ขอบฟ้าแห่งความรู้

ขอบฟ้าแห่งความรู้ 

	จิตใจของเด็กเป็นสภาพที่เรียกในภาษาบาลีว่า  มุทุตา คือ ความอ่อนโยน   จิตที่อ่อนโยนพร้อมที่จะปรับตัวรับสิ่งต่างๆ    และความอ่อนโยน
นี้แหละที่ทำให้เด็กมีศรัทธาความเชื่อง่ายดาย เหมือนกับดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปต่างๆ ได้ง่าย
	สิกขา มีรากศัพท์ว่า สิกฺข  หมายถึง วิชฺโชปาทาน แปลว่า การแสวงหาวิชา
	วิชาหมายถึง ความรู้สภาวะแท้จริงของสิ่งทั้งหลาย
	ดังนั้น สิกขาหรือศึกษา   จึงหมายถึงการแสวงหาวิชชาหรือความรู้แจ้งซึ่งก็คือปัญญานั่นเอง   นั่นคือ การศึกษาเป็นกระบวนการแสวงหาปัญญา   และกำจัดอวิชชาไปพร้อมกัน  เมื่อปัญญามา  อวิชชาก็หายไป เหมือนแสงสว่างเกิดขึ้นมาก็ขับไล่ความมืดไปด้วย   
พระพุทธเจ้าจึงเปรียบปัญญาเหมือนแสงสว่างว่า  
นตฺถิ ปญฺญาสมา  อาภา  ไม่มีแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญา  
แสงสว่างคือปัญญาขับไล่ความมืดคือ อวิชชา

	ปญฺญา หิ  เสฎฺฐา  กุสลา  วทนฺติ  นกฺขตฺตราชาริว  ตารกานํ
	ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าปัญญาประเสริฐที่สุด เหมือนพระจันทร์เด่นที่สุดในหมู่ดาว

	ปัญญามีคุณธรรมอื่นเป็นบริวาร เช่นเดียวกับพระจันทร์มีดวงดาวทั้งหลายเป็นบริวาร  ดังพุทธพจน์ที่ว่า
 สีลปริภาวิโต  สมาธิ  มหปฺผโล  เป็นต้น  แปลความว่า ศีลทำให้สมาธิมีผลมากมีอานิสงส์มาก สมาธิทำให้ปัญญามีผลมากมีอานิสงส์มาก

ความหมายที่ครบถ้วนของอวิชชาคือ ความไม่รู้สิ่งที่ควรรู้ และความรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้  อวิชชาไม่ได้หมายเพียงความโง่หรือความไม่รู้เท่านั้น 
แต่ยังหมายถึงความรู้ที่เป็นขยะหรือมลพิษ คือความรู้เรื่องที่ไม่มีสาระไม่มีประโยชน์จัดเป็นอวิชชาเหมือนกัน เพราะถือเป็นการเพิ่ม
ความมือมากางกั้นแสงสว่างคือปัญญา

ข้อมูลข่าวสารเหมือนปลาในน้ำ   แทนที่ครูอาจารย์จะช่วยจับปลายื่นให้ศิษย์  พวกเขาควรสอนวิธีจับปลาเพื่อให้ศิษย์ไปจับปลาเอง   
"ถ้าท่านให้ปลาแก่คนจน  เขาจะมีปลากินเพียงวันเดียว  ถ้าท่านสอนวิธีจับปลาให้เขา  เขาจะมีปลากินตลอดชีวิต"
ที่ว่ารู้ลึกคือรู้เรื่องตัวเองด้วยการมองด้านใน ส่วนที่ว่ารู้รอบคือรู้โลกภายนอกรอบตัวเรา
				โลกภายนอกกว้างไกลใครใครรู้
				โลกภายในลึกซึ่งอยู่รู้บ้างไหม
				จะมองโลกภายนอกมองออกไป
				จะมองโลกภายในให้มองตน
	เมื่อรู้ตนแล้วก็รู้สิ่งที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตนเองตามลำดับของการ รู้ตน รู้คน รู้งาน รู้วิชาการ  นั่นคือรู้รอบและรู้กว้างขยาย
ออกไปครอบคลุมโลกภายนอก  ทั้งนี้ก็เพราะว่า การศึกษาคือกระบวนการขยายขอบฟ้าแห่งความรู้
ความจริงในโลกมีเงื่อนไขหรือปัจจัยแวดล้อมมากมาย  เรื่องเดียวกันอาจจะดีในสถานการณ์หนึ่งแต่ไม่ดีในสถานการณ์อื่น  
การพูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงต้องดูบริบทหรือสถานการณ์แวดล้อมคือมองให้รอบด้านไม่ใช่มองเพียงด้านเดียว 
 ด้านไหนขาวด้านไหนดำก็รอบรู้ตามที่เป็นจริง นั่นคือวิชชารู้เห็นตามความเป็นจริง  ขอมูลข่าวสารใดมีคุณก็ยอมรับว่ามีคุณ
และเอามาใช้ประโยชน์  ข้อมูลข่าวสารใดมีโทษก็ให้รู้เท่าทันและพยายามหลีกเลี่ยง  ถ้าใครรับข้อมูลด้านเดียวก็เหมือนกับ
คนตาบอดคลำช้าง ที่ว่า
พวกที่คลำหัวช้างบอกว่าช้างเหมือนหม้อ
พวกที่คลำหูช้างบอกว่าช้างเหมือนกระดัง
พวกที่คลำงวงช้างบอกว่าช้างเหมือนงอนไถ
พวกที่คลำตัวช้างบอกว่าช้างเหมือนยุ้งข้าว
พวกที่คลำปลายหางช้างบอกว่าช้างเหมือนไม้กวาด
สัญชาติลิง ยิ่งปีนสูงขึ้นไปเท่าไรคนก็รู้ว่าเป็นลิงมากขึ้นเท่านั้น ตอนอยู่ใต้ต้นไม้ คนไม่รู้ว่าเป็นเสือหรือแมว หรือ
หมี แต่พอปีนขึ้นยอดมะพร้าว  มันอยู่ไม่สุข คนจึงรู้ว่าเป็นลิงแน่นอน เหมือนบางคนตอนที่อยู่ในตำแหน่งเล็ก
 แม้จะไม่ได้เรื่อง คนทั่วไปไม่ได้สังเกตพอเขาขึ้นตำแหน่งสูง คนก็นินทาว่าโง่แล้วยังขยันอีก

จงใฝ่สูงในการศึกษาหาความรู้และประสบการณ์   แต่อย่าใฝ่สูงในตำแหน่ง  ขงจื้อคิดอย่างนี้จึงกล่าวว่า
  อย่าห่วงว่าใครไม่รู้ว่าท่านเก่งหรือมีความสามารถ   ห่วงแต่ว่าสักวันหนึ่งเมื่อคนเขายกย่องเลื่อนตำแหน่งท่าน 
ท่านมีความเก่งและมีความสามารถสมกับที่เขายกย่องเลื่อนตำแหน่งหรือเปล่า
	สุขและทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ
	ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส
	ถ้าไม่ถือก็ไม่ทุกข์พบสุขใจ
	เราอยากได้ความสุขหรือทุกข์กัน

บทบาทสำคัญของครูมีสามคำคือ แนะให้ทำ นำให้ดู  อยู่ให้เห็น   ดังพุทธพจน์ที่ว่า 
 
"ตุมเหหิ  กิจฺจํ  อาตปฺปํ  อกฺขาตาโร  ตถาคตา
การลงมือปฏิบัติจริงจังเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย พระตถาคตเป็นผู้บอกวิธีการ"

เล่าจื๊อ สอนไว้ว่า ผู้ปกครองที่ดีที่สุดจะปกครองโดยที่ผู้อยู่ใต้ปกครองไม่รู้สึกหนัก  ประเทศที่ดีที่สุด
ไม่ต้องมีกฎหมาย   หมายถึงทุกคนอยู่อย่างสงบจนไม่ต้องมีกฎหมายไม่ต้องมีตำรวจ  ที่ว่าปกครอง
อย่างผู้อยู่ใต้ปกครองไม่รู้สึกหนักคือ ปกครองอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ผู้ปกครองจะพูด
กับคนแต่ละคนอย่างไรให้เขาทำตามได้ต้องรู้นิสัยของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี   ครูที่สอนที่ดีที่สุด
คือครูที่รู้จิตใจของศิษย์สอนถูกจริตนั่นคือสอนตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 
ที่มา :	ขอบฟ้าแห่งความรู้  (พระราชวรมุนี  ประยูร  ธมฺมจิตฺโต)