โรคเก๊าท์
เกิดได้ยังไง, ยูริค คืออะไร |
โรคเก๊าท์
เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นในคนไทย
โดยเฉพาะผู้ชาย
และค่อนข้างมีอายุหน่อย
ทางการแพทย์รู้จักเก๊าท์มานานแล้ว
แต่จนปัจจุบัน
ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อโรคนี้อยู่มาก
ทั้งตัวแพทย์ผู้รักษาเอง
และผู้ป่วย
นำมาซึ่งความเชื่อผิด ๆ
อยู่ให้เห็นในปัจจุบัน
เก๊าท์ (Gout)
เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายมียูริคสูงอยู่ในเลือดเป็นเวลานาน
และด้วยคุณสมบัติของยูริคเอง
ที่มีการละลายได้จำกัด (ประมาณ 7
มก./ดล.) ทำให้ยูริคส่วนเกินนี้
เกิดการตกตะกอนในร่างกาย
ที่พบมากและทำให้เกิดอาการคือ
ในข้อต่าง ๆ, ในไต
และเมื่อเป็นเรื้อรัง
จะเห็นการตกตะกอนตามเนื้อเยื่อต่าง
ๆ เห็นเป็นปุ่มก้อนตามแขนขาได้
กรดยูริค (Uric acid)
เป็นผลผลิตจากการสลายสารพิวรีน
(purine)
ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างสาย
DNA ในเซลล์ต่าง ๆ
ดังนั้นการสลายเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มี
DNA จะได้กรดยูริค เสมอ
ทำไมเก๊าท์มีแต่ผู้ชาย
อายุมาก,
ผู้หญิงไม่เป็นโรคนี้หรือ ? |
เนื่องจากภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูงนั้น
จะยังไม่เกิดการตกตะกอนและเกิดข้ออักเสบทันที
แต่ต้องใช้ระยะเวลาที่กรดยูริคในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายสิบปี
พบว่าในผู้ชายที่มีกรดยูริคสูงนั้น
ระดับของยูริคในเลือดจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น
และสูงไปนานจนกว่าจะเริ่มมีอาการคืออายุประมาณ
40 ปีขึ้นไป
ส่วนผู้หญิงระดับยูริคจะเริ่มสูงขึ้นหลังจากวัยหมดประจำเดือน
เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิง
มีผลทำให้ยูริคในเลือดไม่สูง
พบว่ายูริคในเลือดที่สูงนั้น
กว่าร้อยละ 90
เกิดจากการสร้างขึ้นในร่างกายเอง
อาหารเป็นแหล่งกำเนิดของยูริคในเลือดน้อยกว่าร้อยละ
10 เสียอีก
ดังนั้นผู้ที่ไม่มียูริคสูงมาก่อน
การกินอาหารที่มีพิวรีนสูง
จึงไม่มีทางทำให้ระดับยูริคสูงได้ครับ
ปวดข้อแล้วไปเจาะเลือดพบว่ายูริคสูง
แสดงว่าเป็นเก๊าท์,
ถ้ายูริคไม่สูง ไม่ใช่เก๊าท์ ? |
เป็นความเข้าใจที่ผิดครับ
การวินิจฉัยโรคเก๊าท์
อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายง่าย
ๆ ครับ
ข้ออักเสบจากเก๊าท์วินิจฉัยได้ง่าย
เพราะผู้ป่วยจะมีอาการ "ปวด บวม
แดง ร้อน" ที่ข้อชัดเจน เป็นเร็ว
และมักเป็นข้อเดียว
ข้อที่เป็นบ่อยได้แก่
ข้อนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า,
ข้อเข่า ถ้าผู้ป่วยปวดข้อ
แต่สงสัยว่ามีปวด บวม แดง
ร้อนหรือไม่ หรือตรวจไม่พบ
ไม่ชัดเจน
ให้สงสัยว่าไม่ใช่เก๊าท์ ครับ
รายที่เป็นเรื้อรังอาจมีปวดหลายข้อและพบมีปุ่มก้อนที่รอบ
ๆ ข้อ เช่น ข้อเท้า, ส้นเท้า,
ข้อมือ, นิ้วมือ ได้
ถ้าก้อนเหล่านี้แตกออกจะพบตะกอนยูริคคล้ายผงชอล์กไหลออกมา
การเจาะเลือดตรวจระดับกรดยูริคในเลือด
ในช่วงที่มีข้ออักเสบอาจพบว่า
สูง ต่ำ หรือเป็นปกติได้ครับ
ดังนั้นผู้ที่มีข้ออักเสบเก๊าท์
ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดในขณะนั้นและไม่ช่วยในการวินิจฉัยครับ
ดังนั้น..
- ถ้าอาการปวด บวม
แดง ร้อน ที่ข้อไม่ชัดเจน
ถ้าเป็นที่ข้อบริเวณเท้า
แล้วผู้ป่วยเดินได้สบาย
แม้ว่าเจาะเลือดแล้วยูริคสูง
ก็ให้สงสัยว่าไม่ใช่ เก๊าท์
- ถ้ามีอาการปวด บวม
แดง ร้อนที่ข้อชัดเจน
เป็นในตำแหน่งข้อเท้า
ข้อนิ้วหัวแม่เท้า เป็นเร็ว
แม้ว่าจะเจาะยูริคแล้วไม่สูง
ก็น่าจะเป็นเก๊าท์ ครับ
เก๊าท์
รักษาได้หายขาด จริงหรือ ?
ต้องทำยังไง ? |
จริงครับ
ถ้าเรายอมรับว่า
ผู้ป่วยที่รักษาแล้ว
ไม่มีอาการปวดข้ออีกเลยตลอดชีวิต
เรียกว่าหาย
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์
จำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็น 2
ระยะ ในความดูแลของแพทย์ ได้แก่
- การรักษาในระยะเฉียบพลัน
คือ ข้ออักเสบ
โดยใช้ยาลดการอักเสบที่นิยมได้แก่
ยา โคลชิซิน (Colchicine) กินวันละไม่เกิน
3 เม็ด (เช่น 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ)
จะทำให้ผู้ป่วยหายจากข้ออักเสบในเวลา
1-2 วัน
อาจทำให้ข้ออักเสบหายเร็วขึ้น
ถ้าใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์
บางครั้งอาจมีผู้แนะนำให้กินยาโคลชิซิน
1 เม็ด ทุกชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด
หรือจนกว่าจะท้องเสีย
ซึ่งไม่แนะนำ
เพราะผู้ที่กินยานี้
จะท้องเสียก่อนหายปวดเสมอ
- การรักษาระยะยาว
โดยใช้ยาลดกรดยูริคในเลือด
โดยถือหลักการว่า
ถ้าเราลดระดับยูริคในเลือดได้
ต่ำกว่า 7 มก./ดล.
จะทำให้ยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกมา
และขับถ่ายออกจนหมดได้
ยาที่นิยมใช้ได้แก่ ยา
อัลโลพูรินอล (Allopurinol) ขนาด 100-300 มก.
กินวันละครั้ง
ซึ่งยานี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
กินยาสม่ำเสมอ
และกินไปนานอย่างน้อย 3-5 ปี
เพื่อกำจัดกรดยูริคให้หมดไปจากร่างกาย
การกิน ๆ หยุด ๆ
จะทำให้แพ้ยาได้ง่าย
ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังชนิดรุนแรง
ข้อคำนึงในการรักษาได้แก่
- ยาลดกรดยูริคมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้
จึงสงวนไว้ใช้ในผู้ป่วยเก๊าท์เท่านั้น
ผู้ที่ตรวจเลือดแล้วพบว่า
ยูริคสูง
โดยไม่มีอาการปวดข้อแบบเก๊าท์มาก่อน
ไม่มีความจำเป็นต้องกินยานี้
เพราะผู้ที่ยูริคสูงไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกคน
การกินยาทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงโดยไม่จำเป็น
- เมื่อมีอาการปวดข้อเกิดขึ้น อย่านวด เพราะการนวด
หรือใช้ยาทาถู
ทำให้อาการข้ออักเสบ
เป็นนานขึ้น หายช้า
- ในผู้ที่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์
เป็นครั้งแรก
ไม่จำเป็นต้องเริ่มยาลดยูริคตั้งแต่แรก
เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่ง
มีอาการข้ออักเสบ
เพียงครั้งเดียวในชีวิต
และไม่เป็นอีก และพบว่าการเริ่มกินยาลดกรดยูริคในขณะที่ข้ออักเสบ
จะทำให้ข้ออักเสบหายช้าลง
- ในผู้ป่วยที่กินยาลดกรดยูริคอยู่
อาจพบว่ามีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์ได้
ซึ่งไม่จำเป็นต้องหยุดยา
เพียงแต่รักษาข้ออักเสบตามข้างต้น
และเมื่อกินยาต่อไปเรื่อย ๆ
จะพบว่า
ข้ออักเสบจะเป็นห่างขึ้น
เป็นน้อยลง หายเร็วขึ้น
จนกระทั่งไม่มีอาการข้ออักเสบอีกเลย
- หลังจากกินยาไปแล้ว
3-5 ปี อาจลองพิจารณาหยุดยาได้
ในผู้ป่วยที่อายุมาก
เนื่องจากยูริคที่เริ่มสูงขึ้นหลังจากหยุดยา
กว่าจะเริ่มสะสมจนเกิดข้ออักเสบนั้น
กินเวลา หลายสิบปี
จนอาจไม่เกิดอาการอีกเลยตลอดชีวิต
อาหารกับโรคเก๊าท์
? / เป็นเก๊าท์ ห้ามกินสัตว์ปีก ? |
ไม่ห้ามครับ
เพราะเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น
ยูริคที่สูงกว่าร้อยละ 90
เกิดจากร่างกายสร้างขึ้นเอง
อาหารเป็นส่วนประกอบน้อยมาก
ต่อระดับยูริคในเลือด
มีการทดลองให้อาสาสมัคร
กินอาหารที่มีพิวรีนสูง ทั้ง 3
มื้อ เช่น สัตว์ปีก,
เครื่องในสัตว์, ยอดผัก, ไข่ปลา
เป็นต้น เป็นเวลาหลายสัปดาห์
พบว่าระดับยูริคในเลือดสูงขึ้นเพียง
1 มก./ดล.
ดังนั้นคนธรรมดาที่ไม่ได้กินแต่อาหารที่มีพิวรีนสูงอย่างเดียว
จึงแทบไม่มีผลต่อระดับยูริคในเลือดเลย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยเก๊าท์มักเป็นชายวัยกลางคนหรือสูงอายุ
ซึ่งอาจมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น
เบาหวาน, ความดันเลือดสูง
ซึ่งจำเป็นต้องจำกัดหรืองดอาหารบางประเภทอยู่แล้ว
การบอกให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารพิวรีนสูงเหล่านี้
ทำให้ผู้ป่วยลำบากในการเลือกกินอาหารยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น
ผู้ป่วยเก๊าท์ที่กินยาลดยูริคอยู่แล้ว
ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเลี่ยงอาหารใด
ๆ อีก
จะเห็นได้ว่า
โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่มีหลายคน
ยังเข้าใจผิดถึงโรคและการปฏิบัติตัว
ทำให้เกิดความลำบากในการรักษา
และสร้างความทุกข์กับผู้ป่วยด้วย
บทความนี้คงทำให้ผู้อ่านได้ประโยชน์
และยิ่งถ้าผู้ป่วยได้อ่านจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตนเองยิ่งขึ้น |