ข้อดี
1.สามารถส่งด้วยอัตราความเร็วสูงมาก 2.มีประสิทธิภาพ
3.มีความต้านทานต่อการรบกวน
4.ใช้ได้ในระยะทางไกล ๆ
5.มีความอิสระในการใช้งาน

    ข้อเสีย
1.ราคาแพง
2.ยากต่อการติดตั้ง

    ข้อดี
1.ราคาไม่แพง
2.มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง
3. มีความยืดหยุ่นในการทำงาน
4.การติดตั้งสามารถทำได้ง่าย

       
ข้อเสีย
1.จะถูกรบกวนจากสัญญาณภายนอก
2.ระยะทางในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ ์ของระบบเครือข่ายกับไวริ่งฮับต้องไม่เกิน
300 ฟุต

   ข้อดี
1.มีความต้านทานต่อการถูกรบกวนสูง 2.เชื่อมต่อในระยะที่ไกล ๆ ได้

  
ข้อเสีย
1.ราคาแพง
2.มีความยุ่งยากในการติดต่อ

         






       สายสัญญาณ เป็นอุปกรณ์หนึ่งในระบบเครือข่ายที่ใช้เป็นทางเดินของข้อมูลโดย
สายสัญญาณนั้น จะมีอยู่หลายชนิดด้วยกันให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสมโดยใน
การเลือกใช้สายสัญญาณนี้ จะต้องคำนึงองค์ประกอบต่างๆ เช่น ชนิดของสานสัญญาณ
และชนิดของระบบเครือข่ายที่ใชงานอยู่ เป็นต้น โดยชนิดของสายสัญญาณในแต่ละชนิด
ก็จะมีจุดเด่น ราคา และคุณภาพแตกต่างกันไป

ชนิดของสายสัญญาณ
     1.สายคู่บิดเกลียว (Twisted pair Cable )
     2.สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable )
     3.สายเส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable )
    ตัวกลางหรือสายเชื่อมโยง เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหย่างอุปกรณ์
ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งลักษณะของตัวกลางต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้

1) สายคู่บิดเกลียว
           สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) แต่ละคู่สายทองแดงจะถูกพันกันตามมาตรฐานเพื่อลดการรบกวน
จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกันหรือจากภายนอก เนื่องจากสายคู่บิดเกลียว
นี้ยอมให้สัญญาณไฟฟ้าความถี่สูงผ่านได้ถึง 10Hzหรือ10Hzเช่นสายคู่บิดเกลี่ยว1คู่จะสามารถส่งสัญญาณ
เสียงได้ถึง12 ช่องทางสำหรับอัตราการส่งข้อมูลผ่านสายคู่บิดเกลียวจะขึ้นอยู่กับความหนาของสายด้วย คือ
สายทองแดงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ากำลังแรงได้ ทำให้ สามารถส่งข้อมูล
ด้วยอัตราส่วนสูง โดยทั่วไปแล้ว สำหรับการส่งข้อมูลแบบดิจทัลสัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยมสาย
คู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้หลายเมกะบิตต่อวินาทีในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากสาย
คู่บิด
เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี แล้วน้ำหนักเบาง่ายต่อการติดตั้งจึงถูกใช้งานอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่าง คือ สายโทรศัพท์ สายแบบนี้มี 2 ชนิดคือ


            ก. สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP)
                   เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นดังรูป เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า

     

      

 


     
         

ข. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair :UTP)
       เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้นดังรูปทำให้สะดวกในการโค้งงอแต่สามารถ
ป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก

    



 


 

 

 

2) สายโคแอกเชียล
            สายโคแอกเชียลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสายทีวีที่มีการใช้งานกันมาก ไม่ว่าในระบบเครือข่ายเฉพาะที่ ในการส่งข้อมูลระยะไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท หรือการส่งข้อมูล
สัญญาณวีดิทัศน์ สายโคแอกเชียลที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทัล และ
ชนิด 75 โอห์มซึ่งใช้ส่งข้อมูล
สัญญาณแอนะล็อก สายโคแอกเชียลจะมีฉนวนหุ้มป้องกันการรบกวนของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนอื่นๆซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายแบบนี้มีช่วงความถี่ที่สัญญาณ
ไฟฟ้าสามารถผ่านได้กว้างถึง 500 Mhzจึงสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่งสูง

       ข้อดี
1.มีประสิทธิภาพ
2.มีความต้านทานในการรบกวนสูง
3.เชื่อมต่อในระยะที่ไกล ๆได้

         ข้อเสีย
1.ราคาแพง
2.เกิดความผิดพลาดได้ง่าย
เมื่อใช้กับโทโบโลยีแบบ บัส
3.การติดตั้งทำได้ยาก


3) เส้นใยนำแสง

           เส้นใยนำแสง (fiber optic) เป็นการใช้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตรา
ความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก ปัจจุบันถ้าใช้เส้นใยนำแสงกับระบบอีเธอร์เน็ตจะใช้ได้ด้วยความ
เร็ว 10 เมกะบิตถ้าใช้กับ FDDI จะใช้ได้ด้วยความเร็วสูงถึง 100 เมกะบิต
เส้นใยนำแสงมีลักษณะพิเศษที่
ใช้สำหรับเชื่อมโยงแบบจุดไปจุดดังนั้นจึงเหมาะที่จะใช้กับการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคารระยะความ
ยาวของเส้นใยนำแสงแต่ละเส้นใช้ความยาวได้ถึง2 กิโลเมตร เส้นใยนำแสงจึงถูกนำไปใช้เป็นสายแกนหลัก
เส้นใยนำแสงนี้จะมีบทบาทมากขึ้น เพราะมีแนวโน้มที่จะให้ความเร็วที่สูงมาก