การรับพระบรมสารีริกธาตุครั้งที่ 1
ท่านสันตะปะทะมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดโคตะมะวิหาร เมืองจิตตกอง ประเทศบังคลาเทศ เป็นผู้เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุชุดนี้ไว้มีด้วยกัน สิบเก้าองค์ ได้รักษาพระบรมสารีริกธาตุสืบต่อต่อจากพระเถระถึงห้าชั่วคน เดิมได้ถูกขุดพบจากซากของเจดีย์ใกล้ชายแดนประเทศบังคลาเทศติดต่อกับพม่า (ชมพูทวีปเดิมก่อนที่ปากีสถานจะถูกแบ่งแยกออกเป็นประเทศบังคลาเทศ) พระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นถึงแปดหมื่นสี่พนองค์ตามสถานที่ต่างๆ และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุศิลาจารึกไว้เป็นหลักฐาน ผอบที่ขุดพบโดยมากจะเป็นรูปครึ่งวงกลมเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก สีหินเป็นสีน้ำตาลอ่อนส่วนใหญ่ คืนหนึ่งท่านได้ฝันว่า มีพิธีมอบพระบรมสารีริกธาตุที่ท่านเก็บรักษาไว้แก่พระภิกษุ ไม่ปรากฏแน่ชัดในความฝนว่าเป็นชาติใด แต่เป็นชาวเอเชียด้วยกัน หลังจากตื่นขึ้นท่านได้คำนึงว่าประเทศบังคลาเทศส่วนใหญ่พุทธศาสนาเหลือน้อยเต็มที และประชาชนก็ยากจน ท่านมีความปรารถนาจะมอบพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนให้แก่ประเทศที่พุทธศาสนาได้มีความเจริญรุ่งเรืองเช่นประเทศไทยหรือศรีลังกา จึงปรารภเรื่องราวนี้แก่ลูกศิษย์ คือ พระวาสุมิตรภิกขุ พระวาสุมิตรได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว และพักอยู่ที่วัดราชผาติการาม วันหนึ่ง พระวาสุมิตรได้พบรูปภาพของพระญาณวิริยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ในปกหนังสือแมกกาซีนฉบับหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ เป็นรูปนั่งสมาธิใต้โคนไม้สะแก จึงได้ไต่ถามจากพระภิกษุในวัดนั้น ทราบว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล พระโขนง พระวาสุมิตรเกิดความเลื่อมใสจึงได้มาหาและบอกว่าหากท่านปรารถนาจะรับพระบรมสารีริกธาตุจะนำมาถวายแก่พระญาณวิริยาจารย์ พระญาณวิริยาจารย์ไม่ได้ตอบรับแต่อย่างไร เหตุการณ์ผ่านไปถึง 6 เดือน พระวาสุมิตรได้มาพบอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านได้บอกว่า หากพระญาณวิริยาจารย์ไม่ปรารถนาจะรับพระบรมสารีริกธาตุก็จะนำไปถวายแก่พระเทศศรีลังกา พระญาณวิริยาจารย์ขอเวลาตัดสินใจและจะตอบให้ทราบภายหลัง หลังจากที่ท่านได้นั่งสมาธิ อธิษฐานจิตก่อนรุ่งสว่างเป็นเวลาถึงสามวันติดกัน ปรากฏเห็นแสงสว่างเท่าลำตาลพุ่งตรงมาที่วัดธรรมมงคล ปรากฏเสียงว่า "นี่คือพลังของพระบรมสารีริกธาตุชุดนี้ จงเตรียมตัวรับเถิด" รุ่งขึ้นเป็นวันธรรมสวนะ ท่านได้ประกาศว่าจะเดินทางไปรับพระบรมสารีริกธาตุ จากบังคลาเทศโดยชวนนายต่วน มิตรอุดม คหบดีชาวสำโรงให้ไปด้วยและพูดว่าจะพาไปดูพายุ "ไซโคน" ได้มีผู้ขอติดตามรวมทั้งสิ้นสิบสี่คน เมื่อลงจากเครื่องบินได้เดินทางไปสถานทูตไทยมีพันเอกสรุชิต กนิษฐานนท์ เป็นเอกอัครราชทูตและแจ้งความประสงค์ให้ทราบว่า คณะธรรมยาดตราเดินทางมาเพื่อรับพระบรมสารีริกธาตุ ท่านได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ระหว่างนั้นทุกคนต้องรออยู่ที่เมืองหลวงคือ นครดักก้า เป็นเวลาถึง 3 วัน เพื่อพบพระสันตะปะทะมหาเถระผู้เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุ ขณะนั้นเดนทางไปธุระที่กันคลัดต้า ประเทศอินเดีย คณะได้ออกเดินทางโดยรถบัสจากนครดักก้าในเวลารุ่งอรุณ ระหว่างเดินทางมิไดหยุดพักแต่ประการใด เพราะหนทางไกลมาก ถนนขรุขระ ลำบากมากต้องนำรถลงแพผ่านแม่น้ำยมนากว่าจะเข้าเขตจิตตกอง ก็เป็นเวลาเลยเที่ยงคืน ทุกคนต้องทานอาหารกันบนรถและเหน็ดเหนื่อยเหลือประมาณ ระหว่างนั้นหลายคนได้ม่อยหลับไป คนที่นั่งอยู่หลังรถได้กลิ่นหอมประหลาดคล้ายกลิ่นกำยานปนธูปแขกและน้ำมันจันทร์ ครั้งแรกคิดว่ามีผู้ทำขวดน้ำมันจันทร์หก แต่กลิ่นยิ่งรุนแรงขึ้นจนทุกคนในรถตกใจตื่นต่างเอะอะถามกันว่าเป็นกลิ่นอะไร พระญาณวิริยาจารย์ตอบว่า ชาวบ้านคงช่วยกันจุดธูปซึ่งสองข้างทางรถไม่มีบ้านคน หนึ่งในจำนวนผู้เดินทางเกิดความสงสัยจึงเปิดหน้าต่างรถขึ้น ปรากฏว่ากลิ่นหอมรุนแรงนั้นได้ทะลักเข้ามาในรถจากอากาศ และมิได้จางหายไปเลยจนถึงอาละบัสโฮเต็ล กลิ่นนั้นได้หยุดลงเป็นที่พิศวงแก่ทุกคนที่ได้เดินทางร่วมกัน ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นพระญาณวิริยาจารย์ นายชาติชาย นาครักษ์ นายนิตย์ โลหิตคุปต์ (ผู้สื่อข่าวนสพ.เดลิไทม์) นายสถาพร อิศรางกูร (ช่างภาพทีวีสีช่อง 7 ) ได้เดินทางไปโคตะมะวิหาร เพื่อขอดูพระบรมสารีริกธาตุ และทราบว่าทางบังคลาเทศจะมอบให้เพียงหนึ่งองค์เท่านั้น พระญาณวิริยาจารย์ปรารถนาจะรับห้าองค์ จึงได้ขอให้คุณรัตนา สมบุญธรรม เป็นผู้เจรจาด้วยเหตุผลที่ว่าพระพุทธศาสนาตามจุดต่างๆ กระจายทั่วโลกเป้นนิมิตดีหากได้รวมพุทธศาสนาให้เจริญยิ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง ฉะนั้นการมอบพระบรมสารีริกธาตุรวมกันไว้ห้าองค์ เปรียบเสมือนเราได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มารวมกันไว้ ณ พระเจดีย์ที่พระญาณวิริยาจารย์ปรารถนาจะสร้างให้สูงที่สุดในประเทศไทยตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ครั้งแรก คณะสงฆ์ขอให้สร้างพระมหาเจดีย์ให้เสร็จก่อนจึงจะมอบอีกสี่องค์ให้ แต่สุดท้ายก็ยินยอมให้คุณรัตนา สมบุญธรรม เลือกพระบรมสารีริกธาตุได้ตามต้องการอีกสี่องค์ รวมเป็นห้าองค์ด้วยกัน นำความปีติยินดีให้พระญาณวิริยาจารย์และคณะเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนได้สวดอิติปิโส ถวายและพิธีมอบได้เริ่มขึ้นในวันต่อมาประมาณเวลา 15.00 น. ของวันที่ 27 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ณ โคตะมะวิหาร กลางแจ้งพิธีได้กระทำกันต่อหน้าฝูงชนชาวพุทธ ขณะทำพิธีมอบได้เกิดฝนตกใหญ่ แต่ปรากฏว่าโดยรอบโต๊ะที่วางพระบรมสารีริกธาตุไม่มีฝนตกเป็นวงกลม น่าเป็นอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อถึงกำหนดกลับตามหมายกำหนดการเดิมจะเดินทางไปพุทธคยา ประเทศอินเดีย ได้ถูกระงับเพราะขณะที่เครื่องบินจะนำพระบรมสารีริกธาตุทะบานขึ้นสู่อากาศไปนครดักก้า ได้เกิดพายุไซโคน กระทันหันทั้งๆ ที่อากาศแจ่มใส ปรากฏว่าพระญาณวิริยาจารย์ได้พูดว่า "ลาก่อนบังคลาเทศ เรากำลังจะกลับแล้ว" พอขาดเกิดอลเวงกันทั้งเครื่องบินเพราะกัปตันสั่งให้ทุกคนวิ่งหนีเร็วที่สุด ปรากฏว่าแทบเหยียบกันตาย น้ำทะเลขึ้นท้วมสนามบิน และต้นไม้ใหญ่หักระเนระนาด ในอากาศมีแต่แผ่นสังกะสี จากหลังคาบ้านบนปลิวว่อน ทุกคนหนีขึ้นรถบัสกลับโฮเต็ล รถไม่สามารถวิ่งต้านกระแสลมได้ กว่าจะถึงก็ปรากฏว่า ในรถมีแต่เสียงสวดมนต์เมื่อถึงโฮเต็ลซึ่งสูงแปดชั้น ทุกห้องเต็มหมด เพราะชาวต่างประเทศพากันหนีไปอยู่ที่นั่น น้ำในสระว่ายน้ำกลางแจ้งถูกกระแสลมดูดขึ้นมาสูงเหมือนลูกคลื่นในทะเล กว่าจะเจรจาขอห้องได้ก็ทุกลักทุเลมาก เป็นเวลาใกล้เที่ยงเหลือเพียงสิบห้านาทีพระญาณวิริยาจารย์ยังไม่ได้ฉันอาหารเลย อาหารในโรงแรมก็หมด ไฟฟ้าก็ดับ ทางโรงแรมไม่สามารถจัดอาหารถวายได้ ขณะนั้นปรากฏว่า มีอาหารข้าวของและเครื่องกระป๋องของคุณรัตนา สมบุญธรรม ติดค้างอยู่ในกระเป๋าสะพายจึงนำมาถวายเป็นภัตตาหารเพลได้ส่วนกระเป๋าอื่นๆ ตกค้างอยู่ในเครื่องบินหมด ทุกครั้งที่คณะพยายามจะเดินทางต่อเกิดพายุไซโคนขึ้นถึงสามครั้ง จนสายการบินประกาศงด คืนนั้นทุกคนได้สวดมนต์รวมกันโดยมีพระบรมสารีริกธาตุวางอยู่ตรงกลางโต๊ะ ระหว่างสวดมนต์นั่งสมาธิถวาย ทุกคนได้ยินเสียงที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเคลื่อนไปมาบนโต๊ะ แต่เมื่อลืมตาขึ้นปรากฏว่าอยู่ที่เดิม และมีเสียงดังคล้ายอุ้งเล็บนกใหญ่ กระพือปีกดันประตูจะเข้ามาในห้องที่พวกเรานั่งอยู่ สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครอธิบายได้ และได้เกิดอัศจรรย์แก่ทุกคนที่นั่งสมาธิอยู่คนละแบบอย่าง โดยทั่วกันทุกคน นายชาติชาย นาครักษ์ ถึงกับร้องไห้ออกมาดังๆ วันต่อมาอีกสองวันคณะจึงเดินทางต่อได้ แต่ไม่สามารถแวะประเทศอินเดียได้ เพราะต้องให้ทันหมายกำหนดเดิมที่ประชาชนชาวไทยพากันมารออยู่ที่สนามบินดอนเมือง เมื่อมาถึงดอนเมืองปรากฏว่า เกิดเหตุวุ่นวายในประเทศไทย ชาวนากำลังเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล แต่เมื่อมาถึงได้ไม่นานชาวนาก็ได้สลายตัว นับเป็นนิมิตดียิ่ง ระหว่างเปลี่ยนเครื่องบินที่นครดักก้า เพื่อขึ้นเครื่องบินไทยอินเตอร์ ชาวพุทธในบังคลาเทศที่นครดักก้า และคณะพระภิกษุนิกายต่างจากพระสังฆราช ได้พากันเดินขบวนคัดค้านพวกเราที่สนามบิน แต่เอกอัครราชทูตไทยเห็นเหตุจะรุกรานใหญ่โต จึงได้มารอรับถึงประตูเครื่องบิน และพาพวกเราเข้าห้อง วี.ไอ.พี. เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ประท้วงไม่ให้นำพระบรมสารีริกธาตุกลับประเทศไทย ด้วยความช่วยเหลือของพันเอกสรุชิต กนิษฐานนท์ ท่านเอกอัครราชทูตไทย และเจ้าหน้าที่สถานทูต คณะของเราได้เดินทางกลับโดยปลอดภัย ถึงกรุงเทพฯ ทันพิธีต้อนรับ มีขบวนแห่งจากสนามบินดอนเมืองยาวเหยียด โดยมี ฯพณฯ ดร.ประกอบ หุตะสิงห์ เป็นประธานในวันที่ 30 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 เวลา 17.00 น. คณะผู้เดินทางไปรับพระบรมสารีริกธาตุ ครั้งที่ 2 1. พระญาณวิริยาจารย์ 2. พระวาสุมิตร 3. นายต่วน มิตรอุดม 4. นายธำรงค์ศักดิ์ อายุวัฒนะ (เลขากรมศาสนา) 5. นายประยงค์ นามเมือง 6. นายนิตย์ โลหิตคุปต์ (น.ส.พ. เดลิไทม์) 7. นายสถาพร อิศรางกูร ณ อยุธยา (ไทยทีวีสีช่อง 5) 8. คุณนายนวลศรี ศรีศักดิ์ 9. คุณนายละอง รุ่งเรือง 10. นางปรุง สุทธิรัตน์ 11. นางรัตนา สมบุญธรรม 12. นายชาติชาย นาครักษ์ 13. นางอาภา ประเทืองโลก