Image Loading...
ประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง...อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์

yai (pom_yai@yahoo.com) 4 มิถุนายน 2542


น้ำตกห้วยขมิ้นแห่งเมืองกาญ
"น้ำตกห้วยขม้น" สถานที่ท่องเที่ยวแห่งเมืองกาญจนบุรีเป็นสถานที่น่า สนใจมากแห่งหนึ่งของคนรัก ป่า,น้ำตก,ภูเขา,เขื่อน,และต้นไม้นานาชนิด ตลอดระยะเวลาแห่งเดินทุกอย่างน่าประทับใจและสวยงามเหมือนกับ ธรรมชาติได้สร้างสิ่งเหล่านี้ให้เรามาพบมาสัมผัสรอว่าเมื่อไหร่เราจะมา
ตลอดระยะเวลา นั่งรถ,ลงแพ,เล่นน้ำตกที่มีความใสเขียวและเป็นน้ำ ตกที่สวยงามมาก,เดินดูธรรมชาติ,หาฟืน หุงข้าว,ก่อไฟทำอาหาร ทุกอย่าง ลงตัว ทุกเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หากมีโอกาสอยากให้ทุกคนที่มีใจรักใน ธรรมชาติ (รักจริง ๆ นะ) ไปพบเห็นแล้วจะได้รู้ว่าน่าประทับใจอย่างไร
ก่อนจบอยากขอบคุณพี่ชาย พี่คนนี้ที่เข้าใจและเข้ากันได้ดี (ดีเกินไป) ที่พาไปพบสถานที่ที่สวยงามและน่าจดจำและที่ที่เป็นความหลัง
........อยากจะบอกว่าขอบคุณในความห่วงใย..ขอบคุณในความหวังดี...
.......อยากจะเป็นกำลังให้พี่ในวันที่หมดหวัง...อยากจดจำไว้เสมอ.....
......และอยากบอกว่า........ดีใจมากที่มีพี่เป็นเพื่อ............ขอบคุณมาก ๆ




แม่น้องเซ็ท - - mumset89@se-ed.net - 16/05/2001


เที่ยวอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ (น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น)
การเดินทางครั้งนี้รวบรวมน้องๆ ที่ชอบลุยโดยไม่มีรถส่วนตัวและเคยไปเที่ยวที่เกาะช้างและได้รู้จักกันค่ะ พวกเราไปโดยรถประจำทางรวมคุณแม่และน้องเซ็ท เป็น 8 คน เหมารถ 2 แถว เข้าไปที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ไปกลับในราคา 1500 บาท
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นตั้งอยู่ในเทือกเขาตะนาวศรี ทางที่ไปต้องขึ้นเขาตลอด เริ่มเดินทางจากขนส่งที่กาญจนบุรี ถ.แสงชูโต ใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ช.ม. เส้นทางก็ไม่ได้โหดมากนัก ที่อ่านๆ มา บอกว่าต้องรถ 4wd เท่านั้น ที่ไปก็ยังเห็นมีรถเก๋งมิตซู โตโยต้า ถนนบางช่วงลาดยาง บางช่วงเป็นลูกรัง ถนนก็ไม่ได้เละอะไร เป็นถนนลูกรังแห้งๆ ไม่ได้เป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะเขาทำทางไว้อย่างดี ช่วงที่ชัน เขาก็จะทำถนนเป็นปูนเพื่อกันลื่น ตอนที่พวกเราไปไม่เจอฝน แต่ถ้าฝนตกก็ไม่รู้สภาพเหมือนกันค่ะว่าจะเละอย่างไร
ขึ้นไปถึงข้างบนเขา จุดที่เราจะกางเต็นท์เป็นลานสนามหญ้ากว้าง มองลงมาเห็นวิวของเขื่อนศรีนครินทร์สวยจริงๆ ค่ะ ด้านข้างทางซ้ายมือก็จะเป็นน้ำตกชั้นที่ 4 ชื่อฉัตรแก้ว สวยมากเลยค่ะเหมือนธรรมชาติเขาบรรจงตบแต่งให้มันมีความสวยงามที่มองมุมไหนก็สวย น้ำตกที่นี่มี 7 ชั้น พวกเราก็เดินมันหมดทั้ง 7 ชั้นละค่ะ เดินไม่ลำบากเลยค่ะ แบบสบายๆ ชั้นไหนคนไม่เยอะเราก็ลงเล่นกัน สรุปแล้วก็เกือบจะทุกชั้นล่ะค่ะ
พูดถึงคนที่มากางเต็นท์นอนที่นี่หน่อยนะคะ ส่วนมากเขามากันด้วยรถ 4wd มากันเป็นแบบครอบครัวก็เยอะ มีเด็กเล็กๆ มาสัก 5 ครอบครัวด้วย บรรยากาศดูเงียบสงบ เขาก็มาทำอาหารทานกัน ดีจังค่ะ ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมอะไร
ตอนเย็นสักประมาณ 6 โมงกว่า จะมีค้างคาวคุณกิติบินบนท้องฟ้าให้เราเห็น แต่น้อยตัวเหลือเกินค่ะ เป็นค้างคาวตัวเล็กกระจิ๋วเดียว สัก 2 ทุ่ม ก็มีการฉายสไลด์เกี่ยวกับอุทยานให้ดู
ตอนเช้า 8 โมง ก็จะมีเจ้าหน้าที่อุทยานพาเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เดินไปเรื่อยๆ สัก 3 ก.ม. ได้ ซึ่งจะหยุดบรรยายตามสถานี่ต่างๆ ที่เขาทำเป็นจุดๆ ไว้ นี่ต้นอะไร นั่นดอกอะไร และก็แบกกล้องส่องนกมาด้วย เจอนกก็จะบอกชื่อนกได้หมด เจ้าหน้าที่ที่พาศึกษาธรรมชาติครั้งนี้ชื่อ คุณประกอบ ใครซักถามอะไรเขาก็จะตอบอย่างไม่เบื่อ ระหว่างที่เดินไปก็จะมีพวกมูลสัตว์ คุณประกอบก็จะบอกได้ว่าเป็นมูลของตัวอะไร ที่นี่ต้นไผ่และพวกหน่อไม้จะเยอะมาก มีร่องรอยการขุดของหมูป่าใหม่ๆ เลย
ที่ได้ไปเที่ยวตามอุทยานต่างๆ มา ในตอนนี้เขาจะมีวิธีการเหมือนกันหมดเกือบทุกที่แล้ว มีการฉายสไลด์ เดินศึกษาธรรมชาติ ให้ความรู้กับนักท่องเที่ยว
ร้านอาหารที่นี่ดำเนินงานโดยเจ้าหน้าที่ของอุทยานเอง สะอาดค่ะ อาหารราคาไม่แพง จัดโต๊ะดูดี บริการดี และนักท่องเที่ยวสามารถปั๊มแสตมป์พาสปอร์ตได้ตลอดเวลา ร้านอาหารเปิดขายถึงประมาณ 4 ทุ่มได้ ในร้านก็มีขายของที่ระลึก และพวกสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ
ถ้าเป็นหน้าหนาวที่นี่คงสวยมากเลย เพราะอยู่บนเขา เจ้าหน้าที่บอกว่าน้ำตกก็มีตลอดปี พวกเราถ้ามีโอกาสจะกลับไปเที่ยวตอนหน้าหนาวกันอีก
ขอพูดถึงการเดินทางหน่อยค่ะ เผื่อสำหรับคนที่อยากจะไปเที่ยวที่นี่โดยไม่มีรถ 4wd ขับไป เริ่มนั่งรถทัวร์จากขนส่งสายใต้ ควรจะออกจากกรุงเทพประมาณ ตี 4-5 นั่งไปกาญจน์ 2 ช.ม. หาข้าวเช้ากินที่ขนส่งกาญจน์ แล้วนั่งรถเมล์เล็กสายที่ไปน้ำตกเอราวัณซึ่งจอดอยู่ในขนส่งกาญจน์ ประมาณ 8 โมงเช้า รถไปเอราวัณจะออกทุก ช.ม. นั่งรถไปลงที่ลาดหญ้า (บอกกระเป๋ารถ) ใช้เวลาประมาณ ครี่ง ช.ม. ค่ารถประมาณ 15 บาท ลงรถแล้วก็ถามคนแถวนั้นว่า ท่ารถน้ำมุดจอดตรงไหน จะเป็นรถ 2 แถวที่พาเราไปอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์หรือน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ค่ารถคนละ 70 บาท จะไปส่งถึงที่ทำการเลยค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ช.ม. ช้าหน่อยเพราะรถเขาจะรับพวกแม่ค้าต้องบรรทุกของด้วย คนที่จะไปเที่ยวอุทยานฯ ต้องไปให้ถึงท่ารถน้ำมุดไม่เกินเที่ยงนะคะ รถเขาจะหมดประมาณเวลานี้ ขากลับ จากอุทยานต้องตื่นเช้าหน่อยถ้าไม่ได้เหมา เขาจะมารับพวกชาวบ้านหรือพวกแม่ค้าตั้งแต่ 6 โมงเช้า เราต้องคุยกับคนขับรถก่อนว่าจะมารับเราที่อุทยานได้กี่โมง ไม่งั้นตกรถแน่ถ้าไม่นัดให้ดี และถ้าเราจะเหมารถนะคะ ทางเจ้าหน้าที่อุทยานได้ให้เบอร์มือถือของคนขับรถไว้ ซึ่งพวกเราก็ใช้บริการนี้ค่ะ ชื่อเขานะคะ ชื่อคุณอภิมาสภ์ (มาส) แย้มสำรวย 01-9128256 เขาขับรถ 2 แถวน้ำมุดที่จะไปอุทยานฯ น่ะค่ะ หน้าตาเท่ห์ อายุประมาณ 27 ปีได้ ยังยกกล้วยน้ำว้าใส่รถมา 1 เครือ ให้พวกเรากินระหว่างทาง แถมจะเก็บมะละกอ ฟัก ลูกเบ้อเริ่มเป็นของแถมพวกเราให้เอากลับบ้านอีก ถ้าไม่มีเป้ ไม่มีเต็นท์ คุณแม่ก็คงจะแบกหรอกค่ะ ใจดีค่ะ.. ใครที่จะไปแบบเหมาก็สะดวกนะคะ ไปกลับ 1500 บาท เราไม่ต้องไปขึ้นที่ลาดหญ้า เขาจะมารับเราที่ขนส่งกาญจน์เลย เราก็บอกเขาไปว่าเราใส่ชุดสีอะไร เขาก็จะบอกว่าเขาแต่งตัวใส่เสื่อสีอะไร และเราก็ยืนรอตรงที่จอดรถที่จะไปเอราวัณ ซึ่งมันก็ใกล้กับจุดที่เราลงรถในขนส่งกาญจน์ นายแม้นคนสวน - 16/05/2001 15:20 ใครที่ยังไม่เคยไปเที่ยวที่นี่ เชิญนะค่ะ รับประกันความสวยของน้ำตก วิว ทิวทัศน์ต่างๆ ได้เลยค่ะ น้ำตกก็เล่นแบบสบายใจ ไม่ลื่นล้มง่ายๆ เลยค่ะ เจ้าหน้าที่อุทยานให้การต้อนรับอย่างดีเลยค่ะ เสียดายค่ะที่น้องๆ ที่ไปด้วยเขาอยู่ได้แค่คืนเดียว คุณแม่กับน้องเซ็ทเลยยังตักตวงความสุขไม่พอ จึงให้รถเขาไปส่งที่เอราวัณค่ะ แล้วลองตามไปอ่านเที่ยวอุทยานแห่งชาติเอราวัณนะคะ 15/08/2000




นายแม้นคนสวน - 16/05/2001 15:20


ไปอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์มาแล้วครับ คุณแม่น้องเซ็ท


ดีครับ
ปฐมเหตุก็มาจากกระทู้เรื่องเขื่อนศรีนครินทร์ของคุณแม่น้องเซ็ทนะแหละครับที่ว่าสวยมาก ผมเพิ่งมาสนใจแค้มป์ปิ้งก็ตอนแก่แล้วนะครับ 40 พอดี ชอบแบบกางเต็นท์ เดินป่าผสมกันไป ได้รสชาดดี เรา (ผมกะแม่คุณ) โทรติดต่อกับอุทยานฯ ก่อนตามประสานักท่องเที่ยวที่ดี ได้รับคำแนะนำว่าให้เอารถไปข้ามทางแพขนานยนต์เพราะถนนที่เข้าอุทยานฯ ต้องกะบะหรือ 4WD เท่านั้น ก็โอเคครับ ตามคำแนะนำ เราออกจากกทม. ประมาณ 13.00 น. ก็ไปเรื่อยครับ กินลมชมวิว ถนนดี 4 เลนจนถึงกาญจน์ จากตัวเมืองไปเขื่อนให้ใช้เส้นทางไป อ.ศรีสวัสดิ์ หมายเลข 3199 ครับ ถนนราดยาง ไปได้สักประมาณ 60 กม. ก็จะถึงทางแยกเข้าเขื่อนศรีนครินทร์ด้านซ้ายมือครับ ป้ายบอกทางเข้าตัวใหญ่ยักษ์ ยังไงก็ไม่หลง ถ้าไม่เพลินเสียก่อน ระยะทาง 42 กม. ครับถ้าจะต่อไปยังอุทยานเขื่อนศรีนครินทร์ เอาละสิจะเลือกอะไรดี ตัดสินใจตามคำแนะนำของ จนท. ครับ ก็ขับเลยไปทาง อ.ศรีสวัสดิ์ต่อ ประมาณสัก 20 กม. มั๊งครับ ไม่แน่ใจ แต่จะมีป้ายบอกว่าทางไปแพขนานยนต์ไปทางไหน เป็นป้ายทางหลวง บอกชัดเจนครับ ก็ไปเรื่อยจนถึงแพขนานยนต์ ซึ่งเป็นแพข้ามเขื่อนนะแหละครับ ขึ้นไปเสีย 50 บาท รถเก๋งนะครับ ตอนไปถึงรถเราเป็นคันสุดท้ายพอดี เลยไม่ต้องรอ เรือวิ่งตลอด 24 ชม. ครับสอบถามแล้ว ใช้เวลาข้ามประมาณ 15 นาที ครับ วิวสวยมาก พื้นน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา อากาศเย็นสบาย เมฆต่ำๆ ครับ ฝนเพิ่งหยุดตก ขึ้นจากท่าที่ 1 แล้ว ยังครับ ยังไม่หมด ต้องขับไปอีกประมาณ 10 กม. ไปขึ้นแพที่ท่าที่ 2 อีกครับ มีป้ายบอกชัดเจน ท่าแพขนานยนต์จะอยู่ทางด้านซ้ายมือครับ ถนนลงแพลูกรังครับ ไปได้ ระวังหน่อย ช้าๆ ครับ
เราไปวันศุกร์ คนเรือบอกว่าวันนี้ทั้งวันมีเราเนี่ยหละ ฮา ฮา ขึ้นแพไปกัน ลงแพหนที่ 2 นี้ สวยกว่าช่วงแรกอีก เพราะช่วงนี้กว้าง 7 กม. แน่ะ เห็นฝั่งลิบๆ ครับ บรรยากาศสุดๆ ครับ เกือบ 50 นาทีครับ กว่าจะถึงฝั่ง แต่ก็ได้นั่ง เดินเล่นบนแพ ได้ถ่ายรูป จนฉ่ำใจ มีเรา 2 คน กับคนขับเรือและเด็กประจำเรือ เขาก็ชวนคุยดีนะครับ ทราบว่า เสาร์-อาทิตย์ คนจะแยะหน่อย และท่าแพปัจจุบันนี้ ได้ย้ายมาจากท่าเดิมเพราะทางขึ้นลงไม่สะดวก แถมห่างจากฝั่งโน้น 9 กม. ถึงฝั่งเรียบร้อยจ่ายไป 150 บาท ตรงตามที่ จนท.บอก คุ้มนะผมว่าเมื่อเทียบกับการนั่งเรือหางยาวชมเขื่อน แต่นี่เดินไปเดินมา ถ่ายรูป นั่งคุย กินเสบียงที่เตรียมมา เครื่องดื่ม ผลไม้พร้อม อย่างกะนั่งเรือสำราญแน่ะ ขึ้นฝั่งโลดโผนนิดหน่อย เพราะน้ำหนักเรือ + รถ 1 คัน ค่อนข้างเบาทำให้กระดานเทียบได้ไม่สุดดี ต้องตะกายนิดหน่อย แต่ไม่มีปัญหาครับ คุณแก่ผ่านได้สบายมาก
จากนั้นขับต่อไปอีกนิดหน่อยจะมีป้ายบอกทางซ้ายมือว่าเข้าอุทยานฯ 1 กม. ตรงไปคือ ทองผาภูมิ เห็นถนนไปทองผาภูมิแล้วอยากร้องไห้ พ่อรังมั๊งไม่ใช่ลูกรังแล้ว พอเราเลี้ยวซ้ายเข้าอุทยานฯ ระยะ 1 กม. เราไปได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 15 กม. แถมต้องค่อยๆ ไป ถนนเป็นร่องลึกยาวแต่แห้งครับ ฝนพรำๆ แต่ยังไม่เละ เกือบมืดแล้ว ตอนนั้นใจหายใจคว่ำเหมือนกัน เฮ้อ ในที่สุดก็มาโผล่ที่อุทยานฯ จนได้ ขับเข้าไปยังไม่ทันจอดเลย จนท.เดินเข้ามาสวัสดี ถามว่าจะไปไหนครับ ก็เลยบอกว่าจะมากางเต็นท์ แกก็เลยแนะนำให้ไปจอดรถตรงที่จอด มาช่วยยกของลงให้ด้วยแน่ะ น่ารักเชียว ฝนพรำๆ ครับตอนนั้น ก็ไปตั้งเต็นท์ตรงจุดชมวิว ตามที่คุณแม่น้องเซ็ทบอกว่าสวยนะแหละครับ ได้ยินเสียงน้ำตกชัดเจน มองไปก็เห็นรางๆ ว่าสวยและน้ำแยะมาก จนท.บอกว่าจะกางเต็นท์ในอาคารไม้ก็ได้นะครับ อาคารนี้ตั้งติดกับจุดชมวิวนะแหละครับ แต่คงเอาไว้ใช้สัมมนาหรือบรรยายนะครับ เปิดโล่งหมด 4 ด้าน แหมอุตสาห์ขนเต็นท์มาจะให้มากางในอาคารได้อย่างไร ไม่เป็นไรกินข้าวก่อนดีกว่า ติดไฟ หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมมาบ้างแล้ว ทางอุทยานฯ ก็มีร้านอาหารบริการตามข้อมูลนะครับ แต่ทำทานเองได้บรรยากาศกว่า ทานข้าวเสร็จฝนหยุดพรำๆ แล้ว ก็เลยได้ฤกษ์กางเต็นท์ อากาศเย็นสบาย ห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ สะดวกครับ มีไฟฟ้าเปิดให้ด้วย อาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งกะหนุงกะหนิงกัน หลับสบายครับ
เช้ามองผ่านประตูเต็นท์ออกไป ก็เห็นภาพตามที่คุณแม่ฯ บรรยายนะครับ เราอยู่ที่นี่กัน 2 คืนครับ อิ่มเอม กิน นอน เล่นน้ำ เดินเที่ยว ชื่นชมบรรยากาศ มีนักท่องเที่ยวบ้าง แต่มาพักที่บ้านรับรองครับต่างคนต่างอยู่ พบกันก็โอภาปราศรัยกันอย่างอบอุ่นดี ไม่มีฉิ่งฉับ เยี่ยมมาก อุทยานฯ สะอาด จนท.ทุกท่านมีไมตรีจิตและรับแขกตลอด ขากลับเรากลับทางบกลูกรังนะแหละ จนท.บอกว่าถ้าอยากกลับทางลูกรังให้รอสายหน่อยแดดออก ถนนจะได้แห้งบ้าง ก็ตกลง ประมาณเกือบ 2 ชม. ครับกว่าจะออกมาได้ ถนนเละพอควรต้องระมัดระวังหน่อย ไปช้าๆ ไม่น่าจะมีปัญหา แต่กระเทือนพุงน่าดู คุณแก่เราใช้ยางแบบแรลลี่ตะกุยดินได้พอควร
หน้าแล้งถนนแห้งคงไม่เละเท่าไรนัก ขาลงมาแวะที่เขื่อนศรีนครินทร์ ทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารของเขื่อน บรรยากาศดีครับ ราคาปกติ
จากนั้นมาแวะที่เอราวัณครับ เหอ เหอ หน้ามือเป็นหลังมือกับข้างบนเลยครับ คนแน่นมาก แถมเอาอาหารการกินเข้าไปได้ บางพวกก็กินเหล้ากัน ส่งเสียงเอ็ดตะโร ขยะเกลื่อน ห่วยแตกจริงครับพวกนี้ สงสารก็แต่เด็กๆ นักเรียนผู้หญิงที่ไปทัศนศึกษานะครับ ต้องคอยหลบพวก ปม. ที่คอยแซว คอยเดินตาม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวฝรั่งที่เป็นผู้หญิง ถึงพวกเธอจะไม่เข้าใจภาษาไทยแต่ก็คงเข้าใจความหมายและกริยาที่แสดงออกมาได้ น้ำตกที่นี่สีแปลกดีครับ ออกเขียวๆ คล้ายสระว่ายน้ำ เข้าใจว่าเป็นเพราะเป็นน้ำตกหินปูนหรือเปล่าไม่แน่ใจ ประทับพาสสปอร์ตแล้วก็กลับบ้าน เอาใจช่วย จนท. ครับ คนแยะขนาดนี้ต้องเด็ดขาดหน่อย + สามัญสำนึกของนักท่องเที่ยวด้วย จบ
ข้อสังเกตนะครับ ถ้าเวลาแยะ ออกได้ตั้งแต่เช้า แนะนำให้ไปใช้บริการแพขนานยนต์ครับ เวลาอาจจะมากกว่าไปทางลูกรังหน่อยแถมต้องเสียค่าเรืออีก แต่สวยครับ ขากลับค่อยเอารถมาลุยลูกรังกัน แต่ถ้าจะไปทางลูกรังก็ได้นะครับ ถ้าฝนไม่ตกจนเละ รถเก๋งก็ไปได้ แต่ช้าๆ นะครับ เที่ยวให้สนุกครับ แล้วยังไงเล่าสู่กันฟังอีกนะครับว่าตรงไหนสวย ไปได้อย่างไร รุ่นใหญ่ๆ น่าจะมองอะไรที่สวยได้คล้ายกันนะครับคุณแม่ฯ


จาก
นายแม้นคนสวน
29/08/2000


บันทึกความทรงจำประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง


Image Loading...