banner thaiparks

ผจญภัยทุ่งตู้รถไฟ อช.ทับลาน

โดย...canman



ทริปนี้เรามีสมาชิกร่วมทางทั้งหมด15คนซึ่งสมาชิกของเรามีตั้งแต่อายุ 20 อ่อนๆ จนถึง 40เศษๆ โดยผมจะแนะนำตามความอวุโส
1. เจ๊ปุ๊ย แม่ครัวคนเก่ง หยุดเมื่อไหร่นอนทันที
2. นายขาว MR. L ตัวจริง ม้าตีนต้น เพราะเมาค้างเป็นประจำ
3. ผมเอง canman
4. นายกุ้ง (นายขาวผ่อง เวียงลอ) เจ้าคารมเด็ดๆ
5. แหนว แม่ค้าขายไข่ อดีตพยาบาล ศรีธัญญา เดินไป หาที่นอนไป
6.เอียด พยาบาล จาก รพ.พร้อมมิตร ร้านขนมเคลื่อนที่
7. ตู่ (ป้อม) สาว RS ผู้มาหักดิบอารมณ์ที่……??????
8.สารวัตร เงาะ จาก รพ.ตำรวจ ผู้ที่มีพลังเสียงทำให้ฝูงช้างแตกตื่น
9. ปลัด ยุพิน สาวเสียงทอง จาก อบต.คลองตะเคียน อยุธยา ผู้กลัวทองออกจากปาก
10. กุ้ง เจ้าตัวเล็ก หวานใจใครก็ไม่รู้
11. จ๊อด พี่บุ้งกี๋ ขวัญใจสาวๆ แต่งานนี้ มาดหลุด เนื่องจากมีสุนัขเข้าไปอยู่ในปากมากไปหน่อย
12. หนึ่ง สาวอึด ชอบเดินช้าๆคุยกับลูกหาบ
13. หนุ่ย หนุ่มนักวิจัยจากขอนแก่น มาด จนท.พิทักษ์ป่า ผู้อุตส่าห์เดินทางมาจากขอนแก่นเพื่องานนี้
14. โป้ง หนุ่มนักเที่ยว ชอบกางเต๊นท์ตามรีสอร์ท แต่จะลองมาลุยงานนี้งานแรก เพื่อค้นหาตัวเอง
15. น้องโอ้ (หลั่น..ล้า) สาวน้อย ผู้เปิดเผย


โดยพวกเรานัดเจอกันที่ ฟูดแลนด์รามอินทรา กม.4 ในตอน 2ทุ่มของวันที่ 5 กค. กว่าจะรวมพลกันได้เรียบร้อยก็ร่วม 3ทุ่ม โดยมีนายโป้ง มาเป็นคนสุดท้าย ออกเดินทางโดยใช้เส้นทาง รังสิต-นครนายก-กบินทร์บุรี ไปถึงกบินทร์ตอน 5ทุ่มครึ่ง แวะกินข้าวต้มกันที่ สี่แยกกบินทร์ แล้วออกเดินทางต่อไปจนถึง ป้าย อบต.วังน้ำเขียว กม 59 ถนนสาย กบินทร์บุรี-ปักธงชัย ก็เลี้ยวขวาเข้าถนน รพช สาย บ้านบุฝ้าย-ไทยสามัคคี ตรงไปตามทางประมาณ 8 กมก็สุดทางราดยาง วิ่งต่อไปอีก 2 กมก็ถึง บ้านไทยสามัคคี ที่นี่จะมีอ่างเก็บน้ำห้วยขมิ้นซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตกห้วยขมิ้น ที่บริวณที่ทำการหน่วยสวนห้อม เส้นทางช่วงนี้เรามีความตื่นเต้นกันเล็กน้อยเพราะตอนที่มาเซอร์เวย์ มาตอนกลางวันและทางลูกรังเรียบแห้ง แต่ตอนนี้ ทั้งมืดและสภาพทางก็ขรุขระและนองไปด้วยน้ำเลยทำให้ไม่แน่ใจว่ามาถูกทางหรือเปล่า แต่พอมาเจออ่างเก็บน้ำก็โล่งใจ ว่าไม่หลงทางแน่ จากอ่างเก็บน้ำเราก็ตรงไปอีก 3 กม.ก็จะถึงที่ทำการของหน่วยพิทักษ์อุทยานบ้านไทยสามัคคี (ทล.11) เราได้มาถึงที่ทำการประมาณ ตี 2 ที่หน่วยได้เปิดบ้านพักไว้ให้พวกเราไว้แล้ว เป็นบ้านแบบ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พอเข้าบ้านพักได้พวกเราก็แยกย้ายกันนอน โดยผู้หญิง 2ห้อง ผู้ชาย1ห้อง แต่ ผมกับ คุณขาวและ จ๊อดนอนกันที่ห้องโถง ผมรู้สึกว่านอนไม่ค่อยหลับ แต่ทุกคนบอกว่าหลังจากล้มตัวลงนอนได้ไม่ถึง5นาทีผมก็กรนสนั่นแล้ว


ตอนเช้าวันที่ 6 กค. ผมตื่นมาตอนตี 5 กว่าๆท้องฟ้ายังมืดสลัวอยู่ มองออกไปก็พบกับสายหมอกและเมฆลอยต่ำๆ สวยมากอากาศก็เย็น ค่อนข้างหนาว พอฟ้าสว่างขึ้นมานิดๆพวกมือกล้องตากล้องทั้งหลายก็รีบออกไปตระเวณ หามุมถ่ายภาพกันอย่างมีความสุข ส่วนผมก็จัดการหุงข้าวโดยมื้อนี้เราหุงข้าวแค่ 1 หม้ออวยกับ 1 หม้อสนาม แต่สำหรับเช้านี้ทุกคนยังไม่มีอาการเจริญอาหารเลยมีข้าวเหลือมากพอสมควร เอาใส่ถุงไปกินตอนเที่ยงได้อีกหลายถุงเลย พอสายขึ้นมาสักนิดผมก็ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่จะนำทางให้กับพวกเรา จำนวน 4 คน มี พี่จำนง, พี่สมาน, ประพันธ์ และ พรชัย คุยไปคุยมาก็ได้รู้ว่าที่นี่พอจะหาลูกหาบได้เลย ให้ไปตามมาได้ 2 คน ชื่อ เหวอ (แบบเสียงร้อง เหวออออ…) กับ ดอน หลังจากที่เรากินข้าวเช้า ต้มไข่ไว้เป็นเสบียงตอนเที่ยงและเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อยแล้ว ประมาณ 8โมงกว่าๆทางป่าไม้ก็มีรถ 4WDมารับพวกเรา แต่เนื่องจากพวกเรามีทั้งหมด 21คน จึงต้องแบ่งกันไป 2 รอบ โดยผมนั่งรถไปรอบแรกกับพวก 10คน และ พรชัย กับ พี่สมาน นั่งรถไปประมาณ 10กมใช้เวลาเกือบ 1ชม. ก็ถึงจุดเริ่มเดิน ระหว่างทางรถ เราได้เห็นไก่ป่า, นกหลายๆชนิด และรอยของช้างที่ลงมาหาอาหารกัน โดยที่เป็นรอยใหม่ๆก่อนที่รถเราจะมาถึง พอไปถึงจุดที่เริ่มเดินเราก็กางกราวด์ชี๊ต ต้มน้ำชงกาแฟกินรอรถไปรับพวกอีกกลุ่มนึง ระหว่างรอหนุ่ยก็เดินออกไปถ่ายรูปในบริเวณรอบๆ ผมเองก็เดินไปสำรวจบริเวณใกล้ได้พบรอยเท้าสัตว์กีบ ใหญ่มาก ถามเจ้าหน้าที่ดูก้ได้รู้ว่าเป็นรอยกระทิงใหม่มาก เมื่อเช้านี้นี่เอง กลับมานั่งคุยกับพวกน้องๆ ก็เห็นโอ้ หยิบหนังสือคู่มือดูนกมาเป็นคู่มือในการวิจารณ์ นกที่ได้เห็นกันระหว่างที่นั่งรถมา คุยไปคุยมานกทุกชนิดที่เห็นก็จะเรียก นกตะขาบไปหมดเลย พวกเรานั่งคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานดังลั่นจน ฝูงเจ้าถิ่นทนไม่ไหว ต้องลุยน้ำข้ามห้วยหนีพวกเราไปชนิดน้ำขุ่นคลั่กไปเลย(โชคดีนะที่ช้างไม่ลุยเข้ามาหาพวกเราให้หายรำคาญ) รอไปรอมาฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา แต่ละคนก็ควักเสื้อกันฝนออกมาอวดกันใหญ่ เรารอกันจนเกือบ 11 โมงกลุ่มหลังก็มาถึง พวกเราก็รีบออกเดินทางทันที โดยเดินไปตามด่านช้าง ตลอดทางมีรอยสัตว์หลายชนิดอย่างชัดเจนทั้ง ช้าง, กะทิง, ชะมด, หมาใน สภาพทางเดินก็ค่อยๆเดินขึ้นเนินไปทีละนิดไม่ชันนัก เดินไปได้ประมาณ 1 ชม.ก็ข้ามคลองใหญ่กัน ซึ่งคลองนี้ จนท. บอกว่าเป็น ต้นน้ำมูล จากนั้นเราเดินต่อไปอีกสักพักก็เริ่มเข้าป่าไผ่ คราวนี้เราต้องเดินแบบเดินๆหยุดๆ เพราะต้องคอยทางเจ้าหน้าที่หาทางให้ เนื่องจากช้างได้มาทำทางเอาไว้อีกเพียบเลยจนแทบไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหน เดินกันจนเกือบบ่าย 2โมง เราก็หยุดพักกินข้าวเที่ยงกัน สำหรับอาหารมื้อนี้ คือข้าวกระป๋องกับ ไข่ต้มและน้ำพริกแห้งครับ ทุกคนกินไป ชมไปว่าเกิดมาไม่เคยกินข้าวอะไรที่ได้รสชาดอย่างนี้มาก่อน พอกินข้าวเสร็จก็รีบออกเดินทางทันทีเพราะต้องการทำเวลาไปให้ถึงทุ่งตู้รถไฟก่อนมืดวันนี้ แต่พอเดินๆไป ทางก็ยิ่งสับสน จน พรชัย เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนนำทางเราต้องเดินไปทำท่าคิดไป จน สารวัตร เงาะของเราตั้งฉายาให้ว่า อิ๊คคิว ระหว่างเดินช่วงนี้ อิ๊คคิวของเราก็พาเราพลัดกับ ชุดนำหาทาง เนื่องจากพวกเราเดินได้ช้า จนต้องหยุดเพื่อให้ อิ๊คคิวไปตามชุดนำทางกลับมานำพวกเราใหม่ หลายครั้ง จนพวกเราท้อกัน และก็คิดว่าจะหาที่หยุดพักก่อนมืด จึงบอกคนนำทางให้หาแหล่งพัก ซึ่งเราเดินมาจนถึง บ่าย4โมงครึ่ง ก็ถึง ริมห้วยน้ำตกเล็กๆ ชื่อ น้ำตกน้อย เราก็จอดพักค้างคืนกันที่นี่ หลังจากกางเต๊นท์ผูกเปลกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็ลงมือทำอาหารกัน โดยมื้อนี้ มีแกงจืดไข่น้ำ, ไข่เจียว, หมูทอด(มาจากบ้านเจ๊ปุ๊ย) , น้ำพริกกะปิ มื้อนี้รู้สึกว่าทุกคนเจริญอาหารมากกว่าตอนเช้ามาก พวกเรา 15คนกินข้าวหมดไป 3 หมอ้สนามกว่าๆ กับข้าวหมดเกลี้ยง หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราหลายคนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินในวันนี้ก็เข้านอนกัน ส่วนพวกที่เหลือก็นั่งเม้ากันโดยมีคุณขาว เป็นหัวโจก ส่วนผมก็นอนฟังพรรคพวก เม้าไปเรื่อยๆจนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ คืนนี้ผมหลับสนิทมาก รวดเดียวจนเช้าเลย


เช้าวันที่ 7 กคใ ผมตื่นมาตอนตี 5 ท้องฟ้ายังมืดสนิทอยู่เลย มาจุดตะเกียงแล้วก็พยายามก่อไฟอยู่พักใหญ่กว่าไฟจะติด หลังจากไฟลุกดีแล้วผมก็ต้มน้ำชงกาแฟ นั่งดื่มรอ พรรคพวกจน 6โมงกว่า หนุ่ย ก็ตื่นมาเป็นคนแรก บ่นว่านอนไม่ค่อยหลับ หนาวมากเพราะไม่มีถุงนอน หลังจากนั้นก็เริ่มทยอยตื่นกันขึ้นมา นั่งดื่มกาแฟพร้อมกับพูดถึงเหตุการณ์กลางคืนกัน บางคนก็นอนไม่หลับ บางคนก็ได้ยินเสียงแปลกๆหลายครั้งในตอนกลางคืน โดยเฉพาะ สาราวัดเงาะ ที่ไปกางเต๊นท์อยู่ไกลสุด ได้ยินเสียงเหมือนมีใครเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวหัวเต๊นท์ ตั้ง 2-3 รอบ แต่ก็ไม่กล้าออกมาดู ก็เลยต้องปล่อยใหเป็นปริศนา ต่อไปว่าเป็นเสียงอะไร มื้อเช้านี้ เราหุงข้าวทำกับข้าวเผื่อมื้อเที่ยงด้วยเลย ระหว่างกินข้าวเช้าอยู่มีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย แล้วก็หยุดไป พวกเราก็เลยรีบเก็บที่นอนกัน แล้วก็มา ชักรูปหมู่กันเล็กน้อย จน ประมาณ 9โมง กว่าๆ ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ โดยพอเริ่มเดินก็ขึ้เขาแบบชันๆขนาด 70-80 องศากันทันที ต้องตะกายกันเป็นระยะๆ ทางชันช่วงนี้ยาวประมาณ 500-600เมตร ใช้เวลาตะกายกันประมาณ 40นาที ก็มาถึงทางราบบนสันเขา บนนี้ถึงจะมองไม่ค่อยเห็นเกินกว่า 10 เมตรเพราะความรกทึบของป่า แต่ก็สวยงามไปด้วยละอองหมอก มองย้อนไปที่ดานล่างเราจะเห็น กลุ่มเมฆ หมอกลอยอยู่ข้างล่าง ที่จุดพักนี้ น้อง โอ้ ของเราได้แสดงวีรกรรม เด็ดดอกไม้ริมทาง (ย้ำ ริมทางจริงๆ) โดยให้ทุกคนหันหน้าไปอีกทาง พักพอหายเหนื่อยก็เดินต่อไป ทางในช่วงนี้ เป็นทางเดินขึ้นๆลงๆ เลียบไปตามไหล่เขา ระหว่างทางก็เป็นไผ่รวก สลับกับ ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่าพวกต้นไม้ใหญ่ๆเหล่านั้นคือพวกต้นสนโบราณ เดินกันไปได้ประมาณชั่วโมงเศษๆ ระหว่างที่เลียบลำห้วยไป พี่สมาน ซึ่งเป็นคนเดินนำก็ได้พบกับหมีควายตัวใหญ่กำลังเดินขึ้นมาจากลำห้วย พอมันเจอพวกเรา มันก็ตกใจวิ่งย้อนกลับลงไปในห้วยเสียงดังสนั่นทีเดียว ผมเดินเป็นคนที่ 4-5 ได้เห็นแค่เงาดำๆ เท่านั้น ตอนแรกคิดว่าเป็นหมูป่า ซะอีก ช่วงนี้เราเดินกันแบบเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้พักสักเท่าไหร่ ในระหว่างทาง พี่สมานก็ชี้ให้ดูต้น กฤษณา ที่ถูกพวกหาของป่าฟันทิ้งไว้ใหม่ หลาย ตอทีเดียว ดูแล้วน่าใจหายจริงๆว่าในอนาคตเราคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นไม้หอมนี้อีกถ้าชาวบ้านยังไม่เลิกตัดมัน จนประมาณเที่ยงก็มาถึง คลองน้ำแดง ซึ่งเป็นลำห้วยเล็ก ก็หยุดกินข้าวเที่ยงกันบริเวณริมคลอง ซึ่งมีร่องรอยการพักค้างแรมของพวกหาของป่า พอกินข้าวกันเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มออกเดินกันต่อไป ซึ่งช่วงนี้ ทางพี่สมานบอกว่าอยู่ห่างจากทุ่งตู้รถไฟไม่ถึง 500เมตร แต่เอาจริงๆเข้าเราต้องเดินอีกร่วม 30 นาที กว่าจะถึงทุ่งตู้รถไฟ ทันทีที่เราหลุดออกจากป่ามา พบทุ่งโล่ง ความรู้สึกขณะนั้นบรรยายไม่ถูกจริงๆ ทุ่งตู้รถไฟที่เราได้เห็นนั้นขาวโพลนไปด้วยหมอกควัน มองไปรอบๆก็เห็นก้อนหินใหญ่น้อย เรียงรายทั่วไปหมด ด้านขวามือ มีกลุ่มหินใหญ่ทอดยาวไป 3 กลุ่ม ซึ่งนั่นแหละคือหินตู้รถไฟ ที่พวกผมพยายามดูแล้วดูอีก ยังไงก็ไม่ค่อยจะเหมือนรถไฟไทย ซักเท่าไหร่ ดูเหมือนรถไฟ ชิงกังเซน ของญี่ปุ่นมากกว่า เราแอ็คท่าถ่ายรูปกันได้สักพัก ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา แต่พวกเราก็ไม่มีถอยครับ ตระเวนไปถ่ายรูปกันทั่วทุ่งเลย ที่นี่ตามโขดหินจะมีก้อนขี้ ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าเป็นขี้หมากันแต่ ประพันธ์บอกว่าเป็นขี้ชะมด ในทุ่งนี้ดูๆไปก็คล้ายๆทุ่งพรหมจรรย์ของเขาสมอปูน แต่เราได้พบดอกไม้สวยๆหลายชนิดขึ้นแบบกระจายๆ กันไม่ค่อยหนาแน่นเหมือนบนเขาสมอปูน อาจจะเป็นเพราะยังเป็นช่วงต้นฝนอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่จนเกือบบ่าย 2 โมง ก็เริ่มออกเดินต่อไป เพื่อหาจุดพักเดินลุยฝนไปได้สัก 1 ชั่วโมง อิ๊คคิว ที่นำทางให้พวกเราก็บอกให้หยุดเพราะหารอยของ พี่สมาน กับพี่จำนง ไม่เจอ พวกเราก็หยุดรอกันไป พักใหญ่มาก จนอิคคิวทนไม่ไหวจึงออกไปแกะรอยคนเดียว หายไปเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากที่ซดเหล้าแก้หนาวไปได้สักพัก พวกเราก็เริ่มต้มน้ำเพื่อชงกาแฟกัน พอน้ำเดือด อิ๊คคิวก็กลับมาบอกพวกเราว่าเราหลงทางกันแล้ว เดินเลยทางแยกมาประมาณ 50-60 เมตรต้องเดินย้อนกลับ สภากาแฟก็เลยต้องรีบสลายตัว พอเดินย้อนกลับ ก็พบว่าอิ๊คคิวหลอกเรา จริงๆแล้วเราหลงทางแยกไปตั้งเกือบกิโล จากนั้นเราเดินต่อกันมาได้จนประมาณ 4 โมงเย็นก็มาถึงริมคลองแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นปางพักเก่าของพวกหาของป่า มีลานกว้าง โล่งสะดวกในการตั้งแค้มป์ พวกเราตกลงที่จะพักกันที่นี่ แต่ พี่สมานแย้งว่าถ้าเราพักกันที่นี่แล้ว วันรุ่งขึ้นเราจะต้องเดินกลับทับลานไกลมากถ้าทุกคนยังไหว ก็ขอให้เดินต่อไปอีก คลองหนึ่งซึ่งห่างออกไปประมาณ 1 ชมเดิน (แบบเจ้าหน้าที่เดินนะ) ซึ่งพวกเราก็ตกลงเดินกัน คราวนี้เดินกันแบบจ้ำอ้าวกันทุกคนไม่เว้นแม้แต่หนึ่งซึ่งปกติเป็นคนเดินช้า ก็เร่งเดินดันแแบบไม่มีพักเลย มาถึงจุดพักแรมกันตอน 5โมง 15นาที ที่นี่ก็เป็นปางพักเก่าขนาดเล็กของพวกหาของป่า มีลานเล็กๆที่พอกางหลังคาแล้ว ก็พอจะกางเต้นท์เบียดๆกันได้ 4 หลัง ส่วนพวกนอนเปลต้องไปถางป่า หาที่ผูกเปลกันรอบๆบริเวณนั้น พอจัดการกับที่หลับที่นอนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลงมือทำอาหารเย็นมื้อนี้ ซึ่งมี ยำปลากระป๋อง, ยำคอนพร์อค, วุ้นเส้นอบหมูแฮม และ โปรตีนเกษตรผัดพริกแกง ในระหว่างทำอาหาร พวกเราก็สลับกับไปอาบน้ำซึ่งที่นี่เป็นแก่งน้ำตกเล็กๆมีน้ำมากพอที่ว่ายเล่นกันได้ทีเดียว หลังอาหารเย็น เราก็นั่งดื่มเหล้าและคุยกันเรื่อง สัพเพเหระ จน เกือบ 5ทุ่มจึงแยกย้ายเข้านอนกัน หลังจากเข้านอนได้สักครู่ใหญ่ ฝนก็เริ่มเทลงมา คราวนี้ลงแบบต่อเนื่องและรุนแรง จนพวกที่นอนเปลหลายๆคนนอนกันไม่ได้ เนื่องจากน้ำไหลมาเปียกทั้งจากสายเปล และ รั่วลงจากฟลายชีต โดยเฉพาะนายกุ้ง กับ หนุ่ย ต้อง อพยพไปนอนในเต้นท์สาวๆ ตั้งแต่ตอนตี 1 กว่าๆ (น่าอิจฉาจัง) ส่วนของผมน้ำเริ่มซึมมาทางสายเปล ทางปลายเท้า มาถึงก้น และทะลุถุงนอนมาตอนตี5 กว่าๆ เลยต้องลุกขึ้นมา หุงข้าวท่ามกลางสายฝน โดยใช้เตาแก้สตัวเก่งของผม กับ ของคุณขาว พอฟ้าเริ่มสว่างเราก็พบว่าคลองที่เราได้มาอาศัยอาบน้ำกันกลายเป็นสายน้ำเชี่ยวกราก สี่แดงขุ่น น่ากลัว คิดๆแล้วนับว่าพวกเราโชคดีมากที่ตัดสินใจมาพักกันที่นี่ ถ้าตัดสินใจพักกันที่ปางแรก เราคงไม่สามรถข้ามคลองนี้มาได้แน่ๆในตอนเช้านี้ หลังจากหุงข้าวเสร็จ ก็แบ่งข้าวใส่ถุงพลาสติคแจกคนละถุง พร้อมอาหารกระป๋องคนละกระป๋อง แล้วก็รีบเก็บของกันท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก


วันที่ 8 กค. หลังจากที่เราเก็บของกันเสร็จ ก็รีบออกเดินกันทันที โดยยังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลยเพราะดูระดับน้ำในคลองแล้วมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ออกเดินกันตอน 8โมงเศษๆ ช่วงแรกก็ต้องออกแรงไต่เนินที่ค่อนข้างชันและยาวพอสมควรแถมยังต้องแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกคนละหลายกิโลกรัมทีเดียว จากสัมภาระที่เปียกฝนอย่างชุ่มโชก จากนั้นก็เดินขึ้นๆลงๆ จนประมาณ9โมงครึ่ง ก็มาถึงคลองใหย๋แห่งหนึ่ง คลองนี้กว้างและมีน้ำเชี่ยวมากแต่โชคดีที่มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งล้มพาดขวางลำน้ำ ที่ให้อาศัยเดินข้ามไปได้ พอข้ามคลองเสร็จแล้วเราก็พักกินข้าวเช้ากัน ประมาณ 20นาที ก็เริ่มออกเดินต่อไป จนถึงเวลาประมาณ 11โมง ก็มาถึงสามแยก ทางไปเขาละมั่งกับทางลงทับลาน ที่นี่มีคนอารมณ์ขัน ทำสัญญลักษณ์อวัยวะเพศหญิงไว้ที่ก้อนหินที่อยู่ตรงกลางทางสามแพร่งพอดี แล้วเอาไม้ ท่อนทำเป็นอวัยวะเพศชาย ค้ำเอาไว้ ทุกคนที่เดินขึ้นเนินมาจะพบไม้ค้ำนี้ก่อน จากจุดนี้เราก็แยกลงทางซ้ายมือเป็นทางไต่ลงเขาแบบดิ่งๆ 80องศา ตลอด ไต่ลงมาได้สัก 20นาที มองไปข้างทางพบหน้าผาถล่มกลวางกระมาณ 100 เมตร ห่างจากทางที่เรากำลังไต่ลงอยู่ประมาณ 10 เมตร ไต่ลงไปได้อีกสักพัก กลุ่มข้างหน้าก็ตะโกนขึ้นมาว่าทางขาด ถูกดินจากหน้าผาที่ถล่มลงมาทับหมดแล้ว ต้องไต่กลับขึ้นมาอ้อม ช่วงหน้าผาถล่มไปด้านซ้าย โดยปีนไปเหนือช่วงที่ถล่มประมาณ 3-4เมตร เดินๆไป พี่จำนงก็เร่งให้เดินเร็วๆให้รีบผ่าน ช่วงผาถล่ม เพราะฝนก็ยังตกลงอย่างหนัก มีน้ำฉีดพุ่งออกจากดินเป็นเส้น เหมือนน้ำที่ฉีดออกจากสายยางเลย มีแนวโน้มว่าต้นไม้ใหญ่ ที่เราต้องเดินลอดผ่านจะถล่มลงมาอีก แต่อยู่ๆข้างหน้าก็หยุดกระทันหันเพราะทางตัน ข้างหน้าเป็นเหวลึก คราวนี้พวกเราต้องรีบตะกายบุกป่าหนามขึ้นไปตรงๆ เพื่อให้พ้นอันตรายจากหน้าผาถล่มซ้ำ ตะกายขึ้นไปกันได้ประมาณ 20เมตรก็ รวมกลุ่มกัน คราวนี้ ทางพวกเจ้าหน้าที่ ก็ให้พวกเรานั่งรอ พวกเขาหาทางกันก่อนเพราะถ้าไปเป็นกลุ่มใหญ่จะไม่คล่องตัว ตอนนี้พอนับสมาชิกดูพบว่า นายบุ้งกี๋หายไป โน่นครับ ตะกายกลับขึ้นไปที่สามแยกเลยครับ พวกเรานั่งรอกันจนถึงเที่ยงครึ่ง ทางอิ๊คคิว ก็มาบอกพวกเราว่าเจอทางที่เดินอ้อมผาถล่มได้แล้ว พวกเราก็ไต่ตามกันไป อ้อมออกไปทางด้านขวามือ ไต่ลงมาได้พอสมควรก็ตัดเข้าทางซ้ายเข้าด้านใต้ของช่วงผาถล่ม เดินลุยโคลนขนาดครึ่งแข้งเลย มาถึงตอนนี้ ทางประพันธ์ก็บอกพวกเราว่า คงจะเดินลงทับลานไม่ทันแล้ว เราต้องลงทางถังแดง ซึ่งเป็นจุดสุดถนน ของพวกปลูกป่าซึ่งต้องใช้เวลาเดินจากจุดนี้ประมาณ 4 ชั่วโมงแบบเร่งๆ และถ้าโชคไม่ดี น้ำป่าลงรถไม่สามรถข้ามคลองได้ เราก็จะต้องออกแรงเดินไปตามถนนอีก 5 กม. จากนั้นเราก็รีบเดินกันแบบจ้ำอ้าวกันแทบไม่มีการหยุดพักเลยทางช่วงนี้ก็ขึ้นๆลงๆ ชันบ้าง ราบบ้าง จนถึงประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง เราก็หยุดกินข้าวเที่ยง ประมาณ 20นาที ก็รีบเดินต่อเพราะกลัวมืดระหว่างทาง และ รถตู้ที่มารอรับเราจะรอนานเกินไป ตอนออกเดินใหม่ๆ ผมเกือบเป็นตะคริว เพราะหยุดพักนานเกินไป ต้องค่อยๆ เดินไปช้าๆ จนรู้สึกเข้าที่แล้วจึงค่อยเร่งความเร็วขึ้น ทางช่วงทายนี้ ส่วนใหญ่เป็นทางราบ แต่ไม้หนามมีมากตลอดทาง พวกเราแทบทุกคนมาได้แผล กันช่วงนี้ ผมเองก็โดนหนามเกี่ยวจมูก จนเลือดโชกเลยครับ เร่งเดินจนหมดแรง ตอน 4โมงครึ่งผมต้องหยุด นั่งพักกลางดงขี้ช้างเลยครับ ตอนนี้ ทางพี่สมานบอกว่าอีกไม่เกิน 1 กม.ก็จะถึงถังแดงแล้ว ทำเอาผมเรียวแรงหายหมดเลย เพราะคิดว่าเดินอีกนิดเดียวก็สบายแล้ว พักอยู่ประมาณ 10 นาที คราวนี้ค่อยเดินช้าๆ ไปถึงถนน ตอนเกือบ 5 โมงเย็น พอออกมาถึงถนนก็แทบนอนแผ่เลยครับ เพราะพวกพี่เจ้าหน้าที่บอกข่าวร้ายว่ารถมาไม่ได้เราต้องเดินต่ออีก 5กม. ถึงตอนนี้ ผมกับนายบุ้งกี๋ ก็ ถอดขากางเกงออกเป็นขาสั้นเพื่อความคล่องตัวในการเดิน จากนั้นก็รีบจ้ำเดินไปตามถนน ที่ดูสภาพแล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้งานนัก มีรอยช้างหักกิ่งไม้มาขวางถนน เกือบตลอดทาง เดินไปจนเกือบ 6 โมงเย็น ก็ตัดเข้าป่าอีกครั้ง เพื่อเดินข้ามคลองกัน ช่วงนี้เราเดินอยู่ในป่าประมาณ 15นาทีก็ทะลุออกมาริมคลองใหญ่ ลักษณะเป็นแก่งน้ำตกกว้างประมาณ 20-30 เมตร น้ำไหลเชี่ยวกราก ตอนแรกพวกเราก็ใจเสียกันว่าจะสามารถข้ามกันไปได้หรือเปล่า พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีเชือกที่ใช้กางฟลายชีตยาว 15เมตร แข็งแรงพอที่จะใช้ประคองตัวกันไปได้ ทางเจ้าหน้าที่เลยลุยน้ำข้ามไปก่อนแล้ว ยืนยึดเชือกเป็นหลัก อีกด้าน ให้พวกเราไต่เดินเกาะเชือกข้ามน้ำไป โดยให้ผู้หญิงวางสัมภาระไว้เดินมาตัวเปล่า ช่วงนี้ก็มีความเฮฮาบวกหวาดเสียวเล็กน้อย โดยนายโป้ง มีการลื่นเสียหลักเล็กน้อย แต่โชคดีที่มือเหนียวยึดเชือกเอาไว้แน่น กลับมาตั้งตัวได้ แต่ต้องเสียรองเท้าไปตามน้ำ 1 ข้าง พวกเราข้ามน้ำกันมาเรียบร้อย และขึ้นรถ 4WD ของป่าไม้ที่มารอรับเรา แบบนักกายกรรมกับเลยครับ 24คน กับ สัมภาระอีกเพียบ กับรถปิ๊คอัพ คันเดียว รถเริ่มออกวิ่งกลับไปที่หน่วยไทยสามัคคี กันตอน 6โมง 50นาที ระหว่างทางที่นั่งรถไปก็มีลุ้นกันตลอดทาง ตอนมุดใต้ต้นหนาม แถมมีบางช่วง ตอนรถลงเนิน รถไม่ยอมเลี้ยวตามที่พวงมาลัยหักเลี้ยว จะไถลออกนอกถนน จนต้องมีการลงไปดันหัวรถให้เข้าร่องถนน ระยะทางจาก จุดที่เราขึ้นรถ มาถึงหน่วย 8 กม. เราใช้เวลาประมาณ 50นาที มาถึงหน่วยกันตอน ทุ่ม 40นาที ตอนนี้ฝนเริ่มหยุดแล้ว มีหมอกลง หนาพอสมควรและรู้สึกหนาว มาถึงเราก็พบว่ารถตู้มาจอดรอเราอยู่แล้ว พวกเราเลยรีบอาบน้ำล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งๆ ที่เก็บไว้ในรถตู้ คัดแยกข้าวของ กัน เสบียงที่เหลือเราก็มอบให้กับเจ้าหน้าที่เอาไว้ หลังจากจัดการสิ่งต่างเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกลับกัน ตอน 3ทุ่ม ก่อนออกเดินทางก็มีการออกกำลังกันอีกเล็กน้อย เพราะรถตู้ติดหล่ม ต้องออกแรงดันกันทั้ง 2 คัน ทำเอาตัวเลอะโคลนกันอีกรอบ จากนั้น เราก็ไปแวะ กินข้าวเย็นกันที่ ตลาดศาลเจ้าพ่อ จกานั้นเราก็เคลียร์ค่าใช้จ่ายกัน ออกมาที่คนละ 1,600 บาท มากกว่าที่ตั้งงบไว้ทีแรก 100 บาท เราออกจากจากตลาดศาลเจ้าพ่อ ตอน 4ทุ่มครึ่ง วิ่งฝ่าสายฝนกลับมาถึง ฟู๊ดแลนด์รามอินทรา ตอนตี 2 ด้วยสวัสดิภาพ จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน


เช่นเคยครับ ต้องขอขอบคุณ ในความกรุณาของ คุณ เชิด หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าสวนห้อม ที่ช่วย ประสานงานและให้ข้อมูล พี่จำนง, พี่สมาน, ประพันธ์ และ พรชัย (อิ๊คคิว) เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าประจำหน่วยไทยสามัคคี ที่ช่วยดูแลเราตลอดการเที่ยวป่าครั้งนี้ พีคนขับรถ 4WD ที่รับส่งพวกเราทั้งขาไปและขากลับ เหวอ และดอน ลูกหาบที่มาช่วยแบ่งเบาภาระในการแบกเสบียง







คุยกับ Canman " ผจญภัยทุ่งตู้รถไฟ..ที่ทับลาน"