ป่าไม้ในประเทศไทย
1.ป่าไม่ผลัดใบ(Evergreen forest)
ป่าไม้ผลัดใบมีอยู่ประมาณร้อยละ 30 ของพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
ป่าดงดิบ
ป่าสนเขา
ป่าชายเลนหรือป่าโกงกาง
ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด
ป่าชายหาด
1.1 ป่าดงดิบ(Tropical evergreen forest or rain forest)
เป็นป่าที่เขียวอยู่ตลอดทั้งปี ใบจะร่วงไม่พร้อมกัน และใบใหม่จะออกทดแทน จึงทำให้ป่าชนิดนี้ดูเขียวตลอดเวลา ป่าดงดิบมีอยู่ทั่วไป และจะมีมากทางภาคใต้ และภาคตะวันออกของประเทศ เช่น ระยอง จันทบุรี ตราด ป่าดงดิบจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างชื้นและฝนตกชุก ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมอย่างมาก สามารถแยกประเภทอีกได้ คือ
1.1.1 ป่าดิบชื้น(Tropical rain forest of evergreen)
เป็นป่ารกทึบเกิดขึ้นหนาแน่นมองดูแล้วเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี มีมากในภาคใต้ และภาคตะวันออก กระจัดกระจาย ตามความสูงตั้งแต่ 400-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล พันธุ์ไม้ประเภทนี้จะลำต้นตรงสูงแย่งกันรับแสงอาทิตย์ ไม่ค่อยมีกิ่งก้านเท่าใรนัก เช่น ไม้ยาง ไม้ตะเคียน กะบาก อบเชย จำปาป่า ส่วนที่เป็นพืชชั้นล่างจะเป็นพวกปาล์ม ไผ่ ระกำ หวาย บุกขอน เฟิร์น มอส กล้วยไม้ป่าและ เถาวัลย์ชนิดต่างๆ
1.1.2 ป่าดิบแล้ง(Dry forest or semi-evergreen forest)
กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ จะมีมากตามภาคกลาง และในพื้นที่ค่อนข้างราบ และจะอยู่สูงไม่เกิน 100-500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ป่าดิบแล้งที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุดคือป่าภูหลวง-วังน้ำเขียว ที่ ต.สะแกราช อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ซึ่งเดิมเป็นรอยต่อของเทือกเขาคงพญาเย็นป่าดงดิบที่มีชื่อเสียง
1.1.3 ป่าดิบเขาหรือป่าตีนเขา(Hill evergreen forest)
เป็นป่าที่ทรงคุณค่ายิ่งของมวลมนุษย์เพราะเป็นต้นน้ำลำธาร และเป็นป่าที่เป็นแหล่งซับน้ำที่สำคัญของประเทศ เป็นป่าที่มีทิวทัศน์สวยงาม จะอยู่ตามเขาสูงตั้งแต่ 100 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเป็นป่าโปร่งกว่าป่าดิบชื้นมีต้นไม้ใหญ่น้อยกว่า อากาศเย็นเพราะอยู่บนความสูง ตั้งแต่ 100 เมตรขึ้นไป มีมอสส์และเฟิร์นขึ้นปกคลุมจนดูคล้ายเป็นต้นไม้ใส่เสื้อ
1.2 ป่าสนเขา(Pine forest or coniferous forest)
จะเกิดขึ้นตามภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป จะพบได้ที้อุทยานแห่งชาติพุเตยในเขตภาคกลาง ที่จังหวัดสุพรรณบุรี นอกเหนือจากนี้ยังพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเกิดขึ้นในสภาพพื้นดิน ที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก มีความเป็นกรดสูง
1.3 ป่าชายเลนหรือป่าโกงกาง(Mangrove forest)
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ป่าเลนน้ำเค็มหรือป่าเลน พบมากตามชายเลนที่อยู่ติดกับทะเล หรือปากแม่น้ำใหญ่ๆที่น้ำทะเลท่วมถึง ป่าประเภทนี้จะเกิดขึ้นหนาแน่นมาก จะพบทางฝั่งอ่าวไทย ทางฝั่งตะวันออก และภาคกลางที่สมุทรสาคร พันธุ์ไม้ได้แก่ ไม้โกงกาง ไม้ประสัก ถั่งขาว โปร่ง พร้า ตาตุ่ม แสมทะเล ลำพูน ลำแพน หลุมพอ ฯลฯ
1.4 ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด(Swamp forest of marshland)
พบตามบริเวณที่ราบลุ่มต่ำตอนใน ที่มีน้ำจืดท่วมขังอยู่นาน พื้นผิวดินเป็นโคลนและหล่มลึก ป่าพรุในภาคกลางเป็น ลักษณะป่าโปร่ง พันธ์ไม้ที่สำคัญมีขนาดเล็กได้แก่ คร่อเทียน สมุ่นจิก โมกข้าน หมายน้ำอ้อ ระกำ ส่วยพรุในภาคใต้ จะขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดทั้งปีมีซากพืชผุสลายที่ทับถมกันเป็นเวลานาน ป่าพรุทางใต้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ตามบริเวณที่เป็นป่าพรุน้ำกร่อย ใกล้ชายฝั่งทะเล มีต้นเสม็ดขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเรียกว่าป่าพรุเสม็ด อีกลักษณะหนึ่งเป็นป่าที่มีพันธ์ไม้ต่างๆขึ้นปะปนกันได้แก่ อินทนิลน้ำ กระทุ่มน้ำ กระทังหัน ฯลฯ ส่วนพื้นล่าง ประกอบด้วย หวาย ตระกร้าทอง หมากแดง
1.5 ป่าชายหาด(Beach forest)
เป็นป่าโปร่งที่ขึ้นอยู่ตามชายหาดที่มีน้ำท่วมถึง มีไม้จำพวกกระบองเพชร มะค่าแต้ เสมา
2.ป่าผลัดใบ (Deciduous forest)
จะอยู่ทางแถบที่ค่อนข้างแห้งแล้งของประเทศ พืชชนิดนี้จะทิ้งใบในฤดูแล้งพร้อมกันหมด และจะผลิใบออกมาใหม่เมื่อมีปริมาณน้ำในอากาศมากพอ ป่าผลัดใบแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
ป่าเบญจพรรณ
ป่าเต็งรัง
ป่าหญ้าหรือป่าทุ่ง
ป่าละเมาะ
2.1 ป่าเบญจพรรณ (Mixed deciduous forest)
บางทีเรียกว่าป่าผลัดใบผสม จะมีต้นไม้หลายชนิดเกิดขึ้นปะปนกันเป็นจำนวนมาก สภาพป่าส่วนใหญ่ค่อนข้างแห้งแล้ง และจะชุ่มชื้นในฤดูฝน มีอยู่ทั่วไปตามเขาและที่ราบต่ำในทางภาคเหนือ พันธ์ไม้เหล่านี้ที่สำคัญได้แก่ ไม้สัก ประดู่ มะค่าโมง ไม้แดง ฯลฯ
2.2 ป่าเต็งรัง (Dry dipter carp forest)
หรือที่เรียกกันว่าป่าเบญจพรรณแล้ง ทางเหนือเรียกว่าป่าแพะ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่าป่าโคก ป่าชนิดนี้ค่อนข้างโล่งคล้ายป่าทุ่งหญ้า พันธ์ไม้สำคัญ ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง รกฟัง หญ้าเพ็ก ฯลฯ
2.3 ป่าหญ้าหรือป่าทุ่ง (Savannah of wooded savannah of grassland)
เป็นป่าที่เกิดขึ้นจากการเผาและทำลายป่าบริเวณที่ขาดความสมบูรณ์หรือไร่เลื่อนลอย ลักษณะดินเป็นดินปนทราย หรือดินลูกรัง มีปริมาณน้ำฝนน้อย อย่างเช่น ทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดสกลนคร ส่วนใหญ่จะเป็นป่าหญ้าคา หญ้าขนตาช้าง หญ้าโขมง
2.4 ป่าละเมาะ (scrub areds)
เป็นป่าเตี้ยๆอยู่ข้างหมู่บ้าน ประกอบไปด้วยไม้พุ่มเล็กๆกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มีพวกสาบเสือ และหญ้าคาเป็นส่วนใหญ่