจากตำแหน่งนี้แล้วให้หลิวเซ่าฉีเป็นแทน ก่อนที่หลิวจะกลายเป็นเหยื่อของพวกเรดการ์ดไป การที่ พคจ.แต่งตั้งหลินเปียวขึ้นเป็น รมว.กลาโหม แทนเผิง ก็ไม่ได้หมายความว่า หลินเปียวจะเข้ามาแทนหลิวด้วยอีกตำแหน่ง แต่มันก็เป็นความหวังของหลินเปียวและมาดาม ที่ไม่เคยคิดจะเก็บซ่อนอาการเอาเลย หลินเปียวคิดอยู่เสมอว่า วันใดที่เหมาตายลง เขาจะต้องได้ตำแหน่งประธานแห่งรัฐ ซึ่งถือเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อเหมา เสนอให้ตัดตำแหน่งนี้ออก หลินเปียวจึงคัดค้านอย่างหนักหน่วง มาดามหลินเปียวนั้นถึงขนาดตั้งคำถามว่า ถ้าไม่มีตำแหน่งนี้แล้ว ต่อไปหลินเปียวจะดำรงตำแหน่งอะไร (มั่นใจขนาดนั้น) จากคุณ : หลินเปียว (สื่อศิลป) - [ 29 ก.ย. 49 14:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 74 จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าหลินเปียวจะไปแย่งตำแหน่งนี้มาจากเหมา หรือ มีความอดทนที่จะรอให้เหมาตายก่อน เพราะเป็นสหายศึกรุ่นไล่ๆ กัน โอกาสที่หลินเปียวจะตายก่อน หรือตายห่างกันไม่กี่ปีก็มีอยู่ ซึ่งจะทำให้การครองอำนาจไม่สะเด็ดน้ำเท่าที่ใจหวัง หลินเปียวเลยเสนอตำแหน่งใหม่ให้กับท่านประธานเหมา นั่นคือ ตำแหน่งอภิมหาประธานาธิบดี โดยยกย่องว่า คนอย่างเหมาเปรียบประดุจดังอัจฉริยะของโลก ที่ในรอบ 100 ปีจึงจะอุบัติขึ้นมาสักครั้งนึง "หรือบางทีอาจจะในรอบ 300 ปีด้วยซ้ำไป" (นี่ถ้าไม่กระดากปากมากไปกว่านี้ แกคงบอกว่าในรอบพันปีไปแล้วมั๊ง) ผลก็คือ แทนที่เหมาจะรู้สึกดี กลับเกิดภาวะดวงตาเห็นธรรม ว่าไอ้หมอนี่เลียแหงๆ ก็เหมานะ ให้ชั่วๆ ดีๆ ยังไง แกก็มุ่งมั่นในลัทธิมาร์กซิสต์ ซึ่งเป็นปรัชญาที่ปฎิเสธเรื่องเหนือจริงพวกนี้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นจนกระทั่งวาระใกล้สุดท้าย มีคนมาอวยพรว่าให้เหมาอายุยืนหมื่นๆ ปี เลียนแบบคำอวยพรฮ่องเต้ในอดีต แต่เหมากับแว๊ดเข้าให้ว่า คนอายุ 84 ถึงยมบาลไม่ถามหาก็ต้องเดินไปนรกเองอยู่แล้ว "ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ใครบอกว่าจะอยู่ค้ำฟ้า มันไร้สาระทั้งนั้น" กรณีหลินเปียวก็เช่นกัน เหมามองทะลุแล้วว่า การที่เขาจงใจจะยกให้แกเป็นอภิมหาประธานาธิบดี อัจริยภาพเกินใครในรอบ 100 ปีจะมีพี่คนเดียวอะไรเนี่ย ขืนไปเคลิ้มตามคำมัน เป็นเสีย dog แหงๆ แกก็เลยสวนกลับว่า ที่ว่าอัจริยะในรอบ 100 ปีนั้น จะเป็นไปได้ไง ก็ในรอบ 100 ปีมานี้ โลกยังมีมาร์กซิสต์ เองเกล เลนิน อยู่เลยนี่ แล้วจะบอกว่า ฉันเป็นอัจริยะในรอบ 100 ปีมีคนเดียวได้ไง แล้วตบท้ายว่า ฉันทำงานในระบอบทุนนิยมอยู่ถึง 7 ปี (หมายถึงช่วงที่ยังเป็นเสมียนห้องสมุด) ก่อนจะมาศึกษาลัทธิมาร์กซิสต์ แล้วยังงี้จะเรียกว่าอัจริยะได้ไง สุดท้ายการประชุมที่หลูซานก็จบลง อย่างเป็นที่ผิดหวังยิ่งของหลินเปียว เพราะเหมาไม่เอาอะไรตามแบบที่หลินเปียวคิดวางเอาไว้สักอย่างเดียว แถมยังด่าหลินเปียวให้เจียงชิง คู่แข่ง ที่จับมือกันเพื่อล้างผลาญสมาชิกเก่าๆ เป็นการชั่วคราวเสียอีก และตามธรรมเนียมของเหมา เวลาที่เขาขัดแย้งกับใครเป็นไม่มีหรอกที่จะออกจากห้องประชุมแล้วลืมกันไป เพราะทุกครั้ง หมายถึงความอาฆาตแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าอีกฝ่ายจะตายไปต่อหน้าต่อตา งานนี้ เฉินปอต้า คนสนิทของหลินเปียว และ 5 นายพล ลูกน้องกลุ่มหลินเปียว จึงกลายเป็นไก่ที่ถูกเหมาและโจวเอินไหลเชือดให้ลิงอย่างหลินเปียวดู โดยการถูกวิพากษ์ว่าเป็นพวก "ซ้ายจัด" เกิดในประเทศคอมมิวนิสต์นี่ทำตัวลำบากครับ เอียงขวาก็ไม่ได้ ซ้ายจัดก็โดน ไม่รู้ว่าแล้วนักการเมืองจะทำอะไรได้บ้าง หรืออยากจะให้เอาแต่นั่งขายผักไปวันๆ ก็ไม่รู้ จากคุณ : เฉิน (สื่อศิลป) - [ 29 ก.ย. 49 14:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่า ฮ่องเต้เหมา ไม่ทรงโปรดขุนพลหลินเปียวเสียแล้ว โดยดูจากปรากฎการณ์ล่าสุด ที่เฉินปอต้า เด็กในคาถาของหลินเปียวถูกจับขังด้วยข้อหาประหลาด แถมเหล่านายพลคนสนิทของหลิวก็โดนลดบทบาทกันเป็นแถว เท่านี้หลินเปียวก็รู้แล้วว่า ชะตากรรมของเขาคงไม่ต่างอะไรจากเหยื่อปฎิวัติวัฒนธรรมรุ่นก่อนๆ เป็นแน่แท้ ประมาณว่า เวลาทำเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่เวลาที่จะโดนบ้าง ชักจะนอนไม่ค่อยจะหลับกระสับกระส่าย สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไหนๆ ก็ไหนๆ รัฐประหาร มันเสียเลยดีกว่าวะ ด้วยความมั่นใจในพรรคพวกของตนในกองทัพอากาศ (หลินเปียวเป็น รมว.กลาโหมก็จริง แต่พวกทหารบกนั้น ส่วนใหญ่เป็นทหารที่ร่วมทำสงครามกลางเมืองมากับเหล่า 10 นายพลคนอื่นๆ ด้วย รวมทั้ง จูเต๋อ ก็ยังคงดำรงตำแหน่ง ผบ.สส.ที่มีอำนาจสั่งการทหารทุกเหล่าทัพทั่วประเทศ และเป็นผู้มีเกียรติประวัติทางการทหารเหนือกว่าหลินเปียวนัก คงยากที่จะชักจูงให้ทหารบกมาร่วมแผนได้ หรือหากจะได้ก็คงยากที่จะรักษาความลับ ขณะที่ทหารอากาศเป็นหน่วยงานตั้งใหม่ หลังจากตั้งจีนใหม่แล้ว คนระดับผู้บัญชาการก็เป็นคนของหลินเปียวเองซะเยอะ ไม่ต้องอะไรหรอก ลูกชายหลินเปียวเอง อายุไม่เท่าไรก็ยังได้เป็นถึงพล.อ.ต.ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการ กองบัญชาการปฎิบัติการทางอากาศ ขณะที่ศรีภรรยาของหลินเปียวก็ไม่ใช่ย่อย เป็นถึงนายพลอากาศหญิง โก้ซะ เมื่อเป็นดังนั้น คำตอบสุดท้ายของกองกำลังที่จะทำการรัฐประหารโค่นจอมจักรพรรดิ์เหมา ก็คือ กำลังทหารอากาศภายใต้การบัญชาการของลูกชายหลินเปียวนั่นเอง จากคุณ : หลินลี่กัว (สื่อศิลป) - [ 29 ก.ย. 49 15:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 76 แผนรัฐประหารของหลินเปียว ใช้ชื่อว่า "เค้าโครงวิศวกรรม 5-7-1 " ร่างโดยหลินลี่กัว ลูกชายของหลินเปียวเอง โดยมีการตั้งรหัสเอาไว้ด้วยว่าให้เรียก "บี 52 " แทนตัวเหมา ส่วนที่ว่าทำไมถึงใช้ 571 นั้น ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษาจีนมาช่วยออกเสียงครับว่า เลข 571 นั้นภาษาจีนเขาออกเสียงว่าไง และเมื่อแปลออกมาแล้ว มันแปลว่าอะไร นั่นแหละครับ รหัสแผนรัฐประหาร (ไม่ยักใช้ง่ายๆ ยังปฐพี 1-2-3 อะไรยังงี้ ก็ไม่รู้) แผนรัฐประหารนี้ ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะทำยังไง แต่มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การจับตัวเหมาเอาไว้ให้ได้ จากนั้นก็สังหารเสีย โดยเชื่อว่า หากเหมาตายไปคนนึงแล้ว ที่เหลือก็ไม่น่าจะกล้าสู้ได้อีก ที่น่าสนใจคือเป็นที่น่าเชื่อได้ว่าหลินเปียวได้ประสานเรื่องนี้กับทางวังเครมลินด้วย และได้รับคำมั่นในเรื่องการสนับสนุนการปฎิบัติการระดับหนึ่งด้วย แต่ที่แสบสันต์คือแผนการรัฐประหารของหลินเปียวรั่วเข้าหูของเหมาจากการบอกเล่าของ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ตัวแสบจากวอชิงตัน ที่ป่วนโลกยุคนั้นจนขึ้นชื่อลือชา และที่น่ามันส์มากก็คือ แผนนี้รั่วออกมาจากกำแพงวังเครมลิน จากฝีมือเจาะของหน่วยมอสสาดอันลือลั่นของอิสราเอล ทีตั้งใจจะติดตามเรื่องการสนับสนุนตะวันออกกลางของโซเวียตสมัยครุสชอฟ แต่ดันได้ของแถมมาเป็นแผนรัฐประหารของหลินเปียวด้วย ว่ากันว่า ราคาของข่าวสารชิ้นนี้ คือเป็นใบเบิกทางที่สำคัญระดับบัตรทองฝังเพชร หรือแพลตตินัมการ์ดในการเดินทางเข้าปักกิ่งของ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ เพื่อเจรจาหาทางทอดสะพานเชื่อมระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ให้นิกสันได้สัมผัสมือกับเหมาจนเครมลินสะเทือนนั่นเชียว (เรื่องของกลยุทธิ์การทูตแบบสารพัดลูกเล่นของคิสซิงเจอร์นี่ ต้องยุให้คุณพี่วิวันดา ไปเพียรหามาเล่าครับ เพราะแพรวพราวมากจริงๆ และเกี่ยวข้องกับชะตาโลกในยุคสงครามเย็นอย่างมาก เอาแค่การทูตทอดสะพานกับจีนแดง ที่คิสซิงเจอร์แอบแวบเข้าจีนตอนเยือนปากีสถาน โดยไม่บอกแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทูตร่วมคณะ แค่นี้ก็สนุกแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ชุดนั้น ถูกทางการปากีสถานกักตัวเอาไว้ จนกระทั่งคิสซิงเจอร์เดินทางออกจากจีน เพื่อกันไม่ให้ข่าวรั่วออกไป) จากคุณ : คิสซิงเจอร์ (สื่อศิลป) - [ 29 ก.ย. 49 15:45:05 ]

ความคิดเห็นที่ 77 แผนรัฐประหารของหลินเปียว ไม่ทันได้เริ่มก็สะดุดเสียก่อน เพราะคนสำคัญในกองทัพอากาศที่เป็นกองกำลังหลักของหลินเปียว ที่ชื่อหลีเว่ยชิง รองเลขาธิการฝ่ายการเมืองของกองทัพอากาศ ผู้ร่วมรู้แผนการและเป็น 1 ในทีมปฎิบัติการด้วย ก็ทรยศเสียเอง เมื่อเกิดรายการไม่มาตามนัด ผสมกับข่าวรั่ว หลินเปียวก็ทำได้แค่เผ่นหนีตามฟอร์มเท่านั้นเอง ปัญหาคือเมื่อเหมาทราบถึงวัน ว.เวลา น.จาก หลีเว่ยชิง เรียบร้อยแล้ว ก็มีคำสั่งห้ามเครื่องบินทุกลำในแผ่นดินจีนขึ้นบินทันที เพื่อสกัดไม่ให้หลินเปียวกับพวกหนีได้ แต่ด้วยความเป็นคนวงในของลูกชายหลินเปียว ในสถานการณ์คับขันนั้น เขาก็หาเครื่องบินไอพ่นรุ่นโบราณได้เครื่องนึง (บ้างก็ว่า เหมาเปิดทางให้เอง เพื่อสอยให้ร่วงเสียด้วยขีปนาวุธ บางแห่งก็บอกว่า ไม่ใช่หรอก มันเป็นเครื่องบินสัปรังเค รุ่นไทรเด้นท์เก่าๆ สมัยก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่เครื่องบินตก) แต่การหนีของหลินเปียวและครอบครัวพร้อมคนสนิทที่มุ่งหน้าขึ้้นเหนือไปพึ่งใบบุญมอสโคว์ก็ไม่ถึงจุดหมาย เครื่องบินลำนั้นตกแถวมองโกเลียนอก (บ้างก็ว่าจริงๆ เครื่องลงจอดได้แล้ว แต่เสียหลักเลยคว่ำคารันเวย์ แต่บางที่ก็บอกว่าถูกขีปนาวุธจีนยิงตก) การตายของหลินเปียว เป็นเรื่องปกปิดอยู่ถึง 2 ปี ก่อนที่ทางพรรคจะจัดทำเอกสารเผยแพร่เหตุการณ์และแผนของหลินเปียวออกมาเผยแพร่อย่างละเอียด ในการประชุมใหญ่ปี 1973 ซึ่งเอกสารนี้ เติ้งเสี่ยวผิง ที่ถูกเนรเทศไปทำงานใช้แรงงานอยู่บ้านนอกก็ได้รับการเรียกตัวไปฟังด้วย ซึ่งลูกสาวเติ้งบอกว่า เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาอ่านอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง แถมเสร็จแล้วยังส่งเอกสารให้เติ้งกลับไปอ่านเองที่บ้านด้วย แต่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นี้ก็มีเหตุที่ชวนเชื่อว่ามีเรื่องผิดปกติอยู่ คือ หลินเปียวนั้นเสียชีวิตในวันที่ 13 กันยายน ขณะที่จีนมีวันฉลองวันชาติในวันที่ 1 ตุลาคม แต่ปีนั้น ได้งดการฉลองวันชาติโดยไม่แจ้งเหตุ ซึ่งคงเป็นเพราะ ยังไม่พร้อมที่จะอธิบายถึงสาเหตุที่หลินเปียว คนสำคัญของประเทศหายหน้าไปไม่เข้าร่วมพิธีด้วยละมั๊ง จากคุณ : มองโกเลีย (สื่อศิลป) - [ 29 ก.ย. 49 16:04:42 ]

ความคิดเห็นที่ 78 571 อ่านว่า "อู่ ชี อี" แผลงไปเป็น "อู่ ฉี่ อี้" (อู๋ ฉี่ อี้) แปลว่า military uprising ครับ จากคุณ : DogRobo - [ 29 ก.ย. 49 22:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ภาพจากซ้ายไปขวา โจวเอินไหล - เฉินป๋อต๋า - หลินเปียว จากคุณ : DogRobo - [ 29 ก.ย. 49 22:23:19 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คุณ DogRobo คะ ช่วยเขียนตัวจีน อู๋ ฉี่ อี้ (ที่แปลว่า military uprising ไม่ใช่เลข) ให้ดูเป็นความรู้หน่อยได้หรือเปล่าคะ อยากรู้ค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 30 ก.ย. 49 12:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 81 571 ครับ จากคุณ : DogRobo - [ 30 ก.ย. 49 15:42:27 ]

ความคิดเห็นที่ 82 แถมการ์ตูน ล้อเลียน หลิวเปียว เจียงชิง คังเซิง จากคุณ : DogRobo - [ 30 ก.ย. 49 15:45:16 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ภายหลังจากที่หลินเปียวเสียชีวิตแล้ว และทางพรรคได้ออกมาเปิดเผยว่า หลินเปียวมีแผนที่จะทำการรัฐประหาร เรื่องนี้นาง เจียง ชิง แฮปปี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะหมายความว่า แก๊งค์ 4 คน หมดศัตรูที่ขวางทางขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรไปอีก 1 คน แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นช่องให้แก๊งค์ 4 คน ดันคนของตัวเองขึ้นมาแทน แต่ไม่ใช่แค่แก๊งค์ 4 คนเท่านั้นที่มีช่องทางในการขยับขยายหลังการเสียชีวิตของหลินเปียว โจวเอินไหล ผู้ประสบความสำเร็จในการทูต สร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เปิดทางให้นิกสันเยือนจีนจนโลกและมอสโคว์สะเทือน ก็มีโอกาสด้วยเช่นกัน (จริงๆ แล้ว แม้ว่าโจวจะสร้างประวัติศาสตร์โลกขนาดนั้น แต่เหมาก็ยังไม่เห็นความดี เพราะคืนที่โจวสนทนากับคิสซิงเจอร์จนดึกดื่นนั้น หลังแยกย้ายกันแล้ว โจวติดต่อไปที่จงหนานไห่ เพื่อรายงานเหมา แต่วางตงซิง คนสนิทของเหมาบอกว่าเหมานอนแล้ว โจวจึงเปลี่ยนใจรอรายงานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเหมาเมื่อทราบก็ตำหนิโจวว่าทำไม่เรื่องสำคัญแบบนี้ถึงไม่รีบรายงาน กลายเป็นความผิดของโจวเอินไหลไปอีก) ช่วงช่องว่างของการตายของหลินเปียวนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ เหมาออกมายอมรับผิดในเรื่อการตั้งหลินเปียว ซึ่งโจวอาศัยช่องนี้ เปิดทางให้ผู้ปฎิบัติของพรรคที่โดนเด้งไปสมัยปฎิวัติวัฒนธรรมช่วงแรกๆ ได้กลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม ซึ่งคนที่สำคัญที่สุดที่ได้กลับมาในช่วงนี้ คือ บุรุษ 5 สั้น เติ้งเสี่ยวผิง นั่นเอง โดยเป็นความประสงค์ของโจวเองที่ระบุว่าต้องการเติ้งกลับมาช่วยงาน เนื่องจากในช่วงนั้นโจวรู้ตัวแล้วว่าเป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย ต้องเตรียมทายาทเอาไว้ เติ้ง หายหน้าไปจากวงสังคมการเมืองของจีนหลายปี เขาปรากฎตัวครั้งแรก อย่างไม่เป็นทางการในงานเลี้ยงต้อนรับเจ้านโรดม สีหนุ ที่มาเยือนจีน (ซึ่งก็โดนลอน นอล ทำรัฐประหารเหมือนกัน) ในงานเลี้ยงนั้น ผู้สื่อข่าวต่างประเทศสังเกตุเห็นเติ้งเข้าร่วมงานด้วย ทั้งๆ ที่เขาหายไปนาน ทำให้นักข่าวเลิกสนใจเจ้าสีหนุ แล้วรีบออกจากงานเพื่อกลับไปรายงานข่าวว่า เติ้ง กลับมาแล้ว หลังจากนั้น เติ้งเสี่ยวผิง ก็ปรากฎตัวอย่างเป็นทางการในการเข้าร่วมประชุมพรรคสมัยที่ 10 เมื่อปี 1973 โดยนั่งติดกับเติ่งอี่งเชา ภรรยาของโจวเอินไหล และหลังจากนั้น ตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ก็ย้อนกลับคืนมาหาเติ้่งอย่างรวดเร็ว โดยการผลักดันของโจวเอินไหล จนกระทั่งเติ้งได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่ที่เป็นปรากฎการณ์สำคัญ คือ เติ้งได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนจีนไปเยือนสหประชาชาติแทนโจวที่สุขภาพไม่ดี และที่สหประชาชาตินั่นเอง ที่เติ้งได้อ่านปาฐกถาในเรื่องของ "ทฤษฎี 3 โลก" อันลือลั่น เพราะมีเนื้อหาคุกคามโซเวียตโดยตรง จากคุณ : 3 โลก (สื่อศิลป) - [ 2 ต.ค. 49 13:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 84 การกลับมาองเติ้งสร้างความขุ่นเคืองงให้กับเจียง ชิง และสหายมาก เพราะตามแผนของชิงนั้น เมื่อโจวเอินไหลตายลง ก็หวังว่าจางชุนเฉียว สมาชิกคนนึงของแก๊งค์จะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่เจียงชิงก็จะแทนตำแหน่งเหมาเจ๋อตุง เช่นเดียวกัน นั่นหมายถึงว่า แก๊งค์ 4 คน จะได้ยึดอำนาจการปกครองของจีนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น หลังการตายของหลินเปียว มีเพียงหวังหงเหวินเท่านั้นที่ได้ดีขึ้นเป็นคณะกรรมการกรมการเมืองถาวร ขณะที่ตำแหน่ง รมว.กลาโหมเองก็ตกไปอยู่ในมือของนายพลเย่เจียนอิง ซึ่งเป็นมือขวาของนายกฯโจว มาโดยตลอด ส่วนตำแหน่งทางการเมือง ก็กลายเป็นเติ้งเสี่ยวผิง คนของโจวเช่นเดียวกัน ทางด้านเหมานั้น เพื่อถ่วงดุลอำนาจแทนหลินเปียว ก็ไปดึงเอาหัวโก๊ะฝง เลขาธิการพรรคระดับท้องถิ่นธรรมดาท่าทางซื่อๆ คนนึง ขึ้นมาเป็นใหญ่แทน ก็เท่ากับว่า งานนี้ ฝ่ายโจวเอินไหลกลับขึ้นนำทั้งเจียงชิงและเหมาไปเสียแล้ว เจียงชิงในเวลานั้นรู้ว่าไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของเหมามากมายนัก ที่เหมายังคงรักษาเอาไว้ ก็เหมือนกับการเลี้ยงหมาดุๆ สักตัว ที่หากจะมีเรื่องกับใคร หมาตัวนี้ก็บ้าพอที่จะกระโจนเข้าฟัดโดยไม่ต้องดูตาม้าตาเรืออะไรทั้งนั้น เมื่อเป็นดังนั้น เจียง ชิง จึงเริ่มแผนใหม่ นั่นคือการประสานกำลังกับหัวโก๊ะฝง เพื่อโจมตีโจวเอินไหล และเติ้งเสี่ยวผิง โดยลืมไปว่า ผู้ที่อยู่ข้างโจว ยังมีนายพลเย่และวางตงซิน ผู้กุมกำลังทหารองค์รักษ์พิทักษ์เหมาอยู่อีก 1 กรม จากคุณ : วางตงซิน (สื่อศิลป) - [ 2 ต.ค. 49 14:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 85 การกลับมาของเติ้งนั้น นอกจากจะพยายามดึงเอาผู้ปฎิบัติงานระดับสูงของพรรคที่ประสบชะตากรรมในช่วงปฎิวัติวัฒนธรรมกลับออกมาจากค่ายกักกันแรงงานหรือคุกมืดแล้ว สิ่งหนึ่งที่เติ้งพยายามอย่างเต็มที่ คือ ฟื้นฟูระบบสาธารณะและภาคการผลิตที่เสียหายไปในยุคปฎิวัติวัฒนธรรมช่วงแรกให้กลับคืนมา ผลงานที่สร้างชื่อเสียงมากที่สุด คือการฟื้นฟูกิจการรถไฟที่เคยชะงักงันให้กลับมาำอีกครั้ง แต่กระนั้นแล้ว เติ้งก็ยังอ่อนหัดทางการเมือง จนกระทั่งถูกเจียงตลบหลังผลักตกเวทีประวัติศาสตร์ลงไปอีกครั้งจนได้ ก่อนหน้าที่เติ้งจะเสียฟอร์มให้กับเจียง ชิง นั้น เติ้งได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งต่างๆ อย่างสูงลิ่ว ไม่ว่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 (สมัยนั้น มีรองนายกฯเกือบ 10 คน) ซึ่งในขณะที่โจวป่วยหนักนั้น ก็ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่า เติ้งต้องได้รับตำแหน่งนายกฯในเวลาไม่นานแน่ๆ และที่สำคัญ คือ ตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการด้านการทหาร ที่มีเหมาเป็นประธานอยู่ ซึ่งหมายถึงอำนาจในการควบคุมทหาร ซึ่งตามหลักของเหมาแล้ว พรรคต้องคุมกองทัพอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เติ้งแม้ไม่ได้เป็นนายพล แต่การเป็นรองประธานกรรมาธิการทหาร ทำให้เขามีอำนาจเหนือทหารได้ และตำแหน่งนี้ เมื่อเติ้งลาออกจากเลขาธิการพรรคในวัยชราแล้ว เขาก็ยังคงรั้งตำแหน่งประธานกรรมาธิการทหารเอาไว้อยู่ จากคุณ : เติ้ง (สื่อศิลป) - [ 2 ต.ค. 49 17:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ในช่วงเวลานั้น แนวทางการบริหารบ้านเมือง แตกออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายของโจวเอินไหลนั้น กำลังมุ่งหน้าไปสู่การพัฒนา ดังสิ่งที่โจวได้กล่าวในที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 4 เมื่อปี 1975 ซึ่งเป็นการปรากฎตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งสุดท้ายว่า จีนจะต้องรุดหน้าไปสู่ยุค "4 ทันสมัย" คือ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ เรื่อง 4 ทันสมัยนี้ โจว มอบเป็นมรดกทางนโยบายให้กับเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งเติ้งรับไว้และมุ่งมั่นในการปฎิบัติจนทำให้จีนกลายร่างมาเป็นยักษ์ใหญ่อย่างแท้จริงในวันนี้ รวมทั้ง"4 ทันสมัย" ก็กลายมาเป็นโลโก้ประจำตัวของเติ้งเสี่ยวผิงไปเลย และขณะที่สายโจวกำลังมองไปข้างหน้าในเรื่องของ 4 ทันสมัยนั้น เจียงชิงกลับยังเฝ้ารอโอกาสในการสับเติ้งและโจวด้วยข้อหาเดิมๆ ประเภท "แนวทางการปฎิวัติ" อะไรทำนองนั้น และสุดท้ายก็เหมือนนรกเป็นใจ เมื่อ เหมาเกิดเขียนบทความวิพากษ์ตัวละครในนิยายคลาสสิกเรื่องซ้องกั๋งขึ้นมา โดยระบุว่า ซ้องกั๋งนั้นเป็นแค่นักยอมจำนน เพราะแม้ว่าจะสร้างกองทัพกบฎขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ยอมสวามิภักดิ์กับฮ่องเต้ ก็เข้าทางเจียง ชิง พอดี งานสื่อมวลชนที่อยู่ในมือเจียงก็โหมประโคมวิพากษ์เติ้งทันทีว่าเป็น "ซ้องกั๋ง" ตามที่ประธานเหมากล่าวไว้ และเคราะห์ซ้ำอีกดอกก็คือ ตามแผนงานของเติ้งได้นำเสนอต่อที่ประชุมพรรค ไม่มีการกล่าวถึงการต่อสู้ทางชนชั้น ซึ่งเป็นคาถาประจำใจของเหมา ทำให้คนของเจียงชิงที่อยู่ใกล้ชิดเหมาเป่าหูอยู่ตลอดเวลาว่า เติ้งนั้น จะล้มเลิกแนวทางในการปฎิวัติ นอกจากนี้เติ้งยังสะสมแค้นกับเจียงชิงด้วยการโต้ตอบกับชิงในที่ประชุมพรรคว่าเจียงชิงควรที่จะวิจารณ์ตนเองด้วยเหมือนกัน สุดท้ายด้วยความระแวงว่าเติ้งจะหันเหออกจากแนวทางการปฎิวัติของตน เหมาก็สั่งพักงานเติ้งทั้งหมดอีกครั้ง จากคุณ : เหมา (สื่อศิลป) - [ 2 ต.ค. 49 17:24:53 ]

ความคิดเห็นที่ 87 วันที่ 8 มกราคม ปี 1976 เวลา 09.35 น. สถานีีวิทยุปักกิ่งประกา่ศข่าวการมรณกรรมของนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมาเป็นเวลานาน การตายของโจวเอินไหล ทำให้การเมืองของจีนเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้นนึง และในปีนี้ นอกจากการตายของโจวเอินไหลแล้ว ยังตามมาด้วยนายพลจูเต๋อ ผู้นำทางทหารของประเทศ ผู้ร่วมสร้างกองทัพปฎิวัติกับประธานเหมาเป็นครั้งแรกที่ฐานที่มั่นจิงกังซาน และภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กลืนชีวิตผู้คนไปกว่า 2 แสนคน พญามังกรแห่งแผ่นดินจีนก็เดินทางไปรายงานตัวกับคาร์ล มาร์ก อีกคนนึง ปี 1976 จึงเป็นปีแห่งการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินจีน (อดีตนายกฯ หม่อมคึกฤทธิ์ เขียนเล่าไว้เมื่อยามเดินทางไปเปิดสัมพันธ์ไมตรีกับจีนว่าได้พบกับเหมาและจูเต๋อซึ่่งทั้ง 2 ท่าน อยู่ในภาวะป่วยอย่างหนักแล้ว พูดจาแทบไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะจูเต๋อ ได้แค่ทักทายสวัสดี หนีห่าวกันอย่างเดียว) จากคุณ : 1976 (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 11:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เหตุการณ์อสัญกรรมของโจวนั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับการเมืองจีนอย่างมาก เพราะโจวเปรียบได้กับหัวหน้ากลุ่มของผู้ปฎิบัติงานอาวุโสที่เคยถูกแก๊งค์ 4 คนกระหน่ำอย่างหนักมาตลอดช่วงปฎิวัติวัฒนธรรมช่วงแรก การเสียโจวไป หมายถึงการรุกใหญ่อีกครั้งของเจียง ชิง ต่อพรรคพวกของโจว ที่นาทีนี้ไม่มีหัวหน้าคอยคุ้มครองแล้ว และแน่นอน เป้าหมายใหญ่สุดของเจียง ชิง คือเติ้งเสี่ยวผิงนั่นเอง แต่ก่อนที่จะเล่นงานเติ้ง เจียง ชิง ก็ต้องผิดหวัง เมื่อเหมาเจ๋อตุง ประกาศให้หัวโก๊ะฝง อดีตเลขาธิการพรรคประจำหูหนาน หรือข้าราชการบ้านนอกคนนึงคนนี้ที่เหมาหยิบขึ้นมาชุบทอง ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ แทนโจวเอินไหล การขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ของหัวโก๊ะฝง สร้างความแปลกใจให้ทั้งคนในประเทศและสายตาชาวโลกที่จับตามองอยู่ เพราะเมื่อเทียบกับผลงานของโจวเอินไหลแล้ว หัวโก๊ะฝง แทบไม่มีผลงานหรือชื่อเสียงเกียรติคุณใดๆ เลย แม้กระทั่งประวัติของการต่อสู้ร่วมพรรคยุคสงครามล้อมปราบและการเดินทัพทางไกล ก็หาไม่ได้ สิ่งเดียวที่หัวโก๊ะฝง จะพอหามาโปะภาพลักษณ์ของตัวเองให้สมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ การทำภาพถ่ายขนาดใหญ่ เป็นภาพตัวเองยืนจับมือกับประธานเหมา และมีข้อความบรรยายข้างล่างเป็นคำพูดของเหมาว่า "เมื่อท่านรับตำแหน่ง ข้าพเจ้าก็สบายใจ" จากคุณ : หัวโก๊ะฝง (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 12:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 89 สำหรับแก๊งค์ 4 คนแล้ว โจวเอินไหล แม้ตายก็ยังไม่สาสม ในฐานะผู้ที่กุมอำนาจสื่อมวลชนทุกแขนงในแผ่นดินจีน เจียง ชิง สั่งสื่อมวลชนทุดชนิด งดให้ความสำคัญกับข่าวการตายของโจวเอินไหล อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น การตายของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยาวนานที่สุดในโลก และเป็นรัฐบุรุษที่อุทิศตนเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง จึงมีการแสดงความไว้อาลัยด้วยการลดธงครึ่งเสา เพียง 1 ชั่วโมงเท่่านั้น ไม่มีการประกาศไว้อาลัย ไม่มีคำสั่งให้ข้าราชการหรือประชาชนแต่งกายเพื่อไว้ทุกข์ มิหน้ำซ้ำ หนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของเจียงชิง ยังลงบทความประนามโจวเอินไหลเสียอีก แล้วก็เป็นบทความนี้เองที่เป็นตัวจุดชนวนให้ประชาชนจีนที่มีความรักอาลัยในโจวเอินไหล ลุกฮือกันขึ้นมาประท้วง กระทั่งที่เซี่ยงไฮ้เองก็มีประชาชนเดินทางไปล้อมที่ทำการหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เพื่อทวงถามเหตุผลของการนำเสนอ และที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ประชาชนได้ทยอยกันมาร่วมพิธีไว้อาลัยที่จัดขึ้นเอง โดยมีการนำเอาพวงหรีดมาร่วมไว้อาลัยนายกฯ โจว ประมาณการกันว่า มีผู้มาร่วมไว้อาลัยที่เทียนอันเหมินนี้รวมกันแล้วมากกว่า 2 ล้านคน พวงหรีดที่นำมาวางสุมกันสูงเป็นภูเขาเลากา แต่แค่นี้ไม่ครนามือเจียง ชิง เพียงชั่วคืนของวันที่ 4 เมษายน คืนเดียว เจ้าหน้าที่พร้อมรถบรรทุกกว่า 200 คัน ได้มาเก็บพวงหรีดที่ประชาชนนำมาร่วมพิธีไว้อาลัย ณ อนุสาวรีย์วีรชนที่เทียนอันเหมิน กล่าวกันว่า พวงหรีดนั้นกองสุมขึ้นไปแต่ละด้าน สูงถึง 30 ฟุตทีเดียว ทั้งหมดอันตรธานหายไปในคืนเดียว จากฝีมือการบงการของเจียง ชิง จากคุณ : เจียง ชิง (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 12:27:54 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ช่วงนี้พวกพ้องน้องพี่ที่เคยมาแปะรูปบรรยายความประกอบอาจจะห่างหายไปบ้างก็อย่าแปลกใจครับ ที่จีนเขาปิดหยุดฉลองวันชาติกันยาวรวดเดียว 7 วัน ไม่รู้ป่านนี้ ไปจมเหมาไถกันแถวไหนหมดแล้ว ฉลองเสร็จก็อย่าลืมกลับมาแปะรูปให้ดูกันอีกละ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 12:55:24 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ประชาชนที่รักโจวเอินไหล ตอบโต้การกระทำของเจียง ชิง ในการขนพวงหรีดอาลัยไปทิ้งด้วยการทำพวงหรีดเหล็กกล้าสูง 6 เมตร มาวางไว้แทน เป็นการแก้เผ็ดที่พวงหรีดธรรมดาถูกขนไปทิ้งหมด นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมของประชาชนและมีการไฮด์ปาร์ค (คล้ายๆ กับเหตุการณ์เทียนอันเหมินในยุคเติ้ง) แต่การชุมนุมก็เกิดขึ้นได้เพียงวันเดียว เพราะคืนนั้นกองกำลังรักษาความมั่นคงนับพันคนก็เข้าสลายการชุมนุมจนหมดสิ้น เวรกรรมตกมาที่เติ้งอีกเช่นเคย วันที่ 7 เมษายน คณะกรรมการพรรคก็ออกแถลงการณ์ปลดเติ้งเสี่ยวผิงออกจากทุกตำแหน่งอีกครั้่ง และเช่นเดียวกับครั้งก่อน คือยังคงสถานภาพสมาชิกพรรคเอาไว้ แต่ที่ต่างออกไปคือ คราวนี้สมาชิกรุ่นอาวุโสได้รับบทเรียนมาจากการปฎิวัติวัฒนธรรมช่วงแรกแล้ว และเหมาก็ไม่ได้มีสุขภาพดีเหมือนก่อน โดยเฉพาะผู้กุมอำนาจทางทหาร ไม่ใช่พวกแก๊งค์ 4 คน เหมือนสมัยหลินเปียว แต่เป็นนายพลเย่เจียนอิง ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการปฎิวัติวัฒนธรรมมาตั้งแต่ต้น การลี้ภัยของเติ้งคราวนี้จึงดีกว่าครั้่งแรก เพราะได้ไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของนายพลเย่ จากคุณ : เย่ (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 14:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 92 วันที่ 6 กรกฏาคม หลังเหตุการณ์ความวุ่นวายผ่านมาได้แค่ 2 เดือน นายพลจูเต๋อ ผู้สร้างกองทัพแดงควบคู่มากับเหมา ก็ถึงแก่อสัญกรรมตามโจวเอินไหลไปอีกรายด้วยวัย 90 ปี ขณะที่เหมาเองก็ร่อแร่ เกิดอาการหัวใจวายเป็นระยะ ถึงขนาดต้องงดรับแขกจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจหลักเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ (ข่าวว่า เมื่อตอนที่เหมาต้อนรับประธานาธิบดีลีกวนยิวของสิงคโปร์ เหมาเกิดอาการหัวใจวายขึ้นกระทันหัน ทำให้การพบกันครั้งนั้นกินเวลาแค่ 3 นาทีเท่านั้นเอง) และวันที่ 9 กันยายนปีเดียวกันนั้นเอง เหมาเจ๋อตุงก ็ถึงแก่อนิจกรรมตามเพื่อนโจวและเพื่อนจูไปติดๆ ก่อนที่เหมาจะหัวใจวายตายนั้น เขาได้เรียกผู้นำพรรคคนสนิท นำโดยหัวโก๊ะฝง เข้ามาพบ และพูดเป็นนัยว่า ต้องการให้คณะผู้บริหารได้ดำเนินการตามแนวทางการปฎิวัติวัฒนธรรมต่อไป เพราะนี่คือ 1 ใน 2 อย่างที่เหมาภาคภูมิใจมาตลอดชีวิต นั่นคือ การต่อสู้กับเจียงไคเช๊ก และการปฎิวัติวัฒนธรรม จากคุณ : หัว (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 14:51:44 ]

ความคิดเห็นที่ 93 การตายของเหมาเจ๋อตุง ทำให้ความฝันของเจียง ชิง ที่มีมาตลอดตั้งแต่เดินทางมาเสี่ยงโชคที่เยนอาน เรืองรองขึ้นมาทันที แน่นอนว่า สิ่งที่เจียง ชิง ปรารถนาที่สุดก็คือ ตำแหน่งประธานพรรค ซึ่งหมายถึงประธานประเทศ หรือ เหมาเจ๋อตุง คนที่ 2 ของจีนนั่นเอง ความฝันของเจียงชิงไม่ใช่เกิดขึ้นอย่างลมๆ แล้งๆ การวางแนวทางการปฎิวัติวัฒนธรรมที่ดำเนินการมาตลอด 10 ปีเต็ม ด้วยการโค่นล้มผู้ที่ยืนขวางทางตนระหว่างตำแหน่งภรรยาท่านผู้นำ มาเป็นท่านผู้นำเสียเอง ล้วนถูกผลักถูกถีบลงเหวไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเผิงเต๊อะไหว หลิวเซ่าฉี เติ้งเสี่ยวผิง โจวเอินไหล แม้กระทั่งจูเต๊อะ ผู้ที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง แม้กระทั่งประธานเหมาเอง ก็ล้วนตายจากไปหมดแล้ว ส่วนผู้ที่กุมอำนาจอยู่ อย่างนายกฯคนใหม่ หัวโกีะฝง เจียงชิงก็เชื่อว่าจะต้องสนับสนุนตนแน่ เพราะตั้งแต่หัวได้รับการแต่งตั้งมา ก็ไม่เคยที่จะมีเรื่องกับเจียงชิง ตัวเจียง ชิง และแก๊งค์ 4 คน ก็ไม่เคยไประราน เพราะเห็นว่าเป็นคนของเหมา และไม่มีพิษสงอะไร นอกจากนี้แล้ว เจียงชิงและแก๊งค์ ยังมั่นใจกองกำลังทหารบ้านของตนที่จัดตั้งไว้ที่เซี่ยงไฮ้ ฐานที่มั่นของเจียงชิง ที่สามารถระดมกำลังพร้อมสรรพอาวุธเข้ายึดปักกิ่งได้ ด้วยกำลังกว่า 1 แสนคน แถมด้วยกองกำลังทหารบางส่วนที่มีหลานชายของเหมาเป็นรองคอมมิสซาร์ หรือผู้แนะนำทางการเมืองอยู่ ซึ่งเจียงชิงได้ครอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ด้านการเมือง ก็ยังมีหวังหงเหวิน 1 ในสมาชิกของแก๊งค์ กุมอำนาจอยู่ในคณะกรมการเมืองของพรรค ซึ่งเชื่อว่าน่าจะจัดการให้ที่ประชุมพรรคประกาศแต่งตั้งเจียง ชิง เป็นทายาทของเหมาได้ สิ่งที่เจียง ชิง ขาดไปเพียงอย่างเดียว คือ ประกาศการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากเหมา สามีของนางเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วช่วงปลายชีวิต เหมาก็ไม่ได้เห็นเจียงชิงเป็นภรรยาอยู่แล้ว ไม่ได้ใช้ชีวิตครอบครัวเหมือนคนทั่วไป เจียง ชิง จะเข้าพบเหมาก็ต้องทำหนังสือขออนุญาตก่อน และไม่เคยได้รับอนุญาตเลย เจียง ชิง ยังขาดอยู่ก็เพียงกุญแจดอกสุดท้าย ที่ใช้ไขประตูทำเนียบจงหนานไห่ นั่นคือ การสนับสนุนของ หวางตงซิง ทส.ของประธานเหมา ที่โดยตำแหน่งองค์รักษ์ ทำให้หวางตงซิง ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาความปลอดภัยพิเศษหน่วยที่ 8341 หรือเปรียบได้กับทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นั่นเอง ด้วยทหารหน่วยนี้เป็นทหารที่อยู่ใกล้ขั้วอำนาจมากที่สุด และหากหวางตงซิงเอาด้วยกับเจียงชิง ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่สั่งทหารเข้าล๊อกตัวบรรดากรรมการกรมการเมือง ซึ่งเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของพรรค ซึ่งมีเพียงไม่กี่คน แถมเจียง ชิง และหวางหงเหวิน ยังร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย จากนั้น ก็ให้กรมการเมืองประกาศมติแต่งตั้งให้เจียง ชิง ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ทุกอย่างก็จบ จากคุณ : วางตงซิง (สื่อศิลป) - [ 3 ต.ค. 49 17:21:01 ]

ความคิดเห็นที่ 94 เติ้งเสี่ยวผิง แมวเก้าชีวิต ออกงานอีกครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม 1973 ในงานเลี้ยงต้อนรับเจ้านโรดม สีหนุ จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 13:42:16 ]

ความคิดเห็นที่ 95 วันที่ 9 กันยายน 1975 ขณะที่เจ้านโรดม สีหนุ เดินทางกลับกรุงพนมเปญ จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 13:47:04 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ภาพนี้น่าจะเป็นช่วงที่กลับคืนอำนาจอีกครั้ง เติ้งเสี่ยวผิงจับมือกับเหมา จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 13:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ กับเหมา จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 13:58:06 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ เจรจา กับ โจวเอินไหล วันที่ 9 กรกฎาคม 1971 จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 14:03:49 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เติ้งขณะพูดในองค์การสหประชาชาติ เดือนเมษายน ปี 1974 จากคุณ : sofatboy - [ 4 ต.ค. 49 14:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 100 งานนี้แหละครับที่ว่านักข่าวต่างประเทศให้ความสนใจกับการปรากฎตัวของเติ้งมากเสียยิ่งกว่าการมาเยือนของนโรดมเสียอีก (แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปหานโรดมอยู่ดี เพราะขานั้นกลับไปก็โดนรัฐประหารกลายเป็นข่าวใหญ่อีก) ส่วนรูปที่ไปพูดที่สหประชาชาติ นั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความแค้นเคืองให้กับแก๊ง 4 คนเป็นที่ยิ่ง เพราะหน้าที่นี้จริงๆ แล้วต้องเป็นหน้าที่ของโจวเอินไหล แต่เมื่อโจว สุขภาพไม่ดี ในฐานะที่เจียง ชิง ส่งคนไปคุมกระทรวงการต่างประเทศเอาไว้เสียเยอะ ก็น่าจะได้สิทธิในการส่งคนของตัวไป แต่ปรากฎว่าโจวกลับยืนยันให้เติ้งเดินทางไปแทน และเหมาก็เห็นชอบด้วย เนื้อหาสำคัญที่เติ้งเอาไปพูด คือ เรื่องของทฤษฎี 3 โลก ที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโซเวียตอย่างยิ่ง เพราะจีนจับเอาโซเวียตไปรวมกับกลุ่มโลกที่ 2 ขณะที่จีนอยู่กลุ่มโลกที่ 3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนจะเป็นผู้นำกลุ่มของประเทศที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่ งานนี้พลพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกก็แตกหนักเข้าไปอีก สายจีนก็ขยายผลทฤษฎี 3 โลกเสียยกใหญ่ ขณะที่สายโซเวียตก็สวนกลับว่าจริงๆ แล้ว จีนพยายามที่จะ "ครองความเป็นเจ้า" เสียมากกว่า แต่คนที่ได้จริงๆ คือเติ้งเสี่ยวผิง เพราะหมายถึงการกลับมาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ แถมยังมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมเยียนถิ่นเก่าที่ฝรั่งเศสสมัยที่เติ้งเคยแวบไปเรียนกึ่งทำงานอยู่ที่โรงงานรถยนต์เรโนลด์ และได้รู้จักกับโจวด้วย เรื่องทำงานและเรียนที่ฝรั่งเศสนี้เป็นเรื่องที่เจียงชิงเคยงัดเอามาเล่นงานเติ้งอยู่ครั้งนึง ประมาณว่ากะเอาให้ตาย ทั้งๆ ที่ตัวนางเองก็มีปมด้อยในเรื่องนี้เช่นกัน นั่นคือประเด็นที่ว่า เติ้ง เข้าพรรคมาได้ไง คล้ายๆ จะบอกว่าประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน ดีไม่ดี อาจจะเป็นพวกสายลับก๊กมินตั๋งแอบเข้ามาก็ได้ เพราะตลอดเวลาที่เคลื่อนไหวในเมืองก่อนขึ้นจิงกังซาน เติ้งไม่เคยถูกตำรวจจับกุมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมก๊วน ต่างเคยโดนรวบมาแล้วทั้งนั้น งานนี้นอกจากเจียง ชิง จะตีไม่โดนแผนของเติ้งแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เติ้งได้รับรับตราประทับรับรองชั้นดีอีก เพราะคนที่มาการันตีประวัติการเข้าพรรคของเติ้ง ก็คือโจวเอินไหลนี่เอง โดยกล่าวว่า เติ้งเข้าพรรคมาตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ที่ฝรั่งเศสแล้ว เรื่องนี้โจวในฐานะผู้อยู่ฝรั่งเศสร่วมสมัยกัน ยืนยันให้ได้ จากคุณ : UN (สื่อศิลป) - [ 4 ต.ค. 49 15:40:11 ]

ความคิดเห็นที่ 101 แผนการรัฐประหารของแก๊งค์ 4 คน เริ่มต้นไว้คร่าวๆ ด้วยการตระเตรียมกำลังจากทหารบ้านที่เซี่ยงไฮ้ ประกอบกับสหภาพแรงงาน รวมทั้งวาดหวังกองกำลังที่หลานของเหมาคุมอยู่จะเข้าร่วมด้วย ที่สำคัญ คือ วางตงเซิงกับหัวโก๊ะฝง ที่อยู่ข้างกายเหมาในช่วงสุดท้าย จะเป็นผู้ชี้ชะตาว่าใครจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ต่อจากเหมา หวังหงเหวินนั้น เตรียมการวางข่ายสายโทรศัพท์ไปยังขุมกำลังต่างๆ เอาไว้เผื่อการบัญชาการจะได้รวดเร็วทันใจ สิ่งที่เจียง ชิง ไม่ได้คาดไว้ก็คือ เติ้งเสี่ยวผิง ที่คราวนี้แม้จะตกกระป๋องอีกครั้ง แต่ไม่ได้ระหกระเหินเป็นนกขาดรังเหมือนครั้งก่อน แต่ตลอดเวลาที่ถูกปลดพ้นออกจากตำแหน่ง เขาได้รับการดูแลจากคนสนิทของนายพลเย่เจียนอิง รมว.กลาโหม ซึ่งย่อมหมายถึงการหารือถึงอนาคตบ้านเมืองกันตลอดเวลา จริงๆ แล้ว แผนการจัดการกับแก๊งค์ 4 คน น่าจะถูกวาดขึ้นมาตั้งแต่โจวเอินไหลยังไม่ตายแล้ว เพราะตลอดเวลาที่โจวนอนป่วยกลุ่มของเติ้งได้ไปเยี่ยมและปรึกษาหารือกันอยู่เป็นประจำ เรื่องนี้เจียงชิงก็มองเห็นอยู่ และพยายามยุยงคนใกล้ชิดของเหมา ที่ตอนนี้เลือกเอาหลานสาวของตัวเองเข้ามาเป็นเลานุการและล่าม ซึ่งเจียง ชิง ก็เป่าหูให้วางระเบิดนายกฯโจวกับเหมาตลอดเวลา โดยพุ่งประเด็นไปที่ว่า โจว พยายามขัดขวางการปฎิวัติวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา จากคุณ : หวาง (สื่อศิลป) - [ 4 ต.ค. 49 16:10:48 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ภารกิจในการล้มแก๊งค์ 4 คน ในเกมสุดท้าย คือ นายพลเย่เจี้ยนอิง รมว.กลาโหมที่มาแทนหลินเปียว และเป็นพวกที่อยู่ในกลุ่มของผู้ปฎิบัติงานรุ่นเก่าที่เคยโดนเจียง ชิง เล่นงาน สมัยปฎิวัติวัฒนธรรม ด้วยตำแหน่งหน้าที่และสายสัมพันธ์ตั้งแต่สมัยการต่อสู้สงครามกลางเมือง ทำให้นายพลเย่ สามารถรวบรวมกำลังจากทหารทุกเหล่าทัพมาสนับสนุนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วางตงเซิง ทส.เหมา และหัวโก๊ะฝง ทายาททางการเมืองของเหมาอย่างเป็นทางการ เดิมทีนั้น เย่ วางแผนวัน ว. เวลา น. เอาไว้ว่าจะเป็นช่วงวันที่ 10 ตุลาคม แต่เมื่อเช๊กข่าวแล้วปรากฎว่ามีข่าวออกมาว่าทางแก๊งค์ 4 คน จะทำรัฐประหารในช่วงนั้นเหมือนกัน (ทำไมก็ไม่รู้ หรือว่าไปหาหมอดูฤกษ์คนเดียวกัน) ก็เลยตัดสินใจว่า จะต้องหักดิบเสียก่อน นั่นคือ กำหนดวัน ว. เวลา น.ใหม่ เป็นวันที่ 6 ตุลาคม เวลา 20.00 น. (เป็น 6 ตุลาเดียวกับเหตุการณ์นองเลือดของเราที่ธรรมศาสตร์ และลงมือปฎิบัติการหลังจาก พล.ร.อ.ชลอทำการรัฐประหารที่บ้านเรา แค่ 3 ชั่วโมงเอง) จากคุณ : ว. (สื่อศิลป) - [ 4 ต.ค. 49 16:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ตามแผนที่วางไว้ หัวโก๊ะฝง ในฐานะผู้รับผิดชอบในเรื่องการจัดพิมพ์สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง ฉบับที่ 5 ได้ออกประกาศนัดหมายให้คณะกรรมการกรมการเมืองประจำมาประชุมเพื่อพิจารณาตรวจร่างสรรนิพนธ์นี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจัดพิมพ์ ซึ่งการนัดประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองนี้ ส่งผลให้ หวางหงเหวินและจางชุนเฉียว ซึ่งเป็นคณะกรรมการกรมการเมืองอยู่แล้ว ต้องมาแน่ๆ ส่วนเหยาเหวินหยวนนั้น หัวได้นัดมาเป็นกรณีพิเศษ โดยอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของสรรนิพนธ์ของเหมา อยากให้มาช่วยด้วย ก็เข้าทางแก๊งค์ 4 คน ที่ประกาศตัวเป็นสาวกเหมาอย่างสุดจิตสุดใจ เรื่องแบบนี้มีหรือจะไม่มา ทางด้านนางเจียง ชิง นั้น นายพลเย่แยกให้จัดการต่างหากด้วยการส่งหน่วยปฎิบัติการพิเศษบุกไปจับถึงบ้านของเจียงชิงที่สร้างอยู่ใกล้ๆ กับเจดีย์ขาวที่ปักกิ่ง กำหนดนัดหมาย ทั้ง 3 คนของแก๊งค์ ต้องเดินทางมาที่ห้องประชุมศาลาประชาคม เทียนอันเหมิน ในเวลา 20.00 น. ซึ่งที่นั่น วางตงเซิง ผบ.กองกำลังพิเศษ องค์รักษ์ประธานเหมา ได้จัดวางกำลังรอท่าเอาไว้แล้ว โดยวางเองนั้น แอบบอยู่หลังม่านด้วย จากคุณ : จางชุนเฉียว (สื่อศิลป) - [ 4 ต.ค. 49 17:10:14 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ข่าวจากเดลินิวส์..วันนี้ น่าสนใจมาก ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเรื่องดีๆ มาฝากกันเช่นเคย ซึ่งวันนี้เราอยากจะขอเชิญชวนทุกๆ คนไปเที่ยวห้องสมุดกัน แต่ห้องสมุดที่เราจะพาไปนั้นรับรองว่าแปลกกว่าที่อื่นแน่ๆ ห้องสมุดที่ว่านี้ชื่อว่า 'MV DOULOS' (เอ็มวี ดูลอส) สำหรับดูลอสนั้น เป็นห้องสมุดที่สร้างขึ้นบนเรือเดินสมุทรที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1914 หลังเรือไททานิคเพียง 2 ปีเท่านั้น และตลอด 28 ปีที่ผ่านมา เรือดูลอสได้แวะจอดตามท่าในประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ ต้อนรับผู้เข้าชมบนเรือกว่า 18 ล้านคน นอกจากจะสร้างบนเรือที่เก่าแก่ที่สุดแล้ว ยังเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ภายในมีหนังสือภาษาอังกฤษมากกว่า 6,000 ชื่อเรื่อง ครอบคลุมในหัวข้อต่างๆ เช่น กีฬาและงานอดิเรก การศึกษาและการทำอาหาร พจนานุกรม หนังสือเกี่ยวกับเด็กและอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งหนังสือภาษาไทยที่คัดสรรมาจำหน่ายจำนวนหนึ่ง ด้านลูกเรือนั้น ก็เป็นอาสาสมัครชาวคริสเตียน 320 คน จากตัวแทนกว่า 45 เชื้อชาติ ที่จะคอยให้คำแนะนำ และความรู้เกี่ยวกับเรือดูลอส ตรงนี้นักท่องเที่ยวยังได้ร่วมสนทนาภาษาอังกฤษอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีการแสดงต่างๆมากมายจากลูกเรือ ที่จะแบ่งออกเป็นรอบๆ ซึ่งตรงนี้สามารถตรวจสอบได้จากตารางการแสดงบนเรือ สำหรับค่าเข้าชมนั้น ก็ไม่แพงอย่างที่คิด เพียง 10 บาทเท่านั้น ถ้าเทียบกับความรู้และความสนุกที่จะได้รับ ราคานี้ถูกสุดๆ!!! ใครที่สนใจก็สามารถไปเยี่ยมชมเรือดูลอสได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 ตุลาคม ที่ท่าเทียบเรือคลองเตย บริเวณโโกดังหมายเลข 1 (กรุณาพกบัตรประชาชนไปด้วย ถ้าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ควรมีผู้ปกครองไปด้วย) หมายเหตุ : มีรถประจำทางให้บริการถึงท่าเรือคลองเตย สาย : 4, 47 ,72,102,162 ...................................................... ถ้าอยู่เมืองไทยนะ..จะไปทุกวันเลย จากคุณ : WIWANDA - [ 5 ต.ค. 49 10:25:54 ]

ความคิดเห็นที่ 105 แหม อัพเดตข่าวเมืองไทยจริงๆ พี่ เห็นแล้วก็อยากไปเหมือนกัน ขอรอให้เครื่องยนต์มันเดินดีก่อน ตอนนี้ อาการมันเปลี่ยนไปอีกแบบแล้ว จากที่เคยไอไม่หยุด คราวนี้มันหยุดไอ แต่อาเจียนแทน นั้งพิจารณาอาการแล้ว มันไม่ใช่อาการของโรคแล้วละ เพราะมันหมดระยะการทำงานของไวรัสไปแล้ว แต่ที่เป็นอยู่นี้มันเป็นผลข้างเคียงของยาที่กินเข้าไปทั้งนั้นเลย ปกติจะหายใจติดขัดและไอบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นอาการของการทำงานในการขจัดของเสียออกจากร่างกายปกติ แต่พอกินยาเข้าไปมากๆ มันบังคับให้ไม่ต้องทำอาการแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วยังจำเป็นต้องมีอยู่ มันเลยเกิดอาการย้อนกลับเสียนี่ ตอนนี้เลยหยุดยาทุกชนิดมาหลายวันแล้ว อาการดีขึ้นเป็นลำดับ แต่กล่องเสียงที่ผ่านการไอแบบเอาเป็นเอาตายมา 2 สัปดาห์เต็ม ตอนนี้เลยเพราะกว่าเป็ดเทศนิดนึง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 5 ต.ค. 49 10:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 106 เอ่อ อาการอาเจียนนี่ เป็นผลข้างเคียงจากการเอาแอลกอฮอล์ปอร์เซ็นต์ต่ำเข้าไปฆ่าเชื้อจนเกินขนาดรึเปล่าครับ จากคุณ : @(-_-)@ - [ 5 ต.ค. 49 15:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เป็น 1 ในข้อสันนิษฐานครับ ตอนนี้กำลังพิสูจน์ทราบด้วยการทำซ้ำอยู่ เพื่อหาว่าไอ้ขวดไหนกันแน่ที่มันมีผลข้างเคียงแบบนั้น แต่ทีนี้ัเกิดปัญหาว่า ตัวแปร มันเยอะ เช่้น ปริมาณ ระยะเวลา ส่วนผสม อารมณ์ฯลฯ ก็เลยยังหาข้อสรุปที่จะยกระดับเป็นทฤษฎีไม่ได้ เลยต้องลองทำซ้ำหลายๆ หนให้ out put มันเสถียรครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 5 ต.ค. 49 15:58:46 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เมื่อไหร่จะหายซะทีนะ รอให้พาไปออกรอบภูเขามังกรอยู่นานแล้ว ป่วยการเมืองหรือเปล่าคะอาจารย์ ออกจากงานเมื่อไหร่อาจจะหายทันทีก็ได้ ลองดูจิ้ :p จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 5 ต.ค. 49 20:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 109 MV DOULOS จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 5 ต.ค. 49 21:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 110 MV DOULOS ครั้งที่เทียบท่าภูเก็ต จากคุณ : Tweety สี่ตา - [ 5 ต.ค. 49 21:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ถึงเวลาขึ้นบ้านใหม่ซะที... ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้K4769414 จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ต.ค. 49 03:30:04 ]