love popeye - 03/04/2001
ประสบการณ์เที่ยวเมืองตรัง
ดิฉันและเพื่อนๆ รวม 11 ชีวิตได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ จ.ตรัง ช่วงวันที่ 16-25 มี.ค. ที่แรกไป ถ้ำเลเขากอบ ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงามมากมาย การเที่ยวชมภายในถ้ำต้องมีเจ้าหน้าที่พายเรือพาไป บางช่วงต้องนอนราบไปกับเรือ ประทับใจมากค่ะ ทั้งความงามของธรรมชาติ รวมทั้งการนำเที่ยวของเจ้าหน้าที่ ที่คอยแนะนำไม่ให้นักท่องเที่ยวทำลายธรรมชาติ (ไม่ให้จับต้องหินงอกหินย้อยที่ยังไม่ตาย) แล้วยังบอกเล่าเรื่องราวและอธิบายรูปทรงของหินที่จินตนาการเป็นรูปต่างๆ
ไปหาดหยงหลิน หาดเจ้าไหม เกาะกระรอกที่นี่น้ำทะเลใสมากค่ะ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็ใจดี แบ่งข้าวให้เราทานด้วย(ที่นี้ไม่มีร้านขายอาหารค่ะ) ปะการังบริเวณเกาะเชือก เกาะม้าสวยมาก ปลาก็เยอะมากเลย เหมือนเราว่ายน้ำอยู่ในตู้ปลา และได้ไปดำน้ำบริเวณเกาะมุก และเกาะแหวนด้วยที่นี้มีกัลปังหากอใหญ่ให้เราชม แต่บริเวณนี้ไม่มีทุนผูกเรือ คนเรือทิ้งสมอกันหน้าตาเฉยเลย พวกเรารู้สึกเสียใจที่เป็นส่วนที่ทำให้ธรรมชาติถูกทำลาย ตั้งใจจะซื้อปูสดๆ แต่เจอชาวเลใจดีให้มาทานฟรีค่ะ ถึงมันจะไม่มากมายอะไรแต่ก็ซึ้งในน้ำใจนะคะ
เรามาหยุดพักนอนเล่นที่ชายหาดของเกาะกระดาน 2 คืน ที่นี่มีทั้งอุทยานฯ และรีสอร์ทเอกชน เรากางเต็นท์ในเขตของอุทยานฯ และหวังจะฝากท้องที่ร้านสวัสดิ์การ แม่ครัวอ้างว่าช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวมากไม่สามารถทำอาหารตามสั่งได้ หากคิดจะฝากท้องที่นี่ให้จ่ายหัวละ 75 บาท มีกับข้าว 4 อย่าง แต่วันนั้นเรามีของสดมาย่างทานกันเองด้วย จึงขอลดอาหารเหลือ 2 อย่าง แม่ครัวแสดงสีหน้าไม่พอใจ มื้อนี้เราจ่ายค่าอาหารไป 400 บาท ได้แกงมะเขือ+ไก่ กับผัดผัก อย่างละ 2 ถ้วย และข้าวเปล่าอีก1หม้อ มื้อต่อไปแม่ครัวไม่ทำให้ แล้วให้เราไปหาทานที่รีสอร์ทเอง (ภายหลังทราบว่าร้านสวัสดิ์การนี้ เป็นของหัวหน้าอุทยานฯ ค่ะ )
แต่ที่นี่ก็มีสิ่งที่น่าประทับใจ เราได้พบกับนักท่องเที่ยวตัวจริง 3 คน คนแรกเป็นสถาปนิก มากับกรุ๊ปทัวร์ของหนังสือ Camping เราพบพี่เค้ากำลังใช้สีน้ำวาดรูปพระอาทิตย์ตก คนที่ 2 ท่านรับราชการ อายุประมาณ 40 กว่าๆ เห็นจะได้ ท่านเที่ยวคนเดียว ใช้วิธีเขียนบันทึก และสเกตภาพแก้เหงา คนที่ 3 เป็นนักท่องเที่ยวรุ่นจิ๋ว เรียนอยู่ที่ ม.ราชมงคล วิทยาเขตคลอง 6 ชั้นปีที่2 คนนี้มาคนเดียวเหมือนกัน บอกกับเราว่าอยากมาสัมผัสกับธรรมชาติ และอยากรู้ว่าของจริงจะเหมือนกับที่ ท.ท.ท. โฆษณาไว้ไหม เพื่อนๆ ไม่ยอมมาด้วยเพราะกลัวลำบาก และชอบเที่ยวห้างฯ มากกว่า
พอขึ้นฝั่งก็ไปติดต่อพายเรือแคนนูของ บริษัทตรังวารี สถานที่ติดต่อเป็นร้านขายกาแฟ บริเวณหาดยาว(ท้ายหาดเจ้าไหม) ข้อมูลตามแผ่นพับของบริษัทที่เรามีคือ ต้องจ่าย 750 บาทต่อเรือ 1 ลำ(ราคานี้รถรับส่งจากตัวเมืองมายังท่าเรือ พร้อมอาหารกลางวัน) แต่เราต้องจ่ายในราคา 700 บาทต่อลำ โดยที่ไม่ได้ใช้บริการรถรับส่งของบริษัท และต้องเตรียมอาหารกลางวันไปเอง ตกลงกับคนเรือว่าใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 ชม.ครึ่ง คนเรือพาเราไปขึ้นเรือหางยาวแล้วปล่อยให้พายแคนูได้ช่วงใกล้ถึงปากถ้ำ ใช้เวลาในการเที่ยวชมถ้ำ 2 ถ้ำรวมทั้งเวลาในการทานข้าวกลางวันแบบแทบจะไม่ได้เคี้ยว(เพราะคนเรือเร่งทำเวลามาเลย)แล้วประมาณชั่วโมงกว่าๆ เอง ซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่ากับเงิน 2,100 บาท ที่ต้องจ่ายเลย (เช่า 3 ลำ)
วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว เราเช่ารถสามล้อ 2 คัน ในราคา 250 บาทต่อคัน ตระเวนเที่ยวในตัวเมืองพร้อมซื้อของฝาก ตอนเที่ยงเราไปเดินตากแอร์ที่ ห้างฯ ตรังพลาซ่า คนขับรถสามล้อขอไปทำธุระ และตกลงกันว่าจะมารับตอน 12.30 น.ถึงเวลานัดพวกเราไม่เห็นรถที่เราเช่าไว้ทั้ง 2 คัน แต่กลับมีลุงคนหนึ่งมาอ้างว่ารถคันหนึ่งที่เราเช่าไว้วานให้ลุงแกมารับแทน เราไม่มีทางเลือก ต้องรีบขึ้น เพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลาต้องcheck out ที่ ร.ร. พอกลับไปถึงหน้า ร.ร. รถสามล้อคันเดียวกับที่เราเช่าไว้ก็กลับมา แล้วพาไปส่งที่ บ.ข.ส. เค้าขอเงินเพิ่มอีก 50 บาท อ้างว่าต้องเอาไปให้คนที่มารับเราตอนเที่ยงแทนแก เราไม่ยอม ให้แกไปแค่ 250 บาทตามที่ตกลงกันแต่แรก แกไม่พอใจ แล้วปาเศษ 50 บาทใส่หน้าเรา สร้างความงุนงงกับเราทุกคนเป็นอย่างมาก
นับเป็นประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา บางครั้งก็รู้สึกสลดใจกับสังคม รู้สึกว่าที่ใดเมื่อมีคำว่า ธุรกิจ เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว คำว่า น้ำใจ ก็คงจะหาเจอกันยากเต็มที
ยาวขนาดนี้จะมีคนอ่านไม่เนี่ย!
|