banner


เดินป่าที่แม่วะ
โดย คุณชัยยุทธ

27 ก.ย. 43

ป่าแม่วะ เป็นป่าที่ยังไม่ค่อยมีผู้คนรู้จักกันมากนัก ผืนป่ายังบริสุทธิ์ มีน้ำตกที่สวยมาก เดินไม่ไกลเหมือนภูสอยดาว อยู่ที่ อ. เถิน ลำปาง นี่คือข้อมูลที่ได้รับจากน้านุ้ก เพื่อนเที่ยวป่าคนสำคัญ น้านุ้กได้รับข้อมูลนี้จากน้องคนหนึ่งที่ขึ้นไปถ่ายทำสารคดีเรื่องช้างบ้านคืนสู่ป่า เราจึงตัดสินใจไปที่อช. แม่วะกัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ วางแผนว่าจะไป ภูวัวที่ หนองคาย โดยที่ปราศจากข้อมูลอื่นใด เราจึงไม่ได้วางแผนการเดินทางอย่างเป็นทางการมากนัก งานนี้ คุณบุญยืน กับลูกชาย ขอตัวไม่ไปด้วย เนื่องจากติดภาระกิจ จึงมีเรา น้านุ้ก และเพื่อนสาวอีก 3 คน คือ แกละ ช้อต และ ดาว ร่วมกันเดินทาง โดยมีเราเป็นคนขับรถเหมือนเช่นเคย จากกรุงเทพ ไปลำปาง เราคาดกันว่าจะใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เราจึงเริ่มออกเดินทางกันตอนเที่ยงคืน จุดนัดพบของเราอยู่ที่หมู่บ้านสุขใจ ถนนรามอินทรา เที่ยวนี้เราเลือกใช้เส้นทาง มอเตอร์เวย์ แล้วจึงไปเลี้ยวเข้า สายเอเซียตรงต่างระดับบางปะอิน ตรงดิ่งไปนครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก แล้วก็เถิน ข้างหน้ามีเรา กับ น้านุ้ก ส่วนข้างหลังก็มี 3 สาว เราแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม jet ต้นถนนสายเอเซีย พร้อมกับซื้อของใช้บางอย่างที่ยังขาดอยู่ หลังจากนั้นก็ขับรวดเดียวไปสว่างที่ตาก


28 ก.ย. 43

ประมาณ 7 โมงเช้า เราแวะดื่มกาแฟสดกันที่ร้านแห่งหนึ่งแถวปากทางเข้าเขื่อนภูมิพล ก่อนถึง อ. แม่พริกประมาณ 30 กม. เพื่อรอเวลาให้เจ้าหน้าที่อุทยานเปิดที่ทำการเสียก่อน เราจึงจะเข้าไปติดต่อ กาแฟสดกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย กับไอหมอกหลังฝนตก และกลิ่นดินผสมกับใบไม้ ช่างเป็นบรรยากาศที่ทำให้พวกเราอยากจะขึ้นไปสัมผัสกับป่าแม่วะมากขึ้น จากปากทางเข้าเขื่อนภูมิพลไปถึงแม่วะระยะทางประมาณ 50 ก.ม. เมื่อเห็นป้ายเล็กๆบอกทางเข้าอุทยานทางซ้ายมือ ให้ขับเลยมาประมาณ 1 ก.ม. แล้วสังเกต ร.ร. แม่วะวิทยาคม ทางขวามือไว้ เมื่อเห็นโรงเรียนแม่วะวิทยาคม ให้ขับเลยไปอีกหน่อย แล้วอ้อมกลับรถมา เพราะทางเข้าที่ทำการอุทยานจะอยู่ข้างโรงเรียน ส่วนคนที่ไม่มีรถ ให้ลงรถประจำทาง ที่ อ. แม่พริก แล้วเหมา มอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าไปที่อุทยาน หรือจะโบกรถจากหน้าโรงเรียนไปก็ได้ ระยะทางประมาณ 8 ก.ม. จากปากทางถึงที่ทำการอุทยาน เมื่อเช้าที่เราไปถึง เราได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากท่านหัวหน้าอุทยาน คุณนิวัฒน์ หงส์พันธุ์ และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน เราแจ้งความจำนงค์กับท่านหัวหน้าอุทยานว่าจะค้างคืนกันที่น้ำตกในป่า ท่านก็ไม่ขัดข้อง จัดหาเจ้าหน้าที่และคนนำทางที่ชำนาญพื้นที่ให้ 3 คน พร้อมกับช่วยแบกสัมภาระของพวกเราที่ เตรียมกันมาให้ด้วย และอธิบายเส้นทางการเดินป่าให้พวกเรารับทราบ ต้อนรับพวกเราด้วยกาแฟร้อน เรากราบลาท่านหัวหน้าอุทยานเมื่อเวลา 09.00 น. เพราะว่าเราจะต้องไปเดินขึ้นน้ำตกกันที่หน้าหน่วยพิทักษ์ป่า ซึ่งห่างจากที่ทำการไปประมาณ 10 ก.ม. เมื่อไปถึงที่หน่วยพิทักษ์ป่า เราต้องจอดรถไว้ที่นั่น จัดเตรียมสัมภาระ เพื่อขนถ่ายมาขึ้นรถขับเคลื่อน 4 ล้อของอุทยานต่อไปอีก 500 เมตร เที่ยวขึ้นจะมีเจ้าหน้าที่ 6 คนไปกับเรา คือ คุณหนุ่ม คุณประหยัด คุณมิตร ( ควาญช้าง ที่ดูแลช้างบ้านที่นำมาปล่อยกลับคืนสู่ป่า ตามโครงการของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ)คุณพวน และ คุณแดง (เจ้าหน้าที่ลาดตระเวน ) คุณ ศรายุทธ เรืองชัย (หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่า) แต่จะค้างคืนกับเราแค่ 3 คน คือคุณพวน คุณแดง และ คุณมิตร เส้นทางเดินขึ้นไม่ค่อยโหดเหมือนภูสอยดาว เพราะเป็นการค่อยไต่ระดับความสูง ระยะทางไม่ไกลมากนักเพียงแค่ 2 กิโลกว่าเท่านั้น





จุดแรกเราต้องเผชิญกับความเสียวด้วยการเดินข้ามน้ำตกบนไม้ไผ่ขัดแตะ กับน้ำหนักตัวที่เกือบจะ 120 ก.ก. ดูเป็นการท้าทายที่น่าลองเสี่ยง (จริงๆ ไม่ได้เสี่ยงหรอกเพราะสะพานไม้เขาแข็งแรงดี ) เรากลัวๆกล้าๆ แต่เมื่อมาแล้วนี่ กลับไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็ข้ามมาได้ ฝนเริ่มโปรยละอองลงมาให้เราเปียกเล่นๆ สักพัก จากตรงจุดนี้ เราจะต้องเดินเลาะไปตามลำธารเพื่อขึ้นไปถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นชั้นที่สวยที่สุด เราแวะพักเหนื่อยกันที่น้ำตกชั้นที่ 4 เพราะจากตรงนี้ เราจะต้องไต่ระดับความสูงที่เป็นทางชันในบางช่วง ทางเดินแคบ และค่อนข้างลื่น เนื่องจากฝนตกตอนที่เรากำลังขึ้นมา ในที่สุดเราก็ปีนมาถึงทางราบระหว่างน้ำตกชั้นที่ 5 และ 6 น้องดาวเธอถึงกับหน้าซีด คงเป็นเพราะไม่ได้ทานอาหารเช้า และอดนอนเมื่อคืน จึงทำให้ร่างกายยังปรับสภาพไม่ได้ เราเลยหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันกันที่นั่น อย่างที่บอกไว้ การเตรียมตัวของเราไม่ดีพอ เลยทำให้ลืมนึกถึงอาหารกลางวันที่จะต้องติดตัวขึ้นมาทานระหว่างทาง เดือดร้อนถึงเจ้าหน้าที่ ต้องแบ่งปันอาหารที่เตรียมมาให้กับพวกเราทาน อาหารมื้อนั้นอร่อยสุดๆ คงเป็นเพราะหิว เราทานข้าวผัดที่ลูกชายเตรียมไว้ให้เมื่อคืน ส่วนอีก 4 คน ทานข้าวเหนียวของเจ้าหน้าที่ป่าไม้กับหมูทอดที่เตรียมมาจากกรุงเทพของน้านุ้กเรานั่งพักเหนื่อยกันอยู่นาน ไม่ต้องรีบร้อนเพราะใกล้ถึงจุดหมายแล้ว อีกประการหนึ่งคือทางเดินขึ้นจะลำบากมากกว่าที่ผ่านมา เราจะต้องข้ามลำธารถึง 2 แห่ง แห่งแรกตรงที่เรานั่งพัก โชคดีที่น้ำมีไม่มาก ทำให้พอเห็นทางเดินที่เป็นแก่งหินได้ แต่การเดินข้ามก็ยังค่อนข้างลำบาก เพราะความลื่น ทางเดินช่วงนี้จะแคบและชันขึ้น บางช่วงก็มีบันไดไม้ไผ่ช่วย ไม่ต้องออกแรงปีนมากนัก ความโหดช่วงนี้ ประมาณ เนินมรณะที่ภูสอยดาว คิดว่ามากกว่าด้วยซ้ำ เพราะความชันของทางเดินเกือบๆ 70 องศา มีบางช่วงต้องคลาน 4 ขาเลย เพราะหมดแรงปีน จากจุดที่เราพัก เราใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นชั้นที่มีหน้าผาสูงที่สุด สายน้ำไหลแรงมาก เจ้าหน้าที่ที่มากับเราปรึกษากันว่าจะให้เราพักที่นี่ เพราะสะดวกในเรื่องน้ำและการหุงหาอาหาร เราและน้านุ้ก ช่วยกันกางเต้นท์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ 3 ท่านก็จัดเตรียมที่พักเช่นเดียวกัน คุณมิตรแยกไปนอนบนที่สูงคนเดียว ส่วนอีก 2 คน คือ คุณพวน และ คุณแดง ผูกเปลสนามนอนใกล้กับพวกเรา คุณหนุ่ม คุณประหยัด และหัวหน้าศรายุทธ ขอตัวกลับ หลังจากส่งเราถึงที่หมาย และนัดหมายกับพวกเราว่าจะมารับเราที่ปากทาง เวลาที่เหลือของเราก็คือการพักผ่อน เพราะค่อนข้างเพลียจากการเดินทาง ครึ่งคืน กับ ครึ่งวัน เรี่ยวแรงหายหมด เราได้แต่นั่งมองน้ำตกอยู่นาน สัก 4 โมงเย็น คุณ แกละ ช้อต และ ดาว ก็รับหน้าที่เป็นแม่ครัว ปรุงอาหารเย็น เราซื้ออาหารสดจากร้านระหว่างทางที่จะมาน้ำตก เป็นร้านค้าเล็กๆ สินค้ามีให้เลือกไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นของแห้งเสียมากกว่า ถ้าจะให้ดี เลือกซื้ออาหารสดจากตลาดแม่พริกจะดีกว่า อาหารเย็นวันนี้ มีผัดกระเพรา ไข่เจียว แล้วก็ยำปลากระป๋อง อาหารมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ อย่างที่บอกไว้ว่าการเดินทางครั้งนี้เตรียมการไม่ค่อยดี จึงทำให้ลืมโน่นลืมนี่ อย่างเช่น ช้อนก็เอามาไม่ครบคน เราจึงต้องทานข้าวด้วยมือ ส่วนทัพพีก็ลืม ได้ไม้ไผ่เหลาเป็นพายจากฝีมือคุณแดง ช่วยทำให้อาหารสำเร็จทุลักทุเลพอสมควรกว่าอาหารจะเสร็จ อากาศตอนเย็นในป่าค่อนข้างมืดเร็ว เราอาศัยน้ำในลำธารข้างที่พักอาบ น้ำเย็นมาก เรากับน้านุ้ก มุดเข้าเต้นท์ตั้งแต่หกโมงเย็น มาตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงฝนตกหนัก ราวๆ ตีสอง ลุกขึ้นมาดูน้ำในลำธาร เห็นว่ายังปลอดภัยอยู่เลยกลับเข้ามานอนต่อ มารู้เอาตอนเช้าว่าเจ้าหน้าที่เขาก็ดูแลเรื่องน้ำเหมือนกัน เพราะที่ที่เรานอนเป็นทางน้ำผ่าน เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าฝนตกหนักมากกว่านี้ จะปลุกพวกเราให้ย้ายขึ้นไปที่สูง เพราะเกรงเรื่องน้ำหลาก เจ้าหน้าที่เขาคงหลับๆตื่นๆระวังภัยให้พวกเราทั้งคืน


29 ก.ย. 43

เช้าวันนี้ ตื่นขึ้นมาด้วยอาการแจ่มใส อากาศสดชื่นดีจริงๆ เพราะฝนเพิ่งตกใหม่ๆ ไอหมอกไหลผ่านยอดน้ำตก เมื่อคืนใครบางคน นอนไม่หลับ แอบกระซิบให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้หุงข้าวในกระบอกไม่ไผ่ให้ที เจ้าหน้าที่ท่านก็ใจดี ไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ จัดแจงก่อไฟ แต่เมื่อคืนนี้ฝนตก เลยทำให้การก่อไฟค่อนข้างยาก กว่าจะติดได้ใช้เวลามากทีเดียว คุณมิตรค่อนข้างชำนาญมากในการก่อไฟหลังฝนตก ทำการขูดผิวไม้ไผ่ให้เราก่อกองไฟได้สำเร็จ คุณแดงกับ คุณพวนช่วยกันไปตัดไม้ไผ่ลำโตมาให้เราเพื่อหุงข้าว และต้มน้ำ น้ำที่นำมาด้วยเหลือน้อยมาก ต้องประหยัดไว้สำหรับเดินระหว่างทาง เลยต้องเดือดร้อนถึงคุณแดง ต้องไปหาน้ำจากแหล่งธรรมชาติบนน้ำตกมาให้เราได้ต้ม เพื่อดื่มกาแฟตอนเช้าและต้มโจ๊ก



เช้าวันนี้รู้สึกว่าพวกเรารบกวนเจ้าหน้าที่เขามากมาย กว่าอาหารของพวกเราจะสุกรับประทานได้ วันนี้คุณแกละ บรรจงเจียวไข่ กับผัดฟักทองกับไข่ ให้เราได้ทานกัน โดยมีอาหารกระป๋องพวกแกงเขียวหวานปลาทูน่า กับผัดพะแนงปลาทูน่ามาเสริมความอร่อย เช้าวันนั้นเราทานข้าว 2 จานกับตะเกียบที่คุณมิตรเหลาจากไม่ไผ่สดๆให้เรา 1 คู่ ( เราเก็บมาเป็นที่ระลึกด้วย แต่หล่นหายระหว่างทางเสียก่อน ) น้านุ้ก คุณแกละ ช้อต และ ดาวก็ไม่น้อยหน้ากัน ช้อตทานโจ๊กกระป๋องไปแล้ว ยังต้องหันมาพึ่งข้าวจากกระบอกไม้ไผ่อีก 1 จาน เช่นเดียวกับคุณแกละ คงเพราะกลัวว่าจะอดระหว่างทาง กว่าจะจบอาหารเช้าได้ก็ร่วม 9.00 น. เราเร่งเก็บเต้นท์ และเก็บกวาดขยะให้หมด ก่อนออกเดินทางกลับลงสู่ที่ราบ เพราะคุณหนุ่มนัดเราไว้ที่ทางลงประมาณเที่ยง ทางที่เราจะลงต้องไต่เขาขึ้นไปอีกประมาณ 1 ชั่งโมง จึงจะเป็นที่ราบสันเขา แล้วก็ลดระดับลงไปเป็นทางเดินที่ราบ จากน้ำตกชั้นที่ 7 ทางเดินขึ้นจะชันมาก ราว 80 องศา มีบางช่วงที่เป็นดินร่วน คุณพวนบอกเราว่า ดีที่เมื่อคืนฝนตกลงมา เลยทำให้ดินเกาะกัน ไม่ร่วนซุยไม่งั้นคงต้องล่วงหน้ามาทำบันไดให้เราเดินกันแน่ เราแบกน้ำหนัก 118 ก.ก. กับเป้บนหลังอีก 10 ก.ก. ขึ้นไปตามหลังพวกหนุ่มๆสาวๆ มีหยุดบ้างเป็นระยะ บางทีเดินได้ 100 เมตรก็ต้องหยุดสักที เพราะทางชันและต้องอาศัยกำลังขาในการปีนมากมีอยู่ช่วงหนึ่ง เราเดินได้ 15 ก้าวต้องหยุดหอบทีหนึ่ง พอมองลงไปข้างล่างมันไม่เห็นอะไรเลยนอกจากยอดไม้ ใจเราหวิวๆอย่างไรไม่รู้ ช่วงที่ก่อนจะถึงเนินบนสุด เป็นทางชันมาก คุณมิตร ต้องเอาเปลสนามมาผูกเพื่อให้เราใช้ดึงขึ้นไป เพียงชั่งโมงเดียวเราถึงกับหมดแรงนอนหมดสภาพบนยอดภูกันเกือบทุกคน เราใช้เวลาพักที่นี่เกือบ 30 นาที ก่อนออกเดินทางต่อเพราะฝนเริ่มเตือนให้เราต้องเร่งฝีเท้าลงจากภูแล้ว เสียงคุณมิตรเชิญชวนให้เราลงไปดูน้ำตกชั้นที่ 8 ก่อนที่เราจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พอแล้ว เท่านี้ก็สวยมากแล้ว จากจุดที่เราพักเราเดินกันชนิดเร่งตามควายกันเลย เพราะฝนไล่หลังเรามาติดๆ ในที่สุดก็หนีไม่พ้น ต้องเดินกันท่ามกลางสายฝนที่ค่อนข้างเย็น เรากับเจ้าหน้าที่3 คนไม่มีเสื้อฝน เลยเดินตากฝน สนุกดีสำหรับเรา ระหว่างทางเราพบขี้ช้างใหม่หลายกอง เสียงใครบางคนภาวนาขอให้ได้เจอช้างในป่า การเดินทางลงช่วงนี้ไม่ค่อยลำบากมาก เพราะจะเดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้ให้ แล้วก็ไม่ต้องปีนเขาอีก เป็นทางลดระดับลงที่ต่ำ เราแวะพักตรงจุดชมวิว เพื่อรอคณะที่จะขึ้นมารับพวกเรา มองลงไปข้างล่างไม่เห็นอะไร เพราะเมฆฝนปกคลุมอยู่หนาทึบ เราเดินทางลงมายังจุดนัดพบประมาณบ่ายโมงกว่า คุณหนุ่มพาพวกเรากลับไปยังหน่วยพิทักษ์ป่า เพื่ออาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ก่อนที่จะไปทานอาหารกลางวัน ที่ร้านครัวกาญจนา ริมถนนสายเอเซียร่วมกัน แม่ครัวที่นี่ปรุงอาหารได้ถูกปากนักดื่มมาก อาหารรสจัด ประเภทยำก็อร่อย ต้มยำก็แซ่บ ซดน้ำคล่องคอดี เราใช้เวลาที่นี่จนเกือบหกโมงเย็น ก่อนที่จะอำลาคณะเจ้าหน้าที่ป่าไม้เดินทางไปพักที่เขื่อนภูมิพล ด้วยใบหน้ามี่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ



ขอขอบคุณ

คุณ นิวัฒน์ หงส์พันธ์ หัวหน้าอุทยานแม่วะ
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกท่านที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางและค้างคืนที่น้ำตก
คุณ หนุ่ม เจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเดินทาง


เวปบอร์ดเดินป่าแม่วะ