สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม

                                                     ปีที่ 1 ฉบับที่ 5  เดือนเมษายน  2543                                           ISSN 1513-4288              

 

 

 

       

 

v วิสัยทัศน์

v วิทยาการก้าวหน้า

v วันมหาสงกรานต์-วันปีใหม่ของไทย

v ข่าวการวิจัย

 

แนวนโยบายการดำเนินงานด้านการวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของประเทศไทยในอนาคต

โดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยและสิ่งแวดล้อม

 

ท่านผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกระทรวงกลาโหม   ท่านผู้มีเกียรติ

ที่เคารพทุกท่าน  ผมมีความดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานของท่านวันนี้  ผมมีความประทับใจเมื่อ ๒ - ๓ เดือนที่ผ่านมาที่ท่าน ผอ.สวพ.กห. และคณะได้ไปเยี่ยม กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  ต้องยอมรับว่าเมื่อก่อนนี้ผมไม่มีความเข้าใจว่า กห. และ พลเรือนนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร  แต่ก็ได้เกิดความคิดขึ้นในบัดนั้นว่า เราต้องใกล้ชิดกันอย่างมาก เราต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จริงๆ แล้วปรัชญาและอุดมคติของเราคืออันเดียวกัน เราต้องป้องกันประเทศของเราจากการรุกรานของข้าศึก  ข้าศึกในสมัยก่อนอาจจะเป็นการยกกำลังทหารเข้ามายึดครองผืนแผ่นดิน แต่ข้าศึกสมัยใหม่มาในทุกรูปแบบ ไม่ใช่เฉพาะทางด้านการทหารเท่านั้น ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสังคม ทางด้านการเมือง และสุดท้ายถ้าแก้ปัญหาไม่ได้อาจจะต้องถึงขั้นการทหาร  ฉะนั้น ผมมีความมั่นใจว่า การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างทุกด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ซึ่งเราก็เพิ่งจะตื่นตัวเหมือนกัน หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย เราเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจขึ้น เราก็เริ่มมาสำรวจ เราไปโทษว่าสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจล่มสลายก็เพราะว่าการดำเนินการทางด้านการเงินผิดพลาด เราไปกู้เกินตัว ไปกู้มาจากต่างประเทศเยอะเกินไป ลงทุนไร้ทิศทาง ลงทุนในสิ่งที่มันไม่เกิดประโยชน์ เราโทษตรงนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องลดค่าเงินบาท และทุกอย่างก็เป็นโดมิโนไปหมด แต่จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าไม่ใช่      จริงๆ แล้วทำให้เราได้เห็นสาเหตุอย่างแท้จริงของการล่มสลาย เราเห็นถึงความอ่อนด้อยของเราในทุกๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเศรษฐกิจ  การอุตสาหกรรม  เพราะเหตุที่ว่าเราละทิ้งละเลยการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอย่างมาก  เราก็ลองมาดูสาเหตุกันว่า สภาพการในเรื่องของการพัฒนาเหล่านี้ว่าทำไมถึง อ่อนด้อย  เมื่อหลายปีมาแล้ว เราบอกว่าประเทศเราเป็น “นิก” ผมก็ยังคิดอยู่ในใจว่าเราจะเป็น “นิก” ได้จริงหรือ ในเมื่อทุกอย่างเราต้องซื้อหมดเลย การจะเป็น “นิก” เราต้องมีขีดความสามารถในการสร้างเทคโนโลยีด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทุกอย่างต้องซื้อ เครื่องจักรตัวเล็กๆ น้อยๆ ต้องซื้อเข้ามาหมด อะไหล่ไม่มีก็ต้องสั่งอะไหล่เข้ามา คนซ่อมเผลอๆ ก็ยังไม่มีเลย ต้องสั่งจากนอกเข้ามา  หรือเป็นต้นว่า เครื่องมือทางการแพทย์ เครื่องมือโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลาย    ฉะนั้น เราจะเป็น “นิก” ได้ยากมาก     จริงๆ แล้วมันเป็นไม่ได้ ถ้าเราไม่ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทที่ต้องการให้มีเศรษฐกิจพอเพียง  นั่นคือ ปรัชญาพื้นฐาน ที่ผมเชื่อว่า มันต้องเริ่มต้นจากตรงนี้  เมื่อเราเพียบพร้อมด้วยขั้นตอนตรงนี้  ถึงจะก้าวต่อไปได้  นี่เรายังก้าวต่อไปไม่ได้     และสิ่งหนึ่งที่ผมอยากกราบเรียนเป็นความรู้สึกส่วนตัวว่า ขณะนี้แม้แต่เรื่องซึ่ง  น่าจะง่ายที่สุด ก็ยังจะมีปัญหา โรงงานอุตสาหกรรมทอผ้าล่มสลายไปหมด เพราะเราไม่มีเทคโนโลยีของเรา ตอนนี้มาถึงยุคอีกยุคหนึ่งครับ เราบอกว่าฝีมือตัดเสื้อ ตัดสูท ตัดอะไรทั้งหลาย เราเก่งเมืองไทยสามารถจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา แล้วสามารถจะตัดเสื้อในประเทศไทยด้วยเวลารวดเร็ว ราคาไม่แพง   ฝีมือดี แต่มาบัดนี้ ชักจะไม่ค่อยแน่ใจ เพราะว่ากระบวนการเหล่านี้ ไม่มีเทคโนโลยีเลย ทำอยู่อย่างไร     ก็ทำอยู่อย่างนั้น รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ซึ่งเคยมีฝีมือ ตอนนี้ก็ล้มหายตายจาก คนรุ่นใหม่เข้ามาไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีเข้าไว้ในตัวเลย  ผมขอยกตัวอย่างเรื่องการตัดสูท  เทคโนโลยีของเราก็คือ มีแผ่นผ้าเป็นกาว แผ่นหนึ่งอยู่ข้างใน แล้วเราก็รีดทับให้มันเรียบติดกับข้างนอก ทำให้เสื้อข้างนอกเรียบ แต่บังเอิญวันดี  คืนดีกาวนั้นก็หลุด มันก็ทำให้เสื้อข้างนอกย่นได้ อะไรต่ออะไรเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่าง แต่ปรากฏว่า  เสื้อนอกอิตาลีทั้งหลายกำลังเข้ามาตีตลาดเมืองไทยอย่างมาก ยี่ห้อต่างๆ ดังๆ ที่ท่านรู้อยู่แล้ว  แล้วราคา อย่าคิดว่าเสื้ออิตาลีแพงกว่าเมืองไทย  ถูกกว่าเมืองไทยครับ แฟชั่นดี ฝีมือดี อะไรดี ท่านลองไปสังเกต  ดูสิครับ

..สิริศักดิ์   บุณยสุขานนท์  .น.

ประจำแผนกวิชาการและฝึกอบรม กสว.สวพ.กห.

                           

 

                                                                                                        น..มล.นฤเทพ  สวัสดิกุล Y

 

ใบโอเซนเซอร์  (Biosensors)

1.       ไบโอเซนเซอร์คืออะไร

ในตัวเรามีไบโอเซนเซอร์อยู่  2 ชนิด คือ จมูกและลิ้นของเรา    แต่ในขั้นแรกขอให้เราตั้งคำถามโดยทั่วไปเสียก่อนว่า ไบโอเซนเซอร์คืออะไร

                เซนเซอร์ประเภทหนึ่งที่เรารู้จักกันดีที่สุด คือ กระดาษลิตมัส ซึ่งใช้สำหรับทดสอบกรดและด่างต่างๆ โดยใช้สีที่เกิดขึ้นจากปฏิกริยาเคมีเป็นตัวระบุการทดสอบทางคุณภาพว่า มีกรดหรือไม่มีกรออยู่ในสารละลายที่นำมาทดสอบ วิธีที่แม่นยำไปยิ่งกว่านี้ในการระบุระดับของความเป็นกรด ก็คือการวัดค่าความเป็นกรดหรือด่าง (ค่า pH) โดยการใช้ปฏิกริยาเคมีที่ก่อให้เกิดสีต่างๆของน้ำยาอินดิเคเตอร์พิเศษ ซึ่งสีนี้จะแตกต่างกันออกไปตามระดับความเป็นกรดหรือด่างของน้ำยานั้น นอกจากนี้ยังใช้กระดาษวัดความเป็นกรดหรือด่าง (pH paper ) เข้าช่วยก็ได้  อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีที่สุดในการวัดระดับความเป้นกรดหรือด่าง ก็คือการใช้เครื่องวัด      (pH meter) pH meter  เป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้า – เคมี ซึ่งจะแสดงการตอบสนองออกมาในรูปแบบของไฟฟ้าอันสามารถอ่านค่าได้จากเข็มชี้ซึ่งเคลื่อนที่ไปมาบนสเกล หรือแสดงออกมาเป็นตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนจอของเครื่องวัด หรือนำกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นไปป้อนเข้ากับไมโครโปรเซสเซอร์ก็ได้

                ด้วยวิธีต่างๆที่กล่าวมาแล้วนี้ สามารถกล่าวได้ว่า เซนเซอร์ คือ ตัวที่ตอบสนองความเป็นกรดหรือด่างโดยทางเคมี เช่น สีของลิตมัส หรือสีทีมีส่วนผสมที่สลับซับซ้อนของน้ำยาอินดิเคเตอร์ต่างๆ หรือโดยการใช้ glass mesnlrane electroed ใน pH meterไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองทางเคมีหรือไฟฟ้า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสัญญาณที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตาของเรา    ในกรณีของกระดาษลิตมัสนั้นง่ายเพียงแต่สังเกตสีที่เปลี่ยนไป เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของสีนั้นเกิดจากการดูดซึมคลื่นแสงในช่วงที่ตาของเราสามารถมองเห็นได้ ซึ่งเราสามารถเห็นได้ในทันทีด้วยตาของเราในห้องที่มีแสงสว่าง ในกรณีของ pH meter สัญญาณไฟฟ้าที่ได้จากการตอบสนอง (การเปลี่ยนแปลงของศักย์ไฟฟ้า) จะต้องถูกนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปแบอื่นเสียก่อน (Teansduced) จึงจะสามารถสังเกตเห็นการตอบสนองนั้นได้ โดยการสังเกตการเคลื่อนที่ของเข็มเครื่องวัดบนหน้าปัทม์หรือแสดงออกมาเป้นตัวเลขให้สามารถมองเห็นได้ ชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่เปลี่ยนรูปแบบของการตอบสนอง เรียกว่า Teansducer

                ในไบโอเซนเซอร์หรือตัวรับรู้ที่ตอบสนองสารที่จะวัด ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเป็นสารชีวะ ต้องมีการต่อเชื่อมเข้ากับ Teansducer  เพื่อที่จะสังเกตเห็นการตอบสนองนั้นด้วยตาได้ ไบโอเซนเซอร์โดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับการรับรู้และการวัดสารเคมีต่างๆโดยเฉพาะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีส่วนประกอบเป็นสารชีวะ ถึงแม้บางครั้งจะเป็นสารชีวะ โดยปกติแล้วเรามักเรียกสารเหล่านี้ว่า Snbsteate หรือ Analyte

กลิ่นเป็นสิ่งที่เรารู้สึกได้ด้วยจมูก กลิ่นเป็นสารเคมีต่างๆที่มีปริมาณน้อยๆ จมูกเป็นเครื่องมือที่มีความไวในการรับดลิ่นซึ่งยากที่จะทำเทียมเลียนแบบขึ้นได้ จมูกสามารถทราบความแตกต่างของสารเคมีชนิดต่างๆว่าเป็นสารอะไร และสามารถบอกได้ว่าจมูกมีปริมาณของสารเคมีนั้นมากน้อยเพียงไรทั้งๆที่สารนั้นมีอยู่เป็นปริมาณน้อยมาก  จมูกสามารถตรวจจับสารเคมีได้เมื่อมีสารนั้นซึมผ่านเยื่อ Olbactory ในจมูกเข้าสู่ Olbactory bnlbs ซึ่งเป็นส่วนประกอบทางชีวะของจมูกที่สามารถรับรู้ Substrate ผ่านได้ การตอบสนองจะเกิดขึ้นโดยมีสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังสมองโดยผ่านทางประสาท Olbactory ต่างๆ สมองจะแปรเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นความรู้สึกที่เราเรียกว่ากลิ่น ส่วนลิ้นก็จะทำงานได้ในลักษณะเดียวกับจมูก

 

 รูปที่ 1.2 เป็นแผนผังที่แสดงระบบ Olbactory ของจมูก เปรียบเทียบกับจมูกจริงๆของเราซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า Biosensor  รูจมูกจะรวบรวมตัวอย่างของกลิ่นต่างๆ ที่ซึมผ่านเยื่อ Olbactory ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบทางชีวะการตอบสนองต่างๆ จะเกิดขึ้นที่ Olbactory ซึ่งทำหน้าที่เป็น Transducer แปรเปลี่ยนโดยเซลประสาทแล้วส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังสมองด้วยการส่งผ่านทางทางเส้นใยประสาทเพื่อทำการตีความ ดังนั้นสมองจึงทำหน้าที่เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เปลี่ยนสัญญาณเป็นความรู้สึกที่เรียกว่ากลิ่น

                ดังนั้นจึงสามารถให้คำจำกัดความไปโอเซนเซอร์ได้ว่า เป็นอุปกรณ์ที่มีส่วนประกอบในการรับรู้ทางชีวะที่ต่อเชื่อมเข้ากับ Transducer

                Transducer  จะแปรเปลี่ยนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทางฟิสิกส์หรือเคมีให้เป็นสัญญาณที่สามารถวัดค่าได้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาณทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขนาดและสัดส่วนสัมพันธ์กับความเข้มข้นของสารเคมี หรือชุดของสารเคมี   ไบโอเซนเซอร์จึงเป็นสิ่งที่รวมความแตกต่างที่ปรากฏของสองอย่าง คือ ขนาดและสัดส่วนของความเข้มข้นของสารเคมีอย่างเที่ยงตรง ไบโอเซนเซอร์จะรวมคุณสมบัติทั้งด้านความเฉพาะเจาะจงและด้านความไวของระบบชีวะต่างๆ เข้ากับพลังในการคำนวณของไมโครโปรเซสเซอร์

2.ประโยชน์ของไบโอเซนเซอร์

                ไบโอเซนเซอร์  มีประโยชน์ในการนำมาใช้งานได้หลายด้าน เช่น

                - ด้านการแพทย์

                - ด้านอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่การควบคุมขบวนการหมักต่างๆ  

                - ก้านการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อม

                - ก้านการป้องกันประเทศและการรักษาความปลอดภัย

                ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะในเรื่องการใช้งานด้านการป้องกันประเทศและการรักษาความปลอดภัยเท่านั้น

3.การใช้งานไบโอเซนเซอร์ก้านการป้องกันประเทศและการรักษาความปลอดภัย

                ความต้องการไบโอเซนเซอร์สำหรับการใช้งานทางทหารนั้น ต้องการไบโอเซนเซอร์ที่มีขนาดเล็กสำหรับพกพาไปได้ด้วยคนๆเดียว และมีขนาดพอเหมาะสำหรับติดตั้งไว้บนรถถังหรือนำพาไปในสนามได้ด้วยหน่วยทหารต่างๆ ตลาดของไบโอเซนเซอร์ในทางทหาร เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในด้านการใช้ไบโอเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับสารต่างๆ ที่ใช้ในการทำสงครามเคมี เช่น ก๊าซทำลายประสาท อันได้แก่ ก๊าซซาริน และก๊าซมัสตาร์ด ส่วนตลาดการใช้งานการรักษาความปลอดภัย ได้แก่ ใช้ในการตรวจหาไอระเหยของวัตถุระเบิด เช่น TNT และใช้ในการตรวจหาไอระเหยของยาเสพติดต่างๆ นอกจากนี้ยังใช้ในการตรวจหาสารพิษ (Toxin) ได้ โดยการตรวจหาโปรตีน 13-20 ชนิด ซึ่งสามารถครอบคุมการตรวจหา Toxin ต่างๆ ได้ถึง 95% อีกทั้งกองทัพบกสหรัฐ ได้พัฒนาไบโอเซนเซอร์ให้สามารถตรวจหาเชื้อโรค Q-bever สารทำลายประสาทต่างๆ ราฝนเหลือง และก๊าซโซมาน ได้อีกด้วย

4. เอกสารอ้างอิง

1. Eggins,/Brain R.// Biosensors : An introduction  ////Chicchester (England) John Wiley & Sons}/1996.

 ..มล.นฤเทพ  สวัสดิกุล Y

                                             

                                                                                                                                       " มะเดื่อ "

 วันมหาสงกรานต์ของไทย      ที่เราชาวไทยถือว่าเป็นวันปีใหม่ของไทย ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๓, ๑๔ และ ๑๕ เมษายนของทุกปี  ปีใหม่ของไทยจึงมักมีการทำพิธีสงกรานต์ โดยเริ่มจากการทำบุญตักบาตรในตอนเช้า ตอนสายไปสรงน้ำพระพุทธรูป ปล่อยนก ปล่อยปลา และมีการละเล่น  ส่วนตอนเย็นจะไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่

คำว่า "สงกรานต์"  แปลว่า  ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไป โดยหมายถึงพระอาทิตย์ผ่านหรือย้ายเข้าไปในจักรราศีใดราศีหนึ่ง การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ของไทยจึงถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นปีใหม่ของทุกปี และแทนเปลี่ยนชื่อปี แต่ยังไม่เปลี่ยนศักราช

                พิธีสงกรานต์มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ไม่ได้ทำเป็นพิธีใหญ่ๆ ไม่มีแม้กระทั่งพิธีทางพุทธศาสนา เพียงแต่ให้ข้าราชการหรือเจ้าขุนมูลนายสมัยนั้น    พากันไปถวายบังคมถือน้ำพิพัฒน์สัจจา แล้วได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดผ้าปีแก่ข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ขยายพิธีให้กว้างออกไป        มีการสรงน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์ และก่อพระเจดีย์ทราบจัดงานฉลองกันอย่างครึกครื้น จนกระทั่งสมัยรัตน์

โกสินทร์ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา  แต่โปรดให้มีการถวายข้าวบิณฑ์เพิ่มขึ้น

พิธีสงกรานต์จึงเป็นประเพณีปฏิบัติที่ทำให้จิตใจสงบเย็นสะอาดหมดจด เช่นการทำบุญตักบาตรเป็นการสกัดความตระหนี่ คือ โลณะมิให้เกิดขึ้นในจิตใจ การปล่อยนก ปล่อยปลา เป็นการทำให้จิตใจเจือปนไปด้วยความเอื้อเอ็นดู สงสารสัตว์มีชีวิตอื่นๆ ไม่ให้เห็นแก่ตัว  แต่ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอว่า เราคือผู้จะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  เช่นเดียวกับเขาในที่สุดจิตใจที่จะเบียดเบียนผู้อื่นก็ไม่เกิดขึ้น เมตตา ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น หวังจะให้ผู้อื่นมีความสุขสบาย  ก็จะเกิดขึ้นแทนที่ การไปขอศีลขอพรจากผู้ใหญ่ เป็นการแสดงสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ เป็นการ

อ่อนน้อมถ่อมตน ลดทิฏธิมานะลงไป ไม่เย่อหยิ่งทะนงตน ไม่ยกตนข่มท่าน ส่วนการละเล่นเป็นการเพิ่มความสนุกสนานเท่านั้น

 การสรงน้ำพระสงฆ์

พระสงฆ์ก็เป็นองค์หนึ่งที่นับเนื่องในพระรัตนตรัย เมื่อชาวบ้านสรงน้ำพระพุทธรูปเสร็จแล้วก็จะนำน้ำอบน้ำหอมอีกส่วนหนึ่งไปสรงพระสงฆ์อีก บางทีก็ใช้น้ำธรรมดาไปสรงให้ท่าน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและขอพรจากท่านให้อยู่เย็นเป็นสุข

การสรงน้ำผู้หลักผู้ใหญ่

ผู้หลัก หมายถึง ผู้เป็นเจ้าเมือง อาจหมายถึงพ่อเมือง พ่อบ้าน เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน บุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นหลักประกันความปลอดภัย

ผู้ใหญ่หมายถึง ผู้มีอายุสูง (วัยวุฒิ) มีความรู้สูง (คุณวุฒิ) ผู้เกิดในตระกูลสูง (ชาติวุฒิ) ได้แก่องค์พระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ ท่านเหล่านี้เป็นผู้สมควรได้รับการสักการะ   และความเคารพในเทศกาลสงกรานต์ผู้น้อยสมควรนำน้ำอบน้ำหอม ไปให้ท่านอาบหรืออาจจะนำผ้านุ่งห่มไปให้ท่าน  เพื่อจะได้ใช้สอยจัดเป็นบุญกุศลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

การแสดงความเคารพแบบนี้ ทั้งผู้น้อยที่ไปแสดงความเคารพ และผู้ใหญ่ที่รับการเคารพล้วนแต่เป็นการกระทำที่เป็นไป        เพื่อลดกิเลสทั้ง ๒ ฝ่ายผู้น้อยได้แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กระด้าง ไม่โอ้อวด เป็นเสมือนดอกมะเขือที่เขานำไปไหว้ครูในสมัยโบราณ ฝ่ายผู้ใหญ่เมื่อเห็นผู้น้อยทำการเคารพก็เกิดเมตตาสงสาร      ลดโทสะลงไปหมด การกระทำเช่นนี้  คือ ความสงบร่มเย็นของทุกฝ่าย ซึ่งจะมีความรักความเอื่ออาทรต่อกันและกัน

การก่อพระทรายหรือเจดีย์ทราย

เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ที่เดิมแล้ว  จะมีพิธีก่อพระทรายหรือเจดีย์ทราย บางแห่งจะจัดทำในวันขึ้น  ๑๔  ค่ำ  หรือ  ๑๕  ค่ำ   เดือน ๖ 

การก่อพระทรายหมายถึงการขนทรายจากท่าน้ำมากองเป็นเจดีย์ไว้ที่วัดทำเหมือนรูปเจดีย์ บางทีก็มีการตกแต่งให้สวยงาม      ตรงยอดเจดีย์เอาไม้แข็งทำเป็นหยักและเสี้ยมปลายแหลม   พร้อมทั้งทาสีให้สวยงามมาเสียบไว้      พร้อมดอกไม้และธูปเทียนบางแห่งใช้ไม้ไผ่ก็มี

เมื่อก่อพระเจดีย์ทรายเสร็จแล้ว ก็มีการทำพิธีบวชโดยนิมนต์พระสงฆ์อย่างน้อย ๕ รูป มาทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำพิธีบวชองค์พระเจดีย์ทราย มีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่เจดีย์ทรายด้วย การก่อพระเจดีย์ทรายมักจัดทำในตอนบ่าย กลางคืนมีการเจริญพระพุทธมนต์ในวันรุ่งขึ้นทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระ แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้ที่เดิม

ความเชื่อที่ให้มีการก่อพระเจดีย์ทรายโดยเชื่อว่าเมื่อเข้าไปที่วัด  ดินทรายที่วัดได้ติดฝ่าเท้าของเราออกจากวัดไปด้วย  จัดว่านำของวัดเข้าไปในบ้าน ถือว่าเป็นบาป      เพื่อล้างบาปจึงกำหนดให้มีการขนทรายเข้าวัดปีละครั้ง ผลโดยตรงคือจะทำให้ที่วัดสูงขึ้นมา หรือจะได้ทรายนั้นไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในอารามต่อไป  วัดต่างๆ ในภาคเหนือจะได้ทรายเข้าวัดตอนสงกรานต์นี้มาก เห็นได้ว่าแต่ละวัดจะมีกำแพงเป็นสัดส่วนดูสง่างามตาน่าศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

วันมหาสงกรานต์-ปีใหม่ของไทย  จึงเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นหลักสำหรับปฏิบัติของเราชาวไทยทุกคน   เพื่อให้ได้รับผลดีการอยู่รวมกันในสังคม ตลอดจนความสงบร่มเย็น ความมีน้ำใจเอื่อเฟื่อเผื่อแผ่ มีความรักความเข้าใจต่อกัน