ประวัติพระพุทธเจ้า
(ต่อ)
พุทธศาสนาจรัสแสงทั่วอินเดีย
นับตั้งแต่ที่พุทธองค์ได้ทรงประกาศพุทธศาสนาและส่งพระสาวกไปประกาศศาสนา
ในแว่นแคว้นดินแดนต่าง ๆ ที่ไหน ๆ ที่มีพระสงฆ์ประกาศธรรม คนก็หัน
มานับถือพุทธศาสนามากขึ้น ๆ จนพุทธศาสนารุ่งเรืองไปทั่วดินแดนอินเดียตั้งแต่นั้นมา
เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
พระองค์ได้ประกาศพระศาสนาเป็นเวลา 45 พรรษาในอินเดียและก็เสด็จไปทั่วอินเดียไม่ว่าจะเป็นรัฐเล็กรัฐใหญ่
และแต่ละรัฐนั้นมีหนทางที่ทุรกันดารพระองค์ก็เสด็จไปเพื่อความสุขของมหาชน
พระองค์มีพระพรรษาที่ 80 ได้จำพรรษาที่หมู่บ้านเวฬุวคาม ภายในพรรษาพระองค์ก็ได้ประชวรอย่างหนัก
และเมื่อการประชวรบรรเทาลง ออกพรรษาพระองค์ก็เสด็จไปในรัฐต่าง
ๆ คือไปที่รัฐวัชชี ไพสาลี โภคนคร ปาวานคร (รัฐมัลละ) และ เสด็จที่เมืองกุสินาราเป็นรัฐสุดท้าย
อาการประชวรก็กำเริบอีกพระองค์เสด็จประทับที่อุทยานของเจ้ามัลละกษัตริย์
แล้วให้พระอานนท์ตั้งพระแทนบรรทมที่ใต้ต้นรังคู่โดยได้หันไปทางทิศเหนือจากนั้นก็เสด็จขึ้นบรรทมที่เรียกว่าสีหไสยาสน์
ดอกของไม้สาระก็บานสะพรั่งร่วงหล่นโปรยปรายมาที่พระสรีระของพระองค์
และพระอานนท์ก็ได้แจ้งข่าวแก่มัลละกษัตริย์ทั้งหลาย
สาวกองค์สุดท้ายที่พระองค์ให้บวช
ต่อมาก็มีสุภัททะอุบาสกชาวกุสินาราอยากเฝ้าแต่พระอานนท์ไม่ให้เข้าเฝ้าเพราะกลัวจะรบกวน
พระองค์ได้ยินก็ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้าได้พระอนนท์จึงจำยอมให้เข้าเฝ้าและได้สอนสุภัททะที่สุดเขาก็ได้เลื่อมใสและขอบวช
พระองค์ก็ได้ตรัสให้พระอานนท์อุปสมบทให้ นับได้ว่าพระสุภัททะเป็นองค์สุดท้ายที่พระองค์
และแล้วพระองค์ก็ตรัสเรียกประชุมสงฆ์และประทานพระโอวาทสอนเหล่าภิกษุว่ามีใจความว่า
เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้วสิ่งที่จะแทนพระองค์คือพระธรรมและวินัยจักเป็นศาสดาแก่เธอทั้งหลาย
จากนั้นก็เปิดให้ภิกษุได้ซักถามได้ สุดท้ายก็ได้ให้โอวาทอีกว่า
บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารล้วนมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายยังกิจทั้งปวงทั้งของตนทั้งของึนอื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด
จากนั้นพระองค์ก็มิได้ตรัสอะไรอีกเลย พระองค์ทำปรินิพพานด้วยสมาบัติ
๙ ทั้งอนุโลมคือการเข้าฌานตามลำดับ และปฏิโลมคือการเข้าฌานทวนลำดับ
ณ ที่ใต้ต้นรังทั้งคู่นั่นเอง วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือน ๖ ขึ้น
๑๕ ค่ำ รวมพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษาพอดี
ถวายพระเพลิง
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานแล้ว
พระอานนท์ก็ได้ให้ภิกษุไปแจ้งข่าวให้พวกมัลละกษัตริย์ เมื่อได้ทรงทราบแล้วพวกมัลละกษัตริย์ต่างก็มีความเศร้าโศกเสียใจ
และให้ประกาศข่าวออกไปให้ชาวเมืองได้รู้ทั่วกัน จากนั้นก็ได้นำเอาเครื่องสักการะต่าง
ๆ นา ๆ จัดพระศพอย่างมโหฬารตลอดเวลา ๖ วัน ผู้คนที่ได้รู้ข่าวทั้งบรรพชิตและคฤหัสทั่วสารทิศต่างก็บ่ายหน้ามาเพื่อทำการสักการะกันอย่างเนืองแน่น
ในวันที่ ๘ พวกมัลละกษัตริย์ก็ได้ปรึกษาที่จะทำการถวายพระเพลิง
เพราะถ้าไม่ทำหรือปล่อยนานวันข่าวการปรินิพพานก็จะกระจายไปสู่นานาประเทศ
อันจะเป็นเหตุให้มีการยื้อแย่งสารีริกธาตุกัน จึงได้เคลื่อนพระศพไปทางทิศใต้ปรากฏว่าพระศพไม่ขยับเขยื้อน
จึงไปถามพระอานนท์
พระอานนท์ก็บอกให้เคลื่อนพระศพไปทางทิศเหนือแล้วเข้าประตูทางด้านทิศเหนือของพระนครจากนั้น
ก็ผ่านไปกลางพระนครแล้วก็ให้เลี้ยวออกไปทางประตูทางทิศตะวันออกของนครแล้วให้ประดิษฐ์ที่มกุฏพันธนเจดีย์นอกพระนคร
จากนั้นก็ทำการถวายพระเพลิงแต่ปรากฏว่าเพลิงไม่ติด แล้วพระอานนท์ก็ให้รอ
ฝ่ายพระมหากัสสปะพร้อมกับภิกษุได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่เมืองกุสินารา
จึงอยากเข้าเฝ้าจึงได้เดินทางพร้อมภิกษุเพื่อเข้าเฝ้า เมื่อมาถึงกลางทางก็ได้พบเห็นชีวกคนหนึ่งถือดอกไม้มณฑารพนึก
สังหรณ์ใจจึงได้เข้าไปไต่ถามก็ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงปรินิพพานเสียแล้วภิกษุทั่งหลายต่างก็เศร้าโศกเสียใจ
ขณะนั้นมีภิกษุแก่รูปหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกันพอได้ยินว่าพระองค์ปรินิพพานเสียแล้วก็กล่าวว่า
ท่านทั้งหลายไม่ต้องเสียใจตอนที่พระองค์มีพระชนม์ชีพคอยจ้องว่าสิ่งนี้ไม่ควร
สิ่งนี้ไม่ควรพวกเราจะทำอะไรก็ก็คอยห้าม พระองค์ปรินิพพานเสียก็ดี
เราจะทำอะไรก็จะได้ตามใจ พระมหากัสสปะได้ฟังดังนี้ก็เกิดความหดหู่ใจคิดว่าราจะทำการสังคายนาหลังจากถวายพระเพลิงเสร็จ
แล้วก็พร้อมกับภิกษุทั้งหลายรีบเดินทางมาเพราะกลัวล่าช้าไป เมื่อมาถึงที่เมืองกุสินาราแล้วพระมหากัสสปะ
พร้อมภิกษุทั้งหลายก็ได้ทำประทักษิณเดินเวียนขวารอบพระจิตกาธาน
๓ ครั้งแล้วทำการตั้งจิตอธิฐานแล้วก็ถวายบังคมที่พระศพ ทันใดนั้นเองพระเพลิงก็พวยพลุ่งขึ้นโชติช่วงในที่นั้นนั่นเอง
แล้วทุกอย่างก็ไหม้หมดคงเหลือแต่พระอิฐ พระเกศา พระโลมา พระนขา
และทันตากับผ้าอีกคู่หนึ่งเท่านั้นที่ไม่ไหม้
แจกพระบรมสารีริกธาตุ
หลังจากที่ทำการถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว
๗ วันต่อมาก็ทำการเก็บอัฏฐิต่าง ๆ ไว้ที่ภายในนครกุสินารานั้น
เมื่อข่าวการปรินิพพานออกไปสู่รัฐต่าง ๆ กษัตริย์รัฐต่าง ๆ ต่างก็อยากได้พระบรมสารีริกธาตุไว้เพื่อทำการสักการบูชาและเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง
มี ๗ เมืองคือราชคฤห์ เมืองไพสาลี เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองอัลลกัปปะ
เมืองโกลิยะ เมืองเวฏฐทีปกะ และเมืองปาวา ต่างก็ได้ส่งราชทูตพร้อมทั้งกองทัพมาขอเพราะถ้าไม่ให้ก็จะใช้กำลังทางทหารบังคับ
เมื่อมาถึงที่เมืองกุสินาราก็ส่งราชทูตไปขอ ปรากฏว่าทางเมืองกุสินาราไม่ให้ก็เลยนำกองทัพประชิดเมือง
ขณะนั้นโทณพราหมณ์ซึ่งเป็นที่เคารพของมหาชนทั่วไปเป็นอันมากเห็นเหตุการณ์ไม่ดีก็ได้ออกมาเจรจาต่าง
ๆ นา ๆ ในที่สุดก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะแบ่งก็ให้โทณพราหมณ์เป็นผู้แบ่ง
ก็ได้แบ่งออกเป็น 8 ส่วนเท่ากันแล้วมอบให้เมืองต่าง ๆ เอาไปสร้างสถูปบรรจุไว้เพื่อเป็นที่สักการะเคารพบูชา
เมืองปิปผลิวันเมื่อได้ทราบข่าวก็ได้ส่งราชทูตมาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเมื่อมาถึงปรากฏว่า
แบ่งกันหมดเรียบร้อยแล้วมัลละกษัตริย์จึงได้มอบพระอังคาร(ขี้เถ้า)ให้ไป
พระธาตุเจดีย์
เมื่อกษัตริย์เหล่านั้นได้พระบรมสารีริกธาตุแล้วก็ได้จัดขบวนอันใหญ่โตมโหฬารอัญเชิญไป
ประดิษฐานไว้ที่นครและได้สร้างสถูปเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชามี
๘ แห่งด้วยกันคือ
๑.
ที่เมืองราชคฤห์
๒.
ที่เมืองไพสาลี
๓.
ที่เมืองกบิลพัสดุ์
๔.
ที่เมืองอัลลกัปปะ
๕.
ที่เมืองรามคาม
๖.
ที่เมืองปาวา
๗.
ที่เมืองเวฏฐทีปกะ
๘.
ที่เมืองกุสินารา
พระสถูปทั้ง
๘ นี้จัดเป็นธาตุเจดีย์
บริโภคเจดีย์
ฝ่ายโทณพราหมณ์ได้เอาทะนานทองใบที่ใช้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุนั้นไปสร้างพระสถูปบรรจุเอาไว้ที่เมืองกุสินารา
สถูปนี้ชื่อว่า ตุมพสถูป
ฝ่ายโมริยกษัตริย์ได้อัญเชิญพระอังคาร (ขี้เถ้า) ไปสร้างบรรจุไว้ที่เมืองปิปผลิวัน
มีชื่อว่า อังคารสถูป
นอกจากพระสถูปทั้งสองนี้แล้วแม้สังเวชคสถานทั้ง ๔ ตลอดทั้ง บาตร
จีวร เตียง ตั่ง กูฏิ วิหาร ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับและใช้สอยก็จัดเป็น
บริโภคเจดีย์
ธรรมเจดีย์
ต่อมาภายหลังพุทธศานิกชนบางพวกไม่มีสิ่งที่เป็นสักการะ
เพราะหาไม่ได้จึงได้เอาธรรมคำสั่งสอนต่าง ๆ เช่น อริยสัจจ์ ๔ เป็นต้นที่เป็นศิลาจารึกรวมทั้งใบลานมาบรรจุไว้ที่สถูป
พระสถูปนี้เรียกว่า ธรรมเจดีย์
อุทเทสิกเจดีย์
ต่อมาระยะภายหลังเมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปเหมือนพระพุทธเจ้าปางต่าง
ๆ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เท่าองค์จริงบ้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้านั้น
จัดเป็นอุทเทสิกเจดีย์
ลำดับการเสด็จจำพรรษา
ณ ที่ต่าง ๆ ของพระพุทธองค์
พรรษาที่
๑ จำพรรษาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
พรรษาที่
๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จำพรรษาที่นครราชคฤห์ วัดเวฬุวัน
พรรษาที่
๕ จำพรรษาที่กูฏคารศาสลาป่ามหาวันใกล้พระนครไพสาลี
พรรษาที่
๖ เสด็จจำพรรษาที่ภูเขากุลบรรพต
พรรษาที่
๗ จำพรรษาที่ดาวดึงส์เทวโลก
พรรษาที่
๘ เสด็จจำพรรษาที่ เภสกลาวัน ป่าไม้สีเสียดใกล้กรุงสุงสุมารคีรี
พรรษาที่
๙ เสด็จจำพรรษาที่โฆษิตาราม เมืองโกสัมพี
พรรษาที่
๑๐ เสด็จจำพรรษาที่ป่าริไรยกวัน
พรรษาที่
๑๑ เสด็จจำพรรษาที่ บ้านนาลายพราหมณ์
พรรษาที่
๑๒ เสด็จจำพรรษาที่ ภายใต้ร่มไม้ปุจิมันทพฤกษ์ ใกล้นครเวรัญชา
พรรษาที่
๑๓ เสด็จจำพรรษาที่ ภูเขาชื่อจาลิย
พรรษาที่
๑๔ เสด็จจำพรรษาที่ วิหารเชตวัน นครสาวัตถี
พรรษาที่
๑๕ เสด็จจำพรรษาที่ นิโครธารามมหาวิหาร ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์
พรรษาที่
๑๖ เสด็จจำพรรษาที่ อัคควาฬเจดีย์ ใกล้เมืองอาฬวี
พรรษาที่
๑๗ เสด็จจำพรรษาที่ เวฬุวันวิหาร เมืองราชคฤห์
พรรษาที่
๑๘ - ๑๙ เสด็จจำพรรษาที่ ภูเขาจาลิยะ
พรรษาที่
๒๐ เสด็จจำพรรษาที่เวฬวันวิหาร
พรรษาที่
๒๑ - ๔๔ เสด็จจำพรรษาที่เชตวันวิหารและบุปผารามสลับกัน (ที่เชตวัน
๑๙ พรรษา , ที่บุปผาราม ๖ พรรษา)
พรรษาที่
๔๕ เสด็จจพรรษาที่บ้านเวฬุคามใกล้เมืองไพสาลี
หนังสือที่ใช้ประกอบ
พุทธประวัติทัศนาศึกกษา พระธรรมโกศาจารย์
พุทธประวัติฉบับบมารตฐาน คณาจารย์แห่งโรงพิมพ์เลี่ยงเชียง
ประทีปแห่งเอเชีย เซอร์ เอ็ดวิน อาร์โนลต์ โรจนากร ถอดความ
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มหานฤทธิ์
(วัดวรจรรยาวาส กทม.) กรุณาเอื้อเฟื้อข้อมูลนี้มาเผยแพร่ครับ

|