กลับสู่ 100 MAG on the WebSiriraj Home Page - คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลVote me for Thai Top 100 - โหวตให้เวบนี้สู่ Sanook Thai Top 100Rama 25 Home Page - เวบไซท์ รามา 25Nattawit - Our beloved friend - ณัฏฐวิทย์ ผู้เป็นที่รักของเพื่อน ๆComment about this Web - ให้ข้อเสนอแนะแก่เรา

เฉพาะศิริราช 100 เท่านั้น - Siriraj 100 Only!



Main Menu

บรรณาธิการแถลง
เฉพาะชาวศิริราช 100 เท่านั้น - Siriraj 100 only!
ความรู้ทางการแพทย์
ถาม - ตอบปัญหาทางการแพทย์
รำลึกถึง ณัฏฐวิทย์
ให้ข้อเสนอแนะกับเรา

Thai Clinic ตอบปัญหาสุขภาพ

Site by
Siriraj 100
Best view with only
Browser แนะนำในการเยี่ยมชมเวบนี้ครับ
Special Thank
Geocities
คำแนะนำในการดู Site นี้

คลิกที่นี่ครับ
Vote me to Sanook 100 Hot

spacer.gif (40 bytes)
Medicine Review - สาระความรู้ทางการแพทย์เพื่อประชาชน

สาระความรู้ทางการแพทย์ เพื่อประชาชน อ่านได้ที่นี่

Update 7 Dec'98
วัณโรค เกิดจากอะไร

วัณโรค (Tuberculosis) เป็นโรคที่เก่าแก่คู่มนุษยชาติมานานหลายพันปี จากการศึกษาซากมัมมี่อียิปต์ พบว่ามัมมี่มีความผิดปกติของกระดูกสันหลัง ด้วยเทคนิคการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบชิ้นส่วนของ DNA ของเชื้อวัณโรคอยู่ในกระดูกนั้น แสดงให้เห็นถึงเชื้อนี้ทำให้เกิดโรคในมนุษย์มาตลอด และปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่จะกำจัดเชื้อนี้ให้หมดจากโลกไปโดยง่าย

วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียขั้นสูง กลุ่มที่เรียกว่า Mycobacterium tuberculosis complex ประกอบด้วยเชื้อ 3 ชนิดได้แก่ Mycobacterium tuberculosis, Mycobacterium africanum และ Mycobacterium bovis แต่เชื้อก่อโรคส่วนใหญ่ได้แก่ Mycobacterium tuberculosis

มีการใช้ยารักษาวัณโรคที่ได้ผลดีมานานหลายสิบปี แต่ทำไมวัณโรคจึงเป็นปัญหาในปัจจุบัน

มีการค้นพบยารักษาวัณโรค ที่ได้ผลดีมากมานานหลายสิบปี นับแต่ยาฉีดตัวแรกสำหรับวัณโรคได้แก่ Streptomycin จนเรื่อยมามีการค้นพบยา Isoniazid (INH) นับเป็นการค้นพบที่สำคัญสำหรับการรักษาโรคนี้ เนื่องจากยาสามารถฆ่าเชื้อวัณโรคได้ดี และผู้ป่วยโรคนี้หายขาดได้มากขึ้น จนกระทั่ง 20 ปีมานี้มีการค้นพบยา Rifampicin ซึ่งรักษาวัณโรคได้ดีมาก ทำให้สูตรยาที่ใช้รักษาวัณโรคที่ต้องกินยานานราวปีครึ่งถึงสองปี ลดลงเหลือเพียง 6 เดือน

แม้ว่าระยะเวลาการกินยาจะลดลงมากจาก 2 ปี เหลือเพียง 6 เดือน แต่ก็ยังมีผู้ป่วยจำนวนมาก ที่ไม่กินยาตามที่แพทย์กำหนด โดยมากมักกินยาเพียง 1-2 เดือนแล้วหยุดเมื่อเห็นว่าอาการที่ผ่านมาดีขึ้น เป็นผลให้เชื้อวัณโรคมีการดื้อยามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าปัจจุบัน แพทย์จะให้การรักษาวัณโรคด้วยยาพร้อมกันถึง 4 ชนิด แต่เชื้อที่มีการดื้อยาหลายขนาน (multi-drug resistance) มากขึ้นเช่นเดียวกัน ในประเทศไทยมีผู้ป่วยวัณโรคที่กินยา 4 ชนิดจนครบ 6 เดือนเพียงร้อยละ 50-60

นับแต่การเกิดโรคเอดส์ และมีการระบาดของเชื้อไวรัส HIV ไปทั่วโลก เป็นผลให้ผู้ป่วยวัณโรคมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีความรุนแรงมากขึ้น จากวัณโรคที่มักเป็นที่ปอดเป็นหลัก กลายเป็นวัณโรคของอวัยวะอื่น ๆ เช่นวัณโรคชนิดแพร่กระจายทั้งตัว, วัณโรคของเยื่อหุ้มสมอง, วัณโรคของไขกระดูก เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยวัณโรคพบมีอาการและอาการแสดงที่แปลก ๆ และไม่ตรงไปตรงมา (atypical presentation) เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เป็นปัญหากับแพทย์ในการวินิจฉัยโรคเป็นอย่างยิ่ง

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นวัณโรค ?

เนื่องจากวัณโรคสามารถเป็นได้กับทุกเพศ ทุกวัย และทุกอวัยวะของร่างกาย ดังนั้น ผู้ใดที่สงสัยว่าเกิดอาการผิดปกติ ควรได้รับการตรวจจากแพทย์เสมอ ธรรมชาติของวัณโรคเป็นโรคเรื้อรัง แพทย์จะสงสัยวัณโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ซึ่งในระหว่างนี้ ผู้ป่วยมักได้รับยารักษาจากที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคลินิก หรือซื้อยากินเองมาก่อน ซึ่งไม่ทำให้อาการดีขึ้น

อาการสำคัญของวัณโรคแบ่งง่าย ๆ เป็นสองระบบ คือ อาการทั่วไป มักมีไข้ต่ำ ๆ เรื้อรัง, เบื่ออาหาร, น้ำหนักลด, ผอมลง ร่วมกับอาการของการติดเชื้อที่ระบบนั้น ๆ ได้แก่

  • อาการไอเรื้อรัง ไม่ว่าจะมีเสมหะหรือ มีเลือดปนเสมหะหรือไม่ (วัณโรคปอด)
  • ปวดศีรษะเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์หรือเดือน ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ และซึมลง (วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง)
  • ถ่ายเหลวเรื้อรัง ถ่ายเป็นน้ำวันละหลายหน (วัณโรคทางเดินอาหาร)
  • ปวดหลังเรื้อรัง ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเวลานอน (วัณโรคกระดูกสันหลัง)
  • แน่นใต้ชายโครงขวา ตับโต อาจมีตัวเหลืองตาเหลืองหรือไม่ก็ได้ (วัณโรคของตับ หรือวัณโรคชนิดแพร่กระจาย)
  • ผื่นเฉพาะที่ ที่โตช้า ๆ เป็นเรื้อรังและรักษาไม่หาย ไม่เจ็บ (วัณโรคผิวหนัง)

อาการเหล่านี้ควรระวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผู้นั้นมีการติดเชื้อไวรัส HIV เนื่องจากมีร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่าย

จะปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อทราบว่าเป็นวัณโรค

ผู้ป่วยวัณโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่ทำตามคำแนะนำของแพทย์และกินยาอย่างสม่ำเสมอ และครบถ้วน หลักการปฏิบัติตัวง่าย ๆ ของผู้ป่วยวัณโรค โดยเฉพาะวัณโรคปอด ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการไอ จาม รดกัน ควรปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม เนื่องจากเชื้อวัณโรคจะแพร่ออกมาในอากาศ และผู้ใกล้ชิดสามารถรับเชื้อเข้าไปได้
  • แยกข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า, ผ้าขนหนู, แปรงสีฟัน, อาหาร, ช้อนส้อม เนื่องจากจะเป็นทางที่บุคคลใกล้ชิดได้รับเชื้อโดยเฉพาะเด็ก รวมทั้งนอนแยกกับผู้อื่นด้วย
  • อยู่ในที่ที่ อากาศถ่ายเทได้สะดวก มีแสงแดดพอเพียง พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ สูตรยามาตรฐานของการรักษาวัณโรค ทั่วไปใช้ยา 4 ชนิด ใน 2 เดือนแรก และลดลงเหลือ 2 ชนิดใน 4 เดือนถัดมา ซึ่งถือเป็นสูตรยาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
  • เมื่อผู้ป่วยรับประทานยาตามสูตรดังกล่าวอย่างเคร่งครัด การแยกกับบุคคลใกล้ชิดในช่วงแรกของการกินยา เพียง 2 สัปดาห์แรก ก็เพียงพอ เนื่องจากยาที่กินจะสามารถกำจัดเชื้อในเสมหะได้กว่าร้อยละ 99.5 ในการรักษาเพียง 2 สัปดาห์ (แต่จำเป็นต้องกินยาจนครบ เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อมีการเจริญเติบโตช้ามาก และหลบซ่อนภายในเนื้อปอดอยู่นาน)
  • คอยสังเกตอาการข้างเคียงของยา แม้จะพบไม่บ่อยแต่มีความสำคัญ เพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบ เป็นประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนสูตรยา ได้แก่ ผื่นตามตัว, จุกแน่นท้อง ตัวเหลืองตาเหลือง, ตามองเห็นไม่ชัด เป็นต้น ถ้ามีอาการดังกล่าวควรหยุดยาทันที และพบแพทย์
  • หลีกเลี่ยง บุหรี่, สุรา เนื่องจากทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น และการทำงานของตับเสื่อมลง เกิดการแพ้ยาได้ง่าย
  • ผู้ป่วยวัณโรคที่สภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีความจำเป็นต้องหยุดงาน โดยเฉพาะเมื่อกินยาไปแล้ว 2 สัปดาห์ เนื่องจากมีโอกาสแพร่เชื้อได้น้อยมาก
  • พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอทุกครั้ง
การป้องกันการติดเชื้อวัณโรค

หลักการป้องกัน ไม่ยากและไม่แตกต่างจากคำแนะนำของผู้ป่วยวัณโรคใน 3 ข้อแรก หากแต่ควรสังเกตอาการที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น อันเป็นสัญญาณของโรคข้างต้น และที่สำคัญก็คือ ผู้ป่วยวัณโรคบางครั้งไม่มีอาการใด ที่ผิดปกติเกิดขึ้นเลย จึงควรได้รับการตรวจเอ็กซ์เรย์ปอด เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรค และให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

สำหรับเด็กแรกเกิดทุกคน ที่เกิดในโรงพยาบาลจะได้รับการฉีดวัคซีน BCG ซึ่งหลักการแล้วไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อวัณโรคได้ แต่สามารถป้องกันการเกิดวัณโรคที่อวัยวะสำคัญได้ เช่น วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง, วัณโรคชนิดแพร่กระจาย เป็นต้น เด็กทุกคนจึงควรแยกห่างจากผู้ป่วยวัณโรคเสมอ และเมื่อมีผู้ป่วยวัณโรคในบ้านหรือเป็นผู้ใกล้ชิด ควรนำเด็กไปพบกุมารแพทย์ เพื่อตรวจและให้การรักษาหรือป้องกันแต่เนิ่น ๆ

โดยคำแนะนำและหลักการข้างต้นทั้งหมด คงพอจะทำให้ป้องกัน, ปฏิบัติตัว และดูแลผู้ป่วยวัณโรคได้ดีขึ้น   เป็นความหวังที่จะทำให้วัณโรคสามารถควบคุมได้ และลดการดื้อยาของเชื้อลงในอนาคต


รูปแบนเนอร์ของเวบไซท์ 100 MAG on the Web ครับ
สนใจจะทำ Link กับเวบไซท์ของเรา เพียงแต่เพิ่ม HTML tag นี้ลงไปในเวบเพจของคุณ

<a href="http://www.biogate.com/100mag">
<img src="http://www.oocities.org/CollegePark/Union/4033/banner.gif" border=0 width=480 height=60></a>


มีผู้เยี่ยมชมแล้ว  คนนับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2540

Copyright 1997-8. Siriraj 100. All right reserved.