ผู้เห็นโทษแล้วจึงต้องใช้อุบายให้ตรงกันข้าม
เห็นตามเป็นจริงว่า รูปเป็นแต่สักว่าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ หรือเห็นเป็นอสุภะของไม่งาม
ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ เป็นของสูญเปล่าหาแก่นสารไม่ได้ เป็นต้น
เมื่อพิจารณาไปๆ จิตมันถอนออกจากอุปาทานความเห็นผิดเดิมเสียได้ มาเห็นแน่ชัดในใจด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า
ที่เห็นเป็นคนเป็นมนุษย์บุรุษชายหญิง สวยไม่สวย น่ารักน่าเกลียดนั้น
แท้จริงนั้นเป็นความหลงเข้าใจผิดต่างหาก หาได้เป็นไปตามนั้นไม่ ผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นอย่างนี้เรียกว่าผู้ตื่นจากหลับหรือความหลงจึงจะตรงกันว่า
เนกฺขมฺม โดยแท้
ท่านผู้อ่านทั้งหลาย
ข้าศึกตีวงล้อมเราอยู่ทั้ง ๖ ทิศ มันหมายพิชิตแย่งเอาอิสระของเรา หากเราไม่ใช้กำลังศรัทธาพละ,วิริยพละ,สติพละ,สมาธิพละ,ปัญญาพละ
ยอมสละชีพเพื่อความอยู่รอดของตนแล้ว มีหวังเป็นทาสของข้าศึกอย่างแน่นอน
ข้าศึกอย่างที่ว่านี้ถึงชนะมันแล้วก็อย่าได้วางใจ ข้าศึกภายในมันเข้าลักษณะที่ว่า
ไส้เกิดเป็นหนอน คนสนิทคิดขบถได้ง่ายกว่าคนอื่นไกล ชนะเพราะเห็นตามเป็นจริงแล้วอย่าได้ประมาทว่า
จะได้ไม่หลงเห็นผิดอีก ข้อนั้นจะไม่สมหวังตลอดไป เพราะใจเป็นของเบากลับกลอกได้ง่าย
อนึ่งใจที่เราปฏิวัตินั้นมันได้หลงใหลในอารมณ์มานานแสนนาน การที่ใจกลับกลอกหลงใหลไปสู่สภาพเดิมเป็นของง่าย
เหมือนน้ำไหล
ท่านผู้อ่านทั้งหลาย
อารมณ์ที่เข้ามาทางทวาร ๖ เปรียบเหมือนข้าศึกของใจ ที่หวังจะแย่งเอาความสุขสงบของผู้มีความสงบอยู่แล้ว
ผู้ต้องการจะชิงชัยเอาชนะก็คือสติโดยใช้ปัญญาอันคมกล้าเป็นอาวุธในยุทธสนามอันกว้างศอกยาววาหนาคืบนี้เอง
ใจเป็นผู้หลง ใจก็ต้องเป็นผู้แก้ความหลงของตนเอง ใจจึงต้องรับหน้าที่ต่อต้านกับความหลงอย่างหนัก
การปฏิวัติความหลงของใจให้เกิดปัญญาเห็นตามเป็นจริง
มิใช่ของทำง่าย จำต้องใช้ความพยายามอย่างพลีชีพ เป็นทหารหาญเอาเยี่ยงอย่างพระบรมครูของเราจึงจะชนะได้
ถึงเราชนะความหลงใหลแล้ว อายตนะทั้ง ๖ อันเป็นช่องทางให้ใจเกิดความหลงก็คงยังเป็นอายตนะแลอยู่ร่วมกันกับผู้ชนะนั่นเอง
คนสนิทคิดขบถย่อมทำได้ง่ายกว่า คนอื่นไกลเป็นไหนๆ มันจะเข้ากับหลักที่ว่าไส้กลับกลายเป็นหนอน
คิดว่า
"ผู้เอาชนะแล้วจะไม่แพ้อีก" ข้อนั้นจะไม่สมหวังตลอดไป ใจเป็นของกลับกลอกได้ง่ายแล้วก็เคยหลงใหลเข้าใจผิดมานานแสนนาน
กว่าที่เราจะมาปฏิวัติให้เห็นชัดของจริงตามเป็นจริงจึงเป็นของทำได้ยาก
เมื่อผู้ชนะแล้วจึงไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง
ให้เห็นอารมณ์ที่เข้ามาในทวารทั้ง
๖ ว่าจะเป็นภัยคุกคามแก่ความสงบสุของใจอยู่เสมอ ในหลักปฏิบัติท่านสอนให้เจริญ
"วสีห้า" คือ
ให้ชำนาญในการพิจารณาอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ใกล้ไกล หยาบละเอียด ให้พิจารณาให้ได้ให้เห็นชัดเหมือนกันหมด
๑
ให้ชำนาญในการเข้าจิต คือเข้าฌาน-สมาธิให้ได้ในอิริยาบทใด อยู่ในสถานที่ใดก็ให้เข้าให้ได้ทุกขณะ
๑
ให้ชำนาญในการตั้งอยู่ของจิต คือเมื่อจิตเข้าฌาน-สมาธิได้แล้ว จะให้จิตนั้นตั้งอยู่ในขั้นใดภูมิใด
ช้านานสักเท่าไรก็ได้ตามประสงค์ ๑
ให้ชำนาญในการตรวจตราชั้นภูมิของจิตทั้งของตนแลของคนอื่น ๑
ให้ชำนาญในการถอนจิต คือจิตเข้าถึงฌาน-สมาธิแล้ว เวลาจะถอนออกจากนั้นมา
ให้รู้จักลักษณะอาการนั้นๆ ของจิต มิใช่เวลาจะถอนปุ๊บปั๊บถอนออกมาเลย
๑
ผู้ชำนาญในวสีห้านี้
ฌาน-สมาธิของผู้นั้นจะไม่มีเสื่อมเลย พระพุทธองค์จึงทรงตรัสย้ำว่า
"ภาวิตา พหุลีกตา อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ"
แปลว่า ท่านทั้งหลายจงทำให้มาก เจริญให้ยิ่ง จึงจะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้
เพื่อความดับทุกข์ดังนี้ คือพระองค์ประสงค์ว่า ทั้งผู้ที่กำลังเจริญอยู่ก็ดีหรือผู้ที่เจริญเป็นไปแล้วก็ดีในกรรมฐานหรือฌาน-สมาธิ-วิปัสสนาใดๆ
ก็ตาม ไม่ให้ประมาท จงพากันเจริญอยู่เสมอๆ เพราะสิ่งที่จะยั่วยวนชวนให้เราหลงใหลมีอยู่รอบตัวในตัวของเรานี้ตลอดกาล
ถ้าผู้ใดมาเห็นว่าตัวของเราทั้งหมดพร้อมด้วยสิ่งแวดล้อม
ตกอยู่ในภายใต้ของกามคุณห้า จะทำอย่างไรๆ ก็เอาชนะมันไม่ได้ ไปไม่พ้นแล้ว
ผู้นั้นชื่อว่า "เป็นผู้ยอมแพ้แล้วแต่ยังไม่ทันออกสู่สนาม"
ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า การรักษาอายตนะทั้ง ๖ เป็นการยุ่งยากลำบากมาก ผู้นั้นได้ชื่อว่า
"กำลังต่อสู้กับข้าศึกอยู่ ชัยชนะมอบไว้ให้แก่กาลเวลาในอนาคต"
ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า อายตนะทั้ง ๖ เรารู้เท่าเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว
อารมณ์ทั้ง ๖ เราเอาชนะมันได้แล้ว ผู้นั้นได้ชื่อว่า "ใกล้อวสานแห่งการแพ้ต่อข้าศึกอยู่แล้ว
ความหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เข้าทุกวินาที"
ธาตุ
๔ เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวด้วยจิต ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นธาตุประสม
แต่ไม่ได้จัดว่าเป็นตัวกิเลส เป็นแต่บัญญัติธรรมเท่านั้น ผู้หลงผิดคิดว่าธรรมสามกองนี้เป็นตน
เป็นของของตน แล้วเข้าไปยึดถือเอามาไว้เป็นอุปาทาน จึงจัดเป็นกิเลส
ผู้จะกล่าวถึงโลกสามแล้วก็ต้องกล่าวอยู่ในขอบเขตของธรรมสามกองนี้ ผู้เจริญสมถะ-วิปัสสนา-กรรมฐาน
ต้องการจะข้ามพ้นโลกสาม ก็มาตั้งต้นบันไดขั้นแรกตรงที่ธรรมสามกองนี้
ธรรมสามกองนี้จึงเป็นทั้งโลกียะแลโลกุตตร
ผู้มายกเอาธรรมสามกองนี้ขึ้นมาปรารภโดยเห็นว่ามนุษย์
สิงสาราสัตว์สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ นับตั้งแต่ตัวของเราเป็นต้นไป
เห็นเป็นเราเป็นของของเรา เป็นมนุษย์บุรุษชายหญิง เป็นนั่นเป็นนี่
เรียกว่าผู้เห็นโลกเป็นเรา
ผู้มาพิจารณาเห็นโลกมีตัวเราเป็นต้น
เห็นเป็นแต่สักว่าเป็นธาตุ-ขันธ์-อายตนะเท่านั้น ไม่มีอะไรทั้งหมด
ที่สมมติบัญญัติว่าอันนั้นเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นแต่สมมติบัญญัติลมๆ
แล้วๆ ตามชอบใจของตนเท่านั้น แท้จริงสิ่งนั้นหาได้เป็นไปตามนั้นไม่
มันมีแต่บัญญัติคือ ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ เท่านั้น
เช่นสมมติว่าผู้ชายชื่อขาว
เมื่อเข้าไปตรวจตัวจริงแล้ว ผู้ชายจะไม่มีจริง จะมีแต่วัตถุธาตุเท่านั้นซึ่งจะแยกออกไปก็เป็นธาตุ-ขันธ์-อายตนะต่างหาก
คำว่าชายก็มีเพศหรือลักษณะอันเป็นเครื่องหมายต่างออกจากเพศหญิงเท่านั้น
คำว่าขาว ก็แสดงลักษณะของธาตุดินอีก
คนอื่นแลสิ่งอื่นนอกออกไปจากตัวของเราแล้วก็มีนัยดังแสดงมาแล้วนี้ทั้งนั้น
ผู้มาพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้ เรียกว่าผู้พิจารณาเห็นโลกสามตามความเป็นจริง
ผู้พิจารณาเห็นเช่นนั้นแล้ว เข้าไปหลงติดเพลิดเพลินอยู่กับความเห็นของตนนั้น
เรียกว่าผู้ติดอยู่ในโลกสาม
เมื่อเห็นเช่นนั้นชัดแจ้งด้วยญาณทัสสนะอันชอบแล้ว
จิตปล่อยวางเห็นเป็นสภาวธรรมตามเป็นจริงว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้นมาแล้ว
ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็แตกดับสลายไป เป็นธรรมดา" เรียกว่าผู้รู้แจ้งโลกทั้งสาม
ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ เป็นธรรมกลางๆ
ผู้ตกอยู่ในกามโลกก็ไปดึงเอาธรรมสามกองนั้นมาเป็นอัตตา
หลงไหลเพลิดเพลินไปตามธรรมสามกองนั้นจะให้เกิดกามโลกไป ผู้มาพิจารณาธรรมสามกองนั้นเห็นชัดเจนด้วยปัญญาวิปัสสนา
แต่ยังถอนความรู้ความเห็นนั้นไม่ได้ เรียกว่าผู้ยังติดอยู่ในรูปโลก
ผู้มาพิจารณาเห็นเช่นนั้นแล้ว แลเห็นว่าการที่มาชอบใจพอใจอยู่กับความรู้ความเห็นเช่นนั้นเป็นของหยาบ
ปล่อยวางความจำที่ว่าชอบไม่ชอบหรือความเป็นของเฉยๆ นั้นเสียได้ แล้วอยู่ด้วยความไม่มีอะไรทั้งหมด
เรียกว่าผู้ติดอยู่ในอรูปโลก ที่เรียกว่าโลกเพราะไปติดอยู่กับความที่ว่ามีหรือไม่มี
หรืออัตตาอนัตตา
ท่านผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นโลกสาม
รู้ตามความเป็นจริงดังอธิบายมาแล้ว ท่านไม่เข้าไปยึดเอาโลกสามมาเป็นอัตตาหรืออนัตตา
เป็นแต่เอาโลกสามนั้นมาเป็นเครื่องวัดปัญญาญาณทัสสนะของท่านว่า นั่นโลกสาม
นั่นปัญญาผู้รู้เห็นตามเป็นจริง ความรู้ที่รู้จริงจะต้องรู้แล้วปล่อยวาง
ไม่หลงเข้าไปยึดเอาความรู้นั้นเข้ามาเป็นอัตตาหรืออนัตตาอย่างนี้ๆ
เมื่อตรวจดูจิตของตนก็ผ่องใสสะอาดพอๆ กับความรู้ความสงบ ไม่ยิ่งไม่หย่อน
เป็นความรู้ที่ปราศจากความปรุงแต่งใดๆ ทั้งหมด แม้แต่ความจำในอดีต
อนาคต ก็มิได้เอามาใช้ในที่นั้น
แต่เมื่อเอามาเทียบกับความรู้ชัดในนั้นที่นั้นแล้ว
ตรงกับความจริงทุกๆ ประการ แต่มันชัดแจ้งกว่า มีรสชาติกว่า เมื่อมาตรวจดู
ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ ก็เป็นจริงตามสัญญาบัญญัติอยู่อย่างนั้น มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามปกติของมัน
จิตของท่านจึงไม่อยู่นอกอยู่ในแลไม่นึกไม่เอา สิ่งใดมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่เช่นนั้นตามเคย
เมื่อธาตุ-ขันธ์-อายตนะยังเป็นไปอยู่
คือยังไม่แยกออกจากกัน ต่างก็ทำงานตามหน้าที่ของความเป็นอยู่ของธาตุนั้นเรียกว่า
"ธาตุปริวัติ" ความเป็นอยู่ของขันธ์นั้นเรียกว่า "ขันธ์วิบาก"
ความเป็นอยู่ของอายตนะนั้นเรียกว่า "ฉฬังคุเปกขา" เมื่อธรรมสามกองนี้แยกกันแล้ว
ผู้รู้ผู้สำรวมรักษาผู้พิจารณาผู้มาเห็นตามเป็นจริงก็หมดหน้าที่ตามๆ
กันไป สมมติบัญญัติก็ไม่มี คำพังเพยโบราณท่านว่า "น้ำเพียงใด
ดอกบัวเพียงนั้น" ความจริงดอกบัวมันอยู่บนน้ำ สายบัวต่างหากเป็นเครื่องวัดความลึกตื้นของน้ำ
พร้อมกันนั้น น้ำก็เป็นเครื่องวัดของสายบัวไปในตัว
รูปธรรม
นามธรรม จิต กิเลส นิพพาน ย่อมเป็นเครื่องวัดของกันแลกันฉะนั้น ธรรมเป็นของละเอียดมาก
ยากที่ผู้มีปัญญาทั้งหลายจะอธิบายให้ถูกต้องถึงเนื้อแท้ของธรรมได้บริบูรณ์
แต่ถูกต้องที่สุดก็คือเป็นผู้หวังดีต่อผู้อื่น แล้วพยายามอธิบายอรรถธรรมนั้นเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจตามความสามารถภูมิปัญญาของตนๆ
พระสัพพัญญูพุทธะแลสาวกพุทธะก็มีฐานไม่เสมอกัน แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็มีปัญญาสามารถทำหน้าที่ของตนๆ
ให้บรรลุตามความประสงค์ของตนได้
ผู้เขียนก็ขอสารภาพว่า
ธรรมบรรยายที่แสดงมาทั้งหมดนี้ คงอธิบายไม่ถึงตามความลึกซึ้งของธรรมนั้นทั้งหมดเป็นแน่
แต่ด้วยอำนาจศรัทธาในท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย จึงได้เขียนเสนอเพื่อจะได้นำเอาไปพิจารณา
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดคลาดเคลื่อนในอรรถธรรมข้อใดหมวดใด
ขอท่านผู้รู้ทั้งหลายได้โปรดกรุณาให้คำแนะนำตักเตือนผู้เขียนด้วย จะขอบพระคุณในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง.
=
จบ =
|