![]() สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม
|
||
แบบ สวพ.กห.1 (แบบคำขอโครงการวิจัยและพัฒนาการทหารของ กห.)
ชื่อโครงการ โครงสร้างการจัดองค์การเพื่อการบริหารจัดการและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหารในสังกัดกระทรวง กลาโหมให้มีความเหมาะสมเป็นสากล และมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต แผนงาน แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการวิจัย หน่วยงานเจ้าของโครงการ สวพ.กห. ผู้อำนวยการโครงการ พลโท ดร. ชัยศึก เกตุทัต นายทหารโครงการ พลโท ดร. ชัยศึก เกตุทัต
1. หลักการและเหตุผล 1.1 ความเป็นมา กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ 21 นี้ มีผลมาจากความก้าวหน้าด้านสื่อสารโทรคมนาคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัจจัยผลักดันที่สำคัญที่ทำให้คนในสังคม สามารถแสวงหาข่าวสาร ความรู้ ได้อย่างหลากหลายจากทุกทิศทุกทาง ทำให้เกิดการตระหนักและเข้าใจร่วมกันว่า การพัฒนาที่ใช้ทรัพยากรโดยไม่มีขอบเขตจำกัด จะก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว ดังนั้นประชาคมโลกจำเป็นต้องปรับระบบด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของตนเองใหม่ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันในระบบเศรษฐกิจเสรี ซึ่งมีการแข่งขันทางการค้า การเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพ การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาประเทศให้บรรลุเป้าหมายบนวิถีทางแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น ทุกประเทศจำเป็นต้องปรับปรุงพัฒนาประเทศของตนให้สามารถพึ่งตนเอง อีกทั้งต้องพัฒนาศักยภาพและภูมิปัญญา ที่สำคัญคือ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการผลิต การบริการ และการแข่งขันในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศให้มั่นคง สมเด็จพระเทพรัตนราช-สุดาสยามบรมราชกุมารี (2542) ได้มีพระดำรัสในการประชุมประจำปี 2542 ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ มีใจความตอนหนึ่งว่า คนเรานั้นจะต้องมีนวัตกรรม (Innovation) คือต้องรู้จักสร้างสรรค์ ต้องมีความพร้อม ที่จะก้าวไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ว่าต้องปรับโลกให้เหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นอยู่ หรือความพอใจของตนเอง ต้องแก้ปัญหาด้วยความคิด พอถึงทางตันก็ต้องหาทางใหม่ ยิ่งในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ยิ่งต้องการนวัตกรรม ซึ่งไม่ใช่เฉพาะนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นนวัตกรรมของทั้งระบบโดยรวม ตั้งแต่ สังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม กล่าวคือต้องปรับทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เช่น ต้องมีความสนใจใฝ่รู้ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีความรับผิดชอบ ความขยัน รวมทั้งเรื่องกระบวนการทำงาน สถาบันและองค์การ พวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องการนวัตกรรมทั้งนั้น การวิจัยและการพัฒนาเป็นวิธีสร้างภูมิปัญญาใหม่ สร้างนวัตกรรม ซึ่งองค์ความรู้ใหม่ (Knowledge) จะเกิดได้ก็จากการค้นคว้าวิจัย และถ้าจะให้เกิดความสามารถใช้องค์ความรู้ใหม่ให้เป็นประโยชน์ (Implementation) ก็ต้องทำการพัฒนา (มนตรี จุฬาวัฒนทล, 2537) ฉะนั้น นโยบายและแนวทางการวิจัยของชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2540 - 2544) จึงกำหนดแนวทางและกรอบนโยบาย ในการสร้างนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน การพัฒนาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะในการแข่งขันกับประชาคมโลก และพร้อมกับปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มจำนวนของคนที่มีความรู้ มีฝีมืออย่างมาก ปรับปรุงระบบบริหารการจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาครัฐ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก กระทรวงกลาโหม ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของภาครัฐและประชาคมโลก ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 หมวด 5 มาตรา 72 ได้กำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกำลังทหารไว้เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อการพัฒนาประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาปฏิรูปกองทัพ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (ชวน หลีกภัย, 2540) ได้ประกาศนโยบายในการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 11/40 ในเรื่องเกี่ยวข้องกับการพัฒนากองทัพ สรุปได้ว่า จะพัฒนาเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศให้สามารถตอบสนองต่อจุดประสงค์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยจัดเตรียมกองทัพให้มีศักยภาพเพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการป้องปราม การป้องกัน และการต่อสู้เอาชนะภัยคุกคามต่อความมั่นคง รวมทั้งการรักษาผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนการพัฒนา กองทัพให้มีขนาดกระทัดรัด แต่มีอำนาจกำลังรบสูง และมีความทันสมัยในทุกด้าน โดยสอดคล้องกับเศรษฐกิจของประเทศ ปรับปรุงหลักนิยม ยุทธวิธี การฝึก การศึกษา การจัดหน่วย ยุทโธปกรณ์ และระบบส่งกำลังบำรุง ให้สอดคล้องกับการพัฒนาทางวิทยาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สภาพแวดล้อมของสงครามสมัยใหม่ และความเป็นมาตรฐานสากล ทั้งนี้ให้ปรับใช้อย่างเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ และข้อจำกัดของกองทัพ ปรับปรุงระบบการวิจัยและพัฒนาทางทหาร การอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ และระบบระดมสรรพกำลัง ให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และมิตรประเทศ จัดให้มีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมใหม่ โดยยึดถือระบบคุณธรรม ความเป็นเอกภาพ มุ่งขจัดความซ้ำซ้อน และลดขั้นตอนการดำเนินการเหลือเท่าที่จำเป็น มีการกระจายอำนาจอย่างเหมาะสม พิจารณาใช้ประโยชน์จากภาคเอกชนภายในประเทศ ทั้งในด้านการจัดหา การผลิต การซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ สิ่งอุปกรณ์ของกองทัพ ทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนรับรู้ในกิจกรรมของทหารมากยิ่งขึ้น ใช้ขีดความสามารถของกองทัพในการปฏิบัติงานร่วมกับส่วนราชการอื่น เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งในกองทัพ และการผลิตบุคคลในสาขาที่ขาดแคลน และมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีฯ เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ชวน หลีกภัย, 2542) ได้ให้ความเห็นชอบต่อแผนแม่บทการปฏิรูปกระทรวงกลาโหม ที่มีการปรับปรุงพัฒนากองทัพให้มี ขนาด และจำนวนที่เหมาะสม สามารถปฏิบัติการเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิผล โดยการรวมกลุ่มงานที่มีลักษณะเดียวกันไว้ด้วยกัน 5 กลุ่มงาน คือ 1. กลุ่มงานบริหารบัญชาการ 2. กลุ่มงานเตรียมกำลังและการป้องกันประเทศ 3. กลุ่มงานพัฒนาประเทศ 4. กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร 5. กลุ่มงานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ในการรวมกลุ่มงานนี้ จะเห็นได้ว่ากระทรวงกลาโหมได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนา เพื่อสร้างศักยภาพและภูมิปัญญา ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างนวัตกรรมทางทหาร ให้สามารถพึ่งตนเองได้ ตามกรอบนโยบายของรัฐเช่นเดียวกัน จึงได้ให้ความสำคัญต่อกลุ่มงาน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร และกลุ่มงานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพราะกลุ่มงาน 2 กลุ่มนี้ มีความเกื้อกูลกันในการสร้างนวัตกรรมทางทหาร โดยกำหนดให้ สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม รวมกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร อันได้แก่ งานวิจัยและพัฒนาการทหาร งานสารสนเทศ งานกิจการอวกาศ งานบริหารความถี่วิทยุ งานพลังงานทหาร และงานการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ และกำหนดให้ศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการพลังงานทหาร รวมกลุ่มงานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การรวมการงานวิจัยและพัฒนาการทหาร ได้กำหนดนโยบายให้รวมการไว้ในระดับกระทรวงกลาโหม (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม) สำหรับการปฏิบัติ ให้พิจารณาใช้ขีดความสามารถของหน่วยงาน/สถาบันภาครัฐ (นอกกระทรวงกลาโหม) และภาคเอกชนโดยเฉพาะในการวิจัยพัฒนายุทโธปกรณ์ ที่ต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สนับสนุนให้มีนักวิจัยของกระทรวงกลาโหมที่เป็นลูกจ้างพิเศษ เพื่อบรรจุผู้ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์เหมาะสมกับตำแหน่ง สนับสนุนให้ข้าราชการในกระทรวงกลาโหม วิจัยพัฒนาหลักนิยมด้านทหาร เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และโครงสร้างกองทัพ เน้นการวิจัยพัฒนาที่สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่กระทรวงกลาโหมกำลังดำเนินการอยู่หรือมีแผนที่จะดำเนินการในอนาคต วิธีการรวมการ ให้กำหนดประเภทของงานที่หน่วยรับผิดชอบ โดยพิจารณางานที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และควรจะดำเนินการในอนาคต ก่อให้เกิดการสนธิและเชื่อมโยงขีดความสามารถของหน่วยงาน หรือการปฏิบัติงานในกลุ่มงานประเภทเดียวกันเข้าด้วยกัน โอนหน่วยงานหรือยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็น ปรับโครงสร้างของหน่วยให้ได้มาตรฐานและเป็นระบบ และปรับอัตราชั้นยศของตำแหน่งต่างๆ ให้เหมาะสมเป็นมาตรฐาน การพัฒนาการทางด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่และภูมิปัญญา เพื่อการพึ่งพาตนเองของกองทัพไทยนั้น ได้มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2515 เมื่อกระทรวงกลาโหมประกาศนโยบายพึ่งตนเอง และกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้ออกคำสั่งที่ 434/15 กำหนดนโยบายการวิจัยและพัฒนาการทหาร ได้จัดโครงสร้างองค์การเพื่อดำเนินการทางด้านนี้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ และการพัฒนาการ เพื่อสร้างภูมิปัญญา การกำหนดรับรองมาตรฐาน เพื่อนำสู่การใช้งานและงานด้านการผลิต 1.2 ปัญหาและสาเหตุ สถานภาพโครงสร้างกลุ่มงานการวิจัยและพัฒนาการทหาร การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ และการผลิตแบบครบวงจรเพื่อการพึ่งตนเอง ในปัจจุบัน พ.ศ.2542 มีปรากฎดังนี้
จากแผนภูมิโครงสร้างดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ประกอบด้วย 5 คณะกรรมการที่สำคัญคือ 1. คณะกรรมการทรัพยากรกลาโหม 2. คณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหาร กระทรวงกลาโหม 3. คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม 4. คณะกรรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ 5. คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงกลาโหม ทั้ง 5 คณะกรรมการสามารถพิจารณา แบ่งออกเป็น 4 สายงานได้ดังนี้ สายงานที่ 1 สายงานด้านวิจัยและพัฒนาการทหาร ได้มีการรวมอำนาจการบริหารงานและงบประมาณไว้ในระดับกระทรวง โดยคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม (กวพท.กห.) เป็นผู้กำหนดนโยบาย เป้าหมายและแผนงาน การดำเนินการวิจัยและพัฒนาการทหารในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม มีสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการ และกระจายอำนาจบริหารงานการวิจัยและพัฒนาตามความถนัด ให้ระดับกองบัญชาการทหารสูงสุดและเหล่าทัพเป็นผู้ปฏิบัติ สร้างความสัมพันธ์และสายการบังคับบัญชา โดยใช้ระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เพื่อกำกับการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบาย เป้าหมายและแผนงานที่กำหนด ในระดับกองบัญชาการทหารสูงสุด มีศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นหน่วยบริหารงานวิจัย และหน่วยปฏิบัติงานวิจัย ในกองบัญชาการทหารสูงสุด ในระดับเหล่าทัพมีสำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกองทัพเรือ และศูนย์วิทยาศาสตร์และพัฒนาระบบอาวุธกองทัพอากาศ กรมยุทธ-การทหารอากาศ ทำหน้าที่บริหารและกำกับดูแลการดำเนินงานในเหล่าทัพของตน ซึ่งมีหน่วยสายวิทยาการในเหล่าทัพ ทำหน้าที่ปฏิบัติงานวิจัยพัฒนา โดยได้สร้างกฎ ระเบียบ ในการประสานงานและควบคุมการดำเนินงานอีกชั้นหนึ่ง สายงานที่ 2 การกำหนดและรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์ เพื่อการนำไปสู่การจัดหาการผลิตและการใช้งาน ดำเนินการในรูปขององค์กร ในระดับกระทรวงมี คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหม (กมย.กห.) ทำหน้าที่กลั่นกรอง และปรับระบบ มาตร-ฐานยุทโธปกรณ์ที่จะนำมาใช้งานทางทหาร ทั้งผลงานวิจัยพัฒนา และยุทโธปกรณ์ที่จัดหา ที่ส่งผ่านขึ้นมาจากความเห็นชอบของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์ในระดับเหล่าทัพ โดยไม่ได้มีองค์การที่เป็นมาตรฐานสากลรองรับ ทุกเหล่าทัพได้มอบหมายให้ สำนักงานประสานการวิจัยเป็น สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ และยังไม่ได้มีการกำหนดระบบงาน การสร้างสายสัมพันธ์ของงานและสายการบังคับบัญชา ตามหลักการของการมาตรฐานสากล เป็นการดำเนินงานแบบต่างหน่วยต่างทำ สายงานที่ 3 สายงานการผลิต มีการดำเนินงานในระดับกระทรวง บริหารงานภายใต้คณะกรรมการอีกชุดหนึ่ง คือ คณะกรรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งทำหน้าที่กำหนดการเสริมสร้างกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่วมกัน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการเสนอแนะรายการโครงการเพื่อการผลิตร่วมกันกับภาคเอกชนในประเทศและในต่างประเทศ ใช้งบประมาณการดำเนินงานจากกองทุนหมุนเวียน ซึ่งกระทรวงกลาโหมจัดให้มีขึ้น มีสำนักงานอุตสาห-กรรมป้องกันประเทศ เป็นสำนักงานเลขานุการ และสำนักงานนี้เป็นหน่วยขึ้นตรงของ กรมการอุตสาหกรรมทหาร ซึ่งขึ้นกับศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการพลังงานทหาร อีกชั้นหนึ่ง สายงานที่ 4 สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในด้าน นโยบายและการบริหารงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงกลาโหม อันจะนำไปสู่ความมีประสิทธิภาพในการบริหารราชการและการใช้งบประมาณ ประสานงานเพื่อทำแผนแม่บท แผนปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการแก้ไขปัญหาเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับผิดชอบโดยคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงกลาโหม สายงานทั้งสี่สายงานตามโครงสร้าง จะเห็นช่วงการบังคับบัญชาที่ยาว ใช้กฎ ระเบียบมาก มีความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ และขาดความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ เมื่อประเมินประสิทธิภาพขององค์การในฐานะที่เป็นระบบ จากดรรชนีตัววัด 3 วิธี (ธงชัย สันตติวงษ์, 2538 ) คือ 1. การใช้อัตราส่วนประสิทธิผลขององค์การ เปรียบเทียบเฉพาะด้านงบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการทหารแบบรวมการของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเพียงหน่วยเดียว ไม่รวมงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาที่มีกระจัดกระจายตามเหล่าทัพ และ Operation Cost ที่ใช้ในการบริหารงานวิจัย โดยคิดจากปัจจัยนำเข้า (Input) งบประมาณตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534-2542 จำนวนประมาณ 600 กว่าล้านบาท ผ่านกระบวนการดำเนินงานวิจัย (Process) มีการดำเนินงานโครงการวิจัยทั้งสิ้น 156 โครงการ มีปัจจัยนำออก (Output) โครงการที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ 9 โครงการ งบประมาณที่ใช้ประมาณ 20 กว่าล้านบาท และในจำนวน 9 โครงการ ยังไม่ได้นำสู่การรับรองและการกำหนดมาตรฐาน และการผลิตเพื่อใช้งาน 2. การวัดประสิทธิภาพ โดยวิเคราะห์จากยอดการขาย (ผลงานตามเป้าหมาย)และปัจจัยด้านบุคคล อาชีพนักวิจัยน่าจะถือว่าเริ่มต้นตั้งแต่ เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เพราะตามหลักสากลถือว่านักศึกษาระดับปริญญาเอกเป็น นักวิจัยฝึกหัด (วิจารณ์ พานิช, 2539) ฉะนั้นสาเหตุที่การวิจัยและพัฒนาการทหารไม่เกิดประสิทธิผล เพราะผู้ปฏิบัติงานวิจัยและผู้บริหารงานวิจัยของกระทรวงกลาโหม ส่วนใหญ่เป็นทหารอาชีพ มีการศึกษาระดับปริญญาโทและตรี และเมื่อทำการสำรวจเมื่อปี 2534 พบว่ามีประมาณไม่ถึง 500 คน (สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก, 2534) และจากการเฝ้าสังเกตโครงการวิจัยที่ขอรับทุนจาก สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม พบว่าจำนวนไม่เพิ่มมากนัก ส่วนใหญ่เป็นนักวิจัยหน้าเก่า ลักษณะการวิจัยและพัฒนา เป็นการแก้ปัญหาทางการซ่อมบำรุง เป็นสิ่งประดิษฐ์มากกว่าการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ และการสร้างนวัตกรรม จากสถิติข้อมูลของกองวิเคราะห์ประเมินผลโครงการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม พบว่า ในจำนวนโครงการวิจัย 156 โครงการ มีโครงการวิจัยจำนวนถึง 86 โครงการที่มีปัญหา ไม่สามารถดำเนินการเสร็จตามกำหนดเวลา สาเหตุส่วนใหญ่มาจาก ผู้วิจัยขาดความรู้ ปรับย้ายตามวิถีทางการรับราชการ และขาดเครื่องมือ อุปกรณ์ในการวิจัย 3. การตรวจสอบการบริหาร จากการรวบรวมข้อมูลเอกสารวิจัยส่วนบุคคลของสถาบันการศึกษาระดับสูงของทหารที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยและพัฒนาการทหารของกระทรวงกลาโหม พบว่า โครงสร้างของสายงานการวิจัยและพัฒนาการทหารแบบราชการ (Bureaucracy) มีสายงานยาว ซับซ้อน กฎ ระเบียบมาก (ประสาน พึ่งศิลป์, 2541) ได้แสดงขั้นตอนของการนำเสนอ คำขอโครงการวิจัยจากหน่วยในเหล่าทัพมาถึง สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม ต้องผ่านขั้นตอนการกลั่นกรองและทบทวนโครงการถึง 8 ขั้น ผู้วิจัยต้องชี้แจงโครงการอย่างน้อย 6 ครั้ง และการเสนอคำขอโครงการวิจัยใช้เวลาเป็นปี ทั้งนี้ยังไม่รวมขั้นตอนระหว่างดำเนินงานวิจัย ต้องมีการรายงานความก้าวหน้า และการติดตามผลโครงการจากทุกระดับและปัญหาอุปสรรคความไม่คล่องตัวในการใช้งบประมาณ ในขั้นตอนของการกำหนดมาตรฐานและการรองรับมาตรฐานยุทโธปกรณ์เช่นเดียวกัน ต้องผ่านการกลั่นกรองหลายระดับ จากคณะกรรมการ 2 คณะในเหล่าทัพ คือ คณะกรรมการคัดเลือกแบบยุทโธปกรณ์ และคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานของเหล่าทัพ และอีก 3 คณะในระดับกระทรวง คือ คณะอนุกรรมการของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการบริหารทรัพยากรกระทรวงกลาโหม เป็นอันสิ้นสุด และคณะกรรมการและอนุกรรมการส่วนใหญ่เป็นคนเดียวกัน ทำให้ปรากฏชัดเจนว่า กว่าจะให้การรับรองเพื่อการนำไปใช้งานในกองทัพ เทคโนโลยีได้ล้าสมัยไปแล้ว จะเห็นได้ว่าการจัดโครงสร้างองค์การแบบราชการที่ผ่านมาขาดประสิทธิผล (Warren G. Bennis, 1969) ได้ชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างองค์การแบบราชการที่มีการรวมศูนย์อำนาจ และการวางกำหนดกฎเกณฑ์การติดต่อทางอำนาจอย่างเป็นทางการที่วางไว้ รวมทั้งการแบ่งงานกันทำตามแนวความคิดแคบๆ สำหรับสภาพเงื่อนไขของความเข้าใจเกี่ยวกับคนที่เป็นเรื่องราวของสังคม จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทิศทางเสียใหม่ โดยต้องจัดโครงสร้างองค์การแบบคล่องตัว (Flexible Adhocracies) เพื่อให้องค์การในอุดมคติเกิดขึ้นมา สมพงษ์ เกษมสิน (2519) ในการบริหารงานย่อมมีเหตุที่ส่อแสดงให้ทราบว่า องค์การใดมีความจำเป็นที่ต้องปรับปรุง ซึ่งอาจมีเหตุสำคัญดังนี้ คือ เมื่อนโยบายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การเปลี่ยนไปจากเดิม การจัดองค์การแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองความต้องการ เมื่อมีการนำเอาวิทยาการใหม่ๆมาใช้ในองค์การ การดำเนินงานขององค์การประสบความล้มเหลวไม่บรรลุเป้าหมาย โครงสร้างขององค์การไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ช่วงการบังคับบัญชาไม่สามารถปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพได้ มีคณะกรรมการมากเกินไป ค่าใช้จ่ายขององค์การสูงผิดปกติ และมีมากเกินความจำเป็น การเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง ทำให้องค์การมีการรื้อปรับโครงสร้างใหม่ (Restructuring) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องมีการค้นหากลยุทธ์ มาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการใหม่ๆ (Process) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบขององค์การ โครงสร้างและความสัมพันธ์ขององค์การจะเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกองค์การ การบูรณาการปรับโครงสร้างใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่อไปนี้ ลดขนาดขององค์การโดยรวม ลดจำนวนหน่วยงานย่อยขององค์การ ลดขนาดของหน่วยงานย่อย ลดจำนวนระดับของสายการบังคับบัญชา (นิตยา เงินประเสริฐศรี, 2542) การจัดระบบการวิจัยและการพัฒนาของไทยในปัจจุบันควรปรับปรุง 4 องค์ประกอบ (มนตรี จุฬาวัฒนพล, 2537) คือ 1. ผู้ใช้ผลงานวิจัย ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป หน่วยงานที่มีทุน สนับสนุนการวิจัยจะช่วยเชื่อมโยงระหว่าง ผู้ใช้ผลงานวิจัย เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้การวิจัยและพัฒนาได้ผลจริงจัง 2. นักวิจัย ต้องทำให้อาชีพนักวิจัยมีความมั่นคง มีอนาคต และมีค่าตอบแทนที่ดี ควรทำการวิจัยและพัฒนามุ่งประโยชน์ของทางราชการและประชาชนทั่วไป ควรเน้นการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ โดยนำปัญหามาจากภาคเอกชนและภาครัฐ 3. ทุนสนับสนุนการวิจัย พิจารณาปรับให้มีความคล่องตัว และชักจูงให้ภาคเอกชนลงทุน หรือตั้งกองทุนสนับสนุนการวิจัยพัฒนา 4. ส่งเสริมการวิจัยพัฒนา ระบบข้อมูล ระบบคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ระบบมาตรฐานและการทดสอบ และระบบเผยแพร่ผลงาน การบูรณาการโครงสร้างองค์การกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหารการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ในสังกัดกระทรวงกลาโหม จึงควรปรับเปลี่ยนไปสู่การบูรณาการโครงสร้างองค์การแบบใหม่ในระบบเปิด แทนการใช้หลักเหตุผล ตามหลักการของ Henry Mintzberg (1979) ที่มุ่งให้โครงสร้างองค์การมีความสัมพันธ์กันระหว่างการวางแผนและการปฏิบัติ มีประสิทธิภาพและความสมดุลกันระหว่าง การแบ่งงานกันทำ การประสานงานที่ดี และความสอดคล้องต่อเนื่องกันทั้งกระบวนการบริหารจนบรรลุผลสำเร็จ ซึ่งการบูรณาการนี้ จำเป็นต้องมีการวิจัย เพื่อออกแบบและ บูรณาการโครงสร้างองค์การ และการจัดการบริหาร จัดการการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ที่เหมาะสม และมีความเป็นสากล มีคุณภาพในมาตรฐาน ตั้งแต่การทำการวิจัย จนถึงขั้นการนำผลการวิจัยไปสู่ขั้นการผลิต และการนำไปใช้ในการป้องกันประเทศและเชิงพาณิชย์
2.1 บูรณาการโครงสร้างการจัดองค์การเพื่อการบริหารจัดการให้ครอบคลุมกลุ่มงานวิจัย และพัฒนาการทหาร การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้มีความเหมาะสมเป็นสากลและมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต 2.2 กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติในการบูรณาการโครงสร้างองค์การ การมาตรฐานยุทโธ-ปกรณ์ ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้มีความเหมาะสมเป็นสากลและมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต 3. ความเป็นไปได้ของโครงการ 3.1 บุคลากรทางการวิจัย เป็นบุคลากรที่มีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ทางด้านการบริหารจัดการ แผนและนโยบาย การบริหารองค์การในด้านการวิจัยและมีความรู้ตรงตามโครงการวิจัย ซึ่งมีที่ปรึกษาโครงการเป็นผู้เชี่ยวชาญ ปฏิบัติงานด้านนี้มีประสบการณ์เป็นอย่างดี 3.2 วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวก ได้จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นในสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม เพื่อดำเนินการประสานงานกับศูนย์ลักษณะเดียวกันกับส่วนราชการพลเรือน ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งภาคเอกชนที่มีข้อมูลของโครงการวิจัยตามวัตถุประสงค์อย่างครบถ้วน จัดตั้งคณะทำงานเพื่อสืบค้นข้อมูลจากต่างประเทศและภายในประเทศเพิ่มเติมตลอดเวลา ใช้อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นทรัพยากรสำคัญเพื่อการวิจัยตามโครงการนี้ จากสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหารกองบัญชาการทหารสูงสุด สำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก ศูนย์วิทยาศาสตร์และพัฒนาระบบอาวุธกองทัพอากาศ สำนักงานวิจัยและพัฒนา การทหารกองทัพเรือ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและเอกสารอ้างอิง 4.1 นโยบายระดับชาติ และนโยบายการทหาร รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 หมวด 5 มาตรา 72 กำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกำลังไว้เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อการพัฒนาประเทศ นโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ชวน หลีกภัย, 2540) ในการประกาศนโยบายการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 11/40 และครั้งที่ 9/42 ซึ่งสรุปใจความสำคัญได้คือ ให้สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกระทรวงกลาโหม พิจารณาแนวทางการดำเนินการในกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร โดยเน้นนโยบายการปรับปรุงที่สำคัญ ดังนี้ 1. รวมงานการวิจัยพัฒนาและเทคโนโลยีทางการทหารไว้ในระดับกระทรวง กลาโหม (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม) 2. พิจารณาใช้ขีดความสามารถของหน่วยงานและสถาบันภาครัฐ นอก กระทรวงกลาโหมและภาคเอกชน โดยเฉพาะในการวิจัยพัฒนายุทโธปกรณ์ที่ต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 3. สนับสนุนให้มีนักวิจัยของกระทรวงกลาโหมที่เป็นลูกจ้างพิเศษ เพื่อบรรจุผู้ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์เหมาะสมกับตำแหน่ง 4. สนับสนุนให้ข้าราชการในกระทรวงกลาโหม วิจัยและพัฒนาหลักนิยมด้านทหารเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และโครงสร้างกองทัพ 5. เน้นการวิจัยพัฒนาที่สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่กระทรวงกลา โหมกำลังดำเนินการอยู่ หรือมีแผนจะดำเนินการในอนาคต การดำเนินการตามนโยบายจะต้องกำหนดเป้าหมาย และขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามห้วงระยะเวลาที่เหมาะสม การดำเนินงานจะต้องมุ่งสู่ประสิทธิภาพและความประหยัด โดยขจัดความซ้ำซ้อน ก่อให้เกิดการรวมการ การเชื่อมโยงส่งเสริมขีดความสามารถระหว่างส่วนราชการในกระทรวงกลาโหม และระหว่างกระทรวงกลาโหมกับส่วนราชการ ภายนอกกระทรวงกลาโหม รวมทั้งภาคเอกชน อันจะนำไปสู่การใช้ทรัพยากรร่วมกันและการปฏิบัติการร่วมกัน นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2541 - 2544) ข้อ 14 พัฒนากำลังคนด้านวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเร่งด่วน รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยการพัฒนา การใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีที่เหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างของประเทศทุกด้าน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศได้อย่างสมดุล รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยุทธศาสตร์โครงสร้างกำลังกองทัพไทย จะต้องนำไปสู่ความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา ซึ่งการมีการเชื่อมโยงงานและขีดความสามารถในด้านต่างๆ ระหว่างเหล่าทัพเข้าด้วยกันเพื่อความมีเอกภาพ ความประหยัด และประสิทธิภาพในการบริหาร รวมทั้งมีการกระจายอำนาจการบริหารจัดการจากหน่วยระดับบน ลงไปยังหน่วยระดับล่างอย่างเหมาะสม กำหนดโครงสร้างกำลังกองทัพ ในระดับพัฒนากำลังยึดถือความเป็นไปได้ การพึ่งตนเอง ขีดความสามารถโดยรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ การสนธิเชื่อมโยงขีดความสามารถและทรัพยากรระหว่างหน่วย ส่วนราชการต่างๆ ทั้งในและนอกกระทรวงกลาโหม รวมทั้งภาคเอกชนโดยเน้นในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ ยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหม ในห้องระยะเวลา 10-15 ปีข้างหน้า กองทัพจะยังคงมีบทบาทที่สำคัญในการป้องกันประเทศเป็นหลัก การสนับสนุนการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชนจะเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติงานในกรอบขององค์การสหประชาชาติ การป้องกันประเทศในสภาวะแวดล้อมใหม่ในอนาคต อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบไม่ได้เน้นหนักด้วยจำนวนกำลังทหาร แต่อยู่ที่การนำเทคโนโลยีและระบบยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่ามาพัฒนาใช้ กำลังคนที่มีคุณภาพและหลักนิยมที่เหมาะสม มุ่งพัฒนากองทัพไปสู่ขีดความสามารถระดับ Medium Technology ทั้งในระบบอาวุธ การรบร่วม และการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพทางทหาร นโยบายปลัดกระทรวงกลาโหม (ธีรเดช มีเพียร, 2542) ดำเนินการวิจัยและพัฒนาการทหารให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางทหารทั้งในเรื่องหลักการและยุทโธปกรณ์ โดยมุ่งเน้นการวิจัยเพื่อพึ่งตนเอง และสามารถนำไปสู่การผลิตขึ้นใช้เองร่วมกันทุกเหล่าทัพ โดยสอดคล้องกับการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศตามขอบเขตของอำนาจหน้าที่ที่กฏหมายกำหนด โดยมุ่งเน้นการวิจัยเพื่อวางระบบโครงสร้างองค์การและวิธีบริหารจัดการ เพื่อให้มีการจัดการบริหารที่ดี (Good Governance) เป็นสากล สามารถติดต่อกับระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อกองทัพและสังคมส่วนรวม โดยผ่านกระบวนการสารสนเทศที่ทันสมัย พิจารณาใช้ขีดความสามารถและแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานสถาบันภาครัฐนอกกระทรวงกลาโหมและภาคเอกชน ในการปฏิบัติงานวิจัยให้มากที่สุด และพิจารณาใช้กระบวนการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ที่มีความเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ระหว่างเหล่าทัพ กองบัญชาการทหารสูงสุด และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ชวน หลีกภัย, 2542) ที่กำหนดให้มีการจัดหายุทโธปกรณ์เข้าประจำการแบบรวมการ เพื่อการพิจารณากลั่นกรองอย่างละเอียด รอบคอบ และโปร่งใส ให้สามารถตอบสนองความต้องการของกองทัพได้อย่างรวดเร็วบนพื้นฐานของความถูกต้องทางวิชาการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาสังคม นโยบายผู้บัญชาการทหารสูงสุด (มงคล อัมพรพิสิฏฐ์, 2542) อนุมัติหลักการในการปรับปรุงโครงสร้างและระบบงานทางด้านการวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทย โดยกำหนดรายละเอียด 1. ปรับโอนหน่วยที่ทำการวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหารกองบัญชาการทหารสูงสุด ไปรวมกับสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม 2. แปรสภาพศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร (ศวพท.) ส่วนที่เหลือเป็นสำนักงานประสานการวิจัยของกองบัญชาการทหารสูงสุด 3. ให้กรมยุทธการทหาร ปรับปรุงโครงสร้างของ กกฝ.ยก.ทหารใหม่ ให้สามารถดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายด้านการวิจัยของกองบัญชาการทหารสูงสุด 4. จัดตั้งคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหารของกองทัพไทย โดยมีเสนาธิการทหารเป็นประธาน และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานประสานการวิจัย กองบัญชาการทหารสูงสุดทำหน้าที่เป็นเลขานุการ 5. โครงการวิจัยของเหล่าทัพ เสนอผ่านคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการของกองทัพไทย เพื่อพิจารณาลำดับความสำคัญและเร่งด่วนก่อนเสนอไปยังสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม 6. เสนอให้ปรับโครงสร้างการจัดของสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหมใหม่ ให้สามารถรองรับงานวิจัยที่นอกเหนือจากงานวิจัยที่กองบัญชาการทหารสูงสุดและเหล่าทัพ ไม่สามารถดำเนินการได้ 7. เสริมสร้างระบบงานด้านการวิจัยและพัฒนาการทหารให้มีความทันสมัย โดยในระดับกองบัญชาการทหารสูงสุด กับเหล่าทัพ จะเน้นหนักในการประสาน การวิจัย และพัฒนาด้านหลักนิยมและยุทโธปกรณ์ ส่วนการทำวิจัยและพัฒนาด้านยุทโธปกรณ์เพื่อนำไปสู่การผลิต จะไปรวมการในระดับกระทรวงกลาโหม เพื่อให้มีผลปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น อนุมัติแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพไทยในส่วนของกองทัพบกซึ่งผู้บัญชาการทหารบก (สุรยุทธ จุลลานนท์, 2542) อนุมัติให้ทำการปรับปรุงด้านการวิจัยและพัฒนา สมควรให้มีโครงสร้างการจัดหน่วยของสำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนาการทหารกองทัพบก ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ลดงานของเหล่าทัพลงเหลือเพียงการวิจัยและพัฒนาด้านหลักการ หลักนิยม และการพัฒนายุทโธปกรณ์ สำหรับการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์เพื่อการผลิต สมควรรวมการไว้ในระดับกระทรวงกลาโหม เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ 4.2 แนวคิดและทฤษฎีโครงสร้างองค์การและการบริหารจัดการ วีลเล็น (Wheelen, 1992) รอบบินส์ (Robbins, 1990) วิลเลี่ยม บี บราวน์ (William B. Brown, 1980) และเดนนิส เจ โมเบอร์ก (Dennis J. Moberg, 1980) อธิบายองค์การว่าเป็นสถาบันส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมที่จะบรรลุเป้าหมาย มีการแบ่งแยกงานตามความถนัดเฉพาะด้านและมีโครงสร้างองค์การ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ 1. องค์การมีลักษณะเป็นการถาวร 2. มีการบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด 3. มีการแบ่งแยกงานตามที่ถนัด 4. มีโครงสร้าง ตามความหมายทฤษฎีองค์การ ดี เอส พิวส์ (D.S. Puge, 1996) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า ทฤษฎีองค์การ คือ การศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้าง หน้าที่ และการปฏิบัติงานขององค์การ พฤติกรรมของกลุ่ม และเอกบุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การมององค์การในความหมายทางทฤษฎี โดยที่องค์การมีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 ประการ คือ 1. คน 2. เทคนิค 3. ความรู้ข้อมูลข่าวสาร 4. โครงสร้าง 5. วัตถุประสงค์ ดังนั้น ทฤษฎีองค์การก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบทั้ง 5 ประการขององค์การ อุทัย เลาหวิเชียร (2530) กล่าวถึงกรอบของทฤษฎีองค์การ คือกรอบที่ใช้ในการมององค์การหรือศึกษาองค์การ ในทางปฏิบัติมีการมององค์การหลายวิธีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการนำไปใช้เป็นสำคัญ การเปลี่ยนแปลงทฤษฎีองค์การเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเป็นไปเพื่อการสนองตอบต่อความต้องการขององค์การ ในด้านการจัดการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานขององค์การในทางปฏิบัติ จึงอาจแบ่งทฤษฎีองค์การได้เป็น 3 ทฤษฎี คือ 1. ทฤษฎีองค์การที่เป็นการใช้หลักเหตุผล 2. ทฤษฎีองค์การที่เป็นพฤติกรรมของคน 3. ทฤษฎีองค์การระบบเปิด 1. ทฤษฎีองค์การที่เป็นการใช้หลักเหตุผล ได้แก่ ทฤษฎีองค์การแบบอุดมคติของเวเบอร์ ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของ เทย์เลอร์ ซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการทำงาน ทฤษฎีกระบวนการบริหาร POSDCORB ของ กูลิคและเออร์วิค (Gulick and Urwick, 1937) ทฤษฎีเหล่านี้ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเป้าหมายขององค์การ ซึ่งเป้าหมายต่างๆ จะบรรลุได้ต้องอาศัยโครงสร้างและกฎเกณฑ์ทางการบริหารขององค์การ 2. ทฤษฎีองค์การที่เป็นพฤติกรรมของคน แบ่งออกเป็น 2 สำนัก คือ สำนักมนุษย์สัมพันธ์และสำนักมนุษย์นิยม ซึ่งแต่ละสำนักมีแก่นสารสำคัญดังนี้ สำนักมนุษย์สัมพันธ์เน้นความสำคัญของคน โดยเห็นว่าคนในองค์การต้องการการยอมรับจากผู้อื่น (Selfesteem) ในทางปฏิบัติการในองค์การย่อมมีกลุ่มต่างๆ ซึ่งเป็นองค์การนอกรูปแบบหรือองค์การที่ไม่เป็นทางการ ส่วนสำนักมนุษย์นิยม เน้นความสำคัญของคนในด้านความบรรลุความพึงพอใจที่จะได้ปฏิบัติงานตามศักยภาพ (Self-actualization) 3. ทฤษฎีองค์การระบบเปิด แบ่งออกได้เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับระบบและทฤษฎีเกี่ยวกับสถานการณ์ ซึ่งทฤษฎีเกี่ยวกับการมีแนวความคิดหลัก คือ การมององค์การควรมุ่งเน้นที่ภาพรวม มิใช่มองที่ส่วนใดส่วนหนึ่งขององค์การ องค์ประกอบที่สำคัญเอกภาพ คือ ปัจจัยนำเข้า การแปรเปลี่ยนปัจจัยนำเข้าให้เป็นปัจจัยนำออกและข้อมูลย้อนกลับ ทฤษฎีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่แนวคิดหลัก คือ ไม่มีทฤษฎีองค์การใดที่จะนำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ได้ ไม่มีระบบบริหารหรือกระบวนการจัดการที่สำคัญ ดังนั้น ทฤษฎีที่เหมาะสมที่สุด ก็คือ ทฤษฎีที่ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ (อุทัย เลาหวิเชียร, 2530)
5.1 ทำการศึกษาวิจัยเพื่อบูรณาการโครงสร้างองค์การในการบริหารจัดการกลุ่มงานวิจัย และพัฒนาการทหารการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่มีการจัดตั้งองค์การอยู่แล้วแต่เดิมตามแนวนโยบายของผู้บริหารชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม และตามการยอมรับของสภากลาโหมในการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 9/42 เมื่อ 23 กันยายน 2542 ณ ห้องภาณุรังษี 5.2 การศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้างการจัดองค์การและการบริหารจัดการ การวิจัยและพัฒนาการ งานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีทางทหาร งานมาตรฐานยุทโธปกรณ์ จากหน่วยงานพลเรือนภายในประเทศ ดังนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม 5.3 ทำการศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้างการจัดองค์การเพื่อการบริหารจัดการ การวิจัยและพัฒนาการงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีทางทหาร งานมาตรฐานยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหมของกองทัพมิตรประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส ประเทศญี่ปุ่น ประเทศแคนาดา ประเทศสิงคโปร์ และประเทศออสเตรเลีย ทั้งนี้โดยเน้นด้านโครงสร้างองค์การและการบริหารจัดการ ตั้งแต่ขั้นการวิจัยจนถึงขั้นการผลิต 5.4 ผลการวิจัยที่ได้จะได้นำมาสู่การกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติตามแผนแม่บทการปฏิรูป กระทรวงกลาโหม และการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพไทย 5.5 ข้อจำกัดในการใช้ผลงานวิจัยนี้ 5.5.1 ผลงานวิจัยที่ได้มาโดยการวิจัยเน้นภาควิชาการ อาจมีข้อจำกัดในการปฏิบัติ จึงต้องพิจารณาใช้อย่างรอบคอบ 5.5.2 การใช้ผลการวิจัยในขั้นการปฏิบัติ พึงระมัดระวัง วัฒนธรรมอำนาจ ซึ่งอาจมีข้อแตกต่างจากวัฒนธรรมวิชาการ 5.5.3 การนำไปใช้จะมีความเหมาะสมเฉพาะหน่วยงานบางแห่งในสังกัดกระทรวง กลาโหม เท่านั้น 6. ระเบียบวิธีวิจัย ในการวิจัยโครงการวิจัยนี้เป็นการวิจัยอนาคต (Future Research) และเป็นการวิจัยเชิงประยุกต์ (Applied Research) ทางสังคมศาสตร์ (Social Science) โดยใช้การบูรณาการ ระเบียบวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยรวบรวมผลงานวิจัยที่สำคัญๆ และข้อมูลต่างๆ ตลอดทั้งนโยบายที่สำคัญๆ ในระดับชาติและระดับกระทรวงกลาโหม ด้วยการรวบรวมข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Future Research) ซึ่งมีเครื่องมือการวิจัยที่สำคัญ คือ แบบสัมภาษณ์ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็น โดยการสัมภาษณ์กลุ่มบุคคลที่มีความชำนาญพิเศษ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และมีความรู้ความสามารถ เกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยนี้โดยเฉพาะ โดยแบ่งกลุ่มประชากรเป้าหมายเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ (Experts) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Specialists) และกลุ่มผู้มีความรู้ความชำนาญ (Connoisseurs) จำนวน 60 ท่าน ในส่วนของการวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นการศึกษารวบรวมข้อมูลปฐมภูมิจากแหล่งข้อมูลตามความเป็นจริงที่มีและได้ปฏิบัติในโครงสร้างการจัดองค์การและการบริหารจัดการระบบงานวิจัยและพัฒนาการทหารของมิตรประเทศ และของหน่วยงานพลเรือนในประเทศไทย รวมทั้งการปฏิบัติที่เป็นอยู่แล้วของสำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนาการทหารภายในกระทรวงกลาโหม โดยใช้ระบบสารสนเทศและการสืบค้นข้อมูลโดยบุคลากรที่มีความสามารถ มีคุณวุฒิเหมาะสม สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ จะเน้นการประมวลผลข้อมูลจากการรวบรวมข้อมูลที่ได้ฉันทามติจากกลุ่มประชากรเป้าหมาย โดยการสัมภาษณ์และการสังเกต มาดำเนินการวิเคราะห์โดยใช้สถิติเป็นเปอร์เซ็นต์ การวิเคราะห์ ใช้กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ต้องการวิเคราะห์แบบพรรณนา (Describe Analysis) การวิเคราะห์เชิงเหตุผล (Logic Analysis) และการวิเคราะห์เชิงประสบการณ์ (Experience Analysis) ซึ่งจะทำให้ผลการวิจัยมีความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด ใช้กระบวนวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยการวิเคราะห์เป็นเปอร์เซ็นต์ 6.1 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง การกำหนดประชากรกลุ่มเป้าหมาย (Selected Group) ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งมีคุณสมบัติในลักษณะที่เป็น one man judgement และอ้างอิงกลุ่มเป้าหมาย โดยพิจารณาแบ่งกลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มผู้ชำนาญการพิเศษ กลุ่มผู้มีความรู้ความชำนาญ จำนวนประมาณ 60 ท่าน เพื่อดำเนินการวิจัยตามระเบียบวิธีการวิจัย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มๆ ละเท่าๆ กัน จำนวน 20 ท่าน (ชัยศึก เกตุทัต, 2542) 1. กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ (Expertise) เป็นกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดองค์กร (Organization Report) และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญงานด้านการบริหารจัดการเกี่ยวกับงานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี งานด้านวิจัยพัฒนา งานด้านการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ มีอำนาจในการตัดสินใจในองค์การทั้งในกระทรวงกลาโหมและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีนอกกระทรวง เป็นผู้บริหารระดับสูงและเป็นผู้มีผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับการวิจัยในระดับประเทศและในระดับสากล โดยมีคุณสมบัติดังนี้ 1.1 มีประสบการณ์ในงานสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิจัยและพัฒนา ตลอดทั้งการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ด้านบริหารจัดการ ถ้าเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ ระดับยศชั้น พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก 1.2 คุณวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอก 1.3 เป็นผู้บริหารองค์การระดับสูง มีประสบการณ์การบริหารงานไม่ต่ำกว่า 20 ปี 1.4 มีอายุ 50 ปีขึ้นไป 1.5 จำนวน 20 ท่าน 2. กลุ่มผู้ชำนาญการพิเศษ (Specialist) เป็นกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มีความชำนาญการพิเศษ ในด้านการบริหารหน่วยงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี (Science and Tecnology) วิจัยและพัฒนา (Research and Development) หรือเป็นอดีตผู้บริหารหน่วยงานการประสานการวิจัยและพัฒนาการทหารของกระทรวงกลาโหมหรือหน่วยงานของพลเรือน และกลุ่มผู้บริหารหน่วยผู้ใช้ผลงานวิจัยของกระทรวงกลาโหม โดยมีคุณสมบัติดังนี้ 2.1 มีประสบการณ์ในงานสาขาการวิจัยและพัฒนาการทหาร การ วิจัยด้านกิจการพลเรือน งานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี งานด้านการมาตรฐานที่เป็นสากล 2.2 ถ้าเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ ระดับยศ ชั้นพลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรีขึ้นไป 2.3 คุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก 2.4 เป็นผู้บริหารองค์การระดับสูง มีประสบการณ์ในการบริหารงานไม่ต่ำกว่า 15 ปี 2.5 มีอายุ 45 ปี ขึ้นไป 2.6 จำนวน 20 ท่าน 3. กลุ่มผู้มีความรู้ความชำนาญ (Connorsseur) เป็นกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มีความรู้ ความชำนาญงานทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาทางทหาร การบริหารจัดการ การมาตราฐานยุทโธปกรณ์ โดยพิจารณาคุณสมบัติที่สำคัญๆ ได้แก่ 3.1 เป็นผู้มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญ ในงานสาขาการวิจัยและพัฒนาการ การบริหารจัดการ และการมาตราฐานยุทโธปกรณ์ เป็นผู้มีความคิดริเริ่มสูง มองเห็นอนาคตภาพของการปรับปรุงองค์การ การบูรณาการส่วนงานภายในองค์การที่จะขจัดความซ้ำซ้อนลงได้ 3.2 วุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาโท 3.3 ถ้าเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการเหล่าทัพ ดำรงอัตรา ชั้นยศ พันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก ขึ้นไป 3.4 เป็นผู้บริหารองค์การระดับกลาง มีประสบการณ์ในการบริหารงานระดับกลาง ไม่ต่ำกว่า 10 ปี 3.5 มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป 3.6 จำนวน 20 ท่าน 6.2 การสร้างแบบสัมภาษณ์และการสัมภาษณ์ 6.2.1 การสร้างแบบสัมภาษณ์ จากการสังเคราะห์ที่ได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอนระเบียบ วิธีการวิจัย และตามขอบเขตของการวิจัยนี้ เพื่อให้ตอบสนองวัตถุประสงค์ของการวิจัย จึงได้วิเคราะห์องค์ประกอบที่มีความสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างแบบสัมภาษณ์ Bessant J. (2542) ได้พยายามเน้นถึงการตั้งคำถามต่อตัวเองและหน่วยงานอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรหน่วยงานถึงจะก้าวหน้า ทำอย่างไรจะเชื่อมโยงงานค้นคว้าวิจัยให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ต้องมาพูดถึงโครงสร้างองค์การ การบริหารการจัดการ และการปฎิบัติงาน เมื่อเทคโนโลยีกระจายไปทั่วถึงหน่วยงานแล้ว จะทำอย่างไรให้มีการพัฒนาและปรับปรุงการปฏิบัติงานและการผลิต สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี (2542) ได้พระราชทานข้อคิดที่ต้องรู้จักสร้างสรรค์และมีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องแก้ปัญหาด้วยความคิด ต้องปรับทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เช่นต้องมีความสนใจใฝ่รู้ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีความรับผิดชอบ มีความขยัน รวมถึงกระบวนการทำงาน การบูรณาการโครงสร้างองค์การและสถาบัน การวิจัยและการพัฒนาจึงเป็นวิธีการสร้างภูมิปัญญาใหม่ สร้างนวัตกรรมใหม่ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ (Knowledge) การค้นคว้าทฤษฎี และการศึกษาโครงสร้างองค์การ การบริหารจัดการ และการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ จากการสรุปรายงานของคณะทำงาน สืบค้น หาข้อมูลจากต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส ประเทศญี่ปุ่น ประเทศแคนนาดา และประเทศสิงคโปร์ และประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีการบรรยายให้กับผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งานวิจัยและพัฒนาการทหาร การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ในสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยมี เล็ก กฤษประเสริฐ แก้วปั้น ธนาบริบูรณ์ จิระชัย เกียรติประจักษ์ และชาญณรงค์ วงศ์สุทัศน์ Martin Zeigler (2542) สรุปได้ว่าองค์ประกอบที่มีความสำคัญมีนัยสำคัญในการนำไปดำเนินการสร้างแบบสัมภาษณ์ ได้แก่ ปรัชญาขององค์การ วิสัยทัศน์ โครงสร้างองค์การ การเชื่อมโยงเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ซึ่งรวมถึงการกำหนด การรับรอง การตรวจสอบและการประเมินผล ตั้งแต่การดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัย การสิ้นสุดการวิจัย การเริ่มต้นการผลิต การได้ผลการผลิต กระบวนการนำไปใช้ในการรักษาความมั่นคง และการป้องกันประเทศ ผู้ใช้และการดำเนินการเชิงพาณิชย์ นักวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ งบประมาณเพื่อการวิจัย งบประมาณเพื่อการผลิต บุคลากรในการผลิต โรงงานต้นแบบ ห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ การนำผลผลิตไปใช้ที่เหมาะสมกับผู้ใช้ และการนำไปดำเนินการเชิงพาณิชย์ การประชุมผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี งานวิจัยและพัฒนาการทหารกระทรวงกลาโหม งานมาตรฐานยุทโธปกรณ์ (ชัยศึก เกตุทัต และคณะ, 2542) และการเดินทางเพื่อประสานงานของสำนักงานวิจัยและพัฒนาการกลาโหมกับหน่วยวิจัยพัฒนาการทหารวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ในสังกัดกระทรวงกลาโหม สรุปการวิเคราะห์องค์ประกอบที่สำคัญได้แก่ ปรัชญาขององค์การกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่เหมาะสมกับประเทศต้องสามารถตอบสนองต่อภารกิจของกระทรวงกลาโหม อันได้แก่ การผลิตนักวิจัย การค้นคว้าวิจัยที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ การนำพาไปสู่การบริหารทางวิชาการ โดยเน้นเรื่องที่ควรต้องค้นคว้าวิจัย ในเรื่อง การวิจัยและพัฒนาการทางทหารที่เหมาะสมกับประเทศ ต้องทำให้ระบบไปสู่ความเป็นสากลและการเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค การวิจัยที่เหมาะสมต้องส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของกำลังทหาร ในการปฏิบัติตามบทกำหนดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 อย่างสมบูรณ์ ต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์และความมั่นคงในภูมิภาคยิ่งขึ้น ตลอดทั้งตอบสนองแนวนโยบายของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพและในการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ และเป็นเครื่องมือช่วยปกป้อง คุ้มครองอธิปไตย วิสัยทัศน์ในเรื่องโครงสร้างองค์การ บทบาทและหน้าที่ของกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหารของหน่วยที่สังกัดกระทรวงกลาโหม ควรศึกษาวิจัยให้ได้ผลการวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวกับโครงสร้างการจัดองค์การ เพื่อการบริหารจัดการว่า โครงสร้างการจัดองค์การควรรวมเป็นองค์การหรือสถาบันเดียวกัน ในสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยไม่ต้องแยกออกเป็นเหล่าทัพ เพื่อความเหมาะสมเป็นสากล ทั้งด้านการบริหารจัดการและการปฏิบัติการแบบรวมการ หรือว่าสมควรแยกกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารออกเป็นสำนักงานประสานการวิจัย และส่วนปฏิบัติการโดยให้มีส่วนสำนักงานประสานการวิจัย ในระดับแต่ละเหล่าทัพ กองบัญชาการทหารสูงสุด และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สำหรับการปฏิบัติการสมควรให้หน่วยขึ้นตรงของเหล่าทัพ และหน่วยขึ้นตรงของกองบัญชาการทหารสูงสุด ดำเนินการกันเอง หรือสมควรให้สำนักงานประสานการวิจัยในแต่ละเหล่าทัพ และสำนักงานประสานการวิจัยกองบัญชาการทหารสูงสุด มีการพิจารณาตามสายการบังคับบัญชา ให้ได้ข้อยุติก่อนที่จะนำเสนอให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมพิจารณาในคณะกรรมการระดับกระทรวงกลาโหม เป็นการสมควรที่จะจัดให้มีสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารในระดับกระทรวงกลาโหม ซึ่งขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวงกลาโหม ให้รับผิดชอบในเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี งานวิจัยพัฒนาการทหาร งานมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ของกระทรวงกลาโหมในภาพรวมและเป็นหน่วยนำเสนอการกำหนดนโยบายของงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี งานวิจัยและพัฒนาการทหาร งานมาตรฐานยุทโธปกรณ์ งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ในระดับกระทรวงกลาโหม และมีส่วนในการปฏิบัติในระดับกระทรวงกลาโหมเช่นกัน ทำหน้าที่วิจัยกิจการทางทหารประเภทต่างๆ ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ในระดับกองบัญชาการทหารสูงสุดหรือเหล่าทัพ ทั้งนี้รวมถึงการบริหารทางวิชาการและพร้อมให้การสนับสนุนในด้านทางเทคนิคกับส่วนประสานการวิจัยและพัฒนาการทางทหารระดับกระทรวงกลาโหม ในการกำกับดูแลโครงการวิจัยและพัฒนาการต่างๆ ของหน่วยขึ้นตรงในสังกัดกระทรวงกลาโหมโดยรวม การกำหนดเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ของสาขางานวิจัยและพัฒนาการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหม (Key Technology) ควรจะหาคำตอบให้ได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้ ให้เหมาะสมกับการจัดโครงสร้างองค์การตั้งแต่กระบวนการการวิจัยพัฒนาการ การมาตรฐานยุทโธปกรณ์และการผลิต เพื่อการใช้ภายในประเทศและเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ระดับการวิจัยและพัฒนาการรบ หลักนิยม นโยบาย การวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ การวิจัยระบบงานเครือข่าย เทคโนโลยีสารสนเทศ ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นหน่วยเก็บรักษาข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาการทหาร การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ และหรือเพื่อการสืบค้นข้อมูล การดำเนินการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นองค์การรวมการไว้ในระดับกระทรวงกลาโหมหรือไม่ หรือควรให้มีการบูรณาการหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกัน ให้สามารถกำหนดนโยบายทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เทคโนโลยีสารสนเทศ งานวิจัยและพัฒนาการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหมให้มีความกะทัดรัด มีความคล่องตัวเชิงการบริหารจัดการเพื่อให้มีความเหมาะสมมีมาตรฐานสากล และมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต เพื่อนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ในงานด้านความมั่นคงของประเทศ และด้านการป้องกันประเทศ หรือควรนำสู่เป้าหมายเชิงพาณิชย์ ควรมีการศึกษาให้ทราบทัศนคติของสถาบันพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำมาเปรียบเทียบโครงสร้างการจัดองค์การ การบริหารจัดการ การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ เพื่อให้ได้หน่วยงานองค์การและการบริหารจัดการของหน่วยงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี งานวิจัยและพัฒนาการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่เป็นการสิ้นสุดสหัสวรรษที่ 2 เพื่อความก้าวหน้าในด้านการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยสมกับเป็นยุคเริ่มต้นของสหัสวรรษที่ 3 ดำเนินการสังเคราะห์ (Synthetic) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ในการวิเคราะห์จากสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหมและศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้องค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อให้ได้นัยสำคัญนำไปสร้างแบบสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลของระเบียบวิธีการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Future Research) การสัมภาษณ์ จัดผู้สัมภาษณ์จากสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหมที่มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ และมีความเข้าใจ เนื้อหาสาระสำคัญๆ ได้แก่ ปัญหาและสาเหตุ ความจำเป็นความต้องการในการวิจัยและความสำคัญของโครงการวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม วิธีการสัมภาษณ์ ตลอดทั้งวีธีการรวบรวมข้อมูลแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Future Research) จำนวน 15 ท่าน และผู้วิจัย ทำการรวบรวมให้ผู้สัมภาษณ์ได้มีความเข้าใจขั้นตอน กระบวนวิธี การตอบถามตามหัวข้อการสัมภาษณ์ และปัญหาต่างๆ ให้ผู้สัมภาษณ์เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก่อนการสัมภาษณ์จริง 2 สัปดาห์ และนำแบบสัมภาษณ์ที่เป็นเครื่องมือสำคัญ ให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด นำไปทดสอบการใช้งานกับบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มประชากรเป้าหมาย หากมีความเบี่ยงเบน หรือหักเหไม่สมบูรณ์ จะได้มีการปรับแก้ให้สอดคล้อง เพื่อความเที่ยงและความตรงของคำตอบ เมื่อได้แบบสัมภาษณ์ที่เหมาะสมถูกต้องแล้ว จึงมอบให้ผู้สัมภาษณ์พร้อมอุปกรณ์ คือ เครื่องบันทึกเสียง สมุดจดการสังเกตและจดข้อความสำคัญที่กลุ่มประชากรเป้าหมายเน้นเป็นพิเศษ เพื่อนำกลับมาถอดข้อความจากการบันทึกเทป และจัดการแยกหมวดหมู่ตามหัวข้อสำคัญที่ได้กำหนดไว้แล้ว เพื่อดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป ขั้นตอนในการวิจัย การดำเนินการวิจัยเป็นการบูรณาการโครงสร้างการจัดองค์การเพื่อการบริหารจัดการและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้มีความเหมาะสมเป็นสากลและมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต และการนำไปใช้ในการป้องกันประเทศ ในด้านการรักษาความมั่นคงในลักษณะ พึ่งพาตนเองและในเชิงพาณิชย์ เป็นการบูรณาการรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ระเบียบวิธีการดำเนินการวิจัย ได้จัดรูปแบบขั้นตอนการวิจัย การศึกษาพิจารณาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเบื้องต้น การเลือกกลุ่มประชากรตัวอย่างที่จะได้ข้อมูลที่ทรงคุณค่า การสร้างและทดสอบเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์และการสัมมนาทางวิชาการ ตลอดจนกรรมวิธีในการวิเคราะห์ข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ขั้นตอนที่ 1 ทบทวนวรรณกรรม ศึกษาคำสั่งนโยบายทั้งระดับชาติ กระทรวงกลาโหมและหน่วยขึ้นตรง ทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวกับโครงสร้างการจัดองค์การ การบริหารจัดการ การมาตรฐานอุตสาหกรรม กำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย รวมทั้งกำหนดขั้นตอนในการวิจัยเพื่อให้เกิดการบูรณาการแนวคิด นโยบาย ทฤษฎี ที่เน้นสนับสนุนวัตถุประสงค์ของการวิจัยในโครงการวิจัยนี้ การสังเกต จะใช้ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเหตุผล (Logic Analysis) ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาโครงสร้างการจัดองค์การและการบริหารจัดการ และการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ของกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหม คือ สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกระทรวงกลาโหม ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด สำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนาการทหารกองทัพบก สำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนาการทหารกองทัพเรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์และพัฒนาระบบอาวุธกองทัพอากาศ กรมยุทธการทหารอากาศ โดยศึกษาและวิเคราะห์คำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการทรัพยากรกลาโหม คณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหาร กระทรวงกลาโหม คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์ กระทรวงกลาโหม คณะกรรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงกลาโหม ขั้นตอนที่ 2.1 ศึกษาโครงสร้างการจัดองค์การและการบริหารจัดการและการมาตรฐานอุตสาหกรรมของหน่วยงานพลเรือนและภาคเอกชนในประเทศไทย คือ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานสนับสนุนกองทุนเพื่อการวิจัย สำนักงานวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม TRIS (Thai Rating Information System) TDRI (Thailand Development and Research Institute) ขั้นตอนที่ 2.2 ศึกษาโครงสร้างการจัดองค์การและการบริหารจัดการและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ของหน่วยงานต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฝรั่งเศส ประเทศสิงคโปร์ ประเทศแคนาดา และประเทศออสเตรเลีย ขั้นตอนที่ 3 บูรณาการโครงสร้างการจัดองค์การเพื่อการบริหารจัดการและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร ในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่คาดว่าเหมาะสมกับประเทศไทย โดยใช้การวิเคราะห์จากการรวบรวมข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้น โดย ระเบียบวิธีการวิจัยและการรวบรวมข้อมูล แบบ EDFR (Ethnographic Delphi Future Research) ขั้นตอนที่ 4 จัดการการสัมมนาผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้ได้ฉันทามติการบูรณาการโครงสร้างการจัดองค์การ เพื่อการบริหารจัดการและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้มีความเหมาะสมเป็นสากลและมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต และการนำไปใช้ในด้านความมั่นคง การป้องกันประเทศ และในเชิงพาณิชย์ ขั้นตอนที่ 5 การนำเสนอขั้นตอนการปฏิบัติในการบูรณาการโครงสร้างการจัดองค์การเพื่อการบริหารจัดการและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ที่มีความเหมาะสมเป็นสากลและมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิตและการนำไปใช้ในด้านความมั่นคง การป้องกันประเทศ และในเชิงพาณิชย์
7. แผนงานในการดำเนินโครงการ ตามแผนภูมิขั้นตอนการดำเนินงานการวิจัยโครงสร้างการจัดองค์กรเพื่อการบริหารจัดการและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้มีความเหมาะสมเป็นสากลและมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต
9. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 9.1 ได้โครงสร้างองค์การและระบบบริหารจัดการครอบคลุมกลุ่มงานวิจัย และพัฒนา การทหารและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหมที่เหมาะสมเป็นสากล และมีประสิทธิภาพถึงขั้นการผลิต ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย 9.2 จะเกิดสายวิทยาการ และเหล่าทหารวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นใน กองทัพ 9.3 จากการดำเนินโครงการวิจัยนี้จนจบ ทำให้ทราบข้อมูลการพัฒนางานวิจัยและพัฒนา การทหารและการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ และทราบเครือข่ายการประสานความร่วมมือทางการวิจัยกับหน่วยงานของทหารและพลเรือน รวมทั้งภาคเอกชนในประเทศและต่างประเทศได้อย่างกว้างขวาง 10. นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย นิยามศัพท์ต่อไปนี้ เป็นนิยามที่ใช้ในโครงการวิจัย เพื่อนำเสนอการบูรณาการโครงสร้างการจัดองค์การ และการบริหารจัดการงานครอบคลุมกลุ่มงานวิจัย และพัฒนาการทหารกลาโหม และการมาตรฐานยุทโธปกรณ์ เพื่อความเข้าใจตรงกัน 10.1 โครงสร้างองค์การ หมายถึงแบบแผนที่เป็นทางการ ของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ขององค์การ การประสานงาน และการควบคุม กระแสการไหลของงาน อำนาจหน้าที่ และการติดต่อสื่อสารที่ได้มีการจัดเอาไว้รองรับกิจกรรมของสมาชิกทั้งหลายในองค์การ ที่เป็นทางการของความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆ ขององค์การ 10.2 รูปแบบ หมายถึง ลักษณะที่คล้ายของจริงหรือความจริง มีทั้งรูปแบบที่ไม่เหมือนอย่างของจริง แต่มีลักษณะสำคัญที่แสดงให้ทราบว่า เป็นตัวแทนของจริงหรือความจริง เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของการดำเนินงานขององค์กรที่คล้ายกันเป็นสำคัญ 10.3 วิจัยพัฒนาการทหารกลาโหม หมายรวมถึง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการทหารในกระทรวงกลาโหม เป็นความหมายรวมของ “วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” 10.4 กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร หมายถึง งานวิจัยและพัฒนาและงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีทางทหาร ซึ่งประกอบด้วยงานหลัก ๆ 6 งาน คือ งานวิจัยและพัฒนาการทหาร งานสารสนเทศ งานบริหารคลื่นความถี่วิทยุ งานกิจการอวกาศ งานพลังงานทหาร และงานมาตรฐานยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหม 11. แนวคิดในการขยายผล เมื่อได้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติ โครงสร้างองค์การเพื่อการบริหารกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร การมาตรฐานยุทโธปกรณ์ ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ที่ได้จากผลการวิจัยนี้ แนวคิดในการนำไปใช้ จะต้องใช้ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทในการปฏิรูปกระทรวงกลาโหม และการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพที่สภากลาโหมให้การยอมรับแล้ว และพัฒนาการปฏิบัติให้มีความเหมาะสมทันสมัยเป็นสากล และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับได้ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง และเหมาะสมกับอนาคตภาพ ทุกสภาวะ ปัจจุบันตั้งแต่ขั้นตอนการวิจัยไปสู่การกำหนดและการรับรองมาตรฐานเพื่อนำสู่การผลิตที่ยังประโยชน์ให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ และการป้องกันประเทศ ขยายผลของการผลิตยุทธภัณฑ์ หรือผลการวิจัยที่ได้มาตรฐาน ในการจดลิขสิทธิ์และร่วมมือในการลงทุนกับภาคราชการ หรือภาคเอกชนทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อนำสู่ความมุ่งหมายเชิงพาณิชย์ในการแข่งขันด้านการค้าที่มีเสรีทั่วโลก ทั้งนี้เพื่อนำพาการพึ่งพาตนเองไปสู่ การได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การเรียนรู้เทคโนโลยีและการได้รับผลตอบแทนเป็นเงินตราต่างประเทศ เข้ามาพัฒนากลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการทหาร การกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์ในสังกัดกระทรวงกลาโหมเพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าทันโลกในสหัสวรรษต่อไป
พล.ท. นายทหารโครงการ (ชัยศึก เกตุทัต) ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม
|