การเดินทางครั้งนี้จัดขึ้น 13-18 มีนาคม 2544 โดยมีผมและน้องชายเป็นผู้ร่วมเดินทาง
เอาล่ะครับ เข้าเรื่องโปรแกรมการเดินทางกันดีกว่าเพื่อเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนๆ ตลอดจนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันด้วย
13 มีนาคม
ออกเดินทางจากสายใต้ใหม่ประมาณ 18.30 โดยรถ ป.1 สายตรัง ละงู สตูล
14 มีนาคม
รถของเราไปถึงที่ละงู ประมาณ 9 โมงจากนั้นเราต่อรถสองแถวไปยังท่าเรือ ปากบาลา ค่ารถคนละ 12 บาท ระยะทางไม่ไกลนัก 10 นาทีก็ถึง เราได้ผู้ร่วมทริปเพิ่มอีก 2 คนด้วยล่ะ เป็นคุณลุง-คุณป้าคู่หนึ่ง อายุ60กว่าๆแล้วล่ะ เจอกันตอนรถถึงที่ละงู น่ารักมากๆเลยครับ เที่ยวกันมาจะทั่วไทยอยู่แล้ว อย่างนี้ต้องมอบเพลงเพราะฉะนั้นจึงรักกันเช่นฉะนี้ ให้ซะแล้ว
หลังจากถึงท่าเรือ เราซื้อตั๋วเรือเมล์แบบไปกลับ ท่าเรือ- ตะรุเตา อาดัง ราคา 800 บาท โดยเราวางแผนที่จะนอนตะรุเตา 1 คืน และอาดัง 2 คืน ส่วนคุณลุงกับป้านอนตุรุเตาทั้งสองคืนเลย ตั๋วเรือก็แค่ 300 บาทเท่านั้น อากาศเปิดแบบสุดๆ ผิดกับที่กรุงเทพฯลิบเลย จากนั้นเราก็ติดต่อเรื่องที่พักกับกรมป่าไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ซื้อตั๋วเรือนักเพื่อรับใบเสร็จบ้านพักที่ได้จองไว้ ห้ามลืมเด็ดขาดนะครับไม่งั้นจะวุ่นวายทีเดียวเมื่อไปถึงเกาะแล้ว เรือออกประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ซึ่งระหว่างรอเรือออกนั้น ความตื่นเต้นแรกก็มาเยือนเมื่อเราส่องกล้องไบน็อกส์คู่ชีพไปยังนกที่ร่อนอยู่บนท้องฟ้า มันคือ เหยี่ยวแดง ( Brahminy Kite ) ร่อนต่ำมาก สวยงามมากและยังเป็น new record สำหรับฉันด้วย ยังไม่ทันหายดีใจ เราก็ได้เจอ นกออก ( White-bellied Sea-Eagle )ซึ่งร่อนอยู่ไม่สูงนักเช่นกัน เป็นนกที่หายากเสียด้วย ซึ่งน้องฉันคือเจ้าบุ๊ค ดีใจมากๆ และเรายังได้เห็นอีกหลายครั้งก่อนเรือจะออก และยังเจอนกเอี้ยงดำปักษ์ใต้ ( Philippine Glossy Starling ) ตัวดำสนิทจริงๆ
เรือออกเดินทางถึงท่าเรือพันเต มะละกา ที่เกาะตะรุเตาประมาณเกือบบ่าย จัดแจงเรื่องที่พักแล้วก็กินข้าวกลางวัน อาหารที่นี่ต้องแลกคูปองด้วย ราคาอาหารจานเดียวจานละ 40 บาท น้ำกระป๋องละ 15 บาท ก็โอเคล่ะไม่แพงเกินไป และทำได้อร่อยพอสมควร จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันได้ 11 คนเหมาเรือไปยังถ้ำจระเข้ เสียคนละ 40 บาท ระหว่างทางที่เรือแล่นเข้าคลองภายในเกาะ สองข้างทางเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์อยู่มาก สักพักก็ไปถึงยังท่าเทียบเรือเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเดินเข้าถ้ำ ภายในถ้ำแนะนำว่าให้เตรียมไฟฉายไปด้วยเลย เพราะไฟที่ทางอุทยานจัดทำไว้เสียหายไปมากกว่าครึ่งแล้วทำให้มืดพอสมควร คนขับเรือก็คือไกด์นำทางภายในถ้ำนั่นเอง ที่แปลกกว่าถ้ำอื่นก็คือการจะเดินเข้าไปชมถ้ำนั้นเเราจะบนทางเดินโฟมลอยน้ำ น่าตื่นเต้นพอสมควร คุณลุงคุณป้าที่ไปด้วยเกือบแย่แน่ะเพราะไฟฉายมีแค่อันเดียวคือของคนนำทางและระหว่างทางเดินก็มีหินย้อยโผล่มาหลายจุด คุณลุงกับป้าจึงขอตัวพักกลางทาง ภายในถ้ำก็สวยงามพอใช้แต่ไม่ค่อยมีอะไรมาก เมื่ออดีตเคยเป็นวังจระเข้น้ำเค็มซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ขึ้นเรือกลับที่พัก นกที่พบเราพบเพิ่มเพียงแค่ชนิดเดียว คือ นกกินปลีดำม่วงตัวผู้ ( Purple Sunbird ) หลังจากถึงที่พักเราก็เดินเล่นดูหาดดูนกกัน เจอนกนอนอาบแดดหลายตัวทีเดียว :O นกที่เราพบก็ได้แก่ นกจาบคาหัวเขียว ( Blue-tailed Bee-eater ) , นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ ( Greater Racket-tailed Drongo ), นกขมิ้นท้ายทอยดำ ( Black-naped Oriole ), นกอีเสือสีน้ำตาล ( Brown Shrike ), นกเอี้ยงถ้ำ ( Blue Whistling Thrush ) ตัวใหญ่มากหากินอยู่ใต้เรือนแถวที่พักนั่นแหล่ะ แถมยังวิ่งได้เร็วอีกต่างหาก , และนกปรอดที่ฉันพบชนิดเดียวที่ตะรุเตานี้ ก็คือ นกปรอดคอลาย ( Stripe-throated Bulbul ) , บริเวณชายหาดนอกจากนกนางแอ่นที่บินร่อนกันอยู่หลายตัวแล้ว เรายังพบนกยางทะเล ( Pacific Reef-Egret ) และเรายังพบนกแก๊ก ( Oriental Pied Hornbill ) 1 ตัว ซึ่งดูเหมือนไม่ใช่นกป่า เพราะอยู่แค่ตัวเดียวและวนเวียนไปมาบริเวณที่พัก
หลังจากเดินเล่นอยู่ถึงประมาณห้าโมงเย็น เราก็เดินทางขึ้นผาโต๊บู โดยใช้เวลาประมาณแค่ 20 นาทีก็ขึ้นถึง ระหว่างทางขึ้นเราพบนกตะขาบดง ( Dollarbird ) เกาะอยู่ใกล้ทีเดียว สวยงามมาก เราจึงเสียเวลากับมันไปหลายนาที ที่ผาโต๊ะบูนี้เราสามารถชมอ่าวพันเตฯได้ทั้งหมด และชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจน แนะนำว่าให้อยู่จนเห็นพระอาทิตย์แตะเส้นขอบฟ้าเลยนะครับเพราะสวยงามมาก ไม่ต้องกลัวมืดระหว่างลงเพราะขาลงใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็นั่งเล่นไปดูสไลด์ที่ที่ทำการฯ ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้นำทางดูนกในเข้าวันรุ่งขึ้น ที่พักที่ผมจองเป็นแบบเรือนแถวไม่มียุงเลยและเรือนแถวนี้มีมุ้งให้ไม่ต้องกลัวเรื่องแมลง แต่อากาศค่อนข้างร้อนถ้ามากัน2 คนแบบเรา แนะนำให้กางเต้นท์จะดีกว่า เลือกจุดได้ตามใจฉันลมเย็นอีกต่างหาก ส่วนเรื่องน้ำและไฟไม่ต้องห่วงเพราะมีตลอด 24 ชั่วโมง ก่อนนอนได้มีโอกาสคุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งเค้ามาเที่ยวที่นี่บ่อยมากๆ บอกว่าเมื่อก่อนี้ไม่นานที่นี่ยังสงบกว่านี้มาก สิ่งก่อสร้างต่างๆยังน้อย
ไฟฟ้าปิดตอนสี่ทุ่มซึ่งเราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าเพราะที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติหลังจากสี่ทุ่มแล้วไม่ควรจะมีกิจกรรมอะไรแล้ว และคืนนั้นหลังจากสี่ทุ่มแล้วห้องแถวข้างๆก็หัวเราะคุยกันเสียงดังทีเดียว ยังงัยก็ตามคืนนั้นเราก็หลับอย่างสบายรอรับแสงตะวันของวันรุ่งมาเยือนเพื่อการไปสำรวจเส้นทางเสี้ยวเล็กๆเสี้ยวหนึ่งของเกาะตะรุเตานี้
วันที่ 15 มีนาคม
ตื่นนอนกันตอน 6 โมงเช้า เดินไปยังศูนย์บริการฯตามที่นัดเจ้าหน้าที่ไว้ตอน 6.30 น. ปรากฎว่า no one at there สงสัยจะยังไม่ตื่น เราจึงตัดสินใจไม่รอ และเดินทางกันเอง เราเดินไปตามเส้นทางคอนกรีตอย่างดี เป็นเส้นทางที่มุ่งไปอ่าวสนซึ่งเมื่อไม่นานนี้ยังเป็นทางลูกรังอยู่เลย และภายในบริเวณที่พักจะเห็นว่ามีการก่อสร้างต่างๆอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โรงอาหาร หรือที่พักเพิ่ม แสดงให้เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มมากขึ้นๆ
เกาะตะรุเตา เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ถึง 152 ตารางกิโลเมตร จึงไม่เแปลกที่จะมีกิจกรรมบนเกาะต่างๆมากมายเช่น เดินป่า ดูนก พายเรือ ขี่จักรยาน เป็นต้น กิจกรรมที่เราทำกันเช้านี้ก็คือการดูนก ช่วงแรกที่เราเดินนั้นไม่พบนกใหม่มากนัก เดินได้ประมาณ 800 เมตร แทนที่จะได้พบนก เรากลับพบ หมูป่า ที่ออกมาหากินริมชายป่า 1 ตัว เราเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินไปอ่าวสน และก็ได้พบนกที่น่าประทับใจจนได้ ตัวเล็กมากใจตอนแรกนึกว่าเป็น นกสีชมพูสวน ( Scarlet-backed Flowerpecker )ซึ่งพบได้บ่อยทีเดียว ปรากฎว่าเป็น นกกาฝากท้องสีส้ม ( Orange-bellied Flowerpecker ) กินเกสรดอกไม้อยู่ตรงหน้าเลย เป็นตัวผู้สีสันสวยงามบาดตาบาดใจจริงๆ แล้วเรายังพบนกกินปลีคอแดงตัวผู้ ( Crimson Sunbird ) , นกจับแมลงจุกดำตัวเมีย ( Black-naped Monarch ) , นกกินปลีคอสีม่วงตัวผู้ ( Purple-throated Sunbird ), นกกินแมลงอกเหลือง ( Striped Tit-Babbler ) เป็นต้น และเหยี่ยวที่เราพบก็ยังคงเป็นเหยี่ยวแดงซึ่งมีเยอะจริงๆ และก็นกออก กลับมายังที่พักก็ประมาณ 9 โมงแล้ว รวมแล้วได้นกประมาณ 30 ชนิด
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็มานั่งเล่นริมชายหาด มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งอยู่หลายจุดเป็นการพักผ่อนที่ดีมากๆก่อนการเดินทางต่อไปยังเกาะอาดัง โดยประมาณบ่ายโมงเราก็นั่งเรือเมล์ต่อไปยังเกาะอาดังซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะไปนั้นปรากฎว่ามีแค่ผมกับน้องเท่านั้นที่เป็นคนไทย และแล้วความหวังที่จะหาคนแชร์ค่าเรือเพื่อดำน้ำก็เริ่มเลือนลาง
และแล้วประมาณสี่โมงเย็น เรือก็แล่นไปถึงตรงกลางระหว่างเกาะหลีเป๊ะ และเกาะอาดัง เราต้องนั่งเรือหางยาวต่อไปยังเกาะที่ต้องการจะไป ค่าโดยสารคนละ 30 บาท ไม่มีใครบนเรือไปเกาะอาดังเลยนอกจากเรา อาจเป็นเพราะที่เกาะหลีเป๊ะมีที่พักที่เป็นของเอกชนพวกฝรั่งจึงไปกันที่นั่นกันเยอะ หลังจากติดต่อที่พักแล้วก็มาเดินเล่น อากาศตอนนี้ไม่ดีเลย คลื่นแรงฟ้าคลึ้ม มีคนพักอยู่บนเกาะอยู่แล้วคุยกันจึงรู้ว่าเป็นชมรมดำน้ำมาจากเชียงใหม่เลยทีเดียว แต่ที่น่าเสียดายก็คือพรุ่งนี้เค้าจะไปตะรุเตาโดยอยู่ที่อาดังกันมา 3 วันแล้ว โอ้วววว อดแจมเรืออีกแล้ว
สุดท้ายก็ไปว่ายน้ำเล่นแถวๆหน้าที่พัก ปะการังตายเกือบหมดแล้วไม่สวยเลยแต่พอมีปลาอยู่บ้าง สักพักหนึ่งคนกลุ่มชมรมดำน้ำนั้นก็ตะโกนว่าเจอปูทะเลซึ่งผมก็ว่ายไปดู เป็นปูทะเลที่ตัวใหญ่มากครับ คิดในใจว่าดีแฮะมีปูทะเลให้ดูด้วย สักพักนึงคนเดิมก็บอกว่าให้ช่วยกันเอาเท้าแหย่ๆมันให้มันออกมาทำนองนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ดำๆอีกสักพักก็ปรากฎว่าคนกลุ่มเดินกำลังเอาไม้ผูกเชือกเพื่อแหย่ลงไปจับปู ไม่รู้ว่าน่าสนุกหรือน่าเศร้าดีนะครับ ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติห้ามไม่ให้มีการจับสัตว์อยู่แล้วและตัวเองยังเป็นสมาชิกชมรมดำน้ำอีก ไม่มีการสอนเรื่องการอนุรักษ์เลยหรืองัย ผมคิดเลยเถิดไปถึงปะการังในทะเลที่พวกเค้าไปดำมาแล้วก็ขี้เกียจคิดต่อ
สุดท้ายก็โชดดีที่เค้าจับปูไม่ได้ ( สมน้ำหน้า )
หลังจากนั้นเราก็อาบน้ำแต่งตัว ห้องน้ำที่นี่ใหม่มากครับสะอาดด้วยแต่เป็นห้องน้ำส่วนกลางนะครับ มีน้ำใช้ตลอด 24 ชั่วโมงแต่ไฟจะปิดตอนสี่ทุ่ม ที่กินข้าวนั้นเราพบพิธีกรรายการ ตะลุยเดี่ยวเที่ยวไทย ด้วยคือ คุณไข่ พี่เค้ามากันสองวันแล้วพรุ่งนี้ก็จะกลับ น่าเสียดายอีกแล้วคลาดกันไปนิดส ถ้าเรามาเร็วกว่านี้หนึ่งวันก็จะได้นั่งเรือไปกับทีมงาน นอกจากฟรีแล้วยังได้ออกทีวีอีก นั่งคุยกับพี่เค้าสักพักเพลินดี ฝนก็ทำท่าจะตกลงมาซึ่งพี่เค้าบอกว่าก่อนหน้านี้แดดดีมาตลอดเพิ่งมาวันนี้นี่เอง เราก็เชื่ออย่างสนิทใจเลยครับเพราะว่าพี่ไข่ตัวดำแบบสุดๆ : )
เราเข้านอนกันในบรรยากาศเย็นๆครึ้มฟ้าครึ้มฝนอย่างนั้น โดยหวังว่าวันพรุ่งนี้อากาศจะดีขึ้น
วันที่ 16 มีนาคม
และแล้วก็ถึงเช้า เสียงแรกหลังตื่นนอนที่ผมได้ยินก็คือ เสียงฟ้าร้องครับ หน้าเนี่ยเหี่ยวทันทีมันรู้สึกแย่มากๆครับอุตส่าดิ้นรนมาจนได้แล้วพอถึงจุดไคลแมกซ์อากาศดันไม่เป็นใจ ทำใจอยู่ในห้องสักพักก็ออกไปเดินเล่น ฟ้าครึ้มจริงๆครับราวกับมีมรสุมยังงัยยังงั้น จากเดิมที่เราเห็นท้องฟ้าสดใสตัดกับสีท้องทะเลยาวไปจนถึงขอบฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาไปทั่วทั้งฟ้า เดินสวนกับนักท่องเที่ยวเค้าบ่นกลัวว่าจะกลับไม่ได้ ถ้าเค้ากลับไม่ได้เรื่องดำน้ำของฉันยิ่งไม่ต้องคิด ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าดีเหมือนกันอากาศเย็นสบายดี ( ดีแน่ๆครับถ้าที่นี่เป็นเขาใหญ่หรือน้ำหนาวหรือแก่งกระจาน
. ) ฝนตกลงมาอย่างหนักระหว่างอาหารเช้า พอฝจเริ่มจางลงเราก็ไปนั่งเล่นหน้าบ้าน ผมก็อ่าน Harry Potter ไปพลางๆพยายามไม่คิดอะไรมาก จนถึง 10 โมง ( ซึ่งปกติเรือที่ไปดำน้ำจะออกเวลา 8.30 น. ) เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่าจะไปดำน้ำหรือเปล่า ถ้าจะไปก็ตอนนี้แหล่ะ อากาศยังคลึ้มอยู่แต่ฝนหยุดแล้ว พวกเราก็เอาวะ มาแล้วจะให้อยู่เฉยๆได้งัย ลุยยยยยยยย
ตกลงมีแค่เราสองคนและคนญี่ปุ่นอีกคนหนึ่ง ไม่สวยเอาซะเลยซึ่งทางเจ้าหน้าที่ชวนไปด้วย เราตกลงสถานที่จะไปกัน ก็มีที่เกาะจาบัง เกาะหินงาม และเกาะราวี ราคา 600 บาทคนละสามร้อยก็โอเคน่ะ โดยญี่ปุ่นไม่ได้หารด้วยเพราะถ้าหารเค้าจะไม่ไป ประเภทญี่ปุ่นบ้อจี๊น่ะ ลืมบอกไปว่าที่ไม่สวยน่ะเพราะเป็นผู้ชายนะครับ
เรานั่งเรือไปท่ามกลางบรรยากาศทะมึนของท้องฟ้าน่ากลัวทีเดียว และแล้วก็ถึงจุดแรกคือเกาะจาบังซึ่งเป็นจุดที่มีปะการังอ่อนที่สวยงามมากของหมู่เกาะอาดัง-ราวี ถ้ามีแดดมันคงจะสวยแบบสุดๆจริงๆแต่ที่เราดำไปดูนั้นกลับเป็นความน่ากลัวเสียมากกว่าล่ะมั้งเพราะทะเลตรงนั้นน้ำค่อนข้างลึกแต่ปะการังที่อยู่ใกล้ผิวน้ำหน่อยสีสีสันสวยงามใช้ได้และมีอยู่หลายจุด จากนั้นเราไปกันต่อที่เกาะหินงามเพื่อถ่ายรูป ทั้งเกาะเป็นก้อนหินจริงๆครับเหมือนที่เราเห็นกันในหนังสือหรือในทีวียังงั้นเลย สวยงามมากและจะสวยขึ้นไปอีกถ้ามีแดดมากกว่านี้ ยังงัยก็ตามก็เริ่มมีแสงมากขึ้นแล้วแต่ก็ยังคงครึ้มอยู่ดี เราถ่ายรูปกันสักพักก็ต่อไปยังเกาะราวี
ที่นี่เองที่แทบจะทำให้ความเซ็งที่สะสมมาแต่เช้าหายไปจนหมดสิ้น ปะการังชายฝั่งที่มีแนวยาวร่วมกิโลฯสวยงามมากๆครับ ส่วนใหญ่จะเป็นปะการังหินปูน มีปะการังอ่อนแซมๆอยู่บ้าง อากาศขณะนั้นเพียงพอที่จะดำน้ำแล้วมันสวยงามจริงๆครับขึ้นกันอย่างสมบูรณ์และปลาก็เยอะมาก ผมเจอดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนซึ่งเป็นภาพที่ผมประทับใจมากอยู่หลายจุดมาก และยังมีหอยมือเสือขนาดใหญ่ ( ประมาณสองลูกบาสฯ ) ปลาปักเป้า ปูทะเล กัลปังหา ฯลฯ ไม่ควรพลาดเด็ดขาดครับบริเวณนี้
หลังจากเสพความสุขบนความสวยงามอยู่ร่วมชั่วโมงเราก็กลับที่พัก หลังกินข้าวเสร็จเราก็พบกับสัจธรรมที่ว่า ฟ้าหลังฝนงามตา อากาศเปิดแล้วครับช่วงนั้นคนละเรื่องกลับเมื่อเช้าเลย เราหยิบยากันแดดเกือบจะไม่ทัน หลังจากเดินเล่นสักพักเราก็ตัดสินใจเดินขึ้นผาชะโดซึ่งเป็นจุดที่โจรสลัดใช้สังเกตุการในอดีตเพื่อชมวิว ณ จุดชมวิวนี้เราจะมองเห็นเกาะหลีเป๊ะ อ่าวสน และหมู่เกาะต่างๆด้านทิศใต้และตะวันออกได้ชัดเจน อย่าคิดว่าง่ายๆเหมือนผาโต๊ะบูเหมือนที่ผมคิดนะครับ ผิดถนัดเลย น้องๆเขาหลวงสุโขทัยยังงัยยังงั้นเพียงแต่ว่าสั้นกว่าเท่านั้น แต่ก็คุ้มครับเพราะวิวยามแดดสวยๆยังงี้สวยงามมาก ระหว่างทางขึ้นสักเล็กน้อยเราได้พบกับนกขนาดใหญ่มากชนิดหนึ่งร่อนอยู่ เราส่องกล้องกันจนมันบินไปเกาะเราดีใจมากเลยครับเพราะมันคือเหยี่ยวภูเขา ( Mountain Hawk-Eagle ) ครับสวยงามมากและเป็นวงกลมสีฟ้า ( ในหนังสือ Bird Guide ) บริเวณที่แห่งนี้ด้วย
ระหว่างทางเดินขึ้นเราพบตัวแย้เยอะมากทั้งตัวลูกตัวแม่เต็มไปหมด คงจะเป็นหนึ่งในอาหารของพวกเหยี่ยวด้วย
เราใช้เวลาขึ้นลงจุดชมวิวกันเกือบ 2 ชั่วโมง ( จริงๆแล้วคงไม่ถึงเพราะพวกเราขึ้นเลยจุดชมวิวจุดที่สองกันไปเนื่องจากป้ายล้มอยู่ ไปกันจนเกือบถึงยอดเขาเลย แต่อย่าขึ้น ( โง่ ) แบบเรานะครับเพราะข้างบนไม่เห็นอะไรเลย ต้นไม้รกไปหมด ) จากนั้นเราก็เดินเล่นและไปหาที่ว่ายดำน้ำกัน แดดตอนนี้แรงสุดๆตัวดำแหงๆเลย เราเลือกกันที่ทิศตะวันออกของเกาะ เห็นมีคนกลุ่มนึงดำกันอยู่ ปะการังก็พอไหวไม่สมบูรณ์มากแต่ก็พอใช้ ( ดีกว่าที่หมู่เกาะอ่างทองเยอะ ) สวยดีอาจเพราะมีแดดด้วย ยังมีดอกไม้ทะเลกับปลาการ์ตูนให้ดูอีกด้วย ดำไปสักพักฉันก็เห็นปลาตัวใหญ่ๆสองตัวอยู่ไกลๆ คิดว่าเป็นปลากระบอกจึงว่ายเข้าไปดู ปรากฎว่าเป็น ปลาฉลาม ครับตัวยาวเมตรกว่าสองเมตรที่เดียวจึงเรียนบุ๊คมาดูตื่นเต้นมากถึงแม้จะเป็นฉลามพันธุ์ที่พอนึกออกจากทีวีว่าไม่ดุร้าย พอเจ้าบุ๊คมาดูฉลามตัวนึงก็ว่ายเข้ามาหา โอยยย น่ากลัวมากเลย ไม่รู้ขวัญออกจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไร ว่ายน้ำได้รวดเร็วสุดๆแป๊ปเดียวมาถึงฝั่งเลย ขึ้นมาคุยโวยวายกันยกใหญ่ใจนึงก็กลัวอีกใจนึงก็อยากลงไปดูอีก พอดีไปเจอพี่กลุ่มที่ว่ายน้ำกันอยู่เมื้อกี๊จึงเล่าให้ฟังและชวนกันลงไป เราไปกันประมาณ 7 คนว่ายเแบบเกาะกลุ่ม สงสัยเราจะโม้กันมากไปหน่อยมั้งเราจึงเกาะกลุ่มกันแน่นทีเดียว : )
ผ่านปะการังสวยงามต่างๆแต่ใจนั้นไม่ได้สนใจเลยสนใจแต่เจ้าตัวเอกเมื่อสักครู่ และแล้วผมก็เจอจนได้แต่คราวนี้เจอตัวเดียวมันหมอบอยู่กับพื้นลึกประมาณ 7 เมตรไม่น่ากลัวมากเหมือนเมื่อครู่ สรุปแล้วมันเป็นฉลาลายเสือดาว ( ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า ) ซึ่งเป็นฉลามแนวปะการังที่ไม่ดุร้าย เป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นน่าประทับใจจริงๆ
กลับมาอาบน้ำ ช่วงอาหารมื้อเย็นมื้อสุดท้ายนี่ล่ะ อีกมื้อหนึ่งแห่งความประทับใจ เราอยากกินปลากันมากจึงไปเลือกถึงในครัวเลย มาลงเอยที่ปลาเก๋าตัวบักเอ๊กเลย น่าจะประมาณสักฟุตกว่าๆทำเป็นปลาราดพริก สุดยอดจริงๆแล้วก็ยังมีต้มยำปลากับผัดผักอีก คนเสริฟยังตะลึงถามว่าจะกินหมดหรือเนี่ย สุดท้ายก็เกลี้ยงทุกอย่าง
จากนั้นเราก็ไปดูสไสด์ประกอบคำบรรยายกันในเวลาประมาณสองทุ่ม
ความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการดูสไลด์ครั้งนี้ คือ หมู่เกาะอาดังราวี มีจำนวนทั้งสิ้น 23 เกาะเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ในอดีตยังไม่ได้มีการตกลงอย่างแน่ชัดว่าเป็นดินแดนของใคร มีเพียงชาวเลที่มาจากอินโดนีเซียอยู่อาศัย โดยพระปรีชาสามารถของรัชกาลที่ 5 ได้สั่งการให้ชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะซึ่งเป็นเกาะนอกสุดนั้น บอกผู้ที่มาพบว่าที่นี่คือประเทศสยาม ดังนั้นเกาะที่เหลือด้านในทั้งหมดจึงเป็นของสยามนับแต่นั้นมา นอกจากนั้นยังได้รู้ว่าจุดดำน้ำชมปะการังภายในหมู่เการะอาดัง-ราวีนี้ยังมีอีกมาก วันนี้ที่ฉันดำนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในสี่เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเกาะดงที่มีปะการังอยู่แทบทุกประเภท ด้านตะวันตกของเกาะอาดังซึ่งมีทั้งกุ้งมังกร,ม้าน้ำและเต่าทะเล เป็นต้น จากนั้นเราก็กลับมาที่พักเพื่อพักผ่อน ที่พักที่นี่ก็คล้ายๆกับที่ตะรุเตาคือเป็นบ้านเรือนแถวนอนได้ 4-5 คนมีมุ้งให้ และยุงไม่ค่อยมีแต่อากาศก็ร้อนอบอ้าวเช่นกัน
วันที่ 17 มีนาคม
ตื่นนอนแต่เช้าแต่ก็สายเกินไปสำหรับการดูพระอาทิตย์ขึ้น ควรตื่นสักประมาณตีห้าครึ่งแล้วเดินเท้าไปยังทิศตะวันออกของเกาะ จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมาก เราเดินเล่นกันริมชายหาด อากาศวันนี้ดีมากๆจนอดไม่ได้ที่จะแอบนึกอิจฉาพี่ๆกลุ่มใหม่ที่จะดำน้ำดูปะการังกันวันนี้
เรือออกจากเกาะอาดังเวลา 9 โมงเพื่อไปยังเกาะตะรุเตา ก็เช่นเดิมเราต้องขึ้นเรือหางยาวไปยังเรือเมลที่อยู่กึ่งกลางระหว่างอาดัง กับ หลีเป๊ะ ระยะห่างระหว่างเกาะทั้งสองก็น่าจะหลายร้อยเมตรอยู่แต่ระหว่างนั่งเรือหางยาวไปฉันมองลงท้องทะเลตลอดและสังเกตุว่าไม่มีจุดไหนเลยที่ฉันมองไม่เห็นพื้นทรายและปะการังใต้ท้องน้ำนั้น ฉันก็ได้แต่คิดในใจว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องกลับมาเยือนหมู่เกาะอาดัง-ราวีอีกให้ได้
เรือออกเดินทางถึงตะรุเตาปกติจะประมาณเที่ยง แต่วันนี้เราได้นั่งเรือด่วนซึ่งลำจะเล็กกว่าจึงไปถึงประมาณ11โมง และออกจากตะรุเตาตอนบ่ายโมงถึงท่าเรือปากบาราประมาณบ่ายสองโมง จากนั้นเราต่อรถตู้ที่ท่าเรือเพื่อไปยังสถานีรถไฟหาดใหญ่ เสียค่ารถคนละ 70 บาทกับระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร กว่าจะมาถึงท่ารถก็ห้าโมงเย็นแล้ว กินข้าวเพื่อรอรถไฟตอน 6 โมงเย็น รถไฟมาได้ตรงเวลามาก เรานั่งรถนอนปรับอากาศชั้น2 ตามโปรแกรมจะถึงกรุงเทพฯวันรุ่งขึ้นตอน 11 โมงเช้า
วันที่ 18 มีนาคม
กว่าจะถึงหัวลำโพงก็ปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งเลยทีเดียว เป็นอันจบการเดินทางอันแสนสนุกครั้งนี้ครับ
สรุปโปรแกรมการเดินทาง
สำหรับผู้ที่ไม่เคยไปเลย แนะนำว่าให้ไปสัก 6 วันรวมเวลาเดินทางทั้งหมด โดยพักที่ตะรุเตา 1 คืน และอาดัง 2 คืน ( ที่หลีเป๊ะแม้ว่าหาดจะดูสวยกว่าแต่จะสกปรกมากและน้ำบางทีไม่พอใช้ด้วย ) เวลาการเดินทางจะพอดีกันอยู่แล้วคือ เวลาของรถ, เรือ หรือรถไฟ ไม่มีปัญหา ครึ่งวันแรกเที่ยวตะรุเตา ตอนเช้าก็เที่ยวอีกครึ่งวัน แล้วก็ดำน้ำที่อาดัง-ราวีหนึ่งวัน แต่ถ้ามีเวลามากกว่านั้นก็ยิ่งดี ทริปนี้ผมกับน้องเสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 4,000 บาทครับ
ประมาณการค่าใช้จ่าย
- ค่าเดินทาง
- รถปรับอากาศ
- รถ VIP สายกรุงเทพฯ สตูล ประมาณ 850 บบาท ( ใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง ) แล้วต้องต่อรถจากสตูลไปยังท่าเรือ ราคารถสองแถวไม่แน่ใจ น่าจะประมาณ 30 บาท
- รถปรับอากาศชั้น1 สายตรัง-ละงู สตูล ราคคา 535 บาท ต่อรถสองแถวไปท่าเรือราคา 12 บาท
- รถไฟ
- สายกรุงเทพฯ หาดใหญ่รถด่วนพิเศษชั้น1 ราคาประมาณ 1,400 บาท ชั้นสอง 735 บาท ( เตียงบน 675 บาท ) (ใช้เวลาประมาณ 18 ชั่วโมง) แล้วต่อรถตู้จากหาดใหญ่ไปท่าเรือ 70 บาท
- เครื่องบิน อย่าดีกว่าครับ แพง ( ไปลงหาาดใหญ่ไป-กลับประมาณ 5,000 บาทครับ )
* หมายเหตุ ค่ารถและรถไฟ เป็นราคาเที่ยวเดียวนะครับ ถ้าไปกลับก็คูณสองเข้าไป
- ค่าที่พัก
- จองได้กับทางอุทยานฯ เรือนแถวนอนได้ 4-55 คน ราคาคืนละ 400 บาทมีเครื่องนอนพร้อม ถ้านอนเต๊นท์ 100-150 บาท ราคาเหมือนกันทั้งที่ตะรุเตาและอาดัง
- อื่นๆ
- อาหาร เฉลี่ยมื้อละ 50 บาท
- หน้ากากดำน้ำและชูชีพ วันละ 50 บาท
- ค่าเรือดำน้ำชมปะการัง นั่งได้ 6-7 คน รราคาตั้งแต่ 1,000 2,000 บาท แล้วแต่เวลาที่ใช้และสถานที่ที่จะไป
- เรือเมล์ ไปกลับท่าเรือ-ตะรุเตา-อาดัง 8800 บาทไม่รวมค่าเรือหางยาวขึ้นเกาะอาดังอีก 30 บาท ถ้าไปกลับแค่ท่าเรือ-ตะรุเตาก็ 300 บาท
การติดต่อ
- ที่พัก ติดต่อได้ที่ส่วนอุทยานแห่งชาติตตะรุเตา ติดต่อคุณจันทนา เบอร์ 074-783485 ซึ่งให้ข้อมูลและบริการต่างๆได้ดีมากครับ จ่ายเงินโดยการโอนเงินล่วงหน้า
- รถไฟ ติดต่อจองตั๋วล่วงหน้าที่หัวลำโพง จะมีแผนกรับจองตั๋วเดินทางล่วงหน้าอยู่ ภายในห้องจะมีโต๊ะติดต่อสอบถาม สามารถถามได้ทุกอย่าง ให้ข้อมูลได้ดีมากครับ โทร 220-4334
- รถปรับอากาศ ติดต่อได้ที่ บขส. สายใต้ โโทร 435-1199
หวังว่าข้อมูลต่างๆจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างนะครับ
|