Image Loading...
ประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง...อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม

โดยคุณมโน(mongkol@witty.net)20 กรกฎาคม 2541


ทุ่งดอกกระเจียว

และแล้วบอลโลกก็จบลง ผลไปตามความติดของใครหรือเปล่านั้น ผมไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะผมดูเอามันส์เข้าว่า แต่คืนนั้นก็ไม่ประทับใจเท่าไหร่กับฝ่ายแพ้ แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะเสาร์นี้แล้วที่จะไปตามใจฝันอีกครั้ง ยังทุ่งดอกกระเจียว นัดล้างตาจากปีที่แล้ว ที่ไปแล้วฝนตก เล่นเอางานกร่อยเลย หากไม่มีเทศกาลแบบ 4 ปีมีครั้งละก็ ผมคงแล่นไปตั้งแต่ต้นเดือนแล้วล่ะ
หลังจากหาข้อมูลอีกรอบกันเหนียว(แม้ปีที่แล้วจะไปมาแล้วก็ตาม)ผลที่ได้ไม่ค่อยแตกต่างนัก ข้อมูลที่หาได้ค่อนข้างเหมือนเดิม รู้มาว่าเขาจัดเป็นเทศกาลดอกกระเจียวบานช่วงนี้เท่านั้น ปีที่แล้วผมพารถที่มีอายุเกือบเท่าตัวผมไป นอกจากหลังไปเกือบร้อยกิโลเพราะถนนกำลังก่อสร้างทำให้มองไม่เห็นป้าย ยังเจอทางลูกรังขึ้นเขาอีกกว่า 20 กิโล เล่นเอาสงสารพาหนะคู่ใจไปไม่น้อย ก็ได้แต่หวังว่าปีนี้ถนนคงทำเสร็จแล้วนะ
คราวนี้ตั้งใจว่าจะไปดูทุ่งกระเจียวกลางสายหมอกให้ได้ คิดเอาในใจว่าคงต้องพาสังขารตน ด้นให้ถึงก่อนแปดโมงน่าจะไหว ระยะทางเท่าที่จำได้คงตกอยู่ประมาณ 250 กว่ากิโลเมตร เวลาเดินทางควรไม่เป็น 3 ชั่วโมงมากนัก(ตีนผีเก่าครับ) ออกสักตี 3 น่าจะทัน
วันจริงกว่าจะได้ออกก็ปาไปตี 3 ครึ่ง ออกมาก็กะว่าเหยียบสักร้อย(ประหยัดน้ำมันครับ ยุค IMF)ก็น่าจะทันหมอก late นิดหน่อยหมอกคงรอน่า แต่ยังไม่ทันออกจากกรุงเทพฯเลย เจอแถวยาวเหยียดจนนึกว่ารถสิบแปดล้อนึกสนุกขวางถนนวิภาวดีเสียแล้ว เพราะตี 3 ครึ่งนะไม่ใช่หกโมงเย็น กว่าจะรู้สาเหตุว่าเป็นเพราะทีมสร้างโทลล์เวย์ก็รู้แล้วว่า ได้สวมวิญญาณตีนปีศาจอีกแล้ว
พอหลุดออกมาได้ ก็เพิ่มน้ำหนักเท้าขวาทันที ถึงสระบุรีในเวลาน้อยกว่าชั่วโมง(107 กม.นะเนี่ย) แวะเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา และหาของกินที่ปั๊ม ก็พร้อมบึ่งต่อในระยะที่เหลือ ปีที่แล้วหลงเพราะทำถนน ปีนี้กลัวจะน้อยหน้าก็เลยเอาซะอีกรอบ แค่สามแยกพุแคก็เลี้ยวเข้าซอยไปจ๊ะเอ๋ฝูงรถสิบล้อซะก่อนแล้ว ดีว่าถนนมันพังผิดปกติ เลยเอะใจวนกลับมาทันก่อนเตลิดเปิดไป เข้าทางหลวง 21 ซึ่งเป็นทางหลวงเส้นหนึ่งที่ผมประทับใจมาก ตอนขับไปเพชรบูรณ์ใน trip หนึ่ง เนื่องจากวันนั้นถนนโล่งและอากาศดีมากเพราะเป็นตอนเช้าวันธรรมดาที่รถว่างด้วย แต่วันนี้มีเพียงแสงไฟหน้ารถเท่านั้นที่เป็นเพื่อน เพราะเป็นตอนมืด และไม่ได้ท่องแผนที่มาก่อนเหมือนอย่างเคย ทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าแยกหน้าอยู่ไกลเท่าไหน เล่นเอาต้องจอดรถข้างทางอีกรอบเพื่อเช็คระยะ ก่อนโล่งใจเมื่อเจอแยก 205 ตัดกับ 21 ทางสายตา เลี้ยวขวาตามป้ายบอกว่าไป อ.ด่านขุนทด วันนี้ไม่นมัสการพ่อคุณเหมือนปีที่แล้วนะครับ กราบอภัยด้วย ปีก่อนอ้อมไปเกือบร้อยกิโล ปีนี้ลูกช้างขอชมธรรมชาติก่อน พอถึงสามแยกที่เส้น 205 ต้องเลี้ยวซ้าย ปีนี้ถนนทำเสร็จแล้ว เป็นราดยางอย่างดี ผมเจอพระอาทิตย์มายิ้มให้หลังเหลี่ยมเขา เล่นเอาต้องจอดไปชักภาพก่อนจนรถตามหลังมามองอย่างสงสัยว่าทำอะไรอยู่ จากนั้นก็ขับยาวเพลินเท้ามาจนเลยกิ่ง อ.ลำสนธิ ปีที่แล้วผมก็กลับทางนี้ จำได้อยู่ว่าทางเอาเรื่อง แต่ปีนี้ก็ไม่วายเผลอเพราะมาเร็วและไม่นึกว่า sharp curve กว่าที่คิด เล่นเอาเชนเกียร์ตบเบรกทันแบบหวุดหวิด ดีที่เอาอยู่ ไม่ยังงั้นก็ไม่ได้มาบรรเลงเพลงอักษรอย่างนี้แล้ว
มือไขว้ผสมกับบรรเลงเพลงเท้าสลับคันเร่ง-เบรก-คลัทช์กว่า 10 กิโล ก็ถึงแยกทางเข้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ผมเลี้ยวโดยไม่รอช้า แล้วก็เหยียบต่อเพื่อทำเวลาไปหาหมอก แยกสุดท้ายก่อนถึงทุ่ง ผมจำได้ว่าปีที่แล้วดินแดงรออยู่ แต่ปีนี้กลายเป็นคอนกรีตหมดแล้ว ทำเอาผมใจชื้นเรื่องเวลาไปได้เยอะ(เพราะเหยียบทำเวลาได้สบายหน่อย)แถมยังเจอหมอกเป็นละอองอยู่รอบคัน ผมเลยไม่รอช้าที่จะปิดแอร์ เปิดกระจกรับบรรยากาศยามเช้าที่สดชื่นแบบเต็มปอด(แถมด้วยประหยัดน้ำมันอีก สองต่อเลย แต่ก็ต้องผ่อนคันเร่งลง เพราะทัศนวิสัยลดลง) พอเห็นป้ายอุทยาน ก็ไม่รอช้าที่จะตรงไปถามพี่เจ้าหน้าที่ถึงสภาพทุ่ง พี่เจ้าหน้าที่ก็ใจดีตอบให้ฟังอย่างเต็มใจ พร้อมบอกว่าเอารถขึ้นไปได้เลย ไม่ต้องรอสองแถว(ปีที่แล้วผมก็เอารถขึ้น แต่ระเบียบการจัดรถขึ้นลงแย่มาก เล่นเอาฉุนขาดลงไปต่อว่ามอเตอร์ไซด์มาแล้วนะเนี่ย)ปีนี้ทางอุทยานเลยมีนโยบายใหม่ว่า ถ้ามาก่อน 8 โมงเอารถขึ้นได้เลย แต่ถ้าหลัง ก็ต้องอาศัยสองแถวไปละกัน
ระหว่างทางไปชมทุ่ง มีคนไม่น้อยที่ทยอยเดินขึ้น จะแวะรับใครก็เกรงใจตัวเอง เพราะในรถสมเป็นรถหนุ่มโสด รกระเบิด ถ้าจะรับใครขึ้นไปอาจเสียเวลาจัดรถมากกว่าเดินขึ้นเสียละมั้ง ก็เลยค่อยๆขับไปจนถึงบริเวณทุ่งที่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณเกือบกิโล หาที่จอดแอบได้ข้างทางเสร็จสรรพ ก็คว้า camera คู่มือพร้อมขาตั้ง ลุย! หมอกโรยตัวค่อนข้างหนา ทำเอาหวั่นใจว่าฝ้าจะมาหาเลนส์หรือเปล่า แต่กังวลไปไย มาถึงที่แล้ว มีปัญหาอะไรว่ากันอีกที คนต้องถือว่าเยอะนะสำหรับเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ปีนี้ทางอุทยานกั้นราวไว้ให้เดินชมเฉพาะ ไม่ให้เดินอย่างอิสระเหมือนปีที่แล้ว เพราะอะไรคงเดากันได้โดยไม่ต้องบอก แต่แรกก็ว่าจะทำตัวเป็นคนดี แต่กล้องผมมันทำไม่ได้ดั่งใจ ก็ขออนุญาต(ในใจ)แล้วก็แว่บ มุดราวเข้าไปเก็บภาพดอกกระเจียว แต่ก็ไม่นาน เพราะกลัวคนอื่นจะทำตาม ซึ่งคงไม่ดีแน่ ถ้าผมเป็นคนเริ่มเรื่องแบบนี้ หมอกลงนานและหนา เรียกได้ว่าทัศนวิสัยไม่เกิน 50 เมตรเลยล่ะ ระหว่างเก็บรูปจึงได้ยินแต่เสียงจากกลุ่มนักท่องเที่ยว ทางนั้นที ทางโน้นที ที่ต่างก็เก็บภาพกันจริงจัง ชนิดได้ว่า หาคนไม่มีกล้องไม่เจอเลยล่ะ หลังจากเริ่มเก็บภาพสักพักหนึ่ง พี่เจ้าหน้าที่ก็ตามมาปักป้ายว่าครงนี้มุดราวเข้าไปถ่ายรูปได้ เล่นเอาคนเที่ยวใจชื้น พร้อมมุดราวตามกันไปหาดอกไม้อย่างสบายใจกันถ้วนหน้า ผมเห็นคนเริ่มเยอะ ก็เลยหลบไปทางอื่นที่ไม่ค่อยมีคน ก็ลั่นซัตเตอร์ที่ถูกใจได้อีกหลายเหมือนกัน พอนับรูปที่ถ่ายไป ก็ต้องเตือนตัวเองว่าม้วนกว่าแล้วนะ หมอกยังไม่จางเลย เก็บไว้ถ่าย(รูปดอกไม้)กับแดดมั่งซิ ก็เลยหาทำเลนั่งรอแดดดีกว่า เดินหาที่นั่งก็ไม่เจอที่ถูกใจ ก็เดินต่อตามใจ คราวนี้เลยเจอที่นอนซะเลย เป็นแผ่นหินเรียบขนาดพอดีตัว งีบท่ามกลางละอองหมอกซักพักท่าจะดี เลยเอนหลังเอกเขนกหลังตั้งนาฬิกาปลุกกันลืมตื่นเรียบร้อย
เกือบ 10 โมง หมอกจึงเริ่มจาง แต่ที่ทดแทนมาคือ จำนวนคนที่มาทุ่ง ผมย้อนกลับมาถ่ายตรงที่หมายตา ก็เจอมหาชนรออยู่เต็มไปหมด ทำเอาต้องไถลไปคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ก่อน สรุปความหลังจากไต่สวนพี่ซึ่งพี่เขาก็ให้ความร่วมมือด้วยดี เขาบอกว่าดอกกระเจียวจะบานช่วงมิถุนาถึงสิงหา แต่ปีนี้บานไม่ค่อยจะพร้อมเพรียง เลยสวยน้อยกว่าปีก่อนๆไปบ้าง ผมซักต่อว่า แล้วงานที่จัดกันช่วงนี้มีอะไรพิเศษกว่าตอนไม่ได้จัดไหม พี่เขาตอบตรงว่าไม่มีอะไรนอกจากนิทรรศการที่จัดตรงที่ทำการ เล่นเอาผมงงไปพักหนึ่งเลย แต่พี่เขาพูดต่อเหมือนอ่านใจผมออกว่า ก็มันเป็นจุดขายที่ปีหนึ่งมีแค่ช่วงเดียว เลยต้องโหม promote กันหน่อย ปัญหาของผมยังไม่หมด ก็เลยป่อนต่อถึงเรื่องทุ่งดอกกระเจียวที่อุทยานแห่งชาติไทรทองว่าสวยกว่าที่นี่ไหม พี่เขาคิดนิดนึงแล้วบอกว่าสวยใกล้เคียงกัน ผมเลยถามต่อว่าไกลจากที่นี่ไหม พี่เขาบอกไม่แน่ใจเส้นทางก็เป็นอันจบคำถาม พอเก็บภาพตามตั้งใจแล้ว ก็จ้ำกลับรถ หาของกิน(หิวครับ) พักขา 5 นาทีแล้วก็ตะกายเขาไปดู "สุดแผ่นดิน" หน้าผาที่เป็นช่วงยกตัวตรง "สุดแผ่นดิน"นี้ ถ้าคนชอบมองพื้นที่กว้างจากมุมสูงน่าจะชอบ แต่วิวก็ไม่ต่างจากหน้าผาทั่วไปเท่าไร ต่างคนก็ต่างจิตใจ แต่ผมก็เก็บภาพเหมือนเคยแหละครับ
ขาลงตียาวสวนกับผู้คน ตัดไปที่ลานหินงามเลย ไม่มีรถส่วนตัวสวนขึ้นสักคัน แสดงว่าที่พี่เขาบอกว่าห้ามเอารถส่วนตัวขึ้นก็เห็นจะรักษากฏกันได้ดี เลยกลายเป็นว่ารถผมเป็นของประหลาดในสายตาคนอื่นไปเลย เพราะมีแต่คนอาศัยสองแถวทั้งนั้น ผมคนเดียวฉายเก๋ง(เก่าๆ) จอดรถใต้ร่มไม้ แล้วก็ดุ่มเข้าป่าหินงาม เจอพี่เจ้าหน้าที่อีก หน้าผมเป็นเครื่องหมายคำถามหรือไงไม่ทราบได้ พี่เค้าถามว่ามีอะไรหรือ ผมก็เลยถามโดยไม่ตั้งใจว่า ป่าหินกว้างไหม ใช้เวลาเท่าไรถึงเดินทั่ว ทางเดินเดินลำบากไหม คำตอบออกมาเป็น 10 ไร่และหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ทางเดินเป็นเนิน เหยียบบนหินไปเรื่อยๆจะไปตรงไหนเดี๋ยวก็ถึงเอง ขอบคุณครับพี่
หน้าป่าหินมีป้ายบอกถึงหินหลักว่าหินรูปร่างนี้อยู่ตรงไหนของป่าหิน เห็นแล้วนึกเจ็บใจในความรีบร้อนของตนที่ไม่แวะที่ทำการก่อน ไม่งั้นคงมีเอกสารติดมือมาดูบ้าง แต่ ช่างมัน สองขาสองตาสองมือ ได้เวลาท่องป่าแล้ว แดดออกตามเวลาจริง สิบเอ็ดโมงกว่า เล่นเอาต้องปาดเหงื่อกันหลายรอบ คนยังเยอะอยู่ดี ถ่ายภาพเฉพาะหินได้ลำบากเต็มทน หลังจากรออยู่พักใหญ่ ก็ยอมแพ้ หม่ำข้าวเที่ยงดีกว่าเรา กลับเข้าที่ทำการ แวะร้านอาหารของอุทยานหลังขอแผ่นพับที่ที่ทำการ กินข้าวไปก็อ่านไป ได้ความรู้มาอีกตั้งหนึ่ง ข้างๆที่ทำการ มีการจัดบอร์ดแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชัยภูมิ คนเท้ามาเป็นชีพจรอย่างเรา มีหรือจะพลาด ยิ่งเวลาเหลือตั้งครึ่งวันโดยไม่วางโปรแกรม ไม่รอช้าอยู่แล้ว เขาก็จัดได้ดีพอสมควร แต่เน้นไปทางสัตว์ป่าเสียมาก จากความเห็นส่วนตัวในฐานะนักท่องเที่ยวขาจร ผมไม่สนใจมากนัก เพราะโอกาสเจอตัวจริง สงสัยน้อยกว่าถูกลอตเตอรีรางวัลที่หนึ่งบวกเลขค้างเคียงอีกมั้ง นี่ไง อุทยานแห่งชาติไทรทอง เจอบอร์ดแล้ว อ่านอยู่สองรอบแน่ะ ยังไม่รู้เลยว่าไปยังไง ในแผนที่ทางหลวงประเทศไทยเล่มที่มีอยู่ก็ตกสำรวจ แล้วเอาไงดี ปากมีนี่ ถามสิครับ(พ่อสอนไว้ มีปากอย่ากลัวหลง ถามโลดลูก) ถึงถิ่นแล้วถามพี่เขาดีกว่า ถามพี่คนแจกแผ่นพับ ไม่ใสกว่าเดิมเท่าไหร่เลย เห็นพี่อีกคนถือ ว. ลองดูน่า ได้เรื่องเลย เขาตามคนขับรถ(ของใครไม่กล้าถาม) มาวาดแผนที่ให้ทันใจ ผมก็ไต่ถามอีกบางจุด กันหลง ดูจากท่าทีพี่เขาแล้ว เขากลัวผมหลงทางแฮะ -แล้วหลงไหม อ่านต่อครับ- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
แผนที่อยู่ในมือ แถมได้เบอร์มือถือหัวหน้าที่ทำการอุทยานที่ไทรทองมาอีก สตาร์ทรถ ไทรทองครับ รอเดี๋ยวนะ ออกจากป่าหินงาม ลงทางเดิม(มีทางเดียวแหละครับ)กลับมาเจอทางหลวง 2354 เลี้ยวซ้ายเข้าหาตู้ยาม(แปลกใจเหมือนกันทำไมเขาเอาตู้ยามเป็น mark แต่พอขับไปก็เข้าใจ เพราะแถวนี้ถนนโยธาทั้งนั้น ไม่มีหมายเลขทางหลวงครับ) เจอตามระยะ ก็ใจชื้น เลี้ยวซ้ายปั๊บ หาสามแยกต่อ ก็เจออีก ไม่หลงแล้วมั้งเรา ขับได้สักพัก เจอแล้วครับ เพื่อนเก่า แดงมาเลย ขรุขระนับหลุมไม่ทันเลย เพื่อนคนนี้ชื่อลูกรังครับ พาครอบครัวชื่อร่องน้ำเซาะกับหลุมดักรถเก๋งมาด้วย คลานต่อ พอแยกต่อไป กลายเป็นว่าเจอบ้านไทรงาม ก็เอ น่าจะใกล้แล้วทั้ง ไทรงาม-ไทรทอง ขับได้อีก 5 นาที ไม่เห็นป้ายอะไรว่าจะเข้าเค้าเลย ก็พอดีเจอเหยื่อ พี่ชาวบ้านเขาขับสวนมาพอดี ก็เจรจาเลยรู้ว่า หลงอีกแล้ว พี่เขาไม่รู้จักอุทยานแห่งชาตินี้แฮะ ผมงี้คิ้วตีกันเลย แต่พี่เขาบอกว่าน้ำตกไทรทองหรือเปล่า พอดีผมอ่านมาจากบอร์ดที่ป่าหินงาม เลยรีบพยักหน้า โชคหล่นทับซ้ำ เพราะพี่เขาจะไปพอดี นำโลดเลยพี่ กินฝุ่นจนเกือบอิ่ม รถผมเหมือนคนโดนระเบิดแป้ง(ฝุ่นลูกรัง)ลงลูกใหญ่ ไม่นับหลุมกับหินและทางร่องน้ำเซาะนะเนี่ย ขอเลยครับว่าไม่จำเป็นอย่าเอารถโดยเฉพาะเก๋งมาทางนี้ ไปน่ะไปได้ แต่ถ้าจังๆกับอะไรสักอย่างมีหวังเสียทรัพย์แน่ เจอทางหลวง 225 ขวางอยู่ โล่งไปหน่อย เป็นผู้ดีตามไปเรื่อยๆพี่เขาก็เลี้ยว ไปตามป้ายน้ำตกไทรทองซ้ายมือ ป้ายอุทยานน่ะไม่มีจริงๆครับไม่ต้องหา ลูกรังอีกรอบ ดี(เลว)ไม่แพ้กัน อีก 7 กม.เอาน่าถึงนี่แล้ว ไม่มีถอย เลี้ยวอีกสองที เห็นป้ายอุทยานแล้ว เข้าที่ทำการก่อนครับ
มือเป็นฝักถั่วก่อนกับพี่เจ้าหน้าที่ ถามทันทีว่า ขึ้นดูทุ่งดอกกระเจียวทันไหม พี่เขาถามสวนเลยว่า มากี่คนล่ะ คนเดียวครับ พี่เขาเลยบอกเพิ่งมีกลุ่มหนึ่งขึ้นไป ต้องใช้ 4WD เพราะต้องข้ามห้วย เป็นอันว่าวันนี้แห้วครับ ไม่เป็นไร คุยต่อ พี่ครับ แล้วผมไปไหนได้มั่ง พี่เขาก็ให้แผ่นพับมาดู แล้วบอกว่า คงได้แค่น้ำตกไทรทอง ส่วนผาอีกแห่งหนึ่งที่คล้าย "ที่สุดแผ่นดิน" ก็อยู่ทางเดียวกับทุ่งดอกกระเจียว ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการสิบกว่ากิโล พี่เขายังบอกอีกว่าที่นี่ทุ่งดอกกระเจียวสวยกว่าที่ป่าหินงาม(ผมนึกในใจแล้วใครล่ะจะไม่บอกว่าของตัวสวยกว่า) และที่นี่ให้กางเต็นท์ได้หมด ทั้งที่ทำการ ทุ่งดอกกระเจียว หรือริมน้ำตก ผมนั่งพักได้ครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจว่า ไปดูน้ำตกดีกว่า ไหนๆก็มาแล้ว
ถึงน้ำตก คนไม่เยอะเท่าไร แม้พี่เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าวันนี้มีทั้งทัวร์สื่อเดินทางและช่อง 5 มา ตอนเข้าก็ดีอยู่หรอก มีป้ายบอก แต่เข้าได้ไม่ถึงอึดใจ ป้ายหายหมด แล้วผมไปไงต่อล่ะ กลับครับ สรุปว่าไปแค่ วังเงือก เหนือน้ำตกไปนิดเดียว คนน้อยบวกกับความเงียบ นิ่งของวังน้ำ ถ้ามีได้เข้โผล่มาสักพัก ผมว่าผมไม่แปลกใจแน่ แวะถ่ายรูปกับหัวใจหิน ใครอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร มาขอรูปไปดู หรือไม่ก็ไปดูเองนะครับ เก็บภาพน้ำตกขนาดย่อมอีกสองรูป พอดีฟิล์มหมดม้วน ก็เตรียมกลับ กำลังจะเดินออก มีคนยิ้มให้(ผู้ชายครับ อย่าคิดเกินเลย)ผมก็ยิ้มตอบ แล้วก็คุยกัน น้องเขาบอกว่า เห็นผมตั้งแต่เดินเข้าแล้ว มาคนเดียว แบกกล้องกับขาตั้ง แปลกดี แต่ผมว่าท่าทางเขาก็ไม่แพ้กัน เพราะโบกรถกันมา 4 คน ชายหญิงอย่างละครึ่ง ยังเรียนกันอยู่แต่มีคนหนึ่งทำงานแล้ว คืนก่อนถึงป่าหินงามตั้งแต่เที่ยงคืน รอกว่าจะได้เข้าก็เกือบเช้า แถมมาที่ไทรทองทางเดียวกับผมอีก หัวแดงกันเป็นแถว คุยกันสักพัก แลกชื่อที่อยู่กัน น้องคนหนึ่งอยู่จันทบุรี พอดีแล้ว งวดหน้าไปแถวนั้นจะไปรบกวน น้องเขาไม่ว่าอะไร งวดหน้าเจอกัน
ออกจากน้ำตกเกือบห้าโมงครึ่ง เชื่อไหมครับว่าออกจากอุทยานผมเลี้ยวผิดแล้ว ทั้งที่ปกติผมจำทางแม่นนะ เอะใจแล้ว ก็พานถามลุงที่นั่งรอใครสักคนอยู่ ลุงเขาทางนี้หลาน เห็นลุงนั่งอยู่คนเดียว ปากถามต่อว่า ลุงออกไปข้างนอกหรือเปล่า ไปด้วยกันไหม ไม่มีรีรอ ลุงตามพวกอีกสามมาเลย ผมเลยได้ฤกษ์จัดรถให้เรียบร้อย ก่อนลุงป้าทั้งทีมเดินทางออกมาที่ทางหลวงด้วยกัน ก็ดีครับ อย่างน้อยก็ไม่หลง ส่งทั้งทีมตามจุดที่ลุงบอก ก่อนกลับทางเดิม ยังไม่วายงงอีก ต้องลงมาถามชาวบ้านอีกรอบ คิดเอาเองละกันว่าเป็นไง กว่าจะโล่งก็เมื่อเจอทางราดยางนั่นแหละครับ คราวนี้ชัวร์
ขับยาวมาเติมน้ำมันที่เทพสถิต ก่อนลุยรวดเดียวถึงกรุงเทพฯแวะร้านรูปก่อนเลย ไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ดูรูป พอใจสักเท่าไรดีล่ะ สงสัยต้องหาคนอื่นดูแล้วบอกทีแล้วล่ะ สรุปงานนี้ คงมีล้างตาอีกรอบที่ไทรทองแน่ โอกาสหน้าเจอกันครับ




Tee28 มิถุนายน 2542


ป่าหินงามและไทรทอง

จากป่าหินงามสู่ไทรทอง
ออกเดินทางจากหมอชิตเวลา23.00 เป็นรถป2ค่ารถ 102 บาท ไปลงรถที่วะตะแบก อ.เทพสถิต ตี3 ตรงนั้นจะมีร้านอาหารอยู่และมีป้อมตำรวจ ค่อนข้างปลอดภัย หลังจากนั้นหารถเหมาเข้าไป ประมาณ300 บาท จากร้านอาหารนั้นและให้แวะตลาดซื้อขนมมาทานเล่นเวลาดูดอกกระเจียวก็ได้ หลังจากนั่งรถเข้าไปถึงตัว อชป่าหินงามประมาณ ตีสี่ครึ่ง ก็ให้ขึ้นไปชมทุ่งดอกกระเจียวตอนเช้าเลย จะดูดีและมีหมอกลงอ่อนเหมาะกลับการถ่ายรูปสวยๆ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปที่จุดชมวิว สุดแผ่นดิน ก็จะเห็นผืนป่าซับลังกาอยู่เบื้องล่างที่จุดนี้จะมีศาลาเก้าเหลี่ยมไว้นั่งดูวิวด้วย หลังจากนั้นก็เดินลงมาที่ยังป่าหินงาม ในนี้จะมีเส้นทางให้ดูหินแปลกๆที่มีลักษณะต่างๆ ดูแล้วงงว่าธรรมชาติสามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างไร พอชมเสร็จก็ประมาณ 10.00น.ก็หาอาหารกินที่ร้านสวัสดิการ ใกล้กับที่จุดกางเต้นท์และที่ทำการ หลังจากเราก็คิดกันว่าน่าจะไปที่อื่นบ้างเพราะว่าที่นี่จุดเที่ยวน่าจะมีรถส่วนตัวเพราะห่างจากที่กางเต้นท์มาก (ทางรถเป็นทางคอนกรีตอย่างดี) พวกเราเลยโบกรถไปที่ อช ไทรทองต่อหารถคอ่นข้างลำบากมากวันหนึ่งมีเที่ยวเดียว ไม่งั้นต้องเหมาเข้าไป ทางยังเป็นลูกรังช่วง 7 กม สุดท้าย ถ้าเป็นรถสองแถวต้องนั่งรถของป้าอ้วนเท่านั้นที่เข้าไปทรัพย์มงคล แล้วเหมารถแกต่ออีก100-200 บาทเข้าไปส่งที่น้ำตกไทรทองซึ่งเป็นน้ำตกไม่สูงมาก แต่มีความกว้างและมีเวิ้งน้ำขนาดใหญ่อยู่ ที่นี่ยังมีจุดท่องเที่ยวซึ่งเป็นผาต่างๆโดยเหมารถพร้อมเจ้าหน้าที่ขึ้นไปกลับรวม 800 บาท หาเพื่อนขึ้นไปให้ได้ประมาณ 13คนจะประหยัดมากระยะทางที่รถวิ่งประมาณ 10 กม หลังจากนั้นเดินเท้าอีก 2กม ผ่านทุ่งดอกกระเจียวสีขาวซึ่งไม่เหมือนกับที่หินงามมีทุ่งอยู่ทั้งหมด 4 ทุ่งใหญ่ กำลังบานชูดอกสวยงาม ที่นี่เราจะพักกางเต้นท์ใกล้ทุ่งดอกกระเจียวเลยแต่ที่นี่ไม่มีอาหารต้องกางเต้นท์เท่านั้นแต่มีห้องน้ำ ตกเย็นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาอาทิตย์อัสดง โดยมีฉากหลังเป็นภูเขียว แล้วก็กลับมาทำอาหารนั่งคุยกันหาเพื่อนใหม่ๆ ตื่นเช้ามาอากาศดีมากๆหมอกลงจัดเราจึงเดินชมทุ่งกระเจียวและผาอื่นๆอีกเราพักที่ผาเพลินใจสวยงามและเย็นสบาย แล้วก็เก็บสัมภาระกลับสู่เบื้องล่างและมุ่งสู่ กทม. โดยนั่งรถที่โบกมาลงที่ถนน 225 เพื่อหารถไปที่นครสวรรค์ มีรถเที่ยวสุดท้ายประมาณ บ่าย 2 ค่ารถ 60 บาท ระหว่างทางก็มีจุดชมวิวที่ภักดีชุมพล กม 70 เราถึงนครสวรรค์ 6 โมงก็นั่งรถสู่ กทม ต่ออีกถึง กทม 4 ทุ่ม เป็นอันว่ากลับมาอย่างสวัสดิภาพทุกท่าน
ข้อแนะนำ
1. ควรมีรถส่วนตัวหรือรถตู้จะสะดวกมากๆๆๆๆ
2. ไปให้ถึงก่อนเช้าจะดีเพราะจะไม่ร้อนและอาจมีหมอกลงได้
3. เตรียมกล้องและฟิล์มไปมากๆ
4. อย่ามุดรั้วที่เค้ากั้นไว้ถ้าอดใจไม่อยู่ก็ระวังอย่าเหยียบดอกไม้เพื่อเก็บไว้ให้ชุดต่อไปดูบ้าง วันที่ไป 26-27 มิย 2542 ผู้ร่วมเดินทาง ธี ยุ้ย จัน เอ๋ อ๊อด โจ้ และ พี่รถแดงขวํญใจน้องๆ และ พี่นักบิน
งบประมาณ 600-700 บาท มากเพราะผมกินบ่อย และเหมารถหลายครั้ง




ดา (anis103@hotmail.com)3 พฤศจิกายน 2542


ทุ่งดอกกระเจียว

สวยๆมากๆๆๆๆ อยากให้เพื่อนๆๆๆ ได้ไปเห็นบ้าง ถ้าต้องการเที่ยวแบบสบายๆๆ ควรไปที่ ป่าเทพสถิต ถ้าต้องการเที่ยวแบบเดินป่า ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ควรไปที่ไทรงามจะสวย กว่า ดอกกระเจียวจะมากกว่าด้วย




นักเดินทาง (ungkanap@hotmail.com)15 มิถุนายน 2543


ทุ่งดอกกระเจียว

เมื่อวันที่ 3-4/6/2000 มีโอกาสไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวมา ตอนนี้ออกดอกสวยงามมาก อากาศก็เย็นสบายดี ถ้าเพื่อน ๆ มีโอกาศวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ลองไปเที่ยวดู ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่ไกล ถ้าเอารถไปเอง ประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว และถ้าไม่มีที่พัก จะขอพักที่วัดเขาประตูชุมพลก็ได้ เป็นวัดที่สวยงามและน่าท่องเที่ยว อยู่ติดกับป่าหินงาม หรือจะกางเต้นท์นอนที่อุทยานก็ได้ ส่วนทางอุทยานนั้นมีการปรับปรุงทั้งสถานที่และบริการ เหมาะกับเป็นปีท่องเที่ยวอุทยานจริง ๆ ชอบมากเลย




นักศึกษาปี 1วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวนครราชสีมา(rung_ko@hotmail.com)18 มิถุนายน 2543


ทุ่งดอกกระเจียว

ไปเที่ยวชมทุ่งดอกกะรเจียวกับกลุ่มเพื่อนที่เรียนการจัดการธุรกิจท่องเที่ยว ปี1 เมื่อวันที่ 17-18 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีความประทับใจในเรื่องอากาศ ที่ไม่คิดว่าจะเย็นมาก ตอนกลางคืนหมอกลงเยอะมาก แต่ว่าอากาศสดชื่นดี เหมาะแก่การพักผ่อนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ สถานที่พักให้กางเต้นท์จัดไว้เยอะ ห้องน้ำก็ดีพอใช้ได้ ค่าเช่าเต้นท์ของกรมป่าไม้ก็ไม่แพง เพียงแต่เจ้าหน้าที่บางคนยังพูดจากับนักท่องเที่ยวไม่ดีนัก แต่โดยรวมก็ดี น่าไปเที่ยวปีหนึ่งครั้งหนึ่ง /นักศึกษาธท.1 วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวนครราชสีมา




น้อง  5 กรกฏาคม 2543


ทุ่งดอกกระเจียว

ขอให้จัดเวลาเที่ยวให้ดีนะครับ เวลาที่สวยคือช่วงเช้ามืด จะมีหมอกลงที่ทุ่งดอกกระเจียวสวยงามมาก และก็เวลาเย็นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาสุดแผ่นดิน ช่วงก่อน 8 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น ให้เอารถขึ้นได้ นอกเวลาเหล่านี้ต้องนั่งรถสองแถวใหญ่ที่ทางอุทยานจัดไว้ให้คนละ สิบบาทครับ คนเยอะมากๆครับ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ดูทะเบียนรถแล้วมาทั่วสารทิศของเมืองไทยเลยที่เดียว ช่วงเสาร์เช้าส่วนใหญ่จะเป็นรถชัยภูมิ นครราชสีมา สพบุรี สระบุรี ส่วนเสาร์เย็นและวันอาทิตย์จะเป็นรถที่มาจากกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ ลานกางเต้นท์ช่วงเช้า กลางวัน วันเสาร์ จะเต็มไปด้วยรถที่เข้ามาจอด พอตกเย็นก็จะกลับไปส่วนใหญ่ กางเต้นท์ได้ครับ ส่วนสายๆวันอาทิตย์ที่จะมีรถเข้ามาจอดเต็มไปหมดอีก ตื่นเช้าๆแล้วกันนะครับ




ง้อน 6 กรกฏาคม 2543


ทุ่งดอกกระเจียว

เราก็เพิ่งจะไปทุ่งดอกกระเจียวที่ป่าหินงามมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว..ดอกกระเจียวบานเยอะมาก.. หมอกก็มีนะตอนเช้าก่อนแปดโมง..แต่พอหมอกมาปุ๊บฝนก็มาปั๊บเลย สวยและเปียกดี ที่ลานกางเต้นท์จะแฉะหน่อย เพราะมีรถวิ่งเข้ามาจอดเยอะมากช่วงนี้ นักท่องเที่ยวที่จะไปกางเต้นท์ ไปถึงอาจจะอุทยานแล้วเห็นรถที่มาเที่ยวทุ่งฯจอดอยู่ ที่ลานกางเต้นท์แล้ว อาจจะเข้าใจผิดว่าหลงเข้ามาในงานวัดเขาประตูชุมพลก็ได้..อิอิอิ.. เพราะเขาจะมีเต้นท์ขายของกางอยู่..คนก็เยอะ..รถก็เยอะ..กว่าจะหาที่กางได้ก็ต้องรอเขาเอารถออก.. เมื่อปีที่แล้วสงบกว่านี้เยอะ...




การ์ตูน 13 กรกฏาคม 2543


ทุ่งดอกกระเจียว

วันที่ 10 กรกฎาคม 2543 ผมได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปเที่ยวที่ทุ่งดอกกระเจียว ไปเที่ยวครั้งนี้เป็นครั้งแรก ประทับใจมากกับดอกสีชมพูอมม่วงเป็นทุ่ง และได้ไปชมวิวที่สุดแผ่นดิน และป่าหินงาม โดยได้นอนพักที่อุทยานด้วยการกางเต้น ออกกาศเย็นมาก ๆ ตอนเช้ามีหมอกลง อาหารหาซื้อได้สะดวก แต่มีคนไปมาก พลุกพล่าน เจ้าหน้าที่บริการน้อย อากกาศเย็นสบาย จะนอนหลับดีถ้าไม่มีใครหนวกหู




ning 15 กรกฎาคม 2543


ดอกกระเจียวบานใหญ่แล้วไปดูกันเร็ว ๆ

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 เราไปดูดอกกระเจียวบานมาแล้วสวยงาม จุดชมวิวที่สุดแผ่นดินยิ่งแจ๋วขึ้นไปตอนเที่ยงยังมีหมอก ลมโกรกสบายไม่อยากลงมาเลย แต่ชาวบ้านเขาว่าวันเสาร์อาทิตย์รถติดมากกกกกกจ้า




หยก( nongyok@thai2k.com) 16 กรกฎาคม 2543


ทุ่งดอกกระเจียว

เคยไปมาเมื่อ 2ปี ที่แล้ว ไปตอนไม่มีคนไปเพราะอยากได้บรรยากาศจริงๆ ไปช่วงวัน ธรรมดา ไม่มีคนเลยมีอยู่เต็นท์เดียว ข้อความก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าเจ้าหน้าที่บางคนพูดจาไม่ดี จริงด้วย ตอนไปก็พูดจากไม่ดี จะเช่าเต็นท์ก็ไม่ยินดีให้เช่าเลย ถ้าใครไปก็พูดจาดีๆ กับเขา มากๆนะ เขาจะได้ไม่กัดเอา ดอกกระเจียวก็สวยอย่างที่ทุกคน บอกแหละ ถ้าใครไม่รถอยากถามทางเข้าไป ก็ถามมาได้เลยนะ พร้อมที่จะช่วยเหลือ




แม่น้องเซ็ท (mumset89@hotmail.com) 18 กรกฎาคม 2543


ดอกกระเจียวในสายหมอก

ไปดูกระเจียวที่ป่าหินงามมาค่ะ สวยจริงๆค่ะ ดอกกระเจียวในสายหมอกยามเช้า เที่ยวครั้งนี้เราไปกัน 2 คนแม่ลูก เริ่มจากหมอชิตนั่งรถไปเทพสถิตย์ออกเวลา 23.00 น เห็นมีหลายคนแบกเป้ แบกเต็นท์หลายกลุ่มร่วม 10 กว่าคนได้นั่งรถคันเดียวกับเรา ก็เลยถามพวกเขา ทุกคนบอกจะไปป่าหินงาม ดีใจที่ได้เพื่อนร่วมทาง ลงที่ปากทางเข้าอุทยานป่าหินงามตอนตี 3.30 น.พอดี ที่ตรงนั้นมีเพิงของพวกวินมอเตอร์ไซด์ แถมมีเปลผูกไว้ด้วย ให้น้องเซ็ทได้นอนรอคุณแม่โบกรถเข้าไปในอุทยาน คุณแม่ก็โบกรถได้ แต่ไม่มีใครกล้านั่งไปด้วย พวกเขาจะรอรถรับจ้างกัน คุณแม่วัยรุ่นใจร้อนขี้เกียจคอยถึงเช้าจึง เข้าไปกับลูก 2 คน ไปถึงอุทยานก็ตี 4 ตอนนั้น ไม่รู้จะเดินไปทางไหนเพราะมันยังมืดอยู่ ก็เลยกางเต็นท์นอนเล่นรอสว่างหน่อยค่อยเดิน แหมแต่กางลำบากเหลือเกินลมตีแรงมาก หนาวก็หนาว จุดที่กางเต็นท์เหมือนกับว่าอยู่ริมเขาเลยต้องรับลมแรง ตี 5 กว่า คนเริ่มเข้ามาเที่ยวกันเยอะแล้ว แม่ลูกก็โบกรถไปที่ทุ่งกระเจียว จะเดินก็ได้นะค่ะ ไม่ไกลหรอกค่ะ พอไปเห็นดอกกระเจียวในสายหมอกแล้วมันสวยจริงๆ เลยค่ะ อย่างกับอยู่ในความฝัน หรือในเทพนิยายปานนั้นน่ะค่ะ ไม่ผิดหวังเลยค่ะที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปเที่ยว ดูดอกกระเจียว ถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว ก็เลยเดินไปเที่ยวที่จุดชมวิว ซึ่งมีวิวให้เราได้ถ่ายรูปกันตามหน้าผา มีอยู่มุมหนึ่งจะมีหินยื่นออกไปตรงหน้าผานิดหน่อยเหมือนกับที่ภูกระดึง ตรงนี้คนจะไปต่อคิวยาวรอถ่ายรูปกันเยอะเลย จากที่นี่เราก็โบกรถต่อไปที่สวนหินธรรมชาติ มีหินรูปร่างแปลกๆ อยู่ที่นี่เยอะ แต่ละที่ที่ไปนี่เดินไปได้ทั้งนั้นนะค่ะ ไม่ไกลหรอกค่ะ ถ่ายรูปที่สวนหินเสร็จก็พึ่งจะ 11 โมงเอง หมดที่จะเที่ยวแล้ว ทานส้มตำไก่ย่างเสร็จ น้องเซ็ทบอกคุณแม่ที่นี่ไม่มีที่ให้เซ็ทเล่นน้ำตกเลย เอาละซี่กิจกรรมเที่ยวของเราวันนี้มันสั้นเหลือเกิน คุณแม่ก็ไม่ได้เตรียมหาข้อมูลที่อื่นมาด้วย ไปถามเจ้าหน้าที่ถึงวิธีจะไปที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง ก็บอกว่าถนนมันเละมาก รถ 2 แถวอะไรก็ไม่มี ตอนนั้นคิดไม่ออกจะไปไหนดี เก็บเต็นท์ก่อน เตรียมโบกรถออกไปข้างนอก ตอนเดินออกไปเขามีบอร์ดจัดนิทรรศการแหล่งท่องเที่ยวของ จ.ชัยภูมิ เห็นมีอุทยานแห่งชาติตาดโตน กับอุทยานแห่งชาติภูแลนคา เลยตัดสินใจพาน้องเซ็ทไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติตาดโตนต่อดีกว่า รบกวนตามไปอ่านบันทึกต่อที่ตาดโตนนะค่ะ




ชินรัตน์ สุขดี ( ปราจีน สุขดี)(nr9900510) 20 กรกฎาคม 2543


ป่าหินงามในอดีตเมื่อปี 2525

ป่าหินงามนั้นเมื่อมองในปัจจุบัน เรารู้สึกเสียดายอดีตมาก ในอดีตนั้นป่าหินงามเงียบสงบ มีสัตว์ป่า มีความสวยงามตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ในปัจจุบันนี้เรารู้สึกว่า กรมป่าไม้ได้เข้ามาเป็นเจ้าของ ทรัพยากรของชาติที่ควรจะปล่อย หรืออนุรักษ์ให้อยู่แบบเดิม ๆ ตามวิถีทางที่ควรจะเป็น
ป่าหินงามในอดีตเมื่อเราเคยไปนั้น ในปี 2525 ยังมีธรรมชาติที่สวยงามเงียบสงบมาก เดิมนั้นมีสำนักสงฆ์เล็ก ๆ อยู่หนึ่งสำนัก เราจำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร บนป่าหินงามนั้น เราเดินท่องเที่ยวชมนก ดูสัตว์กับชาวบ้าน เราได้เดินท่องเที่ยวตั้งแต่ฝั่งชัยภูมิ ลงไปในหุบเขา ผ่านเข้าสู่เขตลพบุรี เลยออกไปจนถึงเพชรบูรณ์
เมื่อปี 2525นั้น ป่าแถบนี้อุดมสมบูรณ์มาก ยังประทับใจเรามาจนถึงบัดนี้ เพราะที่แห่งนี้เป็นที่ที่เติมความใฝ่ฝันของเราให้เต็ม ว่าสักวันหนึ่งเราคงมีโอกาศใช้ชีวิตแบบน้อยอินทนนท์ คงใช้ชีวิตล่องไพร แบบในหนังสือนิยายที่เขาเขียน
ในอดีตปี 2525 นั้นการเดินทางเข้าสู่ป่าหินงามนั้นลำบากมากต้องผ่านป่าผ่านทางที่หน้าฝนนั้น กลายเป็นทะเลโคลน แต่ก็สนุกดี เดิมนั้นจากบ้านไร่จะไปหินงามนั้นต้องข้ามลำห้วยสายหนึ่ง เรายังจำได้ลำห้วยสายนี้เป็นที่ที่ชาวบน(ชนดั้งเดิมของแถบนี้) ใช้อาศัยอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายก่อนกลับเข้าบ้านหลังจากทำงาน เรายังจำได้ว่า เราขี่มอเตอร์ไซด์วิบาก ซูซูกิ ข้ามลำห้วยสายนี้ แล้วบังเอิญเราจับลายผิดทำให้มอเตอร์ไซด์ของเราตกลงไปในน้ำที่ลึกท่วมเครื่องยนต์ สาเหตุเพราะขณะนั้นมีพวกชาวบนสาว ๆ กำลังอาบน้ำชำระร่างกายอยู่ คือเรื่องของเรื่อง มัวแต่มองเพลิน จากลำธารสายนี้ เมื่อเดินทางต่อไป จะต้องผ่านบ้านโนนสำราญที่เพื่อนเราอยู่
คืออย่างนี้ตอนที่พวกเราและเพื่อน ๆ ไปสอบบรรจุเพื่อรับราชการที่กิ่งอำเภอเทพสถิตนั้น เราเลือกบ้านวังตาลาดสมบูรณ์ เพราะเรามองจากชื่อแล้วคิดว่าคงอุดมสมบูรณ์ดี เพื่อนเราเลือกบ้านโนนสำราญซึ่งอยู่ตรงทางแยกไปป่าหินงาม ที่เพื่อนเราเลือกนั้น เพราะเห็นว่าที่โนนสำราญชื่อเพราะดี คงอยู่ดีมีความสุข ผลที่ไหนได้ โนนสำราญนั้นได้เบี้ยกันดาร คือเมื่อปี 25 นั้นกันดารมาก ทางก็แย่ เป็นป่าเป็นไร่ต้องอยู่ยาวเลยเพราะจะออกมาทั้งทีลำบากมาก เพื่อนเรานี้หงอยเลย อาหารการกินก็ลำบาก เรายังจำได้ครั้งนั้นที่เราไปเยี่ยมเพื่อนก่อนไปเดินเที่ยวบนป่าหินงาม เราจำต้องกินเนื้อแมว(ป่า) ที่เราและเพื่อนๆ ช่วยกันหามาได้ ลืมบอกไป บางทีเพื่อนนั้นก็ต้องกินเนื้อหมาที่ชาวบ้านทำมาให้กินด้วย แต่เรายังไม่ได้ลองเลย โชคยังดี
วันนั้นเมื่อปี25 ในป่าหินงามเราเดินท่องเที่ยวกับเพื่อน ๆ 5คน เดินท่องเที่ยวบนสันเขา เดิมนั้นยังไม่ได้เรียกหินงาม เรียกกันกว่าเขาพังเหย และแผ่นดินสุด เราข้ามจากสันเขาลงไปเที่ยวในหุบเขา เรายังจำได้ดี เมื่อลงไปในหุบเขานั้น มีลำธารเล็ก ๆ สายหนึ่ง ที่ลำธารนั้นมีต้นไม้ล้มขวางลำธารอยู่ต้นหนึ่ง เรานั่งเล่นพักผ่อนคุยกันสนุกสนาน เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์มาก สวยงามกว่าเดี๋ยวนี้มาก เสียงนกเสียงชะนีไพเราะจริง ๆ
ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ยังมีที่เราผจญภัยในป่าแห่งนี้อีก ทั้งอดข้าว เดินป่ากลางคืน เดินตามรอยหมี นกเงือก และอะไรอีกหลายอย่าง สนุกและประทับใจจริง ๆ ลืมบอกไปอีกนิด ชาวบนนั้นปัจจุบันเป็นอย่างไรเราไม่รู้แล้ว แต่ที่เราจำชาวบนได้ดีคือ ชาวบนเรียก ก ไก่ ว่า ก ช้าง
ไว้ถ้ามีเวลาจะเขียนเล่าให้ฟังอีก (นึกถึงอดีตที่ผ่านมา)


Image Loading...