รูปที่ 1
ไดอะแกรมท่อน้ำ
ก่อนลงมือปรับสมดุล
-
1. ศึกษาแบบ ดูตำแหน่งท่อน้ำ
เฮดเดอร์, ท่อยืน, ท่อแยก
และที่เครื่องส่งลมเย็น
ตรวจดูอัตราการไหลออกแบบของวาล์วปรับสมดุลทุกตัว
2.
เปิดวาล์วทุกตัวซึ่งปรกติต้องเปิด(Normally
Open)
รวมถึงวาล์วควบคุมทุกตัวให้สุด
ตั้งรอบของวาล์วปรับสมดุลตามที่คำนวณได้หากไม่มีให้เปิดสุด
3.
ถ้ามีวาล์วควบคุม 3 ทาง
ควรตั้งวาล์วบนท่อบายพาสให้มีความดันลดเท่าเครื่องส่งลมเย็น
4.
เตรียมเครื่องมือวัดอัตราไหล
หรือมาโนมิเตอร์อย่างน้อย 1 ชุด
แต่ถ้ามี 2 ชุดก็จะเป็นการดี
ถ้าเป็นระบบขนาดใหญ่การปรับสมดุลต้องทำเป็นทีมโดยใช้วิทยุมือถือสื่อสารกัน
ควรมีวิทยุมือถืออย่างน้อย 2
เครื่อง
ควรเริ่มที่ไหน
-
ตรวจอัตราการไหลของน้ำทุกๆท่อยืน
และคำนวณหา อัตราส่วนระหว่าง
อัตราไหลจริง(จากการวัด) กับ
อัตราไหลที่กำหนด (ที่ต้องการ)
ตัวอย่างอัตราไหลจริง 30 L/s,
อัตราไหลที่กำหนด 20 L/s
จะได้อัตราส่วนเท่ากับ 30/20 = 1.5
เริ่มต้น
ปรับสมดุลจากท่อยืนที่มีอัตราส่วนมากที่สุดแล้วปรับที่ท่อยืนที่มีอัตราส่วนรองลงมา
และใช้หลักเกณฑ์นี้กับการพิจารณาท่อแยกด้วย
ปรับสมดุลเครื่องส่งลมเย็นในแต่ละท่อแยก
-
1.
วัดอัตราไหลของแต่ละเครื่องในท่อแยก
แล้วคำนวณหา
อัตราส่วนระหว่างอัตราไหลจริง
กับ อัตราไหลที่กำหนด
2.
ปรับที่เครื่องปลายสุด
(เครื่องหมายเลข 1) ของท่อแยก
ให้มีอัตราส่วนเท่ากับเครื่องที่มีอัตราส่วนต่ำที่สุด
แล้วใช้เครื่องปลายสุดนี้เป็นเครื่องอ้างอิงสำหรับท่อแยกนี้
ถ้ามีเครื่องวัดอัตราไหลหรือมาโนมิเตอร์
2 ชุด
ขอแนะนำให้ติดไว้ที่เครื่องอ้างอิงนี้
1 ชุด
3.
ปรับเครื่องที่อยู่ถัดเข้ามา
(เครื่องหมายเลข 2)
ให้มีอัตราส่วนเท่ากับเครื่องอ้างอิง
อัตราไหลที่เครื่องอ้างอิงจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยให้ปรับจนกระทั่งเครื่องทั้งสองมีอัตราส่วนเท่ากัน
4.
ปรับเครื่องถัดเข้ามา
(เครื่องหมายเลข 3, 4, 5)
ในลักษณะเดียวกัน
โดยใช้เครื่องหมายเลข 1
เป็นเครื่องอ้างอิง
อย่าปรับวาล์วปรับสมดุลที่เครื่องหมายเลข
1 และเครื่องที่ผ่านการปรับแล้ว
5.
ปรับสมดุลทุกๆท่อแยกในท่อยืนนี้ในลักษณะเดียวกัน
โดยยังไม่ต้องปรับวาล์วปรับสมดุลของท่อแยกในขณะนี้
ปรับสมดุลท่อแยก
-
6. ขั้นต่อไป
ปรับสมดุลท่อแยกโดยใช้วิธีการเดียวกัน
หาท่อแยกที่มีอัตราส่วนน้อยที่สุด
เริ่มปรับท่อแยกที่อยู่ไกลที่สุด
(ท่อแยกที่
1)ให้มีอัตราส่วนเท่ากับท่อแยกที่มีอัตราส่วนต่ำที่สุด
ปรับทุกท่อแยกตามลำดับจากท่อแยกที่
1, 2, 3, 4
โดยใช้ท่อแยกที่หนึ่งเป็นตัวอ้างอิงขณะนี้ท่อยืนได้รับการปรับสมดุลภายในให้มีอัตราส่วนเท่ากันหมดแล้วทุกท่อแยกและทุกเครื่อง
7.
ทำซ้ำตามขั้นตอนที่ 1 ถึง 6
สำหรับทุกท่อยืน
(ทำท่อยืนที่มีอัตราส่วนมากก่อน)
ปรับสมดุลท่อยืน
-
8.
ปรับสมดุลท่อยืนบนเฮดเดอร์โดยใช้วิธีการเดียวกัน
หาท่อยืนที่มีอัตราส่วนน้อยที่สุด
เริ่มปรับท่อยืนที่อยู่ไกลที่สุดให้มีอัตราส่วนเท่ากับท่อยืนที่มีอัตราส่วนต่ำที่สุด
ปรับทุกท่อยืน
โดยใช้ท่อยืนที่ไกลที่สุดเป็นตัวอ้างอิง
9.
ขณะนี้ระบบทั้งหมดได้รับการปรับสมดุลให้มีอัตราส่วนเท่ากันหมด
ซึ่งสามารถทดสอบโดยการสุ่มดูได้
ปรับอัตราไหลรวม
-
10.
ทำโดยการปรับอัตราการไหลที่เครื่องสูบน้ำเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้อง
ขณะนี้อัตราการไหลได้รับการปรับให้ถูกต้องในทุกส่วนของระบบ
ถ้าในการปรับครั้งสุดท้ายยังมีความผิดพลาดมากกว่า
30%ควรจะมีการตรวจสอบการปรับสมดุลอีกครั้งท้ายที่สุด
ก็ควรล๊อควาล์วปรับสมดุลทุกตัวและบันทึกจำนวนรอบของวาล์วไว้เพื่อประโยชน์ในอนาคต
ประเด็นที่เข้าใจผิด
- เมื่อหยุดเครื่องสูบน้ำหนึ่งชุดจากที่มีสองชุด
จะมีอัตราไหลครึ่งหนึ่งของการเปิดเครื่องสูบน้ำสองชุด
ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิดที่พบมากแต่ความจริงเมื่อเปิดเครื่องสูบน้ำชุดเดียวจะมีอัตราไหลประมาณ
70 ถึง
80%ของอัตราไหลเมื่อเปิดสองชุดซึ่งสามารถอธิบายได้โดยการเขียนเส้นสมรรถนะและเส้นระบบขึ้นมาซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อเครื่องสูบน้ำทำงานสองเครื่องจุดทำงานจะอยู่ที่จุดที่1โดยในขณะนั้นเครื่องสูบน้ำแต่ละเครื่องจะมีจุดทำงานอยู่ที่จุด1.1ซึ่งมีอัตราการไหลเป็นครึ่งหนึ่งของอัตราไหลรวมเมื่อเครื่องสูบน้ำทำงานเครื่องเดียวจุดทำงานจะย้ายจุดที่1ไปยังจุดที่2ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราไหลมากกว่าจุดที่1.1
และโดยทั่วไปแล้วจะประมาณ 70 ถึง
80%ของอัตราไหลเมื่อเครื่องสูบน้ำทำงานสองเครื่องทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นสมรรถนะของเครื่องสูบน้ำแต่ละรุ่น

รูปที่ 2
เส้นสมรรถนะและเส้นระบบ
- เครื่องส่งลมเย็นที่อยู่ไกลที่สุดจะมีอัตราไหลน้อยที่สุดเสมอ
จริงอยู่ที่เครื่องที่อยู่ไกลที่สุดจะมีแนวโน้มที่จะมีอัตราไหลน้อยที่สุดแต่ไม่เป็นความจริงเสมอไป
ความจริงแล้วเครื่องที่มีอัตราไหลน้อยที่สุดคือเครื่องที่มีความเสียดทานมากที่สุดเมื่อมองจากเครื่องสูบน้ำ
ถ้าระบบท่อเป็นแบบกลับตรง (DirectReturn)
และเครื่องส่งลมเย็นทุกเครื่องมีความเสียดทานเท่ากัน
เครื่องที่อยู่ไกลที่สุดจะมีอัตราไหลน้อยที่สุดแต่ถ้าหากเครื่องส่งลมเย็นที่อยู่ใกล้กว่ามีความเสียดทานมากกว่าหรือมีท่อแยกที่มีความเสียดทานมากกว่าท่อประธานเครื่องส่งลมเย็นนี้อาจเป็นเครื่องที่มีอัตราไหลน้อยที่สุดได้แม้ว่าจะอยู่ใกล้เครื่องสูบน้ำกว่าก็ตามถ้าหากระบบท่อเป็นแบบกลับย้อน(ReverseReturn)ระยะทางใกล้ไกลจากเครื่องสูบน้ำจะไม่มีความสำคัญดังนั้นเครื่องส่งลมเย็นใดที่มีความเสียดทานมากที่สุดก็จะมีอัตราไหลน้อยที่สุดแม้ว่าจะเป็นเครื่องแรกติดกับเครื่องสูบน้ำก็ตาม
- เมื่อส่งน้ำตามท่อไปเป็นระยะทางไกลๆ
อัตราไหลที่ปลายทางจะน้อยกว่าที่ต้นทาง
ข้อนี้เป็นความสับสนระหว่างอัตราการไหลกับความดันเมื่อส่งน้ำตามท่อเป็นระยะทางไกลๆที่ปลายทางย่อมจะมีความดันต่ำกว่าต้นทางเนื่องจากสูญเสียความดันจากความเสียดทานในท่อ(เมื่อไม่คิดความดันสถิตย์)แต่อัตราไหลจะไม่เปลี่ยนแปลงเว้นแต่ท่อจะรั่วหรือมีท่อแยกระหว่างทางเท่านั้น
- เมื่อมีอัตราการไหลผ่านเครื่องส่งลมเย็นมากขึ้น
จะสามารถทำความเย็นได้มากขึ้นเป็นอัตราส่วนเดียวกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างความเย็นที่ได้รับจากคอยล์กับอัตราไหลจะเป็นไปตามรูปที่
2
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่ออัตราไหลเกินกว่า
100% กราฟจะค่อนข้างราบ
(ดูตามแนวโน้ม)
ความเย็นจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ดังนั้นการปล่อยให้มีอัตราไหลเกินจึงเป็นการสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์

รูปที่ 3
ความสัมพันธ์ระหว่างความเย็นที่ได้รับจากคอยล์กับอัตราไหล
- เมื่อลดความเร็วรอบของเครื่องสูบน้ำลงเครื่องสูบน้ำจะกินไฟตามสมการP2=P1(N2/N1)3
เสมอ
กฎของเครื่องสูบน้ำจะนำมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อเส้นระบบ(System
Curve)เป็นเส้นเดิมเท่านั้น
ดังนั้นในกรณีที่เส้นระบบมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อวาล์วควบคุมหรี่จะไม่สามารถใช้สมการนี้ได้การหาอัตราการใช้ไฟที่แม่นยำสามารถหาได้โดยการเขียนความสัมพันธ์ระหว่างเส้นสมถรรถนะและเส้นระบบเพื่อหาจุดทำงาน(จุดตัด)
แล้วอ่านค่าการกินไฟซึ่งผู้ผลิตแสดงไว้
ปัญหาที่พบ
- ความแม่นยำของเครื่องมือวัดอัตราการไหลโดยปรกติการปรับสมดุลระบบน้ำของระบบปรับอากาศจะวัดอัตราการไหลที่วาล์วปรับสมดุลซึ่งอาศัยหลักการวัดความดันแตกต่างคร่อมช่องเปิดที่ทราบค่าCvโดยใช้เครื่องมือของผู้ผลิตวาล์วปรับสมดุลซึ่งได้บรรจุค่าCvของวาล์วทุกขนาดและทุกรอบการหมุนของวาล์วไว้ในตัวเครื่องเรียบร้อยแล้วรอบวัดอัตราการไหลทำได้โดยต่อท่อวัดความดันคร่อมวาล์วปรับสมดุลกรอกรุ่นและขนาดของวาล์วและกรอกจำนวนรอบของวาล์วซึ่งอ่านได้จากIndicatorบนตัววาล์วเมื่อกรอกข้อมูลครบเครื่องวัดอัตราการไหลก็จะแสดงค่าอัตราไหลได้ทันทีหากไม่มีเครื่องมือวัดดังกล่าวสามารถใช้มาโนมิเตอร์วัดความดันคร่อมวาล์วปรับสมดุลดูรุ่นและขนาดของวาล์ว
และจำนวนรอบของวาล์วแล้วไปอ่านค่าอัตราการไหลจากชาร์ตที่ผลิตวาล์วปรับสมดุลได้จัดเตรียมไว้ความแม่นยำของการอ่านค่าอัตราการไหลขึ้นอยู่กับความแม่นยำของการอ่านค่าความดันคร่อมวาล์วดังนั้นจึงควรสอบเทียบเครื่องมือวัดเสียก่อนลงมือปรับสมดุลระบบและควรเลือกช่วงการวัด(Range)ให้เหมาะสมมิฉะนั้นค่าความคลาดเคลื่อนจะมีสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับค่าที่กำลังวัด
- วาล์วปรับสมดุลมีขนาดใหญ่เกิน
วาล์วปรับสมดุลมีหน้าที่เพิ่มความดันลดให้เครื่องส่งลมเย็นซึ่งมีอัตราไหลเกิน
เพื่อให้มีอัตราไหลตรงตามที่ออกแบบการเพิ่มความดันลดทำโดยการหรี่วาล์วลงถ้าหากวาล์วมีขนาดใหญ่เกินไปจะต้องหรี่วาล์วมากจนเกือบปิดเพื่อสร้างความดันลดและเมื่อเปิดขึ้นมาเพียงเล็กน้อยอัตราไหลก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่เพิ่มขึ้นอีกแม้ว่าจะเปิดวาล์วเพิ่มขึ้นจากประสบการณ์พบว่าการเลือกขนาดวาล์วปรับสมดุลเท่ากับขนาดท่อวาล์วที่ได้จะมีขนาดใหญ่เกินไปวาล์วนี้จะสามารถใช้งานระยะเปิดสุดถึงปิดสุด(Strock)ได้เพียงประมาณ30เปอร์เซ็นต์เท่านั้นซึ่งหมายความว่าเมื่อหรี่วาล์วจาก100เปอร์เซ็นต์ลงมาถึง30เปอร์เซ็นต์อัตราไหลจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราไหลจะเริ่มลดลงเมื่อหรี่วาล์วลงต่ำกว่า30เปอร์เซ็นต์ดังนั้นความแม่นยำในการอ่านรอบวาล์วก็จะลดลงซึ่งส่งผลให้ผลการวัดอัตราไหลมีความแม่นยำลดต่ำลงนอกจากนี้ในขณะที่หรี่วาล์วน้ำจะไหลผ่านบ่าวาล์วด้วยความเร็วสูง
ซึ่งจะเกิดเสียงดังและสึกหรอเร็ว
การเลือกขนาดวาล์วปรับสมดุลที่เหมาะสมคือ
ต้องคำนวนว่าความดันลดที่ต้องการเป็นเท่าใดที่อัตราการไหลเท่าใด
(อัตราไหลออกแบบ)
แล้วนำไปคำนวนหาค่า Cv
แล้วเลือกขนาดวาล์วที่มี่ค่าCv
ของช่วงรอบกลางๆ เช่น 4 ถึง 6
รอบจากทั้งหมด 8 รอบ ตรงกับค่า Cv
ที่คำนวณได้โดยทั่วๆไปแล้ววาล์วปรับสมดุลที่เลือกโดยวิธีนี้จะมีขนาดเล็กกว่าขนาดท่อประมาณ
1 ถึง 2 ขนาด
- การควบคุมสภาวะของระบบขณะทำการปรับสมดุลจากวัตถุประสงค์ของการปรับสมดุลที่ต้องการให้แน่ใจได้ว่าระบบจะมีอัตราไหลตามต้องการภายใต้สภาวะออกแบบดังนั้นขณะทำการปรับสมดุลระบบจะต้องปรับทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามสภาวะออกแบบซึ่งได้แก่การเปิดเครื่องสูบน้ำให้ครบแต่ไม่ต้องเปิดเครื่องสำรองการเปิดวาล์วควบคุมของอุปกรณ์ปลายทาง(เช่นเครื่องส่งลมเย็น,หอระบายความร้อนเป็นต้น)ทุกเครื่องให้สุดเปิดวาล์วทุกตัวซึ่งปรกติต้องเปิด(NormallyOpen)และปิดวาล์วทุกตัวซึ่งปรกติต้องปิด(NormallyClosed)ในกรณีที่ระบบเปิดใช้งานแล้วการขอให้ฝ่ายช่างของอาคารเปิดอุปกรณ์ต่างๆให้ครบตามที่กล่าวมาแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากแต่อย่างไรก็ตามถ้าหากทีมปรับสมดุลทำการปรับสมดุลทั้งๆที่ระบบยังไม่อยู่ในสภาวะออกแบบเช่นเปิดเครื่องสูบน้ำไม่ครบก็จะไม่สามารถปรับอัตราไหลให้ได้ตามที่ออกแบบหรือหากไม่เปิดเครื่องส่งลมเย็นให้ครบก็จะดูเหมือนว่ามีอัตราไหลเกินที่เครื่องส่งลมเย็นที่เปิดอยู่หากไปปรับลดอัตราไหลลงเมื่อเปิดเครื่องส่งลมเย็นครบอัตราไหลก็จะน้อยกว่าที่ออกแบบนอกจากนี้การปรับสมดุลสำหรับระบบขนาดใหญ่จะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะแล้วเสร็จหากแต่ละวันเปิดระบบไม่เหมือนกันก็จะไม่สามารถปรับสมดุลระบบให้สำเร็จได้เลยเพราะเมื่อย้อนกลับไปวัดในจุดที่ปรับสมดุลแล้วก็จะไม่ได้ค่าเดิม
- ติดตั้งวาล์วปรับสมดุลในตำแหน่งที่อ่านค่าจำนวนรอบได้ยาก
เนื่องจากการวัดอัตราไหลจะต้องทราบจำนวนรอบการหมุนของวาล์วถ้าหากอ่านจำนวนรอบผิด
ค่าอัตราไหลที่อ่านได้ก็ผิดไปด้วยเมื่อไปพบวาล์วที่ติดตั้งโดยไม่สามารถอ่านค่าจำนวนรอบได้เช่นหันด้านตัวชี้บอกรอบ(Indicator)เข้าหาผนังจะต้องใช้วิธีขีดนับรอบโดยเครื่องหมายบนพวงมาลัยวาล์วแล้วทำการหมุนปิดลงไปจนสุดการหรี่วาล์วหรือเปิดวาล์วเพิ่มก็ต้องใช้วิธีนับรอบเช่นกันซึ่งจะเห็นได้ว่าทำให้ความแม่นยำในการอ่านค่าจำนวนรอบของวาล์วลดลง
เอกสารอ้างอิง
Robert Petitjean. 1994. Total Hydronic Balancing, Tour
& Andersson AB
[home] [top]