| 
         วัณโรค (Tuberculosis)
        เป็นโรคที่เก่าแก่คู่มนุษยชาติมานานหลายพันปี
        จากการศึกษาซากมัมมี่อียิปต์
        พบว่ามัมมี่มีความผิดปกติของกระดูกสันหลัง
        ด้วยเทคนิคการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        พบชิ้นส่วนของ DNA
        ของเชื้อวัณโรคอยู่ในกระดูกนั้น
        แสดงให้เห็นถึงเชื้อนี้ทำให้เกิดโรคในมนุษย์มาตลอด
        และปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่จะกำจัดเชื้อนี้ให้หมดจากโลกไปโดยง่าย 
        วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียขั้นสูง
        กลุ่มที่เรียกว่า Mycobacterium tuberculosis complex
        ประกอบด้วยเชื้อ 3 ชนิดได้แก่
        Mycobacterium tuberculosis, Mycobacterium africanum และ Mycobacterium bovis
        แต่เชื้อก่อโรคส่วนใหญ่ได้แก่
        Mycobacterium tuberculosis 
        
          
            | มีการใช้ยารักษาวัณโรคที่ได้ผลดีมานานหลายสิบปี
            แต่ทำไมวัณโรคจึงเป็นปัญหาในปัจจุบัน | 
           
         
        มีการค้นพบยารักษาวัณโรค
        ที่ได้ผลดีมากมานานหลายสิบปี
        นับแต่ยาฉีดตัวแรกสำหรับวัณโรคได้แก่
        Streptomycin
        จนเรื่อยมามีการค้นพบยา Isoniazid
        (INH)
        นับเป็นการค้นพบที่สำคัญสำหรับการรักษาโรคนี้
        เนื่องจากยาสามารถฆ่าเชื้อวัณโรคได้ดี
        และผู้ป่วยโรคนี้หายขาดได้มากขึ้น
        จนกระทั่ง 20 ปีมานี้มีการค้นพบยา Rifampicin
        ซึ่งรักษาวัณโรคได้ดีมาก
        ทำให้สูตรยาที่ใช้รักษาวัณโรคที่ต้องกินยานานราวปีครึ่งถึงสองปี
        ลดลงเหลือเพียง 6 เดือน 
        แม้ว่าระยะเวลาการกินยาจะลดลงมากจาก
        2 ปี เหลือเพียง 6 เดือน แต่ก็ยังมีผู้ป่วยจำนวนมาก
        ที่ไม่กินยาตามที่แพทย์กำหนด
        โดยมากมักกินยาเพียง 1-2
        เดือนแล้วหยุดเมื่อเห็นว่าอาการที่ผ่านมาดีขึ้น
        เป็นผลให้เชื้อวัณโรคมีการดื้อยามากขึ้นเรื่อย
        ๆ แม้ว่าปัจจุบัน
        แพทย์จะให้การรักษาวัณโรคด้วยยาพร้อมกันถึง
        4 ชนิด
        แต่เชื้อที่มีการดื้อยาหลายขนาน
        (multi-drug resistance) มากขึ้นเช่นเดียวกัน ในประเทศไทยมีผู้ป่วยวัณโรคที่กินยา
        4 ชนิดจนครบ 6 เดือนเพียงร้อยละ 50-60  
        นับแต่การเกิดโรคเอดส์
        และมีการระบาดของเชื้อไวรัส HIV
        ไปทั่วโลก
        เป็นผลให้ผู้ป่วยวัณโรคมีมากขึ้นเรื่อย
        ๆ และมีความรุนแรงมากขึ้น
        จากวัณโรคที่มักเป็นที่ปอดเป็นหลัก
        กลายเป็นวัณโรคของอวัยวะอื่น ๆ
        เช่นวัณโรคชนิดแพร่กระจายทั้งตัว,
        วัณโรคของเยื่อหุ้มสมอง,
        วัณโรคของไขกระดูก เป็นต้น
        นอกจากนี้ผู้ป่วยวัณโรคพบมีอาการและอาการแสดงที่แปลก
        ๆ และไม่ตรงไปตรงมา (atypical presentation)
        เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
        เป็นปัญหากับแพทย์ในการวินิจฉัยโรคเป็นอย่างยิ่ง
         
        
          
            | จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นวัณโรค
            ? | 
           
         
        เนื่องจากวัณโรคสามารถเป็นได้กับทุกเพศ
        ทุกวัย และทุกอวัยวะของร่างกาย
        ดังนั้น
        ผู้ใดที่สงสัยว่าเกิดอาการผิดปกติ
        ควรได้รับการตรวจจากแพทย์เสมอ
        ธรรมชาติของวัณโรคเป็นโรคเรื้อรัง
        แพทย์จะสงสัยวัณโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์
        หรือเป็นเดือน ซึ่งในระหว่างนี้
        ผู้ป่วยมักได้รับยารักษาจากที่ต่าง
        ๆ ไม่ว่าจะเป็นคลินิก
        หรือซื้อยากินเองมาก่อน
        ซึ่งไม่ทำให้อาการดีขึ้น 
        อาการสำคัญของวัณโรคแบ่งง่าย
        ๆ เป็นสองระบบ คือ อาการทั่วไป
        มักมีไข้ต่ำ ๆ เรื้อรัง,
        เบื่ออาหาร, น้ำหนักลด, ผอมลง
        ร่วมกับอาการของการติดเชื้อที่ระบบนั้น
        ๆ ได้แก่ 
          - อาการไอเรื้อรัง
            ไม่ว่าจะมีเสมหะหรือ
            มีเลือดปนเสมหะหรือไม่ (วัณโรคปอด)
 
          - ปวดศีรษะเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์หรือเดือน
            ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ และซึมลง (วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง)
 
          - ถ่ายเหลวเรื้อรัง
            ถ่ายเป็นน้ำวันละหลายหน (วัณโรคทางเดินอาหาร)
 
          - ปวดหลังเรื้อรัง
            ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
            โดยเฉพาะเวลานอน (วัณโรคกระดูกสันหลัง)
 
          - แน่นใต้ชายโครงขวา
            ตับโต
            อาจมีตัวเหลืองตาเหลืองหรือไม่ก็ได้
            (วัณโรคของตับ
            หรือวัณโรคชนิดแพร่กระจาย)
 
          - ผื่นเฉพาะที่
            ที่โตช้า ๆ
            เป็นเรื้อรังและรักษาไม่หาย
            ไม่เจ็บ (วัณโรคผิวหนัง)
 
         
        อาการเหล่านี้ควรระวังเป็นอย่างยิ่ง
        เมื่อผู้นั้นมีการติดเชื้อไวรัส
        HIV เนื่องจากมีร่างกายอ่อนแอ
        ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
        และเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่าย 
        
          
            | จะปฏิบัติตัวอย่างไร
            เมื่อทราบว่าเป็นวัณโรค | 
           
         
        ผู้ป่วยวัณโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้
        เพียงแต่ทำตามคำแนะนำของแพทย์และกินยาอย่างสม่ำเสมอ
        และครบถ้วน
        หลักการปฏิบัติตัวง่าย ๆ
        ของผู้ป่วยวัณโรค
        โดยเฉพาะวัณโรคปอด ได้แก่ 
          - หลีกเลี่ยงการไอ
            จาม รดกัน
            ควรปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม
            เนื่องจากเชื้อวัณโรคจะแพร่ออกมาในอากาศ
            และผู้ใกล้ชิดสามารถรับเชื้อเข้าไปได้
 
          - แยกข้าวของ
            เครื่องใช้ส่วนตัว เช่น
            ผ้าเช็ดหน้า, ผ้าขนหนู, แปรงสีฟัน,
            อาหาร, ช้อนส้อม
            เนื่องจากจะเป็นทางที่บุคคลใกล้ชิดได้รับเชื้อโดยเฉพาะเด็ก
            รวมทั้งนอนแยกกับผู้อื่นด้วย
 
          - อยู่ในที่ที่
            อากาศถ่ายเทได้สะดวก
            มีแสงแดดพอเพียง
            พักผ่อนให้เพียงพอ
 
          - รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
            สูตรยามาตรฐานของการรักษาวัณโรค
            ทั่วไปใช้ยา 4 ชนิด ใน 2 เดือนแรก
            และลดลงเหลือ 2 ชนิดใน 4 เดือนถัดมา
            ซึ่งถือเป็นสูตรยาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
 
          - เมื่อผู้ป่วยรับประทานยาตามสูตรดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
            การแยกกับบุคคลใกล้ชิดในช่วงแรกของการกินยา
            เพียง 2 สัปดาห์แรก ก็เพียงพอ
            เนื่องจากยาที่กินจะสามารถกำจัดเชื้อในเสมหะได้กว่าร้อยละ
            99.5 ในการรักษาเพียง 2 สัปดาห์ (แต่จำเป็นต้องกินยาจนครบ
            เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อมีการเจริญเติบโตช้ามาก
            และหลบซ่อนภายในเนื้อปอดอยู่นาน)
 
          - คอยสังเกตอาการข้างเคียงของยา
            แม้จะพบไม่บ่อยแต่มีความสำคัญ
            เพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบ
            เป็นประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนสูตรยา
            ได้แก่ ผื่นตามตัว, จุกแน่นท้อง
            ตัวเหลืองตาเหลือง,
            ตามองเห็นไม่ชัด เป็นต้น
            ถ้ามีอาการดังกล่าวควรหยุดยาทันที
            และพบแพทย์
 
          - หลีกเลี่ยง บุหรี่,
            สุรา
            เนื่องจากทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น
            และการทำงานของตับเสื่อมลง
            เกิดการแพ้ยาได้ง่าย
 
          - ผู้ป่วยวัณโรคที่สภาพร่างกายแข็งแรงดี
            ไม่มีความจำเป็นต้องหยุดงาน
            โดยเฉพาะเมื่อกินยาไปแล้ว 2
            สัปดาห์
            เนื่องจากมีโอกาสแพร่เชื้อได้น้อยมาก
 
          - พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอทุกครั้ง
 
         
        
          
            | การป้องกันการติดเชื้อวัณโรค | 
           
         
        หลักการป้องกัน
        ไม่ยากและไม่แตกต่างจากคำแนะนำของผู้ป่วยวัณโรคใน
        3 ข้อแรก
        หากแต่ควรสังเกตอาการที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น
        อันเป็นสัญญาณของโรคข้างต้น
        และที่สำคัญก็คือ
        ผู้ป่วยวัณโรคบางครั้งไม่มีอาการใด
        ที่ผิดปกติเกิดขึ้นเลย
        จึงควรได้รับการตรวจเอ็กซ์เรย์ปอด
        เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1
        ครั้งเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรค
        และให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ  
        สำหรับเด็กแรกเกิดทุกคน
        ที่เกิดในโรงพยาบาลจะได้รับการฉีดวัคซีน
        BCG
        ซึ่งหลักการแล้วไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อวัณโรคได้
        แต่สามารถป้องกันการเกิดวัณโรคที่อวัยวะสำคัญได้
        เช่น วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง,
        วัณโรคชนิดแพร่กระจาย เป็นต้น
        เด็กทุกคนจึงควรแยกห่างจากผู้ป่วยวัณโรคเสมอ
        และเมื่อมีผู้ป่วยวัณโรคในบ้านหรือเป็นผู้ใกล้ชิด
        ควรนำเด็กไปพบกุมารแพทย์
        เพื่อตรวจและให้การรักษาหรือป้องกันแต่เนิ่น
        ๆ  
        โดยคำแนะนำและหลักการข้างต้นทั้งหมด
        คงพอจะทำให้ป้องกัน, ปฏิบัติตัว
        และดูแลผู้ป่วยวัณโรคได้ดีขึ้น
          เป็นความหวังที่จะทำให้วัณโรคสามารถควบคุมได้
        และลดการดื้อยาของเชื้อลงในอนาคต  |