"นิรยภูมิ"
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วจะกลับมาเกิด
เป็นมนุษย์อีกมีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์
ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรกมีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิด
เป็นมนุษย์อีกมีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรก
ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์
เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิด
เป็นเทพยดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรก
ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์
เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า
"เปตติวัสยภูมิ"
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่ตายจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิด
เป็นมนุษย์อีกมีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่ตายจาก
มนุษย์ไปแล้ว ย่อมไปเกิดในเปรตวิสัย
มีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากเปรตวิสัยไปแล้ว จะกลับมาเกิด
เป็นมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจาก
เปรตวิสัยไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิด ณ เปรตวิสัย
ในนรก ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน
มีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากเปรตวิสัยไปแล้ว จะไปเกิด
เป็นเทพยดา มีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจาก
เปรตวิสัยไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิด ในนรก
ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย
มีประมาณมากกว่า
"ติรัจฉานภูมิ"
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิด
เป็นมนุษย์อีกมีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติ
จากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดในกำเนิดสัตว์
เดียรัจฉาน มีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปแล้ว
จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติ
จากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานนั้นแล้ว กลับไปเกิด
ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานอีก หรือไปเกิดในนรก
ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปแล้ว
จะไปเกิดเป็นเทพยดามีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติ
จากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปแล้ว ย่อมไปเกิดในนรก
ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย
มีประมาณมากกว่า
"มนุสสภูมิ"
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว
จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นมีประมาณน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติตายจากมนุษย์ไปแล้วนั้น
พากันไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน
ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว
จะไปเกิดเป็นพวกเทวดานั้น มีประมาณน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติตายจากมนุษย์ไปแล้วนั้น
พากันไปเกิดในนรกในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน
ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า
(สำหรับ "เทวภูมิ" นั้นท่านยกไว้ตามข้างล่าง
แต่ "พรหมภูมิ" ดูเหมือนท่านไม่ได้ยกอะไร
ทำนองนี้มาให้ดู
เท่าที่ลองเปิดๆ หาดูนะคะ :>
แต่มีสรุปกว้างๆ ให้เห็นภาพโดยรวมทั้งหมด
ข้อความบางส่วนจะคล้ายๆ กับตรงข้างบน
แต่ก็คัดมาให้ได้อ่านกันให้ละเอียดจุใจ
ทุกภพภูมิอีกทีดังต่อไปนี้ค่ะ- deedi)
"เอกธัมมาทิบาลี"
ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจาก มนุษย์ ไปแล้ว จะกลับมา
เกิดเป็นมนุษย์อีก มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดในนรก
ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจาก มนุษย์ ไปแล้ว ไปเกิดเป็นเทพยดา
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว
ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน
ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจาก เทพยดา ไปแล้ว จักกลับไปเกิด
เป็นเทพยดาอีก มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจาก
เทพยดาไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิด
เดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจาก เทพยดา แล้ว จักได้มาเกิดเป็น
มนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเทพยดาแล้ว
ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน
ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจาก นรก แล้ว จักมาเกิดเป็นมนุษย์
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากนรกแล้ว
กลับเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน
ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจากนรกแล้ว ไปเกิดเป็นเทพยดา
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากนรกแล้ว กลับมาเกิด
ในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรต
วิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจาก กำเนิดเดียรัจฉาน แล้ว จักได้มาเกิด
เป็นมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิด
เดียรัจฉานแล้ว ไปเกิดในนรก กลับเกิดในกำเนิด
เดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดียรัจฉานแล้ว ไปเกิดเป็น
เทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิด
เดียรัจฉานแล้ว ไปเกิดในนรก กลับเกิดในกำเนิด
เดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจาก เปรตวิสัย แล้ว จักได้มาเกิดเป็น
มนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเปรตวิสัยแล้ว
ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน กลับเกิด
ในเปรตวิสัยอีก มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่จุติจากเปรตวิสัยไปแล้ว ไปเกิดเป็นเทพยดา
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเปรตวิสัยแล้ว ไปเกิด
ในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน กลับเกิดใน
เปรตวิสัยอีก มีประมาณมากกว่า โดยแท้แล
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่เกิดบนบก มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิดน้ำ
มีประมาณกว่า โดยแท้
สัตว์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่ไปเกิดในกำเนิดอื่นนอกจากกำเนิดมนุษย์
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบท มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่ไปเกิดในปัจจันตชนบท ในพวกชาวมิลักขะ
ที่โง่เขลา มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่มีปัญญา ไม่โง่เง่า ไม่เงอะงะ สามารถที่จะ
รู้อรรถแห่งคำที่เป็นสุภาษิตและคำที่เป็นทุพภาษิต
ได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่โง่เง่า เงอะงะ ไม่สามารถ
ที่จะรู้อรรถแห่งคำที่เป็นสุภาษิต และคำที่เป็น
ทุพภาษิตได้ มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่ประกอบด้วยปัญญาจักษุอย่างประเสริฐ
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ตกอยู่ในอวิชชา หลงใหล
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่มีโอกาสได้เห็นพระตถาคตเจ้า มีส่วนน้อย
สัตว์ที่ไม่ได้เห็นพระตถาคตเจ้า มีประมาณมากกว่า
โดยแท้
สัตว์ที่ได้ฟังพระธรรมวินัย ที่พระตถาคตเจ้าประกาศไว้
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมวินัย
ที่พระตถาคตเจ้าประกาศไว้ มีประมาณมากกว่า
โดยแท้
สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้ว ทรงจำไว้ได้ มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้ว ทรงจำไว้ไม่ได้
มีประมาณมากมาก โดยแท้
สัตว์ที่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรม
ที่ตนทรงจำไว้ได้ดี มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรม
สมควรแก่ธรรม มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่รู้ทั่วถึงอรรถ
ไม่รู้ทั่วถึงธรรม ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรมนั้น
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่สลดใจ ในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่สลดใจ ในฐานะเป็นที่ตั้ง
แห่งความสลดใจ มีประมาณมากกว่า โดยแท้
สัตว์ที่สลดใจ แล้วเริ่มตั้งความเพียรโดยแยบคาย
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่สลดใจแล้ว ไม่เริ่มตั้ง
ความเพียรโดยแยบคาย มีประมาณมากกว่า
โดยแท้
สัตว์ที่กระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว
ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์กระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว
ไม่ได้สมาธิ ไม่ได้เอกัคคตาจิต มีประมาณมากกว่า
โดยแท้
สัตว์ที่ได้อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่ไม่ได้อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส
มีประมาณมากกว่า โดยแท้
เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีสวนที่น่ารื่นรมย์
มีป่าที่น่ารื่นรมย์ มีภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์
มีสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ มีประมาณเพียง
เล็กน้อยเท่านั้น แต่ในชมพูทวีปนี้ มีที่ดอน
ที่ลุ่ม เป็นลำน้ำ เป็นที่ตั้งแห่งขวากตอและหนาม
เป็นที่มีภูเขาระเกะระกะ
มีประมาณมากกว่า โดยแท้ฉะนั้น
เพราะเหตุฉะนี้แล เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
ขอให้เธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกดังนี้เถิด
(ท่านผู้แต่ง
ได้กล่าวสรุปไว้ท้ายเล่มว่าท่านบรรยาย
ชักแม่น้ำทั้งห้ามาให้เห็นทุกภพภูมิ
และปฏิปทาอันจะทำให้ไปเกิดหรือจุติ
ตามภพภูมิต่างๆ นั้น เป็นการเวียนว่ายตายเกิด
อยู่ในสังสารวัฏ จะออกไปได้ก็ต้อง
ข้ามพ้นจากทุกอย่างนี้ไปสู่โลกุตตรภูมิ
ดังที่จะคัดลอกมาข้างล่างนี้ค่ะ- deedi)
ศาสนธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จ
พระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราเคารพบูชากัน
ทุกวันนี้ ย่อมทรงไว้ซึ่งความวิเศษประเสริฐสุดดี
โดยสามารถที่จะชี้ปฏิปทาทางดำเนินไป
ให้แก่ประชาสัตว์ทั้งหลายได้โดยตลอด
ปลอดโปร่ง
บัดนี้ เพื่อความโล่งใจ และเพื่อให้ท่านทั้งหลาย
จำได้ง่าย จักขอนำเอาเนื้อความทั้งหลาย
มาประมวลลงสั้นๆ ไว้ในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ
เมื่อทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนา
ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาชี้แจงปฏิปทาทั้งหลาย
ซึ่งแบ่งเป็นประเภทใหญ่ได้ ๒ ประเภท คือ
๑.
นิรยภูมิปฏิปทา
เปตติวิสยภูมิปฏิปทา
ดิรัจฉานภูมิปฏิปทา
มนุสสภูมิปฏิปทา
เทวภูมิปฏิปทา
พรหมภูมิปฏิปทา
ครั้นชี้แจงถึงภูมิต่างๆ อันปรากฏมีอยู่ภายในวัฏสงสาร
ซึ่งยากแก่การรู้เห็นแห่งคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย
เช่นนี้แล้ว สมเด็จพระชินสีห์เจ้ายังทรงชี้ปฏิปทา
ทางออกจากภูมิต่างๆ ในวัฏสงสารอีกด้วย
โดยการชี้ปฏิปทาที่ประเสริฐสุด นั่นคือ
๒.
นิพพานปฏิปทา
*********************************************
จาก "ภูมิวิลาสินี"
โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
(หน้า ๑๑๑)
(หน้า ๑๕๔)
(หน้า ๑๘๕)
(หน้า ๒๔๓)
(อังคุตรนิกาย เอกนิบาต ข้อ ๒๐๕ หน้า ๔๖
บาลีฉบับสยามรัฐ)
"เราจักเป็นผู้ได้อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ให้จงได้"
ชี้แจงปฏิปทาทางดำเนินไปสู่ภูมิต่างๆ
ซึ่งปรากฏอยู่ภายในวัฏสงสาร อันได้แก่ปฏิปทา
ทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
ชี้ทางไปสู่นิรยภูมิ คือ โลกนรก ซึ่งเป็นโลกที่ปราศจาก
ความสุข มีแต่ความทุกข์ทรมารอย่างแสนสาหัส
โดยส่วนเดียว
ชี้ทางไปสู่เปตติวิสัยภูมิ คือโลกเปรตอสุรกาย
ซึ่งเป็นโลกที่ห่างไกลจากสุข มีแต่ความทุกข์ทรมาณ
เพราะความอดอยากหิวกระหายเป็นส่วนมาก
ชี้ทางไปสู่ดิรัจฉานภูมิ คือ โลกสัตว์เดียรัจฉาน
ซึ่งเป็นโลกของสัตว์ผู้อาภัพอับวาสนา
โดยไม่สามารถที่จะรับรสพระสัทธรรมเทศนาได้
เพราะเป็นโลกของสัตว์ที่มีสันดานขวางจาก
พระอมตธรรม กล่าวคือ มรรค ผล นิพพาน
ชี้ทางมาสู่มนุสสภูมิ คือ โลกมนุษย์ ซึ่งเป็นโลกที่
ค่อนข้างจะสุขสบายและประเสริฐกว่าบรรดา
โลกอบาย โลกที่สัตว์ผู้มาอุบัติเกิดเป็นคนใน
ในมนุษยโลกนี้ ซึ่งมีสันดานดีและมีอุจจมนัส
คือเป็นสัตว์ที่มีใจสูง สามารถที่จะรับรส
พระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า และอาจถือเอาอมตธรรม คือ
มรรค ผล นิพพาน มาเป็นสมบัติของตนได้
เป็นส่วนมาก
ชี้ทางไปสู่เทวภูมิ คือสวรรคเทวโลก ซึ่งเป็นโลก
ที่ปราศจากความทุกข์ มีแต่ความสุขชื่นบาน
เริงสราญโดยส่วนเดียว ทั้งนี้ ก็เพราะสวรรคเทวโลก
นี้เป็นแดนสุขาวดี มีความสุขด้วยกามคุณารมณ์
อย่างมากมาย เต็มไปด้วยทิพยสมบัติหลายอย่าง
สุดจะพรรณนา
ชี้ทางไปสู่พรหมภูมิ คือเบื้องบนพรหมโลก
ซึ่งเป็นโลกที่เต็มไปด้วยปณีตสุข มีแต่ความสุขชั้นสูง
เป็นสุขอันละเอียดประณีตยิ่งกว่าความสุขด้วย
กามคุณารมณ์ของเหล่าเทพยดาในเทวภูมิ
ชี้แจงทางปฏิปทาไปสู่ โลกุตตรภูมิ = ภูมิที่พ้นจากโลก
ภูมิที่หลุดออกไปจากโลกต่างๆ ซึ่งได้นำเอามาตั้งชื่อไว้
ในที่นี้เพื่อให้เข้าใจง่ายว่า
ชี้ทางไปสู่แดนพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนปราศจาก
กองทุกข์ทั้งมวล และเป็นแดนที่ปราศจากความสุข
อันเป็นโลกิยสุข ทั้งเป็นถิ่นที่มีแต่อมตสุข
แสนประเสริฐวิเศษสุดยอดชั่วนิรันดร์