ผู้ที่ติดตามข่าวต่างประเทศคงทราบกันดีว่าในขณะนี้โลกกำลังระอุอุ่นด้วยไอแห่งสงครามอันมีต้นเหตุมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและอิรักที่มีประธานาธิบดีซัดดัม
ฮุสเซนเป็นผู้นำ
สำหรับสาเหตุความนัยนั้นเกิดจากเมื่อครั้งเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี
ค.ศ. 1990 ในครั้งนั้นอิรักรุกรานคูเวตและถูกกองกำลังของสหประชาชาติภายใต้กำลังหลักที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาโจมตีอิรักจนย่อยยับในปี
ค.ศ. 1991 รวมทั้งหลังจากสงคราวอ่าวเปอร์เซีย
อิรักถูกจับตาควบคุมจากสหรัฐอเมริกามาโดยตลอดทั้งนี้เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเกรงว่าอิรักจะสะสมอาวุธร้ายเพื่อก่อสงครามอีก
โดยการตรวจสอบการสะสมอาวุธของประเทศอิรักนั้นกระทำโดยคณะผู้ตรวจสอบขององค์การสหประชาชาติซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายชาติรวมทั้งจากสหรัฐอเมริกา
หากพบว่ามีการสะสมอาวุธก็จะทำลายเสีย
ในปี ค.ศ. 1997 คณะผู้ตรวจสอบอาวุธรายงานว่าอิรักพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับโครงการสร้างอาวุธร้ายต่างๆ
รวมทั้งยังกีดกันการเข้าไปตรวจสอบตามสถานที่ต่างๆที่คณะผู้ตรวจสอบสงสัยโดยอ้างว่าไม่ยินดีต้อนรับผู้ตรวจสอบชาวอเมริกันที่อยู่ในคณะ
และขอให้เปลี่ยนตัวเป็นผู้ตรวจสอบจากชาติอื่นแทน
|
บิลล์ คลินตัน
ประธานาธิบดี
ของสหรัฐอเมริกา
|
ฝ่ายสหรัฐอเมริกาไม่พอใจต่อถ้อยแถลงของอิรักและตอบโต้อิรักว่าที่กีดกันผู้ตรวจสอบชาวอเมริกันเนื่องจากมาผู้ตรวจสอบชาวอเมริกันที่อยู่ในคณะมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการตรวจสอบแหล่งอาวุธเคมีและชีวภาพเป็นอย่างดี
รวมทั้งหัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบอาวุธยังเป็นชาวอเมริกันอีกด้วย
หากตัดบุคคลเหล่านี้ออกจากคณะก็จะทำให้อิรักตบตาคณะผู้ตรวจสอบได้สะดวกขึ้น
พร้อมทั้งยืนกรานไม่เปลี่ยนผู้ร่วมคณะและพยายามที่จะใช้กำลังกดดันอิรักให้ยอมรับการตรวจสอบแหล่งซุกซ่อนอาวุธอย่างไม่มีเงื่อนไข
|
ริชาร์ด
บัตเลอร์ หัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบ
อาวุธของสหประชาชาติกำลังคุยกับคนนำ
ทางขณะอยู่ในกรุงแบกแดด
ในขณะที่
ทางอิรักพยายามปกปิดข้อมูลจาก
ผู้ตรวจสอบคณะนี้
|
สงครามได้ตั้งเค้าทะมึนขึ้นเนื่องจากทั้งสหรัฐอเมริกาและอิรักต่างแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกัน
และสหรัฐถึงกับระดมสรรพกำลังมุ่งสู่อ่าวเปอร์เซียเพื่อเตรียมใช้กำลังเข้าตัดสินปัญหา
ในขณะที่หลายชาติซึ่งเป็นสมาชิกถาวรขององค์การสหประชาชาติ
เช่น รัสเซีย
ฯลฯ ไม่เห็นด้วยกับการก่อสงคราม
นายโคฟี อันนัน
เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะใช้วิธีทางการทูตเข้าแก้ปัญหาแทน
โดยเดินทางเข้าประเทศอิรักเพื่อเจรจากับซัดดัม
ฮุสเซน และมีเค้าว่าจะประสบความสำเร็จโดยซัดดัม
ฮุสเซนยอมให้คณะผู้ตรวจสอบเข้าตรวจสอบอาวุธได้อย่างเต็มที่
ส่วนประธานาธิบดีบิลล์
คลินตันแห่งสหรัฐอเมริกาก็ยอมถอยมาก้าวหนึ่งโดยจะไม่โจมตีอิรักหากอิรักปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับนายอันนันโดยไม่บิดพลิ้ว
โคฟี
อันนัน (ซ้าย)
เลขาธิการองค์การ
สหประชาชาติและซัดดัม
ฮุสเซน (ขวา)
ประธานาธิบดีอิรัก
|
|
ส่วนสาเหตุที่คลินตันต้องการจะใช้กำลังถล่มอิรักให้ได้นั้น
ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าเป็นเพราะว่าสหรัฐอเมริกาต้องการสลายศักยภาพทางการทหารของอิรักเพื่อไม่ให้เป็นภัยในภายหลัง
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเชื่อว่าในหลายปีมานี้อิรักน่าจะสะสมอาวุธร้ายไว้ได้มาก
ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเคมี
อาวุธชีวภาพ
ตลอดไปจนถึงอาวุธนิวเคลียร์หรือที่เรียกว่า
นุก (nuc ย่อมาจาก
nuclear weapon หรืออาวุธนิวเคลียร์)
และที่สหรัฐอเมริกาค่อนข้างจะคร้ามเกรงก็คืออาวุธชีวภาพและอาวุธเคมีนั่นเอง
อาวุธชีวภาพ
อาวุธชีวภาพ
(biological weapon) คืออาวุธที่ได้จากสิ่งมีชีวิต
ซึ่งครอบคลุมถึงตัวสิ่งมีชีวิตเอง
สารพิษจากสิ่งมีชีวิต
หรือแม้กระทั่งฮอร์โมนหรือสารอื่นใดที่สิ่งมีชีวิตผลิตขึ้นมา
หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คืออาวุธเชื้อโรคหรืออาวุธสารพิษที่สกัดจากจุลินทรีย์นั่นเอง
อาวุธชีวภาพนี้เป็นอาวุธที่ผลิตได้ง่าย
แม้โรงนาเล็กๆสักหลังก็ยังสามารถดัดแปลงมาใช้เป็นแหล่งผลิตอาวุธชีวภาพได้
มนุษย์รู้จักผลิตอาวุธเชื้อโรคหรืออาวุธชีวภาพนี้โดยเลียนแบบจากการสังหารหมู่ตามธรรมชาติ
นั่นคือการเกิดโรคระบาดนั่นเอง
โรคระบาดที่ร้ายแรงสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้นับล้านๆคนอย่างที่เกิดมาแล้วอย่างเช่นการเกิดโรคไข้ทรพิษหรือที่เรียกว่า
มฤตยูดำ
ระบาดในยุโรปเมื่อคริสต์ศตวรรษที่
14 ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตไปถึง
75 ล้านคน หรือการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดไปทั่วโลกเมื่อปี
ค.ศ. 1918-1919 มีผู้เสียชีวิตไปราว
22 ล้านคน จะเห็นได้ว่าฤทธิ์เดชของเชื้อโรคนั้นไม่ได้ด้อยกว่าระเบิดปรมาณูเลย
เมื่อโรคระบาดมีอำนาจคร่าชีวิตผู้คนได้เป็นจำนวนมาก
จึงมีผู้คิดเลียนแบบธรรมชาติโดยเพาะโรคร้ายบางชนิดไว้ใช้เพื่อการสงคราม
โดยอาจใช้ตัวจุลินทรีย์เองหรืออาจสกัดเอาเฉพาะสารสำคัญที่เป็นพิษต่อมนุษย์ก็ได้
เท่าที่มีหลักฐานปรากฏ
การใช้อาวุธชีวภาพเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในอาณาจักรโรมันเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว
โดยชาวโรมันนำสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคตายไปทิ้งไว้ที่แหล่งน้ำของข้าศึก
เมื่อข้าศึกบริโภคน้ำจากแหล่งน้ำนั้นก็เกิดอาการป่วย
เป็นการตัดกำลังรบและทำลายขวัญของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี
ส่วนอาวุธชีวภาพในยุคปัจจุบันนั้นก็ยังเป็นหลักการเดิม
เพียงแต่พัฒนาวิธีการให้ใช้งานสะดวกและได้ผลมากขึ้น
โดยมีการเลี้ยงเชื้อโรคที่ต้องการเป็นจำนวนมาก
จากนั้นเก็บรักษาไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องใช้งาน
วิธีการใช้นั้นก็อาจโปรยลงมาจากเครื่องบินหรือนำไปทำเป็นหัวรบของขีปนาวุธยิงสู่พื้นที่เป้าหมาย
เนื่องจากการผลิตอาวุธชีวภาพทำได้ไม่ยากนัก
ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง
รวมทั้งยังมีต้นทุนในการผลิตไม่แพง
แม้ประเทศที่ยากจนก็สามารถผลิตขึ้นมาได้
ดังนั้นอาวุธชนิดนี้จึงถูกเรียกอย่างขำๆว่าเป็น
นุกของคนยาก
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วฤทธิ์เดชของมันไม่น่าขำเลยแม้แต่น้อย
สหรัฐอเมริกาเชื่อว่าอิรักมีการผลิตอาวุธชีวภาพขึ้นมาอย่างลับๆ
เพราะสามารถผลิตขึ้นมาที่ไหนก็ได้
ยากแก่การตรวจสอบของคณะผู้ตรวจสอบ
รวมทั้งจากประวัติที่ผ่านมา
เคยมีการตรวจพบแหล่งอาวุธชีวภาพในอิรักเมื่อปี
ค.ศ. 1985 ซึ่งมีทั้งอาวุธเชื้อโรคและอาวุธสารพิษที่ผลิตจากเชื้อโรค
ได้แก่ โรคแอนแทรกซ์
(anthrax) อันเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง,
พิษบอตทูลินัม
(botulinum toxin) อันเป็นสารพิษที่ได้จากแบคทีเรีย,
พิษอะฟลาทอกซิน
(aflatoxin) อันเป็นสารพิษที่ได้จากรา,
และไรซิน (ricin) อันเป็นสารพิษที่ได้จากเมล็ดละหุ่ง
เมื่ออิรักเคยผลิตอาวุธเหล่านี้มาแล้ว
การจะผลิตขึ้นมาใหม่อีกจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
และก็เป็นจริงดังคาด
ในปี ค.ศ. 1991 ก่อนที่จะเกิดสงคราวอ่าวเปอร์เซีย
อิรักได้ยอมรับต่อคณะผู้ตรวจสอบอาวุธขององค์การสหประชาชาติว่ามีการวิจัยเกี่ยวกับอาวุธเชื้อโรคแอนแทรกซ์
ซึ่งจากการยอมรับของอิรักในครั้งนั้นเองทำให้ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกายกพลเข้าโจมตีอิรักในสงครามอ่าวเปอร์เซียเกิดความกังวลต่ออาวุธเชื้อโรคนี้และหาทางป้องกันโดยฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ให้แก่ทหารที่ส่งเข้าประจำการในอ่าวเปอร์เซีย
ต่อมาในปี
ค.ศ. 1995 อิรักก็ได้ยอมรับต่อคณะผู้ตรวจสอบอาวุธขององค์การสหประชาชาติอีกว่าอิรักมีอาวุธเชื้อโรคแอนแทรกซ์อยู่ในครอบครอง
รวมทั้งยังมีอาวุธชีวภาพอื่นๆอีกด้วย
เราลองมาดูกันว่าอิรักครอบครองอาวุธชีวภาพอะไรไว้บ้าง
และอาวุธเหล่านี้มีประสิทธิภาพเพียงใด
|
แผนที่แสดงที่ตั้งของประเทศอิรัก
พร้อมทั้งแสดงเมืองอัลฮากัม
(Al Hakum)
อันเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กรุงแบกแดดซึ่ง
ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตอาวุธชีวภาพ
แหล่งผลิตแห่งนี้ถูกคณะผู้ตรวจสอบ
ขององค์การสหประชาชาติตรวจพบในปี
ค.ศ. 1995 และถูกทำลายในปี
ค.ศ. 1996
|
อาวุธเชื้อโรคแอนแทรกซ์
อาวุธเชื้อโรคมักเตรียมมาจากเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคระบาดรุนแรง
และหนึ่งในเชื้อโรคที่มีศักยภาพสูงในการนำมาผลิตเป็นอาวุธเชื้อโรคได้แก่โรคแอนแทรกซ์
(Anthrax)
โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคระบาดร้ายแรงในปศุสัตว์
เช่น แพะ แกะ
วัว และม้า ฯลฯ
ในสมัยก่อน
ผู้ที่เป็นโรคนี้มักได้แก่ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับปศุสัตว์และอุตสาหกรรมขนแกะ
ทั้งนี้โดยได้รับเชื้อมาจากสัตว์อีกทีหนึ่ง
แต่หลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์และการพัฒนาระบบสุขาภิบาลที่ดีแล้ว
โรคนี้ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้และไม่ค่อยปรากฏผู้ที่เป็นโรคนี้อีก
ในสหรัฐอเมริกา
ผู้ป่วยด้วยโรคแอนแทรกซ์รายล่าสุดเป็นสัตว์แพทย์ซึ่งต้องทำงานคลุกคลีกับสัตว์ที่เป็นโรคและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี
ค.ศ. 1992
แต่การที่ไม่ค่อยมีผู้ป่วยด้วยโรคแอนแทรกซ์ไม่ได้แปลว่าโรคแอนแทรกซ์ไม่มีพิษสงแต่อย่างใด
เพราะแท้ที่จริงแล้วโรคแอนแทรกซ์นี้จัดเป็นเชื้อโรคอันตรายตัวหนึ่งทีเดียว
โรคแอนแทรกซ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า
แบซิลลัส แอนทราซิส
(Bacillus Anthracis) ซึ่งเป็นแบคทีเรียประเภทแกรมบวก
(gram positive bacteria, เป็นวิธีการทางห้องทดลองที่ใช้ในการจำแนกประเภทแบคทีเรียโดยการย้อมสี)
แบคทีเรียชนิดนี้มีการสืบพันธุ์โดยการสร้างสปอร์
สปอร์ของแบคทีเรียนี้เปรียบได้กับละอองเรณูของเกสรดอกไม้ซึ่งสามารถล่องลอยไปในอากาศได้แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
และเมื่อตกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
สปอร์นี้ก็จะเจริญเป็นแบคทีเรียและแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งสปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์นี้มีการสร้างเกราะหุ้มอีกด้วย
จึงทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี
ภาพเชื้อโรคแอนแทรกซ์ถ่ายจาก
กล้องจุลทรรศน์
|
|
โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคที่มีระยะฟักตัวค่อนข้างสั้น
คือราว 1-5 วัน
แต่โดยทั่วไปมักเป็น
2 วัน ทำให้การระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่รับเชื้อแอนแทรกซ์เข้าไปสามารถเกิดได้
2 ทาง คือ สปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์ซึ่งลอยอยู่ในอากาศหรือตกอยู่ตามพื้นดินเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล
ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบเลือด
กับอีกวิธีหนึ่งคือการหายใจเอาสปอร์เข้าไป
ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
|
นายวิลเลียม
โคเฮน รัฐมนตรีกลาโหม
ของสหรัฐอเมริกากำลังถือห่อ
น้ำตาลทรายหนักราว
2 กิโลกรัมอยู่ในมือ
โคเฮนกำลังเปรียบเทียบให้เห็นว่าเชื้อโรค
แอนแทรกซ์ปริมาณเท่าห่อนี้ก็สามารถคร่า
ชีวิตผู้คนได้ถึง
3 ล้านคน
|
โรคแอนแทรกซ์ที่ติดเชื้อทางบาดแผลจะมีอัตราตายราวร้อยละ
20 แต่หากติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจจะมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ
80 หมายถึงว่าผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้
100 คนจะมีโอกาสรอดเพียง
20 คนเท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นโรคที่เหมาะที่จะนำมาผลิตเป็นอาวุธชีวภาพ
การรักษาสามารถทำได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะ
แต่ต้องรีบรักษาแต่เนิ่นๆ
หากปล่อยไว้จนอาการของโรคแสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วการรักษามักไม่เป็นผล
เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินหายใจ
อาการเริ่มแรกจะคล้ายไข้หวัด
มีน้ำมูกไหล
หลังจากนั้นไม่นานอาการจะรุนแรงขึ้น
ผู้ป่วยจะช็อก
หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด
ภาพแผลที่เกิดจากการติดเชื้อ
แอนแทรกซ์ทางผิวหนัง
ภาพ A
อาการที่เห็นนี้เป็นอาการในขั้นต้น
แม้จะได้รับการรักษาโดยใช้ยา
ปฏิชีวนะและทำความสะอาดบาดแผลแล้ว
แต่อาการและก็ยังลุกลามต่อไปอีกระยะ
หนึ่ง
ภาพ D และ E เป็นสภาพของ
แผลหลังได้รับการรักษา
10 วันและ 15
วันตามลำดับ
|
|
การป้องกันสามารถทำได้โดยฉีดวัคซีนป้องกันล่วงหน้า
โดยต้องฉีดวัคซีน
1 ชุด รวม 6 เข็มในเวลา
2 ปี จากนั้นต้องฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิเป็นประจำปีละครั้ง
หลังฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วราว
3 สัปดาห์ ร่างกายจึงค่อยสร้างภูมิคุ้มกัน
หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ทันให้สวมหน้ากากป้องกันก๊าซพิษเพื่อป้องกันการติดเชื้อแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินหายใจ
การใช้เชื้อโรคแอนแทรกซ์เป็นอาวุธสามารถทำได้โดยการนำเชื้อแอนแทรกซ์ที่เพาะเลี้ยงไว้และเก็บในรูปสารละลายมาฉีดพ่นโดยเครื่องบิน
หรือใช้ทำเป็นหัวรบ
ซึ่งญี่ปุ่นเคยใช้อาวุธเชื้อโรคแอนแทรกซ์นี้กับชาวจีนมาแล้วเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่
2
มีรายงานว่าอิรักมีระเบิดซึ่งบรรจุเชื้อแอนแทรกซ์อยู่ในครอบครอง
50 ลูก รวมทั้งมีหัวรบเชื้อแอนแทรกซ์สำหรับติดขีปนาวุธเพื่อโจมตีจากระยะไกลอีก
4 ลูก แต่นักวิเคราะห์คาดว่าอิรักอาจมีมากกว่านี้อีก
ผู้ที่อยู่ในพื้นที่แพร่กระจายของสปอร์จะหายใจเอาสปอร์เข้าไปในปอดและทำให้เกิดการติดเชื้อ
นอกจากนี้ สปอร์ของแอนแทรกซ์ยังทนทานต่อสภาพแวดล้อมมาก
สามารถพักตัวอยู่ในดินได้นานนับปี
ดังนั้นสปอร์ของแอนแทรกซ์ตกอยู่ในพื้นที่ใด
พื้นที่นั้นจะไม่สามารถใช้ทำกสิกรรมหรือปศุสัตว์ได้อย่างน้อย
2-3 ปี
เชื้อแอนแทรกซ์สามารถนำไป
บรรจุในหัวรบของขีปนาวุธ
เพื่อใช้โจมตีเป้าหมายในระยะ
ไกลได้
|
|
ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับอาวุธเชื้อโรคของอิรักชนิดนี้
ทั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐเองก็เคยพัฒนาอาวุธเชื้อโรคแอนแทรกซ์มาตั้งแต่ช่วงปี
ค.ศ. 1950-1970 ดังนั้นจึงตระหนักถึงฤทธิ์เดชของมัน
อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐอเมริกาเองประเมินว่าประเทศของตนขาดการเตรียมพร้อมในการรับมือกับสงครามชีวภาพ
หากถูกอิรักถล่มด้วยขีปนาวุธหัวรบแอนแทรกซ์จริงๆพลเมืองชาวอเมริกันคงจะล้มตายเป็นจำนวนมาก
และหากอิรักจะโจมตีใครด้วยขีปนาวุธหัวรบแอนแทรกซ์
เป้าหมายแรกก็น่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาเพราะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่
และนี่เองที่น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเองค่อนข้างจะร้อนใจอยากถล่มอิรักเพื่อทำลายแหล่งยุทธศาสตร์ของอิรัก
รวมทั้งในขณะเดียวกันก็เพิ่มมาตรการป้องกันขึ้น
โดยในขั้นแรกนี้
กระทรวงกลาโหมของสหรัฐได้ออกมาตรการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์แก่ทหารอเมริกันทุกหมู่เหล่าตั้งแต่เดือนธันวาคม
ค.ศ. 1997 รวมแล้วประมาณ
2,400,000 นาย และสั่งให้ดำเนินการผลิตวัคซีนอย่างรีบเร่ง
ทั้งนี้ ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ทหารที่ต้องเข้าประจำการในแถบอ่าวเปอร์เซียก่อนเป็นกลุ่มแรกเพราะถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง