Defence Research and Development Office

                 สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม

 

วัตถุประสงค์ของการจัดงาน DT 2000

 

1.      เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานวิจัยและพัฒนาการทหาร ในวาระครบรอบ ค..2000 และเทิดเกียรตินักวิจัย

2.      แสดงให้เห็นความร่วมมือและประสานการวิจัยอย่างแน่นแฟ้นระหว่างกระทรวงกลาโหมกับส่วนราชการภาคพลเรือนและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

3.      แสดงวิสัยทัศน์การวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของกระทรวงกลาโหม ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของชาติ

                                   

 

สถาปนา สวพ.กห. ……………………………………….……3

ครงการระบบแผนภารกิจอากาศยาน…….…………………...8

โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เส้นใยไหมในการผลิต

เสื้อเกราะ………………………………………………………9

โครงการทดลองผลิตจรวดขนาด 2.75……………………….10

โครงการรักษามะเร็งด้วยเลเซอร์……………………………..11

โครงการวิจัยและพัฒนาลูกตาปลอม…………………………13

โครงการร่วมมือกับ กห.อต.ในปัจจุบัน………………………14

ผลงานการวิจัยที่ได้รับรางวัล………………………………...18

การเสนอคำขอโครงการวิจัย…………………………………20

โครงการวิจัยและพัฒนาการทหาร…………………………...22

                

               

                    

 

 

 

การวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทย  ได้เริ่มดำเนินการมาพร้อมๆ  กับการสถาปนาเหล่าทัพแต่ละเหล่าทัพ       ระยะแรกกระทำกันในวงแคบ  แฝงอยู่ในลักษณะของการพัฒนา  ดัดแปลงเพื่อการซ่อมบำรุง  ไม่มีระบบและหลักการที่แน่นอน  กระจายอยู่ตามเหล่าและสายวิทยาการของเหล่าทัพ  ซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะการวิจัยและพัฒนาของฝ่ายพลเรือน  ที่เน้นการวิเคราะห์งานวิจัยทางด้านวิชาการตั้งแต่ต้น  เริ่มในสถาบันอุดมศึกษาแล้วจึงมีการพัฒนาเพื่อการซ่อมบำรุงหรือสร้างต้นแบบในภายหลัง

     วิวัฒนาการของงานวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทย  พอจะแบ่งได้เป็น   3  ยุค    คือ การวิจัยและพัฒนาก่อน พ..2515 ยุคระหว่าง พ..2515–29 และตั้งแต่ พ..2530  มาจนถึงปัจจุบัน

     ยุคก่อน พ..2515  งานวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทยยังไม่มีระบบ  กล่าวคือ ไม่มีนโยบายและงบประมาณเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ลักษณะการวิจัยขณะนั้นเป็นการคิดค้นวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้านการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์  กระจายกันดำเนินการในหน่วยย่อยของกองทัพ   มีเพียงกองบัญชาการทหารสูงสุดเพียงหน่วยเดียวเท่านั้นที่ได้จัดตั้งหน่วยงานวิจัยโดยตรง คือ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร  ในปี 2503  และตั้ง ศูนย์พัฒนาการและทดสอบทางการรบขึ้น  ในปี  2504  ศูนย์นี้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการศึกษาวิจัย  หน่วยงานวิจัยทั้ง   2  หน่วยนี้     ไม่ได้มีบทบาทในการวิจัยอย่างแท้จริง คงทำหน้าที่เพียงให้ความร่วมมือ สนับสนุน และหน้าที่อำนวยการด้านธุรการ ให้แก่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา  ส่วนด้านการวิจัยคงทำหน้าที่เพียงคอยติดตามดูการดำเนินงานวิจัยของฝ่ายอเมริกันอยู่ห่างๆ  ซึ่งขณะนั้นได้มีการวิจัยทางเทคนิค  การทดสอบ  และการวิจัยการปฏิบัติการทางยุทธวิธี  เพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ในสงครามเวียดนาม  บทบาทของศูนย์พัฒนาการและทดสอบทางการรบ ได้ยุติลงในปี 2513 ด้วยเหตุผลทางการเมืองและการทหาร        ต่อมาได้เริ่มบทบาทด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังเป็น  ครั้งแรกในปี  2515   พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น  ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหารโดยยังคงเป็นหน่วยขึ้นตรงของกรมการศึกษาวิจัยเช่นเดิม  จนถึงสิ้นมีนาคม 2534 จึงได้แยกมาเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองบัญชาการทหารสูงสุดระหว่าง พ..2515–2529  ในช่วงเวลา 15 ปีนี้  กระทรวงกลาโหมได้มีการปรับปรุง  และพัฒนางานวิจัยและพัฒนาการทหารอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยได้จัดตั้งหน่วยงานวิจัยและพัฒนาขึ้นในกองทัพไทย  ทั้งระดับกองบัญชาการทหารสูงสุด  และระดับเหล่าทัพ   มีการประกาศใช้นโยบายการวิจัยและพัฒนาการทหารของ กองบัญชาการทหารสูงสุด ที่ 434/2515 เมื่อ 26..15และได้มีการแก้ไขดัดแปลงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เมื่อพ..2526นโยบายการวิจัยและพัฒนาการทหารดังกล่าว   ถือเป็นแม่บทให้เหล่าทัพใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานการวิจัยและพัฒนาตลอดมา หลักการสำคัญของนโยบายนี้ คือ ให้มีการรวมการด้านนโยบายการวิจัยในระดับกองบัญชาการทหาร  สูงสุด  และแยกการด้านปฏิบัติในระดับเหล่าทัพ   นอกจากนั้นกระทรวงกลาโหม  ยังมีนโยบายร่วมมือทางการวิจัยกับภาคพลเรือน  โดยประกาศในคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่  858/2523 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2523 นับเป็นครั้งแรก ที่กระทรวงกลาโหม อนุญาตให้ทางทหาร รับการสนับสนุนการวิจัยพัฒนาจากฝ่ายพลเรือน       ทำให้เกิดโครงการวิจัยร่วมในรูปแบบต่างๆ  อาทิเช่น  การให้พลเรือนรับไปทำการวิจัยบางส่วน  หรือวิจัยทั้งโครงการ  นอกจากนั้นยังมีการยืมเครื่องมือเครื่องใช้  และอุปกรณ์การวิจัยต่างๆ  จากพลเรือนอีกด้วย

     ในห้วงระยะเวลานี้  ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ  ขึ้นในเหล่าทัพ  และมีการปรับปรุงบทบาทการดำเนินงานวิจัยอย่างแท้จริง  ให้แก่หน่วยวิจัยที่มีอยู่เดิมของกองบัญชาการทหารสูงสุด คือ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร กับศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร   ในส่วนของกองทัพบก (สวพ.ทบ.)  ขึ้นในปี 2515  และได้สถาปนาศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธกองทัพบก(ศอว.ทบ.)ในปี2522 ส่วนกองทัพอากาศ ได้จัดตั้งศูนย์ วิทยาศาสตร์และพัฒนาระบบอาวุธกองทัพอากาศ (ศวอ.ทอ.)  ขึ้นในปี  2517

  กล่าวโดยสรุป วิวัฒนาการของการวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทย  ตั้งแต่ปี 2515–2529  ถือได้ว่า เป็นยุคปฏิรูปการวิจัยและพัฒนาอย่างแท้จริง  เพราะมีการประกาศใช้นโยบายการวิจัย    และการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบการวิจัยขึ้น   ทั้งในระดับกองบัญชาการทหารสูงสุด  และระดับเหล่าทัพ  มีการรวมการด้านนโยบายการวิจัยในระดับกองบัญชาการทหารสูงสุด  โดยมีกรมการศึกษาวิจัย เป็นหน่วยรับผิดชอบในการอำนวยการและประสานงาน  ส่วนการปฏิบัติได้แยกอยู่ตามเหล่าทัพ และบางหน่วยของกองบัญชาการทหารสูงสุดสำหรับงบประมาณโครงการวิจัยส่วนใหญ่  หน่วยปฏิบัติจะจัดหาเอง  มีงบส่วนกลางจากกองบัญชาการทหารสูงสุดสนับสนุนบ้างเล็กน้อย  โดยจัดสรรให้หน่วยงานวิจัยของเหล่าทัพ  ผ่านกรมการศึกษาวิจัยแต่มีจำนวนค่อนข้างต่ำ   โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 4.7 ล้านบาทเท่านั้น

     ตั้งแต่ พ..2530 ปัจจุบัน  นับเป็นยุคที่การวิจัยพัฒนาการทหารของกองทัพไทย มีความเจริญ    ก้าวหน้าสูงสุด  มีการกำหนดเป้าหมายการวิจัยและพัฒนาการทหารล่วงหน้าระยะ  5 ปี  โดยกำหนดเป้าหมาย  5  ปี   เป็นครั้งแรกตั้งแต่ 2530 – 2534    นอกจากนี้ยังได้ยกระดับการรวมการด้านนโยบายการวิจัย จากระดับ บก.ทหารสูงสุด เป็นการรวมการด้านนโยบายและงบประมาณ  ในระดับกระทรวงกลาโหม       สำหรับการรวมการด้านนโยบายและงบประมาณ  ให้มีการสนับสนุนงบประมาณการวิจัยเป็นส่วนรวม  ในอัตราส่วนประมาณร้อยละ 2  ของ

งบประมาณรวมของกระทรวง นั่นคือ มีเป้าหมายจะใช้งบประมาณราวปีละ  1,200 ล้านบาท  เพื่อการวิจัย  ทั้งนี้ โดยค่อยๆ เพิ่มให้สูงขึ้นทุกปี  ตามปริมาณโครงการวิจัย  ขีดความสามารถในการวิจัยบุคลากร เครื่องบิน  และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี  งบประมาณรวมการดังกล่าว   ได้เริ่มครั้งแรกในปี 2535  เป็นจำนวน  16 ล้านบาท   สำหรับโครงการวิจัยรวม  20 โครงการ

      เพื่อให้การบริหารนโยบายรวมการวิจัย  ทั้งด้านนโยบายและงบประมาณ  ในระดับกระทรวง  บรรลุตามวัตถุประสงค์ และมีประสิทธิภาพ กระทรวงกลาโหม  ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง  ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายการวิจัย  อำนวยการ  และกำกับดูแลการดำเนินงานโครงการวิจัย ตลอดจน              งบประมาณ  คือ     คณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหารของ  กห.”   เรียกชื่อย่อว่า กวพท.กห.”  โดยมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม สายงานยุทธการ  เป็นประธาน    รอง เสธ.ทหาร  รอง เสธ.เหล่าทัพ   และหัวหน้าส่วนราชการด้านการวิจัย   ทั้งในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม  กองบัญชาการทหารสูงสุดและเหล่าทัพ  ร่วมเป็นกรรมการกับได้จัดให้มีสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหมขึ้นเมื่อ   12 ..34  ทำหน้าที่บริหารงานแบบ รวมการด้านนโยบายและงบประมาณการวิจัย  ระดับกระทรวงกลาโหม  ร่วมกับ  กวพท.กห.  โดยมีที่ตั้งชั่วคราวในขั้นต้นที่    อาคารอเนกประสงค์      กรมการอุตสาหกรรมทหาร

     ต่อมาได้ย้ายที่ตั้งหน่วยเข้ามาอยู่ในอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (แจ้งวัฒนะ)  ณ ตำบลบ้านใหม่  อำเภอปากเกร็ด  จังหวัดนนทบุรี  เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม  2542  กล่าวโดยสรุป  วิวัฒนาการของการวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทย  ตั้งแต่ พ..2530  เป็นต้นมา ได้พัฒนาในเรื่องการกำหนดเป้าหมายการวิจัยล่วงหน้า  5  ปี        และการยกระดับการรวมการด้านการวิจัยพัฒนา     จากระดับกองบัญชาการทหารสูงสุด  เป็นระดับกระทรวงกลาโหมและที่สำคัญคือ ได้ผลักดันให้มีการประกาศนโยบายทั่วไป  และนโยบายเฉพาะของการวิจัยและพัฒนาการทหาร   ขึ้นไว้ในนโยบายการทหารของกระทรวงกลาโหม   ปี 2535 – 2539   นับเป็นครั้งแรก ที่มีการประกาศนโยบายการวิจัยและพัฒนาในระดับกระทรวงกลาโหม

                   

                       

 

2  ..30      
     รมว.กห.   (พล...พะเนียง  กานตรัตน์) และ ปล.กห.   (พล...สรรเสริญ  วาณิชย์)พร้อมคณะ 12 นาย      ตรวจเยี่ยม ศวพท.ศวจ.  ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานโครงการวิจัยของ  ศวพท.  แล้ว    จก.ศวจ. (พล..ทำเนียบ  ทับมณี)  ได้เสนอสรุปปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทย  พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข  โดยมีหลักการให้รวมการด้านนโยบายและงบประมาณในระดับ  กห.   และแยกการด้านปฏิบัติในระดับเหล่าทัพ  ในขั้นต้นเสนอให้รวมการโดย

ตั้งคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหาร  ของ  กห. ขึ้น  ประกอบด้วย      หัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวข้องด้านการวิจัยพัฒนา  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  จากทุกส่วนราชการใน กห.เป็นกรรมการ รมว.กห.เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอและสั่งการให้ถือเป็นนโยบายของ  กห.

 21  เม..31   

คำสั่ง กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ 53/31 แต่งตั้งคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหารของ กห. (กวพท.กห.) จำนวน 21 นาย มี รอง ปล.กห.

(สายงานยุทธการ)เป็นประธานกรรมการ  รอง เสธ.ทหาร เป็นรองประธานกรรมการ  จก.ศวจ.เป็นกรรมการ  หก.กวก.ศวจ.เป็นกรรมการและเลขานุการ

 9 มี..32       

     ที่ประชุม กวพท.กห. มีมติให้จัดตั้งสำนักงาน  กวพท.กห. ขึ้นใน สป. เพื่อทำหน้าที่แทน  ศวจ.  ด้านการวิจัยและพัฒนาการทหาร        ซึ่งมีแนวโน้มที่ บก.ทหารสูงสุด  จะปรับปรุงการจัดส่วนราชการใหม่  ศวจ.จะหมดภารกิจด้านอำนวยการการวิจัยฯ

20 ..33

     ปล.กห.บันทึกต่อท้ายหนังสือ สนผ.กห. ฉบับลงวันที่ 27..33  เรียน  รมว.กห.  เพื่ออนุมัติการแก้อัตรา  สป. และลงชื่อในร่างคำสั่ง  กห.

27 ..33

      ผอ.สนผ.กห. (พล..ประเทือง        เทียนทองดี) รายงาน ปล.กห. (พล..วันชัย เรืองตระกูล)  ขออนุมัติตั้งอัตราสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหมเป็น นขต.สน.ปล.กห. เพิ่มขึ้นอีก 1 ส่วนราชการ กำหนดเป็น อัตราเฉพาะกิจหมายเลข 0107  สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม  มีอัตรากำลังพลทั้งสิ้น 205อัตรา เป็นอัตรานายทหารสัญญาบัตร 122 อัตรา    นายทหารประทวน 83  อัตรา

5 ..34    

     รมว.กห. (พล..ชาติชาย ชุณหะวัณ)   ลงชื่อในคำสั่ง   กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ)     ที่ 196/33  เรื่อง แก้อัตราเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม (ส่วนกลาง) ข้อ 2 ให้ใช้อัตราเฉพาะกิจหมายเลข 0107  สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่แนบท้ายคำสั่งนี้ ตั้งแต่ 1..33 เป็นต้นไป (วันเสาร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 2)      โดยสั่ง    วันที่ 6 ..33

 

6..33       

     ปล.กห. ลงชื่อในคำสั่งสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ 308/33  เรื่อง แก้อัตราเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม (ส่วนกลาง) โดยมีข้อความทั้งหมดเหมือนกับคำสั่ง กห. (เฉพาะ) ที่ 196/33 ข้างต้น

12 ..34

     ตรงกับวันแรม 13 ค่ำ เดือน 3          (วันอังคาร) เป็นวันสถาปนาจัดตั้งสำนักงาน สวพ.กห.    ตามคำสั่งสำนักงานปลัด

กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ 27/34๔ ลง 12..34

 
25 ..34

     ปล.กห.เป็นประธานประชุมผู้แทนหน่วยเกี่ยวข้องใน สป.และ ศวจ.  ณ ห้องประชุมสุรศักดิ์มนตรี เรื่อง สถานที่ตั้ง สวพ.กห. (กำหนดให้ตั้งบนพื้นที่ตึกอเนกประสงค์ของ อท.ศอพท.) และอนุมัติตัวบุคคลตามยอดบัญชีกำลังพล 56 อัตรา ที่ ศวจ.เสนอ

(มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ประมาณ 5-6 อัตรา)

 

1 มี..34       

     สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งให้ใช้อัตราลูกจ้างประจำของ    สวพ.กห.  รวม  7  อัตรา  ตามคำสั่ง สป.       (เฉพาะ) ที่ 48/34   เรื่อง   ให้ใช้อัตราลูกจ้างประจำลง 1 มี..34

 

12 มี..34     

     มีหนังสือขอให้ สยธ.กห.    ปรับปรุงตกแต่งห้องทำงาน ณ ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ของ อท.ศอพท. ได้รับแบบแปลนการปรังปรุงและการประมาณราคารวม   42,676.-  บาท      เมื่อ 21 มี..34    เป็นการปรับปรุงตกแต่ง รวม 4 รายการ

 

4 เม..34      

กำลังพลชุดแรกที่จะปรับย้ายจาก กศ. จำนวน 9  นาย     เป็นนายทหารสัญญาบัตร 4 นาย   นายทหารประทวน 4 นาย ลูกจ้างประจำ 1 นาย เริ่มเข้าปฏิบัติงาน ณ ที่ตั้ง สวพ.กห.

24..42

       ปล.กห. ลงชื่อในคำสั่ง สป.(เฉพาะ) ที่ 212/42  เรื่อง ให้เปลี่ยนแปลงและกำหนดที่จัดหน่วยของ นขต.สป. ลงวันที่ 5 ..42 ให้ สวพ.กห. ย้ายเข้าที่ตั้งใหม่ ณ อาคาร สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

 × × × × × × × × × × × × ×

 โครงการวิจัยดีเด่น

                          

                             

 

                        ความเป็นมา/วัตถุประสงค์

            เมื่อ ส..๔๐ ร..จักรีนฤเบศร ซี่งเป็นเรือบรรทุก ฮ.ลำแรกและลำเดียว ของกองทัพเรือ ที่สั่งต่อจากประเทศสเปน ได้เดินทางมาถึงประเทศไทย และพบว่า ก่อนปฏิบัติภารกิจของนักบินที่ปฏิบัติงานร่วมกับเรือบรรทุก ฮ. จำเป็นต้องมีการบรรยายสรุปข้อมูลที่จำเป็นให้แก่นักบินได้ทราบ  แต่เรือ ฯ ยังขาดระบบที่จะสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นเพื่อใช้ในการดังกล่าว ทร. จึงมีดำริ เพื่อจัดหาระบบ เพื่อสนับสนุนภารกิจนี้ กองทัพเรือสเปนมีระบบที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันใช้งานอยู่บนเรือบรรทุก    เครื่องบิน Principe de Asturias และบริษัทบาซาน ประเทศสเปน เสนอที่จะจัดทำระบบดังกล่าวให้แก่ ทร. ในราคา 50 ล้านบาท  ทางกรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดหาจึงได้เสนอต่อ ทร. ที่จะดำเนินการจัดทำระบบดังกล่าวขึ้นเองในลักษณะของโครงการวิจัย ที่จะจัดทำโดยใช้บุคลากรของ ทร.  เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ อีกทั้งยังทำให้ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถสนองตอบตรงตามลักษณะการปฏิบัติของ ทร. และความต้องการของผู้ใช้งาน โดยใช้ชื่อว่า ระบบแผนภารกิจอากาศยาน (AMPS)” ใช้เวลาในการดำเนินการเพื่อพัฒนาและทดสอบระบบ ฯ ตั้งแต่ 15 ..40 จนถึง 31 ..41 ใช้งบประมาณจำนวน 500,000 บาท

ผลงาน

            ผู้วิจัยได้พัฒนาระบบ AMPS เป็นระบบที่ทำงานบน LAN ซึ่งใช้ Window NT Server 4.0 และ SQL Server 6.5 เป็นตัวจัดการด้านระบบเครือข่าย และฐานข้อมูล ตามลำดับ สำหรับตัวโปรแกรมเขียนด้วย Visual Basic 5.0 Enterprise ผู้ใช้งานแต่ละคนจะได้รับ User Name และ Password ให้สามารถปฏิบัติงานได้ตาม Modules ที่เกี่ยวข้อง โดย Work Station ทุกตัวตามห้องต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย สามารถใช้งานโปรแกรมได้ในเวลาเดียวกัน

            ข้อมูล Modules ต่าง ๆ ประกอบด้วย

- ข้อมูลอากาศยาน          - ข้อมูลสนามบิน

- ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา       - แฟ้มเป้าหมาย

- แผนการซ่อมบำรุง         - จดหมายอิเล็กทรอนิกส์

- สถานะความพร้อมองอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้น

- พื้นที่ปฏิบัติการ - วงจรบินรอ

- แผนบิน                       - แผนการสื่อสาร

- การบรรยาย                  - เมนูหลัก

ผู้วิจัย

            พล...ยอดชาย  ชุมแสง ณ อยุธยา