หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I

 

 

คู่มือมนุษย์

"พุทธทาส อินฺทปัญฺโญ"

 

พุทธศาสนามุ่งชี้อะไรเป็นอะไร(ส่วนที่ ๒)

เรื่องไตรลักษณ์ ก็เป็นหลักสำคัญอีกแนวหนึ่งมีหัวข้อสั้นๆ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเป็น
หลักที่เราต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็เรียกว่าไม่รู้จักพุทธศาสนา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้คือ การประกาศความจริง
ออกไปว่า "สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงไม่เที่ยง สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงเป็นทุกข์ สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน"

ที่ว่าเป็นอนิจจัง ก็คือสิ่งทั้งปวงเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไม่มีอะไรเป็นตัวเอง ที่หยุดอยู่แม้ชั่วขณะ ที่เป็น ทุกขัง นั้นหมายถึงว่า สิ่งทั้งปวงมีลักษณะเป็นความทนทุกข์ทรมานอยู่ในตัวของตัวเอง มีลักษณะ ดูแล้ว น่าชัง น่าเบื่อหน่าย น่าระอาอยู่ในตัวเองมันเองทั้งนั้น และที่ว่าเป็น อนัตตา นั้นก็คือ การบอก ให้รู้ว่า บรรดาสิ่งทั้งปวงไม่มีอะไรที่เราควรจะเข้าไปยึดมั่นด้วยจิตใจว่า เป็นตัวเรา หรือเป็นของเรา

 

ถ้าไปยึดถือก็ต้องเป็นทุกข์ และบอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงนั้นมันเป็นไฟที่มองไม่เห็น เราจึงเข้าไปกอดกอง
ไฟกันด้วยความสมัครใจ แล้วก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดกาล นี่คือการบอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร โดย
นัยแห่งไตรลักษณ์ เป็นการชี้ให้เห็นชัดว่า พุทธศาสนาคือ วิชาและระเบียบปฏิบัติที่ทำให้เรารู้ได้ว่า
อะไรเป็นอะไรเท่านั้นเอง

เมื่อได้กล่าวถึงหลักที่ว่า เราต้องรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไร และต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะตรงต่อกฎ
ธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง ดังนี้แล้ว หลักในพระบาลีก็มีอีกพวกหนึ่งเรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ แปลว่า
คำสอนที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหมด มีอยู่ ๓ ข้อ สั้นๆ คือ

ไม่ทำความชั่วทั้งปวง

ทำความดีให้เต็มที่ และ

ทำจิตใจให้สะอาด ปราศจากความเศร้าหมอง นี้เป็นหลักสำหรับปฏิบัติ

เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ยึดถือไม่ได้ และไปหลงไหลด้วยไม่ได้ เราก็ต้องปฏิบัติ
ต่อสิ่งทั้งปวงให้ถูกต้องด้วยความระมัดระวัง คือเว้นจากการทำชั่ว หมายถึงการละโมบโลภลาภด้วย
กิเลส ไม่ลงทุนด้วยการฝืนศีลธรรม ขนบธรรมเนียมต่างๆ เพื่อไปทำความชั่ว อีกทางหนึ่งนั้นให้
ทำแต่ความดีตามที่บัณฑิตสมมติตกลงกันว่าเป็นคนดี

แต่ทั้งสองข้อนี้เป็นเพียง ขั้นศีลธรรม ข้อที่ สามที่ว่า ทำจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวงนั้นนั่นแหละ เป็นตัวพุทธ ศาสนาโดยตรง หมายความว่าทำจิตใจให้เป็นอิสระ ถ้ายังไม่เป็นอิสระจากอำนาจครอบงำของสิ่งทั้งปวงแล้ว จะเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้ จิตจะเป็นอิสระก็ต้องมาจากความรู้ว่า อะไรเป็น
อะไรถึงที่สุด ถ้ายังไม่รู้จะไปหลงรักหรือหลงชังอย่างใดอย่างหนึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วจะเรียกว่า
เป็นอิสระแท้จริงได้อย่างไร คนเรามีความรู้สึกอยู่สองอย่างเท่านั้น คือความพอใจ กับไม่พอใจ
(อภิชฌาและโทมนัส)

คนเราตกเป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นอิสระแก่ตัวเองเลย เพราะไม่รู้ว่าอารมณ์หรือสิ่งทั้งปวงนั้น
คืออะไรนั่นเอง ความพอใจมีลักษณะที่จะรวบรัดอะไรๆ เข้ามาหาตัว ความไม่พอใจมีลักษณะที่
จะผลักไสอะไรๆ ออกไปเสียจากตัว ถ้ายังมีความรู้สึกสองอย่างนี้อยู่ ก็หมายความว่าจิตใจยังไม่
เป็นอิสระ เพราะยังหลงรัก หลงชังอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ จึงไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์ปราศจากการครอบ
งำของสิ่งทั้งปวงได้ โดยเหตุนี้เองหลักพระพุทธศาสนาในขั้นสูงสุดนี้ จึงปฏิเสธการยึดถือสิ่งที่น่ารัก
น่าชัง ปฏิเสธเลยขึ้นไปถึงกับไม่หลงติดทั้งในความดีและความชั่ว จิตจึงจะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง
และบริสุทธิ์อยู่เหนืออารมณ์ต่างๆ

ศาสนาอื่นนิยมกันเพียงให้เว้นจากความชั่ว และให้ยึดถือในความดี ให้หลงยึดผูกพันในความดี
จนถึงยอดของความดี คือพระผู้เป็นเจ้า พระพุทธศาสนายังไปไกลกว่านั้นมาก คือไม่ยอมผูกพัน
ตัวเองกับสิ่งใดเลย การผูกพันในความดีนั้น ก็จัดว่าเป็นการปฏิบัติถูกในระยะต้นหรือระยะกลาง
เมื่อเรายังทำอะไรให้สูงไปกว่านั้นไม่ได้เท่านั้นเอง ในระยะแรกเราเว้นจากความชั่ว ในระยะถัดมา
เราก็ทำความดีให้เต็มที่ ส่วนในระยะสูงนั้น เราทำจิตใจให้ลอยสูงเหนือการครอบงำของทั้งความดี
และความชั่ว

การที่ผูกพันตัวเองอยู่ภายใต้ผลของความดี ยังไม่ใช่การพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง เพราะคนชั่ว
ก็จะมีความทุกข์ไปตามประสาคนชั่ว คนดีก็จะต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนดี ถึงเป็นมนุษย์
ที่ดีก็มีความทุกข์อย่างมนุษย์ที่ดี จะดีอย่างเทวดาก็มีความทุกข์อย่างเทวดา แม้จะเป็นพรหมก็มีความ
ทุกข์อย่างพรหม จะไม่มีความทุกข์เลยก็ต่อเมื่อไปให้พ้น สูงเหนือจากสิ่งที่เรียกว่าความดี กลายเป็น
โลกุตตระ (โลกของพระอริยเจ้า) คือเป็นพระอริยเจ้าเสียเอง ถ้าขึ้นถึงที่สุดก็เรียกว่า พระอรหันต์

ที่นี้คำว่าพระพุทธศาสนานั้น แปลว่าอะไร? พุทธแปลว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแปลว่าผู้รู้ พุทธ
ศาสนาก็แปลว่า ศาสนาของผู้รู้ พุทธศาสนิกก็แปลว่าผู้ปฏิบัติตามศาสนาของผู้รู้ ที่ว่ารู้นั้น หมายถึง
รู้อะไร? ก็คือรู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาก็คือ ศาสนาที่ทำให้รู้ว่าอะไร
เป็นอะไร เป็นศาสนาเกี่ยวกับความรู้จริง เราจึงต้องปฏิบัติจนเรารู้ได้เอง เมื่อรู้ถึงที่สุดแล้วไม่ต้องกลัว
กิเลสตัณหาต่างๆ จะถูกความรู้นั้นทำลายไปหมดสิ้นไป ความไม่รู้ (อวิชชา) ก็จะดับไปทันที ในเมื่อ
ความรู้ได้เกิดขึ้นมา ฉะนั้น ข้อปฏิบัติต่างๆ จึงมีไว้เพื่อให้วิชชาเกิด

ท่านทั้งหลายจงปักใจมั่นในทางที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น
ขอแต่ให้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง รู้ด้วยความเห็นแจ้งจริงๆ อย่ารู้อย่างโลกๆ รู้ครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งไปหลง
สิ่งที่ไม่ดีว่าดี หลงสิ่งซึ่งเป็นที่เกิดของความทุกข์ว่าเป็นความสุขดังนี้ ก็จะค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ นั่น
แหละจะเป็นการรู้จักพุทธศาสนาแท้ๆ

ถ้าศึกษาพุทธศาสนาโดยวิธีนี้แล้ว แม้คนตัดฟืนขาย ที่ไม่รู้หนังสือก็จะเข้าถึงตัวพุทธศาสนาได้ ใน
ขณะที่มหาเปรียญหลายประโยคที่กำลังง่วนอยู่กับพระไตรปิฎกไม่อาจเข้าถึงพุทธศาสนาได้เลย
พวกเราที่มีสติปัญญากันอยู่บ้าง น่าจะสามารถพินิจพิจารณาสิ่งทั้งปวง ให้รู้ตามที่เป็นจริงได้ ฉะนั้น
เมื่อถูกความทุกข์อะไรเข้าแก่ตัวเองแล้ว ก็จะต้องศึกษาสิ่งนั้นให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่ามันเป็นอย่างไรกัน
แน่ ความทุกข์ที่เกิดขึ้น และกำลังเผาลนเราให้เร่าร้อนอยู่นั้น มันคืออะไร เป็นอย่างไร มาจากไหน

ถ้าทุกคนตั้งสติ คอยเฝ้ากำหนดพิจารณาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตน ในลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว ก็จะ
เป็นทางให้เข้าถึงพุทธศาสนาได้ดีที่สุด ดีกว่าการที่จะเรียนเอาจากพระไตรปิฎกอย่างเปรียบเทียบกัน
ไม่ได้ทีเดียว

การที่ใครจะมัวแต่ศึกษาพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ในแง่ของภาษาหรือวรรณคดีนั้น
จะไม่มีทางรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกก็เต็มไปด้วยคำบรรยายว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้
เป็นอย่างนี้ เขาฟังอย่างนกแก้วนกขุนทอง พูดตามที่จำไว้ได้ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของ
สิ่งทั้งหลาย เว้นไว้แต่เขาจะได้ทำการพิจารณาให้เห็นเป็นเรื่องของชีวิตจิตใจ เข้าถึงตัวจริงของกิเลส
ของความทุกข์ของธรรมชาติ หรือของสิ่งทั้งปวงซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเขานั่นแหละ จึงจะเข้าถึง
ตัวพระพุทธศาสนาที่แท้ได้

คนที่ไม่เคยอ่าน ไม่เคยเคยฟัง พระไตรปิฎกเลย แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดละออทุกครั้ง ที่ความทุกข์
เกิดขึ้น แผดเผาจิตใจของตน นี้แหละ เรียกว่าเขากำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรงและอย่างถูกต้อง
ดียิ่งกว่ากำลังเปิดเล่มพระไตรปิฎกอยู่ทุกๆ วัน แต่แล้วไม่รู้จักอมฤตธรรมคำสอนที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก
เขาก็คล้ายกับการที่เรามีตัวเอง ใช้ตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเอง
ให้ลุล่วงไปได้ ยังคงมีความทุกข์ ยังคงมีตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์เพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน ตามที่อายุ
เพิ่มขึ้น นี่เพราะไม่รู้จักตัวเราอย่างเดียวเท่านั้น

ชีวิตจิตใจที่สวมอยู่กับเรา เราก็ยังไม่รู้จัก การที่จะไปรู้สิ่งที่ลึกลับที่ซ่อนอยู๋ในพระไตรปิฎกนั้นมันยุ่ง
ยากกว่าเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นจงหันมาศึกษาพุทธศาสนา หรือรู้จักตัวพุทธศาสนาด้วยการศึกษา
จากตัวจริง คือจากสิ่งทั้งปวง ซึ่งรวมทั้งร่างกายและจิตใจนี้เอง จากชีวิตซึ่งกำลังหมุนอยู่ในวงกลม
ของความอยากกระทำตามความอยาก แล้วก็เกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา หล่อเลี้ยงเจตนาที่อยาก
จึงทำสืบต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร หรือทะเลแห่งความทุกข์ เพราะความที่
ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ข้อเดียวเท่านั้น

สรุปความว่า พุทธศาสนา คือวิชาและระเบียบปฏิบัต ิเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเรารู้ว่า อะไรเป็น
อะไรถูกต้องจริงๆ แล้ว ไม่ต้องมีใครมาสอนเราหรือมาแนะนำเรา เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ถูกต้องได้ด้วย
ตนเอง แล้วกิเลสก็จะหมดไปเอง เราเป็นอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งขึ้นมาทันที เราจะปฏิบัติอะไร
ไม่ผิดขึ้นมาทันที เราจะลุถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ หรือที่ชอบเรียกกันว่า มรรคผลนิพพาน นี้
ได้ด้วยตนเอง เพราะการที่เรามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยถูกต้องถึงที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้น

 

"พุทธทาส อินฺทปัญฺโญ"
-------------------------------------------------------------------------------

Next : Page 5>>

หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : webmaster@yahoo.com