ประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง...อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
BOM! (bom_lfc@hotmail.com)9 กรกฎาคม 2542
ตะรุเตาแสนสนุก
สวัสดีคะ
เราเคยไปตะรุเตาเมื่อปีที่แล้ว ที่นั่นสวยมากกคะอยากจะไปอีก ยิ่งเกาะไข่นะคะ สวยมากๆๆๆเลย หาดทรายเป็นสีขาว ทะเลสีคราม สวยจิงๆเลย เกาะหินงามก็สวยคะ ทั้งหาดถูกปกคลุมไปด้วยก้อนหิน มากมาย ไม่มีหาดทรายที่เกาะนั้นเลย
พงศ์ศักดิ์ พิริยะสงวนพงศ์ (oath2615@yahoo.com)
12 พฤษภาคม 2543
skin diving ที่ตะรุเตาสวยที่สุด
เมื่อตอนต้นปี ไปเที่ยวตะรุเตา แต่ไปพักโดยเอาเต็นท์ไปกางที่เกาะหลีเป๊ะ ที่นั่นสวยมากๆ บนฝั่งก็สวย ทรายขาวละเอียด น้ำใสสุดๆ ยิ่งปะการังที่นั่น ถ้าใครชอบดำ skin diving หรือ snorklling ผมแนะนำว่าชีวิตนี้ต้องไปสักครั้ง(ไม่over นะครับ) เพราะที่นี่มีเกาะหลายเกาะที่สวยงาม และสมบูรณ์ทั้งปะการังแข็ง และอ่อน ใครที่ไม่เคยดูปะการังอ่อน หรือเคยเห็นแต่ในรูป คงแทบกรี๊ดสลบ(เหมือนผม) เพราะแค่ skin คุณก็จะได้เห็นปะการังอ่อนที่สวยงามสุดๆ ทั้งที่เกาะจาบัง เกาะดง และที่อื่นๆ ปะการังแข็งก็มีให้ดู แต่คุณคงต้องมีเวลาเยอะหน่อย สามหรือสี่วันไม่แนะนำครับ เพราะไกลจากกรุงเทพมาก แต่รับรองว่าคุณไม่ผิดหวังแน่นอน นี่ยังไม่รวมเกาะหินงาม ที่หินงามน่า'โมย แต่ไม่กล้า อีกนะครับ ปีนี้อาจไม่ทัน แต่ฤดูท่องเที่ยวปีหน้า ถ้ามีโอกาส ...เที่ยวให้สนุกนะครับ
ทัศนีย์ 5 มิถุนายน 2543
หลีเป๊ะ ที่น่าเศร้า
เมื่อสงกรานต์ที่ผ่าน เราได้มีโอกาสไปสัมผัสทะเลที่เกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะที่เราเคยใฝ่ฝันว่าครั้งหนึ่งอยากจะไปสัมผัสมัน แต่ความประทับใจที่มีต่อท้องทะเลแห่งนี้ กลับทำให้เราผิดหวังกับมันมาก ทำไมทะเลหลีเป๊ะที่เราเคยเห็นจากทีวีเมื่อ 2ปีก่อน จึงได้เปลี่ยนสภาพไปได้มากขนาดนี้ ปะการังตายหมด เหลือเพียงร่องรอยให้เห็นว่า แต่ก่อนมันเคยสวยงามเพียงใด อยากจะขอฝากให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ช่วยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนที่เกาะแห่งนี้บ้าง อย่างน้อยก็อยากจะให้คงสภาพน้ำทะเลใส ๆ ไว้ ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเยี่ยมอีก หวังว่าจะไม่ใช่ หลีเป๊ะที่น่าเศร้าอีกต่อไป
แม่น้องเซ็ท - - mumset89@se-ed.net - 31/01/2001
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา -- หลีเป๊ะ... .จ.สตูล
23/1/44 ที่ท่าเรือปากบารา คุณแม่ซื้อตั๋วเรือไปเกาะตะรุเตา 300 บาท ไป-กลับ มีน้องผู้หญิง 3 คน แบกเต็นท์จะไปตะรุเตาเหมือนกัน และก็มีฝรั่งร่วม 50 คน มากัน 2 คนบ้าง เป็นกลุ่มบ้าง ทุกคนซื้อตั๋วไปลงที่เกาะหลีเป๊ะ เจ้าหน้าที่ของชมรมเรือปากบาราบอกว่าฝรั่งพวกนี้จะไปดำน้ำดูปะการังกัน คุณแม่ก็คิดว่าฝรั่งพวกนี้เขาอุตส่าห์มาเสียไกล เราคนไทยอยู่ประเทศไทย ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว นั่งเรือเลยไปเที่ยวต่ออีกหน่อยดีกว่านะ ก็ซื้อตั๋วเรือเพิ่มอีก 500 บาท เรื่อจากปากบาราไปหลีเป๊ะ 800 บาท ไป-กลับ เรือออกเวลาประมาณ 10.30 น ขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าเรือตรงที่มีหลังคา ส่วนพวกฝรั่งก็นอนผึ่งแดดทั้งหัวเรือและท้ายเรือเต็มไปหมด ได้เจอคนไทยหนุ่มสาวอีก 2 คน เขาซื้อแพ็คเก็จทัวร์ของทัวร์ครอบครัวมา มีไกด์นำทางมาด้วย คุณแม่ก็เลยขอแจมไปกับเขา มีเพื่อนแล้วทริปนี้จะได้ไม่ต้องเมื่อยมือมากนัก
เกาะตะรุเตา.............นั่งเรือไปประมาณ 2 ช.ม. ก็ถึง เรือจอดให้นักท่องเที่ยวลงไปเดินเล่นหรือทานอาหารกลางวัน ประมาณครึ่ง ช.ม. ตรงที่เราขึ้นเกาะมีป้ายเขียนไว้ว่า อ่าวพันเตมะละกา อุทยานแห่งชาติตะรุเตา แต่คนที่เดินขึ้นเกาะจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 20 บาท เดินเข้าไปในอุทยานจะมีห้องเล็กๆ ติดบอร์ดบรรยายเกี่ยวกับประวัติของเกาะตะรุเตา เห็นมีโซ่ตรวน ขวาน เลื่อย แขวนอยู่อย่างละ 1 ชิ้น อ้อมีโถกระเบื้อง กาน้ำชาด้วย เจ้าหน้าที่บอกว่าสิ่งของมีแค่นี้ สูญหาย และผุพังหมดแล้ว มันก็นานมากถึง 64 ปีมาแล้วนี่
เดินไปทางด้านชายทะเล....เห็นหาดทรายสีขาว สะอาดมาก ไม่มีเศษขยะอะไรเลย เจ้าหน้าที่อุทยานดูแลความสะอาดได้ยอดเยี่ยมจริงๆ น้ำทะเลใสแจ๋ว ฝรั่งบางคนอดใจไว้ไม่ไหวลงว่ายน้ำเล่นเลย พวกเขาใส่ชุดบิกินีนอนผึ่งแดดบนเรือ พอลงมาข้างล่างก็จะมีผ้าผูกเอว ปลดออกนิดเดียวก็ได้ลงน้ำแล้ว เห็นน้องผู้หญิง 3 คนกำลังเดินหาที่กางเต็นท์อยู่บริเวณริมหาดทราย เขาคงนอนสบายจริงๆ ค่ะ ในบรรยากาศที่สวยงามและเงียบสงบแบบนี้
แม่น้องเซ็ท - - mumset89@se-ed.net - 31/01/2001
หินงาม -- อาดัง --- ราวี
เรือที่จะพาไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ นี้เขาจะคิดราคาดังนี้ค่ะ ถ้าไปเกาะหินงาม-เกาะยาง-เกาะอาดัง-เกาะราวี ราคา 1000 บาท แต่ถ้าเลยไปถึงหมู่เกาะดงจะราคา 1500 บาท นั่งได้เพียง 6 คน แต่คุณแม่คิดว่าเราไม่ต้องไปถึงหมู่เกาะดงหรอกค่ะ แค่ 4 เกาะแรกก็พอแล้วค่ะเวลาจะไม่ทันกัน และจะทำให้เราต้องรีบๆ ทำเวลา ในแต่ละเกาะ
ไปดำน้ำดูปะการังครั้งนี้ คุณแม่ได้รับอภินันทนาการจากคุณน้องทั้งสองที่มากับทัวร์ครอบครัว ด้วยความขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ
ในเรือลำที่เราจะไปดำน้ำกันนั้น มีฝรั่งหนุ่มสาว 2 คน จะไปดำน้ำลึก scuba diving ส่วนเราคนไทย 4 คน ก็แค่ skin diving ค่ะ และก็จะมีครูสอนดำน้ำไปดูแลฝรั่ง 2 คนนั้นด้วย
จุดแรกเรือพาเราไปแวะถ่ายรูปที่เกาะหินงาม หินบนเกาะนี้ก็งามจริงๆ ค่ะ ทั้งสีดำ สีขาว ไม่มีใครกล้าเก็บหรอกค่ะ เพราะมีป้ายเขียนไว้ว่าถ้าใครเก็บหินนี้ไปจะได้รับภัยภิบัติต่างๆ
เรือก็พาพวกเรามาที่เกาะอาดัง ที่เกาะอาดังนี้ บริเวณชายหาดก็มีฝรั่งนอนผึ่งแดดอยู่จำนวนมาก ชายหาดสวย วิวสวย ปะการังสวย ปลาทะเลมีสีสวยงามมากมาย มีม้าน้ำด้วย คุณแม่ว่ายน้ำไม่ค่อยเป็น ใส่เสื้อชูชีพแล้วยังเตรียมหมอนเป่าลมไปเกาะอีกใบนึง กลัวค่ะไม่กล้าออกไปไกลมากนัก ส่วนน้องเซ็ทเขาก็ว่ายน้ำเก่ง ไปได้ทั่ว เราพักทานข้าวกล่องกันที่นี่ สำหรับฝรั่งสองคนนั้น เรือเขาก็พาไปส่งตรงจุดดำน้ำลึก เขาคงได้เห็นปะการังใต้ทะเลสวยกว่าพวกเราแน่ๆ เลย
ผ่านเกาะยางเรือเข้าไปไม่ได้เพราะน้ำลดมาก เรือก็เลยไปส่งพวกเราที่เกาะราวี
เกาะราวีนี้เขาจะมีเชือกขึงไว้เป็นแนวเขตของปะการัง ยาวร่วม 300 เมตร (ถามคนเรือค่ะ) ปะการังที่นี่เป็นที่มหัศจรรย์ไทยแลนด์เลยค่ะ คุณแม่เคยไปดำที่พีพี สมิลัน ซึ่งปะการังก็สวยค่ะ แต่ที่นี่ปะการังขนาดใหญ่มาก ทั้งสูงทั้งใหญ่ ดอกไม้ทะเลขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.50-2.00 เมตรได้ ปลาการ์ตูนเล่นอยู่กับดอกไม้ทะเล คุณแม่เองใช้วิธีเกาะไปตามเชือกค่ะ คราวนี้ไม่เกาะหมอนแล้วค่ะ แต่ก็กินน้ำทะเลเสียอิ่มเลยค่ะ คุณไกด์เธอให้ยืมรองเท้าสำหรับดำน้ำ เพราะคุณแม่กลัวว่าเท้าจะไปถูกปะการัง ความที่มันสูงใหญ่มาก อายุแก่จนป่านนี้พึ่งเคยพบเคยเห็นว่าปะการังที่นี่มีขนาดใหญ่ สวยงามเต็มท้องทะเลไปหมด มิน่าฝรั่งเขาถึงได้มากันถึงที่นี่ คุณน้องบอกว่าเป็นปะการังที่เรียกว่ามีขนาดมโหฬารเลย และสารพัดสัตว์น้ำใต้ทะเล หลากหลายสีสันต์ต่างๆ งดงามจริงๆ คุณแม่รู้สึกเป็นปลื้มมากค่ะ ที่ได้มาเที่ยวที่นี่ อย่างเมื่อสมัยก่อนไปเที่ยวภูกระดึงก็คิดว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ไป ที่นี่ก็มีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ ใครจะว่าเว่อร์ก็ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับน้องเซ็ทแล้วเขาได้เห็นโลกใต้ทะเลที่สวยงาม ทำให้เขาอยากเรียนดำน้ำแต่คงต้องรอค่ะ อายุยังไม่ถึงกำหนดค่ะ พวกเราดูกัน อย่างเต็มอิ่มแล้ว ขึ้นเรือกลับก็ยังเม๊าส์กันไม่หยุด คนนั้นเห็นปะการังฟองน้ำ คนนี้เห็นปลาดาวสีสวย สารพัดจะคุยแข่งกันอยู่ 4 คน
คุณแม่ก็ขอชวนเพื่อนๆ ที่ชอบเที่ยวทั้งหลายลองไปเที่ยวที่นี่นะค่ะ ไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง ว่าที่คุณแม่เล่ามานี้เป็นความจริงหรือเปล่า การเดินทางก็ไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะ คุณแม่ยังสามารถไปกับน้องเซ็ทเพียง 2 คนได้เลยค่ะ
ที่พักบนเกาะหลีเป๊ะ มีหลายแห่งค่ะ แต่คุณแม่มีแต่เบอร์โทรศัพท์ที่หลีเป๊ะ รีสอร์ทค่ะ 074-712181, 723804 01-8965491
แม่น้องเซ็ท - - mumset89@se-ed.net - 31/01/2001
นี่นะหรือ....... เกาะหลีเป๊ะ
เกาะหลีเป๊ะ...........นั่งเรือจากตะรุเตาไปอีกเกือบ 4 ช.ม. ก็ถึงหลีเป๊ะ จะมีเรือโดยสารเล็กมาจอดข้างๆ เรือใหญ่ เพื่อถ่ายคนและกระเป๋าสัมภาระขึ้นเกาะ ลำละ 6 คน ทั้งคนทั้งของที่ต้องถ่ายลงเรือเล็กนั้นดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด ฝรั่งบางคน เป้-กระเป๋า ลงไปในเรือเล็กแล้ว แต่เจ้าของยังอยู่บนเรือใหญ่ จะลงก็ลงไม่ได้ เพราะคนในเรือเต็ม 6 คนแล้ว ก็ต้องขนของกลับขึ้นเรือใหญ่อีก ค่าเรือเล็กนี้เขาเก็บคนละ 30 บาท
ช่วงที่ต้องนั่งเรือเล็กเข้าเกาะนั้น ในท้องทะเลเต็มไปด้วยปะการังน้ำตื้นเต็มไปหมด พร้อมกับหอยเม่นมากมาย น้ำใสแจ๋ว อากาศก็กำลังดี รู้สึกเย็นสดชื่นจากพื้นน้ำทะเล ขณะนั้นเป็นเวลา 16.30 น ที่ จ.สตูล ไม่มีฝนตกเลย
พอไปถึงชายฝั่งซึ่งเป็นด้านหน้าของเกาะ ไกด์ของทัวร์ครอบครัวก็พาลูกทัวร์ของเขา 2 คนขึ้นฝั่งที่ "ชาวเลรีสอร์ท" คุณแม่ก็ตามติดมาด้วย แต่พวกฝรั่งทั้งหมดเขาไม่ขึ้นที่นี่ พวกเขาไปขึ้นที่ท้ายเกาะ หรือเรียกว่าอ่าวพัทยากัน พอเรือจอดที่ชายหาดหน้าชาวเลรีสอร์ท กำลังจะก้าวเท้าลงเหยียบน้ำทะเลที่เกาะหลีเป๊ะ คุณแม่ต้องหดเท้าแทบไม่ทัน บริเวณชายหาดเต็มไปด้วยเศษแก้วค่ะ เศษแก้วจริงๆ ค่ะ แต่ละชิ้นโตๆ ทั้งนั้นเลย มองไปที่ชายหาดก็เห็นแต่ขยะเกลื่อนเต็มหาด เคยอ่านในเวปนี้ล่ะค่ะ มีคนเขียนถึง หลีเป๊ะที่น่าเศร้าไว้ แต่เขาพูดถึงเรื่องปะการัง หลีเป๊ะที่เราอุตส่าห์ตามฝรั่งมามันเป็นแบบนี้น่ะหรือ คุณแม่เห็นสภาพหาดแล้วหดหู่ใจมาก รู้อย่างนี้พักที่ตะรุเตาดีกว่า เย็นวันนั้นไม่ยอมให้น้องเซ็ทลงเล่นน้ำ เพราะทั้งหาดมีแต่เศษแก้ว ไกด์ของทัวร์ครอบครัวเขาก็พาน้อง 2 คนนั้นแยกไปที่พัก ส่วนคุณแม่ก็ติดต่อกับทางชาวเลรีสอร์ท ขอกางเต็นท์นอน และที่ห้องอาหารที่เราไปติดต่อขอพักนั้น สภาพของห้องอาหารเหมือนกับโรงอาหารตามโรงเรียน แต่มีขนาดเล็กกว่าหน่อย มองไปเห็นกลุ่มคนนั่งเล่นไพ่กันอยู่อย่างโจ่งแจ้ง 10 กว่าคนได้ คงไม่มีตำรวจแน่ๆ บนเกาะนี้ ตอนนั้นประมาณ 5 โมงเย็น คุณแม่ก็พาน้องเซ็ทเดินเล่นในบริเวณรีสอร์ท และก็ด้านหลังรีสอร์ทเป็นชุมชนชาวเล มีร้านขายของชำก็แวะเข้าไป เต็มไปด้วยคนนั่งกินเหล้าและเล่นไพ่อยู่ 4 กลุ่มได้ อย่างกับดูในหนังคาวบอยส์สมัยก่อน คิดว่าที่นี่มันดูยังไงๆ อยู่นะ รีบพาน้องเซ็ทมาอาบน้ำทานข้าว และก็กางเต็นท์ เลือกตรงบริเวณที่สว่างมากๆ และก็กางอยู่บริเวณหน้าบ้านพักของฝรั่งสูงวัยคู่หนึ่ง มีคุณแม่กางอยู่เต็นท์เดียวล่ะค่ะ บรรยากาศที่ชายหาดก็ดูน่ากลัว มีแต่พวกชาวเลเดินถือขวดเหล้ากินกัน บางกลุ่มก็นั่งกินที่ชายหาด บางคนเดินผ่านเต็นท์ก็ก้มมองเข้ามา เวลาตอนนั้น 18.40 น. ก็มีลมแรงมากแทบจะพัดเต็นท์และน้องเซ็ทลอยลงทะเล ขนาดมีเป้ใบใหญ่และของหนักๆ ทับอยู่ คุณแม่เลยไปติดต่อขอเช่าบ้านพัก บ้านที่ได้พักไปอยู่ติดกับชุมชนชาวเลอีกด้านนึง ในวันนั้นเขาจัดงานมีการเปิดเพลงใส่เครื่องขยายเสียง เพลงเหมือนเป็นภาษามาเลย์ แต่คงเป็นภาษาอินโดนีเซียมากกว่า เพราะ 2 ภาษานี้คล้ายกัน เห็นหนุ่มสาวเต้นรำกันแบบเต้นรองเง็งของชาวภาคใต้ แต่ชาวเลพวกนี้ไม่ได้เป็นมุสลิม หรือนับถือศาสนาอิสลาม เพราะเขากินเหล้าและกินหมูได้
บ้านพักหรือบังกาโลที่นี่จะมีฝาเป็นไม้ไผ่สานเป็นลายสวยงาม แต่ดูไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไหร่ สำหรับห้องน้ำ เพราะจะมีรูมีช่อง ส่วนห้องนอนจะมีมุ้งกางกันยุงให้ ตรงนี้ดีหน่อย เพราะคุณแม่กลัวยุงกัดน้องเซ็ท ขนาดเกสต์เฮาส์ที่ไปพักค้างคืนที่ปากบารา คุณแม่ยังต้องกางเต็นท์ในห้องนอนเลยค่ะ 2 ทุ่มน้องเซ็ทหลับไปแล้ว คุณแม่ก็นั่งอยู่แต่ในบ้านฟังเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม จะออกไปเดินเล่นก็ไม่กล้า 5 ทุ่มงานก็เลิก ค่อยยังชั่วหน่อย ประมาณตี 4 ได้ คุณแม่เห็นหน้าคนมาแนบกับกระจกบานเกล็ดใสที่บ้านพัก คุณแม่ไม่ได้ปิดม่าน เปิดเพื่อให้ลมมันพัดเข้ามา ตกใจร้องไป ไอ้เจ้าคนนั้นมันก็คงตกใจเสียงคุณแม่ด้วยล่ะ
พอตอนเช้าได้ไปรู้จักกับไต๋เรือคนไทย ก็ถามเขาไปถึงสภาพที่เกาะนี้ว่าเป็นเพราะอะไรมันถึงได้สกปรก และมีแต่คนเล่นไพ่ กินเหล้ากันเต็มเกาะแบบนี้ ไต๋เรือเขาเล่าให้ฟังว่า พวกนี้เป็นชาวเลที่มาจากประเทศอินโดนีเซีย ไม่มีศาสนา เข้ามาอาศัยอยู่บนเกาะนี้นานแล้ว เขาหาปลามาได้ ขายแล้วก็เอาเงินมาเล่นไพ่ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เหล้าก็กินเพื่อให้ตัวอุ่นจะได้ไม่หนาวเวลาลงน้ำ กินเสร็จก็โยนขวดทิ้งตามชายหาดถึงเต็มไปด้วยเศษแก้วจากขวดเหล้า เขาเล่าว่าพวกนี้อยู่อย่างไม่พัฒนา คนบนเกาะนี้นามสกุลจะเหมือนกันหมดเกือบทั้งเกาะ สมเด็จย่าเคยมาประทับที่นี่และก็ได้ตั้งนามสกุลให้พวกนี้ว่า "หาญทะเล"
ตอนสายคุณแม่ได้เจอกับคุณน้องทั้งสอง ก็เม๊าส์กัน ปรากฎว่าของคุณน้องหนักกว่า ถูกขโมยเข้าบ้านพักเลย แต่มันเอาอะไรไปไม่ได้ เขาก็รีบโทรไปบริษัททัวร์ครอบครัวเพื่อขอเปลี่ยนที่พัก พร้อมกับต่อว่าบริษัททัวร์ที่จัดให้เขามาพักที่ชาวเลรีสอร์ท ทางบริษัทก็บอกว่าเขาไม่ได้สำรวจว่าสภาพที่พักที่นี่เป็นยังไง คุณแม่ก็ย้ายตามเขาไปด้วยค่ะ แหมจะอยู่ได้ยังไงค่ะ..แบบนี้
หลีเป๊ะรีสอร์ท.....อยู่ด้านท้ายเกาะ หรือเรียกว่าอ่าวพัทยา สภาพผิดกับด้านหน้าเกาะเลยค่ะ หาดทรายสอาด ปะการังก็มาก สวยงามจริงๆ ค่ะหาดนี้ เต็มไปด้วยฝรั่ง มีฝรั่งนำเต็นท์มากางเองก็หลายเต็นท์ แหม่มบางคนมากางนอนคนเดียว รีสอร์ทที่จะพักชื่อ "หลีเป๊ะรีสอร์ท" บ้านพักราคา ตั้งแต่ 200-700 บาท เป็นเรือนไม้ไผ่สานเหมือนกัน แต่ทางด้านห้องน้ำจะมีปูนฉาบผนังทึบ ไม่มีรูหรือช่องค่ะ มีมุ้งกางเหมือนกัน บรรยากาศดี เงียบสงบ ถ้าใครเอาเต็นท์มากางเองเขาจะคิดค่าอาบน้ำ 50 บาท ถ้าเช่าจะเป็นเต็นท์ 3 เหลี่ยม นอนได้ 2 คน ราคา 100 บาท ค่ะ และเต็นท์เขามีร่วม 30 หลัง พอมีคนมาเช่าเขาก็จะเอาไปกลางให้ เป็นพวกชาวจีนมาเลเซียเยอะเหมือนกันที่มาเที่ยว ตอนกลางคืน ตามรีสอร์ทต่างๆ จะมีร้านอาหารเปิดแบบพวกทะเลเผา เขาจุดเทียนปีกไว้ในขวดน้ำพลาสติกวางตามโต๊ะ สว่างไสวไปหมดทั้งหาด ดูสวยงามค่ะ หลังจากเรามีดินเนอร์กันแล้วกับคุณน้องทั้งสอง เราก็เดินเล่นชมดาวกันอย่างสบายใจ
ใครที่จะมาเที่ยวที่นี่หลีเป๊ะ ควรขึ้นเรือด้านท้ายเกาะนะค่ะ และก็จะมีรีสอร์ทต่างๆ เรียงรายอยู่มากมาย ราคาก็ไม่แพงค่ะ แต่คุณแม่ติดใจที่หลีเป๊ะรีสอร์ทนี่ละค่ะ ที่นี่เขาก็เป็นพี่น้องกับที่ชาวเลรีสอร์ทนะค่ะ แต่ทำไมสภาพมันผิดกันมากนักก็ไม่รู้ค่ะ...
แม่น้องเซ็ท - - mumset89@se-ed.net - 31/01/2001
เกาะไข่.......... WHALE...SHARK WHALE..?
เกาะไข่.....นั่งเรือเลยจากตะรุเตามาประมาณ 25 ก.ม. (ตามข้อมูล) ถึงเกาะไข่ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ มีซุ้มประตูหินสวยงาม มีรูกลวงตรงกลาง ตามข้อมูลบอกว่าเป็นสัญญลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล เรือขับเข้าไปใกล้เกาะมากเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป คุณแม่ถ่ายได้ทั้ง 2 ด้านของซุ้มประตูหิน
ระหว่างที่นั่งดูวิวทิวทัศน์ของท้องทะเลไปเรื่อยๆ นั้น มีแหม่มชาวฝรั่งเศสรูปร่างอ้วนใหญ่ นั่งอยู่ข้างๆ คุณแม่ ร้องตะโกนด้วยเสียงดังว่า ...WHALE...SHARK WHALE ทุกคนบนดาดฟ้าเรือ ได้เห็นปลาตัวใหญ่มากกก ใหญ่จริงๆ กระโดดอยู่เหนือผิวน้ำ คุณแม่มองไม่เห็นส่วนหัวว่าเป็นปลาอะไร ก็ตื่นเต้นกันทุกคนล่ะค่ะทั้งไทยทั้งฝรั่งที่ได้เห็นปลาตัวนั้น น้องผู้หญิงที่มากับทัวร์ครอบครัวตั้งชื่อแหม่มคนนี้ว่า คุณป้ามหาภัย เพราะแกจะคุยโวยวายด้วยเสียงอันดังตลอดทาง จนฝรั่งด้วยกันยังรำคาญ เก้าอี้ที่นั่งเป็นม้ายาว แกก็ปูผ้าเช็ดตัวนั่ง นอนอยู่คนเดียว ไม่แบ่งที่ให้ใครเลย ใครมานั่งที่แกด้วยก็ไม่ยอม บอกว่า SORRY ... แต่ก็เพราะคุณป้าแหม่มคนนี้แหละค่ะทำให้พวกราได้เห็นปลาใหญ่ตัวนั้น
แม่น้องเซ็ท - - mumset89@se-ed.net - 31/01/2001
re: อุทยานแห่งชาติตะรุเตา -- หลีเป๊ะ... .จ.สตูล
ตารางเรือเมล์ ชมรมการท่องเที่ยวอำเภอละงู หมู่ที่ 2 ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล Tel. 01-2762533 (074)783068 (คุณประยุทธ -บ.อารยาแทรเวล จก.) ตารางเรือเมล์ ปากบารา - ตะรุเตา - ปากบารา (ออกทุกวัน) อัตราค่าโดยสาร 300 บาท ไป - กลับ
ปากบารา - ตะรุเตา ตะรุเตา - ปากบารา เที่ยวเช้า เวลา 10.30 น. เที่ยวเช้า เวลา 09.00 น. เที่ยวบ่าย เวลา 15.00 น. เที่ยวบ่าย เวลา 13.00 น.
ถ้าไป เกาะอาดัง - หลีเป๊ะ ต้องเพิ่มอีก 500 บาท รวม 800 บาท ไป-กลับ ไม่รวมค่าเรือเล็กเข้าเกาะ คนละ 30 บาท
ตะรุเตา - อาดัง - หลีเป๊ะ หลีเป๊ะ-อาดัง-ตะรุเตา-ปากบารา ออกจากตะรุเตา เวลา 13.00 น. ออกเวลา 09.00 น. เที่ยวกลับ
แม่น้องเซ็ท - - mumset89@se-ed.net - 13/02/2001
re: อุทยานแห่งชาติตะรุเตา -- หลีเป๊ะ... .จ.สตูล
มีหลายคนส่ง mail มาถามเรื่องการเดินทาง ค่าใช้จ่าย ที่จะไปเที่ยวที่ตะรุเตา - หลีเป๊ะ คุณแม่ได้เขียนถึงการเดินทางไปท่าเรือปากบารา แต่ไปเขียนที่หัวข้อของ อช. เภตรา รบกวนลองเข้าไปอ่านดูนะคะ
เริ่มจากหาดใหญ่ ค่ารถตู้ หาดใหญ่-ปากบารา (จ.สตูล) 70 บาท ค่ะ รถจอดที่ บ้านพักรถไฟ ข้างร้านหมอสมโภช รถออกเวลา 6.00 น - 19.00 น เดินทาง 2 ช.ม. โทร 074-245655 กะเวลาให้ดีนะคะ ส่วนมากต้องไปค้างคืนตามเกสต์เฮาส์แถวท่าเรือปากบาราก่อน เพราะไม่ทันเรือ
ถ้าจะแวะเข้าไปนอนที่ อช.เภตรา สัก 1 คืน ก็น่าจะดีค่ะ เช้าค่อยออกมาขึ้นเรือ ทางไปเภตรา จาก ถนนใหญ่เข้าไป 1400 เมตร ค่ะ ไม่น่ากลัวอะไรค่ะ ทางเป็นถนนอย่างดี 2 ข้างทางเป็นบ้านชาวบ้านมุสลิมค่ะ เช้าออกจาก อช.เภตรา นั่งรถ 2 แถวไปท่าเรือปากบารา ค่ารถ 10 บาท
ค่าเรือไปตะรุเตา 300 บาท ไป-กลับ ถ้าอยู่แค่ตะรุเตา ไม่เปลืองมาก เล่นน้ำ เที่ยวถ้ำจรเข้ ขึ้นผาโต๊ะบู อาหารที่อุทยานถูก ยิ่งเอาเต็นท์ไปเอง ไม่ต้องใช้เงินมากเท่าไหร่
เลยไปเที่ยวหลีเป๊ะ 800 บาท ไป-กลับ มีค่าที่พักหลายระดับราคา 200-700 บาท มีเต็นท์ไปเอง 50 บาทค่าอาบน้ำ ที่หลีเป๊ะ อาหารแพงหน่อยตามราคารีสอร์ททั่วๆ ไป ค่าเช่าเรือไปเที่ยวเกาะ1000-1500 บาท/6 คน
ค่ะคงจะประมาณค่าใช้จ่ายกันได้นะค่ะ
อ้อ - - countdesire@hotmail.com - 04/03/2001
อาดัง ความประทับใจสุดๆ
ไปอาดังมาเมื่อพฤษภาคมปี 2543 ค่ะเป็นช่วงที่ฝึกงานพอดี ฝึกงานตอนนั้นฝึกที่อ.สทิงพระ แล้วมีช่วงหยุดติดกัน3วัน เพื่อนเค้าอยากไปเที่ยวตะรุเตาที่สตูล เราก็อยากไปค่ะไหนๆก็มาแล้วแต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราไม่มีเงินเลยเพื่อนก็มีน้อย เรามีแค่400บาทแต่ด้วยความอยากนะเลยซื้อเสบียงเป็นมาม่า ปลากระป๋องแล้วไปยืมหม้อเก่าๆที่บ้านเพื่อน และหิ้วเต๊นท์ไปกางกัน
ตอนเช้าขึ้นรถตู้ไปสตูลที่หาดใหญ่ ค่ารถ60บาทค่ะ ลงรถตู้ก็ต่อรถสองแถวไปปากบารา 10บาท ที่ไปนี่ถามเค้าตลอดนะคะ ลืมบอกไปเราไปกัน2คนผู้หญิง เพื่อนชื่อปูค่ะ ตอนนั้นเพื่อนก็มีแค่หนังสือท่องเที่ยวเท่านั้น ไปแบบไร้แผนจริงๆ พอถึงปากบาราไปถามเรือที่ไปตะรุเตา ราคาไปกลับ300บาทปูเค้าดูรูปที่ติดอยู่ท่าเรือเห็นอาดัง-หลีเป๊ะ แล้วเกิดอยากไปอีกจะให้เราไปให้ได้แต่อย่างที่บอกล่ะเรามีเงินไม่พอ ค่าเรือไปกลับก็คนละ700บาทแล้ว ปูมีแค่800 บาทไม่พอแน่ๆ แต่เธออยากไปสุดๆเลยไปถามกับเรือประมง เราโมโหเพื่อนน่ะอันตรายไม่รู้เหรอเราเลยไปบ่นกับเจ้าของเรือโดยสารว่าเพื่อนอยากไปมากแต่พวกเราตังค์ไม่พอ เจ้าของเรือใจดีเลยเก็บเงินพวกเราคนละ200บาทและฝากพวกเรากับกัปตันเรือใจดี พวกเราไปนั่งชั้นดาดฟ้า เรือออกแล้วพร้อมกับความคิดของเราที่ว่า จะเป็นยังไงต่อไป(วะ)
พอถึงที่ตะรุเตาพวกเราไม่กล้าลงกลัวจะมีปัญหาตอนขึ้นเลยนั่งกินข้าวเหนียวไก่ทอดที่ซื้อมาจากปากบารา ดูผู้คนไปพลางๆที่ตะรุเตานี่น้ำลึกมากขนาดที่ว่าจอดเรือเทียบได้เลย คลื่นที่กระทบฝั่งก็แรงคิดว่าเล่นน้ำถ้าจะอันตราย พอถึงเวลาเรือก็ออกเดินทางไปอาดัง-ราวีต่อ มีแต่น้ำกับฟ้าจริงๆนะระหว่างนั้นกัปตันเรือก็มาคุยด้วยและให้ข้าวกล่องพวกเราด้วย เราก็เล่าเรื่องของเราและความเป็นมา(แบบไม่มีตังค์น่ะ)คุยกันไปเรื่อยๆฟังเรื่องที่พี่เค้าเล่าสนุกมากเกี่ยวกับพายุ พวกเราได้นั่งหลบแดดในห้องพิเศษที่ใครๆบนเรือคงสงสัยว่าไอ้พวกนี้มันเป็นใครวะ
ถึงอาดัง -หลีเป๊ะ(ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง) ก็มีเรือหางยาวหลายๆลำจากเกาะหลีเป๊ะมารอผู้โดยสาร เราไม่ได้ไปหลีเป๊ะหรอกนะ พวกเราไปอาดังที่อยู่ตรงกันข้ามแทนเกาะอาดังเป็นที่ตั้งของอุทยาน กัปตันก็ฝากพวกเราลงเรือยางของเจ้าหน้าที่ที่มารับภรรยาของเพื่อนพอดี เรือยางเป็นเรือที่เร็วมากแล่นฉิวๆ ตอนที่พวกเรานั่งเรือยางนะ เห็นคนบนเรือโดยสารมองด้วยความงุนงงอาจคิดว่าพวกเราไปนั่งเรืออย่างนั้นได้ไง
นั่งแป๊ปเดียวถึงหาดอาดังแล้ว เงียบจริงๆเราแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเราจะกางเต๊นท์นะเค้าก็บอกว่าเลือกที่ได้ตามใจชอบเลย ตอนนั้นน่ะเราเห็นมีเต๊นท์เดียวกางอยู่ไปดูๆแล้วทำเลตรงนั้นไม่เหมาะ ก็เลยไปกางริมหาดแถวต้นสนข้างๆตรงที่กางเต๊นท์มีถุงปุ๋ยใส่เปลือกหอยไว้เต็มเลยทั้งเล็กทั้งใหญ่พวกเราก็สงสัยมีไว้ทำไมเนี่ย กางเต๊นท์เสร็จหิวข้าวกันสิเรา เลยไปขอเจ้าหน้าที่จุดไฟเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าก่อได้แต่กองเล็กๆนะ เรากับเพื่อนหากิ่งไม้มาก่อไฟใช้หินทำสามเส้าไว้ตั้งหม้อ เชื้อไฟก็ใช้กิ่งสนแถวๆนั้นล่ะติดไฟง่ายแต่ควันเยอะมากเลย เรากับเพื่อนก็พัดไฟไปเรื่อยๆน้ำตาไหลแต่ความหิวมีมากกว่า กว่ามาม่าจะสุกเราก็เมื่อยแขนสุดๆกินกันด้วยความหิว มาม่าใส่ปลากระป๋องมื้อนั้นพวกเราคิดว่าเป็นมาม่าที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลย
อิ่มกันแล้วก็นั่งคุยกันว่าจะทำยังไงต่อไปดีนะ มากันได้ถึงขนาดนี้แล้วเต๊นท์เนี่ยจะกันฝนได้หรือเปล่า เวลาตอนนั้นก็เย็นๆมองออกไปลิบๆเห็นฟ้ามืด ฟ้าแลบ ตอนนั้นเรากลัวฝนจะตกหนักน่ะแต่วิวสวยมากจริง หาดทรายขาวสะอาด มองไปตรงข้ามเป็นเกาะหลีเป๊ะ เราอยากไปที่เกาะนั้นด้วย ตอนที่พวกเรานั่งคุยกันอยู่ก็มีพี่เจ้าหน้าที่อุทยานเข้ามาคุย 2 คน มาถามว่าพวกเรามาได้ไงไม่กลัวกันเหรอ พวกเราก็เล่าถึงความเป็นมาและความจน การผจญภัยกว่าจะมาถึงนี่ได้ พี่ทั้งสองดีมากคือพี่สมชายและพี่สายันต์
Mr.Big - - sudthas@yahoo.com - 22/03/2001
ทริป ตะรุเตา 13-18 มีนาคม
การเดินทางครั้งนี้จัดขึ้น 13-18 มีนาคม 2544 โดยมีผมและน้องชายเป็นผู้ร่วมเดินทาง เอาล่ะครับ เข้าเรื่องโปรแกรมการเดินทางกันดีกว่าเพื่อเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนๆ ตลอดจนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันด้วย
13 มีนาคม
ออกเดินทางจากสายใต้ใหม่ประมาณ 18.30 โดยรถ ป.1 สายตรัง ละงู สตูล
14 มีนาคม
รถของเราไปถึงที่ละงู ประมาณ 9 โมง จากนั้นเราต่อรถสองแถวไปยังท่าเรือ ปากบาลา ค่ารถคนละ 12 บาท ระยะทางไม่ไกลนัก 10 นาทีก็ถึง เราได้ผู้ร่วมทริปเพิ่มอีก 2 คนด้วยล่ะ เป็นคุณลุง-คุณป้าคู่หนึ่ง อายุ60กว่าๆแล้วล่ะ เจอกันตอนรถถึงที่ละงู น่ารักมากๆเลยครับ เที่ยวกันมาจะทั่วไทยอยู่แล้ว อย่างนี้ต้องมอบเพลงเพราะฉะนั้นจึงรักกันเช่นฉะนี้ ให้ซะแล้ว
หลังจากถึงท่าเรือ เราซื้อตั๋วเรือเมล์แบบไปกลับ ท่าเรือ- ตะรุเตา อาดัง ราคา 800 บาท โดยเราวางแผนที่จะนอนตะรุเตา 1 คืน และอาดัง 2 คืน ส่วนคุณลุงกับป้านอนตุรุเตาทั้งสองคืนเลย ตั๋วเรือก็แค่ 300 บาทเท่านั้น อากาศเปิดแบบสุดๆ ผิดกับที่กรุงเทพฯลิบเลย จากนั้นเราก็ติดต่อเรื่องที่พักกับกรมป่าไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ซื้อตั๋วเรือนัก เพื่อรับใบเสร็จบ้านพักที่ได้จองไว้ ห้ามลืมเด็ดขาดนะครับไม่งั้นจะวุ่นวายทีเดียวเมื่อไปถึงเกาะแล้ว เรือออกประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ซึ่งระหว่างรอเรือออกนั้น ความตื่นเต้นแรกก็มาเยือนเมื่อเราส่องกล้องไบน็อกส์คู่ชีพไปยังนกที่ร่อนอยู่บนท้องฟ้า มันคือ เหยี่ยวแดง ( Brahminy Kite ) ร่อนต่ำมาก สวยงามมากและยังเป็น new record สำหรับฉันด้วย ยังไม่ทันหายดีใจ เราก็ได้เจอ นกออก ( White-bellied Sea-Eagle ) ซึ่งร่อนอยู่ไม่สูงนักเช่นกัน เป็นนกที่หายากเสียด้วย ซึ่งน้องฉันคือเจ้าบุ๊ค ดีใจมากๆ และเรายังได้เห็นอีกหลายครั้งก่อนเรือจะออก และยังเจอนกเอี้ยงดำปักษ์ใต้ ( Philippine Glossy Starling ) ตัวดำสนิทจริงๆ
เรือออกเดินทางถึงท่าเรือพันเต มะละกา ที่เกาะตะรุเตาประมาณเกือบบ่าย จัดแจงเรื่องที่พักแล้วก็กินข้าวกลางวัน อาหารที่นี่ต้องแลกคูปองด้วย ราคาอาหารจานเดียวจานละ 40 บาท น้ำกระป๋องละ 15 บาท ก็โอเคล่ะไม่แพงเกินไป และทำได้อร่อยพอสมควร จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันได้ 11 คนเหมาเรือไปยังถ้ำจระเข้ เสียคนละ 40 บาท ระหว่างทางที่เรือแล่นเข้าคลองภายในเกาะ สองข้างทางเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์อยู่มาก สักพักก็ไปถึงยังท่าเทียบเรือเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเดินเข้าถ้ำ ภายในถ้ำแนะนำว่าให้เตรียมไฟฉายไปด้วยเลย เพราะไฟที่ทางอุทยานจัดทำไว้เสียหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว ทำให้มืดพอสมควร คนขับเรือก็คือไกด์นำทางภายในถ้ำนั่นเอง ที่แปลกกว่าถ้ำอื่นก็คือการจะเดินเข้าไปชมถ้ำนั้น เราจะบนทางเดินโฟมลอยน้ำ น่าตื่นเต้นพอสมควร คุณลุงคุณป้าที่ไปด้วยเกือบแย่แน่ะเพราะไฟฉายมีแค่อันเดียว คือของคนนำทางและระหว่างทางเดินก็มีหินย้อยโผล่มาหลายจุด คุณลุงกับป้าจึงขอตัวพักกลางทาง ภายในถ้ำก็สวยงามพอใช้ แต่ไม่ค่อยมีอะไรมาก เมื่ออดีตเคยเป็นวังจระเข้น้ำเค็มซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ขึ้นเรือกลับที่พัก นกที่พบเราพบเพิ่มเพียงแค่ชนิดเดียว คือ นกกินปลีดำม่วงตัวผู้ ( Purple Sunbird ) หลังจากถึงที่พักเราก็เดินเล่นดูหาดดูนกกัน เจอนกนอนอาบแดดหลายตัวทีเดียว :O นกที่เราพบก็ได้แก่ นกจาบคาหัวเขียว ( Blue-tailed Bee-eater ) , นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ ( Greater Racket-tailed Drongo ), นกขมิ้นท้ายทอยดำ ( Black-naped Oriole ), นกอีเสือสีน้ำตาล ( Brown Shrike ), นกเอี้ยงถ้ำ ( Blue Whistling Thrush ) ตัวใหญ่มากหากินอยู่ใต้เรือนแถวที่พักนั่นแหล่ะ แถมยังวิ่งได้เร็วอีกต่างหาก , และนกปรอดที่ฉันพบชนิดเดียวที่ตะรุเตานี้ ก็คือ นกปรอดคอลาย ( Stripe-throated Bulbul ) , บริเวณชายหาดนอกจากนกนางแอ่นที่บินร่อนกันอยู่หลายตัวแล้ว เรายังพบนกยางทะเล ( Pacific Reef-Egret ) และเรายังพบนกแก๊ก ( Oriental Pied Hornbill ) 1 ตัว ซึ่งดูเหมือนไม่ใช่นกป่า เพราะอยู่แค่ตัวเดียวและ วนเวียนไปมาบริเวณที่พัก
หลังจากเดินเล่นอยู่ถึงประมาณห้าโมงเย็น เราก็เดินทางขึ้นผาโต๊บู โดยใช้เวลาประมาณแค่ 20 นาทีก็ขึ้นถึง ระหว่างทางขึ้นเราพบนกตะขาบดง ( Dollarbird ) เกาะอยู่ใกล้ทีเดียว สวยงามมาก เราจึงเสียเวลากับมันไปหลายนาที ที่ผาโต๊ะบูนี้เราสามารถชมอ่าวพันเตฯได้ทั้งหมด และชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจน แนะนำว่าให้อยู่จนเห็นพระอาทิตย์แตะเส้นขอบฟ้าเลยนะครับเพราะสวยงามมาก ไม่ต้องกลัวมืดระหว่างลง เพราะขาลงใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็นั่งเล่นไปดูสไลด์ที่ที่ทำการฯ ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้นำทางดูนกในเข้าวันรุ่งขึ้น
ที่พักที่ผมจองเป็นแบบเรือนแถวไม่มียุงเลยและเรือนแถวนี้มีมุ้งให้ไม่ต้องกลัวเรื่องแมลง แต่อากาศค่อนข้างร้อน ถ้ามากัน2 คนแบบเรา แนะนำให้กางเต้นท์จะดีกว่า เลือกจุดได้ตามใจฉันลมเย็นอีกต่างหาก ส่วนเรื่องน้ำและไฟไม่ต้องห่วง เพราะมีตลอด 24 ชั่วโมง ก่อนนอนได้มีโอกาสคุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งเค้ามาเที่ยวที่นี่บ่อยมากๆ บอกว่าเมื่อก่อนนี้ไม่นานที่นี่ยังสงบกว่านี้มาก สิ่งก่อสร้างต่างๆยังน้อย ไฟฟ้าปิดตอนสี่ทุ่มซึ่งเราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติหลังจากสี่ทุ่มแล้วไม่ควรจะมีกิจกรรมอะไรแล้ว และคืนนั้นหลังจากสี่ทุ่มแล้ว ห้องแถวข้างๆก็หัวเราะคุยกันเสียงดังทีเดียว ยังงัยก็ตามคืนนั้นเราก็หลับอย่างสบายรอรับแสงตะวันของวันรุ่งมาเยือน เพื่อการไปสำรวจเส้นทางเสี้ยวเล็กๆเสี้ยวหนึ่งของเกาะตะรุเตานี้
วันที่ 15 มีนาคม
ตื่นนอนกันตอน 6 โมงเช้า เดินไปยังศูนย์บริการฯตามที่นัดเจ้าหน้าที่ไว้ตอน 6.30 น. ปรากฎว่า no one at there สงสัยจะยังไม่ตื่น เราจึงตัดสินใจไม่รอ และเดินทางกันเอง เราเดินไปตามเส้นทางคอนกรีตอย่างดี เป็นเส้นทางที่มุ่งไปอ่าวสนซึ่งเมื่อไม่นานนี้ยังเป็นทางลูกรังอยู่เลย และภายในบริเวณที่พักจะเห็นว่ามีการก่อสร้างต่างๆอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โรงอาหาร หรือที่พักเพิ่ม แสดงให้เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มมากขึ้นๆ
เกาะตะรุเตา เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ถึง 152 ตารางกิโลเมตร จึงไม่เแปลกที่จะมีกิจกรรมบนเกาะต่างๆมากมายเช่น เดินป่า ดูนก พายเรือ ขี่จักรยาน เป็นต้น กิจกรรมที่เราทำกันเช้านี้ก็คือการดูนก ช่วงแรกที่เราเดินนั้นไม่พบนกใหม่มากนัก เดินได้ประมาณ 800 เมตร แทนที่จะได้พบนก เรากลับพบ หมูป่า ที่ออกมาหากินริมชายป่า 1 ตัว เราเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินไปอ่าวสน และก็ได้พบนกที่น่าประทับใจจนได้ ตัวเล็กมากใจตอนแรกนึกว่าเป็น นกสีชมพูสวน ( Scarlet-backed Flowerpecker )ซึ่งพบได้บ่อยทีเดียว ปรากฎว่าเป็น นกกาฝากท้องสีส้ม ( Orange-bellied Flowerpecker ) กินเกสรดอกไม้อยู่ตรงหน้าเลย เป็นตัวผู้สีสันสวยงามบาดตาบาดใจจริงๆ แล้วเรายังพบนกกินปลีคอแดงตัวผู้ ( Crimson Sunbird ) , นกจับแมลงจุกดำตัวเมีย ( Black-naped Monarch ) , นกกินปลีคอสีม่วงตัวผู้ ( Purple-throated Sunbird ), นกกินแมลงอกเหลือง ( Striped Tit-Babbler ) เป็นต้น และเหยี่ยวที่เราพบก็ยังคงเป็นเหยี่ยวแดงซึ่งมีเยอะจริงๆ และก็นกออก กลับมายังที่พักก็ประมาณ 9 โมงแล้ว รวมแล้วได้นกประมาณ 30 ชนิด
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็มานั่งเล่นริมชายหาด มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งอยู่หลายจุดเป็นการพักผ่อนที่ดีมากๆ ก่อนการเดินทางต่อไปยังเกาะอาดัง โดยประมาณบ่ายโมงเราก็นั่งเรือเมล์ต่อไปยังเกาะอาดัง ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะไปนั้นปรากฎว่ามีแค่ผมกับน้องเท่านั้นที่เป็นคนไทย และแล้วความหวังที่จะหาคนแชร์ค่าเรือเพื่อดำน้ำก็เริ่มเลือนลาง และแล้วประมาณสี่โมงเย็น เรือก็แล่นไปถึงตรงกลางระหว่างเกาะหลีเป๊ะ และเกาะอาดัง เราต้องนั่งเรือหางยาวต่อไปยังเกาะที่ต้องการจะไป ค่าโดยสารคนละ 30 บาท
ไม่มีใครบนเรือไปเกาะอาดังเลยนอกจากเรา อาจเป็นเพราะที่เกาะหลีเป๊ะมีที่พักที่เป็นของเอกชนพวกฝรั่งจึงไปกันที่นั่นกันเยอะ หลังจากติดต่อที่พักแล้วก็มาเดินเล่น อากาศตอนนี้ไม่ดีเลย คลื่นแรงฟ้าคลึ้ม มีคนพักอยู่บนเกาะอยู่แล้วคุยกันจึงรู้ว่าเป็นชมรมดำน้ำมาจากเชียงใหม่เลยทีเดียว แต่ที่น่าเสียดายก็คือพรุ่งนี้เค้าจะไปตะรุเตาโดยอยู่ที่อาดังกันมา 3 วันแล้ว โอ้วววว อดแจมเรืออีกแล้ว สุดท้ายก็ไปว่ายน้ำเล่นแถวๆหน้าที่พัก ปะการังตายเกือบหมดแล้วไม่สวยเลยแต่พอมีปลาอยู่บ้าง สักพักหนึ่งคนกลุ่มชมรมดำน้ำนั้นก็ตะโกนว่าเจอปูทะเลซึ่งผมก็ว่ายไปดู เป็นปูทะเลที่ตัวใหญ่มากครับ คิดในใจว่าดีแฮะ มีปูทะเลให้ดูด้วย สักพักนึงคนเดิมก็บอกว่าให้ช่วยกันเอาเท้าแหย่ๆมันให้มันออกมาทำนองนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ดำๆอีกสักพักก็ปรากฎว่าคนกลุ่มเดินกำลังเอาไม้ผูกเชือกเพื่อแหย่ลงไปจับปู ไม่รู้ว่าน่าสนุกหรือน่าเศร้าดีนะครับ ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติห้ามไม่ให้มีการจับสัตว์อยู่แล้วและตัวเองยังเป็นสมาชิกชมรมดำน้ำอีก ไม่มีการสอนเรื่องการอนุรักษ์เลยหรืองัย ผมคิดเลยเถิดไปถึงปะการังในทะเลที่พวกเค้าไปดำมาแล้วก็ขี้เกียจคิดต่อ สุดท้ายก็โชดดีที่เค้าจับปูไม่ได้ ( สมน้ำหน้า )
หลังจากนั้นเราก็อาบน้ำแต่งตัว ห้องน้ำที่นี่ใหม่มากครับสะอาดด้วยแต่เป็นห้องน้ำส่วนกลางนะครับ มีน้ำใช้ตลอด 24 ชั่วโมงแต่ไฟจะปิดตอนสี่ทุ่ม ที่กินข้าวนั้นเราพบพิธีกรรายการ ตะลุยเดี่ยวเที่ยวไทย ด้วยคือ คุณไข่ พี่เค้ามากันสองวันแล้วพรุ่งนี้ก็จะกลับ น่าเสียดายอีกแล้วคลาดกันไปนิด ถ้าเรามาเร็วกว่านี้หนึ่งวันก็จะได้นั่งเรือไปกับทีมงาน นอกจากฟรีแล้วยังได้ออกทีวีอีก นั่งคุยกับพี่เค้าสักพักเพลินดี ฝนก็ทำท่าจะตกลงมาซึ่งพี่เค้าบอกว่าก่อนหน้านี้แดดดีมาตลอด เพิ่งมาวันนี้นี่เอง เราก็เชื่ออย่างสนิทใจเลยครับเพราะว่าพี่ไข่ตัวดำแบบสุดๆ : ) เราเข้านอนกันในบรรยากาศเย็นๆครึ้มฟ้าครึ้มฝนอย่างนั้น โดยหวังว่าวันพรุ่งนี้อากาศจะดีขึ้น
วันที่ 16 มีนาคม
และแล้วก็ถึงเช้า เสียงแรกหลังตื่นนอนที่ผมได้ยินก็คือ เสียงฟ้าร้องครับ หน้าเนี่ยเหี่ยวทันทีมันรู้สึกแย่มากๆครับ อุตส่าห์ดิ้นรนมาจนได้แล้วพอถึงจุดไคลแมกซ์อากาศดันไม่เป็นใจ ทำใจอยู่ในห้องสักพักก็ออกไปเดินเล่น ฟ้าครึ้มจริงๆครับราวกับมีมรสุมยังงัยยังงั้น จากเดิมที่เราเห็นท้องฟ้าสดใสตัดกับสีท้องทะเลยาวไปจนถึงขอบฟ้า กลับกลายเป็นสีเทาไปทั่วทั้งฟ้า เดินสวนกับนักท่องเที่ยวเค้าบ่นกลัวว่าจะกลับไม่ได้ ถ้าเค้ากลับไม่ได้เรื่องดำน้ำของฉันยิ่งไม่ต้องคิด ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าดีเหมือนกันอากาศเย็นสบายดี ( ดีแน่ๆครับถ้าที่นี่เป็นเขาใหญ่หรือน้ำหนาวหรือแก่งกระจาน . )
ฝนตกลงมาอย่างหนักระหว่างอาหารเช้า พอฝนเริ่มจางลงเราก็ไปนั่งเล่นหน้าบ้าน ผมก็อ่าน Harry Potter ไปพลางๆ พยายามไม่คิดอะไรมาก จนถึง 10 โมง ( ซึ่งปกติเรือที่ไปดำน้ำจะออกเวลา 8.30 น. ) เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่าจะไปดำน้ำหรือเปล่า ถ้าจะไปก็ตอนนี้แหล่ะ อากาศยังคลึ้มอยู่แต่ฝนหยุดแล้ว พวกเราก็เอาวะ มาแล้วจะให้อยู่เฉยๆได้งัย ลุยยยยยยยย ตกลงมีแค่เราสองคนและคนญี่ปุ่นอีกคนหนึ่ง ไม่สวยเอาซะเลยซึ่งทางเจ้าหน้าที่ชวนไปด้วย เราตกลงสถานที่จะไปกัน ก็มีที่เกาะจาบัง เกาะหินงาม และเกาะราวี ราคา 600 บาทคนละสามร้อยก็โอเคน่ะ โดยญี่ปุ่นไม่ได้หารด้วย เพราะถ้าหารเค้าจะไม่ไป ประเภทญี่ปุ่นบ้อจี๊น่ะ ลืมบอกไปว่าที่ไม่สวยน่ะเพราะเป็นผู้ชายนะครับ
เรานั่งเรือไปท่ามกลางบรรยากาศทะมึนของท้องฟ้าน่ากลัวทีเดียว และแล้วก็ถึงจุดแรกคือเกาะจาบังซึ่งเป็นจุดที่มีปะการังอ่อนที่สวยงามมากของหมู่เกาะอาดัง-ราวี ถ้ามีแดดมันคงจะสวยแบบสุดๆจริงๆแต่ที่เราดำไปดูนั้นกลับเป็นความน่ากลัวเสียมากกว่าล่ะมั้ง เพราะทะเลตรงนั้นน้ำค่อนข้างลึกแต่ปะการังที่อยู่ใกล้ผิวน้ำหน่อย สีสีสันสวยงามใช้ได้และมีอยู่หลายจุด จากนั้นเราไปกันต่อที่เกาะหินงามเพื่อถ่ายรูป ทั้งเกาะเป็นก้อนหินจริงๆครับเหมือนที่เราเห็นกันในหนังสือหรือในทีวียังงั้นเลย สวยงามมากและจะสวยขึ้นไปอีกถ้ามีแดดมากกว่านี้ ยังงัยก็ตามก็เริ่มมีแสงมากขึ้นแล้วแต่ก็ยังคงครึ้มอยู่ดี เราถ่ายรูปกันสักพักก็ต่อไปยังเกาะราวี
ที่นี่เองที่แทบจะทำให้ความเซ็งที่สะสมมาแต่เช้าหายไปจนหมดสิ้น ปะการังชายฝั่งที่มีแนวยาวร่วมกิโลฯสวยงามมากๆครับ ส่วนใหญ่จะเป็นปะการังหินปูน มีปะการังอ่อนแซมๆอยู่บ้าง อากาศขณะนั้นเพียงพอที่จะดำน้ำแล้วมันสวยงามจริงๆครับ ขึ้นกันอย่างสมบูรณ์และปลาก็เยอะมาก ผมเจอดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนซึ่งเป็นภาพที่ผมประทับใจมากอยู่หลายจุดมาก และยังมีหอยมือเสือขนาดใหญ่ ( ประมาณสองลูกบาสฯ ) ปลาปักเป้า ปูทะเล กัลปังหา ฯลฯ ไม่ควรพลาดเด็ดขาดครับบริเวณนี้
หลังจากเสพความสุขบนความสวยงามอยู่ร่วมชั่วโมงเราก็กลับที่พัก หลังกินข้าวเสร็จเราก็พบกับสัจธรรมที่ว่า ฟ้าหลังฝนงามตา อากาศเปิดแล้วครับช่วงนั้นคนละเรื่องกลับเมื่อเช้าเลย เราหยิบยากันแดดเกือบจะไม่ทัน หลังจากเดินเล่นสักพักเราก็ตัดสินใจเดินขึ้นผาชะโดซึ่งเป็นจุดที่โจรสลัดใช้สังเกตุการในอดีตเพื่อชมวิว ณ จุดชมวิวนี้เราจะมองเห็นเกาะหลีเป๊ะ อ่าวสน และหมู่เกาะต่างๆด้านทิศใต้และตะวันออกได้ชัดเจน อย่าคิดว่าง่ายๆเหมือนผาโต๊ะบูเหมือนที่ผมคิดนะครับ ผิดถนัดเลย น้องๆเขาหลวงสุโขทัยยังงัยยังงั้นเพียงแต่ว่าสั้นกว่าเท่านั้น แต่ก็คุ้มครับเพราะวิวยามแดดสวยๆยังงี้สวยงามมาก ระหว่างทางขึ้นสักเล็กน้อยเราได้พบกับนกขนาดใหญ่มากชนิดหนึ่งร่อนอยู่ เราส่องกล้องกันจนมันบินไปเกาะเราดีใจมากเลยครับเพราะมันคือเหยี่ยวภูเขา ( Mountain Hawk-Eagle ) ครับสวยงามมาก และเป็นวงกลมสีฟ้า ( ในหนังสือ Bird Guide ) บริเวณที่แห่งนี้ด้วย ระหว่างทางเดินขึ้นเราพบตัวแย้เยอะมากทั้งตัวลูกตัวแม่เต็มไปหมด คงจะเป็นหนึ่งในอาหารของพวกเหยี่ยวด้วย
เราใช้เวลาขึ้นลงจุดชมวิวกันเกือบ 2 ชั่วโมง ( จริงๆแล้วคงไม่ถึงเพราะพวกเราขึ้นเลยจุดชมวิวจุดที่สองกันไปเนื่องจากป้ายล้มอยู่ ไปกันจนเกือบถึงยอดเขาเลย แต่อย่าขึ้น ( โง่ ) แบบเรานะครับเพราะข้างบนไม่เห็นอะไรเลย ต้นไม้รกไปหมด ) จากนั้นเราก็เดินเล่นและไปหาที่ว่ายดำน้ำกัน แดดตอนนี้แรงสุดๆตัวดำแหงๆเลย เราเลือกกันที่ทิศตะวันออกของเกาะ เห็นมีคนกลุ่มนึงดำกันอยู่ ปะการังก็พอไหวไม่สมบูรณ์มากแต่ก็พอใช้ ( ดีกว่าที่หมู่เกาะอ่างทองเยอะ ) สวยดีอาจเพราะมีแดดด้วย ยังมีดอกไม้ทะเลกับปลาการ์ตูนให้ดูอีกด้วย ดำไปสักพักฉันก็เห็นปลาตัวใหญ่ๆสองตัวอยู่ไกลๆ คิดว่าเป็นปลากระบอกจึงว่ายเข้าไปดู ปรากฎว่าเป็น ปลาฉลาม ครับตัวยาวเมตรกว่าสองเมตรที่เดียว จึงเรียกบุ๊คมาดูตื่นเต้นมากถึงแม้จะเป็นฉลามพันธุ์ที่พอนึกออกจากทีวีว่าไม่ดุร้าย พอเจ้าบุ๊คมาดูฉลามตัวนึงก็ว่ายเข้ามาหา โอยยย น่ากลัวมากเลย ไม่รู้ขวัญออกจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไร ว่ายน้ำได้รวดเร็วสุดๆแป๊ปเดียวมาถึงฝั่งเลย ขึ้นมาคุยโวยวายกันยกใหญ่ใจนึงก็กลัวอีกใจนึงก็อยากลงไปดูอีก พอดีไปเจอพี่กลุ่มที่ว่ายน้ำกันอยู่เมื้อกี๊จึงเล่าให้ฟัง และชวนกันลงไป เราไปกันประมาณ 7 คนว่ายเแบบเกาะกลุ่ม สงสัยเราจะโม้กันมากไปหน่อยมั้งเราจึงเกาะกลุ่มกันแน่นทีเดียว : ) ผ่านปะการังสวยงามต่างๆแต่ใจนั้นไม่ได้สนใจเลยสนใจแต่เจ้าตัวเอกเมื่อสักครู่ และแล้วผมก็เจอจนได้ แต่คราวนี้เจอตัวเดียวมันหมอบอยู่กับพื้นลึกประมาณ 7 เมตรไม่น่ากลัวมากเหมือนเมื่อครู่ สรุปแล้วมันเป็นฉลามลายเสือดาว ( ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า ) ซึ่งเป็นฉลามแนวปะการังที่ไม่ดุร้าย เป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นน่าประทับใจจริงๆ
กลับมาอาบน้ำ ช่วงอาหารมื้อเย็นมื้อสุดท้ายนี่ล่ะ อีกมื้อหนึ่งแห่งความประทับใจ เราอยากกินปลากันมาก จึงไปเลือกถึงในครัวเลย มาลงเอยที่ปลาเก๋าตัวบักเอ๊กเลย น่าจะประมาณสักฟุตกว่าๆทำเป็นปลาราดพริก สุดยอดจริงๆ แล้วก็ยังมีต้มยำปลากับผัดผักอีก คนเสริฟยังตะลึงถามว่าจะกินหมดหรือเนี่ย สุดท้ายก็เกลี้ยงทุกอย่าง จากนั้นเราก็ไปดูสไสด์ประกอบคำบรรยายกันในเวลาประมาณสองทุ่ม ความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการดูสไลด์ครั้งนี้ คือ หมู่เกาะอาดังราวี มีจำนวนทั้งสิ้น 23 เกาะเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ในอดีตยังไม่ได้มีการตกลงอย่างแน่ชัดว่าเป็นดินแดนของใคร มีเพียงชาวเลที่มาจากอินโดนีเซียอยู่อาศัย โดยพระปรีชาสามารถของรัชกาลที่ 5 ได้สั่งการให้ชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะซึ่งเป็นเกาะนอกสุดนั้น บอกผู้ที่มาพบว่าที่นี่คือประเทศสยาม ดังนั้นเกาะที่เหลือด้านในทั้งหมดจึงเป็นของสยามนับแต่นั้นมา นอกจากนั้นยังได้รู้ว่าจุดดำน้ำชมปะการังภายในหมู่เการะอาดัง-ราวีนี้ยังมีอีกมาก วันนี้ที่ฉันดำนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในสี่เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเกาะดงที่มีปะการังอยู่แทบทุกประเภท ด้านตะวันตกของเกาะอาดังซึ่งมีทั้งกุ้งมังกร,ม้าน้ำและเต่าทะเล เป็นต้น จากนั้นเราก็กลับมาที่พักเพื่อพักผ่อน ที่พักที่นี่ก็คล้ายๆกับที่ตะรุเตาคือเป็นบ้านเรือนแถวนอนได้ 4-5 คนมีมุ้งให้ และยุงไม่ค่อยมีแต่อากาศก็ร้อนอบอ้าวเช่นกัน
วันที่ 17 มีนาคม
ตื่นนอนแต่เช้าแต่ก็สายเกินไปสำหรับการดูพระอาทิตย์ขึ้น ควรตื่นสักประมาณตีห้าครึ่งแล้วเดินเท้าไปยังทิศตะวันออกของเกาะ จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมาก เราเดินเล่นกันริมชายหาด อากาศวันนี้ดีมากๆจนอดไม่ได้ที่จะแอบนึกอิจฉาพี่ๆกลุ่มใหม่ที่จะดำน้ำดูปะการังกันวันนี้ เรือออกจากเกาะอาดังเวลา 9 โมงเพื่อไปยังเกาะตะรุเตา ก็เช่นเดิมเราต้องขึ้นเรือหางยาวไปยังเรือเมลที่อยู่กึ่งกลางระหว่างอาดัง กับ หลีเป๊ะ ระยะห่างระหว่างเกาะทั้งสองก็น่าจะหลายร้อยเมตรอยู่แต่ระหว่างนั่งเรือหางยาวไปฉันมองลงท้องทะเลตลอด และสังเกตุว่าไม่มีจุดไหนเลยที่ฉันมองไม่เห็นพื้นทรายและปะการังใต้ท้องน้ำนั้น ฉันก็ได้แต่คิดในใจว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะต้องกลับมาเยือนหมู่เกาะอาดัง-ราวีอีกให้ได้
เรือออกเดินทางถึงตะรุเตาปกติจะประมาณเที่ยง แต่วันนี้เราได้นั่งเรือด่วนซึ่งลำจะเล็กกว่าจึงไปถึงประมาณ11โมง และออกจากตะรุเตาตอนบ่ายโมงถึงท่าเรือปากบาราประมาณบ่ายสองโมง จากนั้นเราต่อรถตู้ที่ท่าเรือเพื่อไปยังสถานีรถไฟหาดใหญ่ เสียค่ารถคนละ 70 บาทกับระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร กว่าจะมาถึงท่ารถก็ห้าโมงเย็นแล้ว กินข้าวเพื่อรอรถไฟตอน 6 โมงเย็น รถไฟมาได้ตรงเวลามาก เรานั่งรถนอนปรับอากาศชั้น2 ตามโปรแกรมจะถึงกรุงเทพฯวันรุ่งขึ้นตอน 11 โมงเช้า
วันที่ 18 มีนาคม
กว่าจะถึงหัวลำโพงก็ปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งเลยทีเดียว เป็นอันจบการเดินทางอันแสนสนุกครั้งนี้ครับ
สรุปโปรแกรมการเดินทาง
สำหรับผู้ที่ไม่เคยไปเลย แนะนำว่าให้ไปสัก 6 วันรวมเวลาเดินทางทั้งหมด โดยพักที่ตะรุเตา 1 คืน และอาดัง 2 คืน ( ที่หลีเป๊ะแม้ว่าหาดจะดูสวยกว่าแต่จะสกปรกมากและน้ำบางทีไม่พอใช้ด้วย ) เวลาการเดินทางจะพอดีกันอยู่แล้วคือ เวลาของรถ, เรือ หรือรถไฟ ไม่มีปัญหา ครึ่งวันแรกเที่ยวตะรุเตา ตอนเช้าก็เที่ยวอีกครึ่งวัน แล้วก็ดำน้ำที่อาดัง-ราวีหนึ่งวัน แต่ถ้ามีเวลามากกว่านั้นก็ยิ่งดี ทริปนี้ผมกับน้องเสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 4,000 บาทครับ
ประมาณการค่าใช้จ่าย
- ค่าเดินทาง
- รถปรับอากาศ
- รถ VIP สายกรุงเทพฯ สตูล ประมาณ 850 บบบาท ( ใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง ) แล้วต้องต่อรถจากสตูลไปยังท่าเรือ ราคารถสองแถวไม่แน่ใจ น่าจะประมาณ 30 บาท
- รถปรับอากาศชั้น1 สายตรัง-ละงู สตูล ราคคคา 535 บาท ต่อรถสองแถวไปท่าเรือราคา 12 บาท
- รถไฟ
- สายกรุงเทพฯ หาดใหญ่รถด่วนพิเศษชั้น1 ราคาประมาณ 1,400 บาท ชั้นสอง 735 บาท ( เตียงบน 675 บาท ) (ใช้เวลาประมาณ 18 ชั่วโมง) แล้วต่อรถตู้จากหาดใหญ่ไปท่าเรือ 70 บาท
- เครื่องบิน อย่าดีกว่าครับ แพง ( ไปลงหาาาดใหญ่ไป-กลับประมาณ 5,000 บาทครับ )
* หมายเหตุ ค่ารถและรถไฟ เป็นราคาเที่ยวเดียวนะครับ ถ้าไปกลับก็คูณสองเข้าไป
- ค่าที่พัก
- จองได้กับทางอุทยานฯ เรือนแถวนอนได้ 4-555 คน ราคาคืนละ 400 บาทมีเครื่องนอนพร้อม ถ้านอนเต๊นท์ 100-150 บาท ราคาเหมือนกันทั้งที่ตะรุเตาและอาดัง
- อื่นๆ
- อาหาร เฉลี่ยมื้อละ 50 บาท
- หน้ากากดำน้ำและชูชีพ วันละ 50 บาท
- ค่าเรือดำน้ำชมปะการัง นั่งได้ 6-7 คน รรราคาตั้งแต่ 1,000 2,000 บาท แล้วแต่เวลาที่ใช้และสถานที่ที่จะไป
- เรือเมล์ ไปกลับท่าเรือ-ตะรุเตา-อาดัง 88800 บาทไม่รวมค่าเรือหางยาวขึ้นเกาะอาดังอีก 30 บาท ถ้าไปกลับแค่ท่าเรือ-ตะรุเตาก็ 300 บาท
การติดต่อ
- ที่พัก ติดต่อได้ที่ส่วนอุทยานแห่งชาติตตตะรุเตา ติดต่อคุณจันทนา เบอร์ 074-783485 ซึ่งให้ข้อมูลและบริการต่างๆได้ดีมากครับ จ่ายเงินโดยการโอนเงินล่วงหน้า
- รถไฟ ติดต่อจองตั๋วล่วงหน้าที่หัวลำโพง จะมีแผนกรับจองตั๋วเดินทางล่วงหน้าอยู่ ภายในห้องจะมีโต๊ะติดต่อสอบถาม สามารถถามได้ทุกอย่าง ให้ข้อมูลได้ดีมากครับ โทร 220-4334
- รถปรับอากาศ ติดต่อได้ที่ บขส. สายใต้ โโโทร 435-1199
หวังว่าข้อมูลต่างๆจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างนะครับ
Nay - - naynairu@yahoo.com - 03/04/2001
ไปตะรุเตามาแล้ว
อันเดิมพิมพ์ผิดเยอะครับ แก้ใหม่แล้ว : ก็ไม่ได้คิดจะมาตั้งกระทู้อะไรกับเค้าหรอก แค่อยากจะเล่าประสบการณ์ดีๆ ให้ ฟังก็เท่านั่นเอง
วันที่26 มีค.44 บ่าย 2 โมงครึ่ง ผมขึ้นรถไฟ จากสามเสน มุ่งสู่หาดใหญ่ ถึงหาดใหญ่ 8 โมงเช้า ยังไม่ทันได้พักกินข้าวเลย ก็ต้องขึ้นรถตู้ไป ท่าเรือ ปากบารา ค่ารถตู้ ก็ 70 บาท ต่อคน เต็มเมื่อไหร่รถก็ออกเมื่อนั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. เพราะทางไม่ค่อยดีกำลังทำอยู่ตลอดทาง ระหว่างทาง ฝนตกสลับกับแดดออกอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าขึ้นเรือจะเป็นยังไง กลัวก็กลัวว่าคลื่นจะแรง เพราะฟ้าช่างไม่เป็นใจเอาซะเลย ประมาณ 10.30 ถึงท่าเรือซะที แต่ฟ้าก็ครึ้มๆ ฝนตกปรอยๆ ทริปนี้ท่าทางจะไม่ดีซะแล้วสิ (คิดเงียบๆอยู่คนเดียว เพราะเป็นคนพาเพื่อนๆ มา เดี๋ยวเสียขวัญกันหมด)
ตอนขาไป ต้องซื้อข้าวมากินเป็นอาหารเที่ยงด้วย เพราะคลื่นอาจจะแรง ต้องไปจอดที่หลังเกาะ ซึ่งไม่มีอะไรขายเลย เรือออก 11.15 ออกเลทนิดหน่อย เพราะรอนักท่องเที่ยวอีกกลุ่ม พอเรือออกได้ไม่ถึงครึ่ง ชม. เหตุการณ์ที่คิดไว้แต่ต้นก็เกิดชึ้นจริง ทะเลเริ่มมีคลื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เรือโคลง ไปมาแต่ก็ไม่หนักเท่าไหร่ ประมาณ 1.30 ชม. เรื่อเข้าเทียบท่า ที่ตะรุเตา ทางด้านหลังเกาะ เพราะ ลม ที่หน้าเกาะแรง มากๆ แต่ก็เป็นโชคดีของพวกเรา เพราะว่าเราเห็น ปลาโลมา 4 ตัวว่ายน้ำเล่นไปกับเรือเราด้วย
บ่ายโมงกว่าๆ เราก็ออกจากเกาะตะรุเตา อู้ฮูออกมาได้ไม่ถึง 15 นาทีก็เจอทีเด็ดซะแล้ว!!! คลื่น ครับ มาจากไหนไม่รู้แรงจริงๆ ตอนแรก พวกเราก็สนุกดีครับ เพราะนั่งอยู่หน้าเรือ เรือมันกระโดดเหมือนม้า วูบวาบเหมือนนั่งรถไฟเหาะอย่างไงอย่างนั้นเลยครับ ก็ความสูงของคลื่นเกือบ 3 เมตร น่ากลัวสุดๆ แต่พอเวลาผ่านไปไม่นาน เสียงของทุกคนหายไป นั่งสมาธิกันอยู่ครับ ทำใจไม่ให้อ๊วก วันนั้นคลื่นประมาณ เกือบ 2 เมตรตลอดทาง ทำให้ เราใช้เวลา เดินทางมากกว่าปกติ ชั่วโมงกว่าๆ ถึงเกาะ เกือบ 5 โมงเย็น พวกเราเข้า พักที่ หลีเป๊ะ รีสอร์ท พร้อม พบาบาล สาว อีก 5 คน ทั้งรีสอร์ท ก็มีคนไทย แค่ 11 คน ที่รวมกลุ่มผมกับ กลุ่มพยาบาล เรา 2 กลุ่มก็เลยรวมเป็นกลุ่มเดียวไปโดยปริยาย เฮไหนเฮนั่น ได้มิตรภาพดีๆกลับมา
ชายหาดหน้าที่พักสวยมากๆๆๆ น้ำสีฟ้า ค่อยๆ ไล่เป็นสีน้ำเงิน มีปะการังให้ดูด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นปะการังแข็ง ประเภท ปะการังหัวสมอง แต่ไม่ค่อยมีปลา มองหาตั้งนานเจอตัวเดียว แต่ที่เจอเยอะ ก็หอยเม่นครับ เยอะมาก กลุ่มผมก็ขอนั่งบนหาดดีกว่า ไม่ขอเสี่ยงครับ ทรายที่นี่ละเอียดมาก เหมือนกับปูนขาว เอามาปั้นเล่นได้สบายๆ ได้พักแป็บเดียวก็ค่ำแล้ว ชายหาดเงียบสงบมาก อาจเป็นเพราะ ไม่มีนักท่องเที่ยวไทย ก็เลยเงียบเป็นพิเศษ ผมว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น
เช้าแล้วครับวันนี้เป็นวันที่ 2 ที่อยู่บนเกาะ(28 มีค.44) ตอนแรกกะว่า จะตื่นดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ว่า....มันขึ้นไปก่อนผมตื่นครับ ก็เมื่อวานเมาเรือทั้งวัน ต้องนอนเยอะเอาแรงหน่อยจะได้มีแรงมาดำน้ำ วันนี้ทีม เรา 11 คน นัดให้เรือ มารับ ตอน 9 โมง เช้า แต่ว่ากลุ่มของผมตื่นสายไปหน่อยก็เลย ออกช้าไป 30 นาทีลืมบอกไป การเช่าเรือให้ติดต่อที่รีสอร์ทได้เลย ราคาก็แล้วแต่จำนวนเกาะที่ไป ทีมของผม 11 คน ไป 4 เกาะ ราคา 1000 บาท หาร 11 ก็ไม่แพงเลยนะครับ ส่วนอุปกรณ์ดำน้ำต้องเช่า ของที่รีสอร์ท ชุดละ 100 บาท แล้วก็อย่าลืม เอาน้ำดื่ม ครีมกันแดด แล้วก็อาหารกลางวันไปด้วยนะครับ
เกาะแรกที่ไป เกาะจาบัง เราไม่ได้ดำน้ำบริเวณรอบเกาะ แต่ว่าอยู่บริเวณร่องน้ำ วันนั้นแดดไม่ค่อยมี กระแสน้ำแรงมาก อีกทั้งน้ำก็ขุ่น ทำให้มองอะไรไม่ค่อยเห็น แต่ที่เห็น ก็จะเป็นปะการังอ่อน แล้วก็ฝูงปลา แต่อย่างที่พูดไปเนื่องจากกระแสน้ำพัดแรงทำให้เราดำน้ำ ที่นี่ไม่ได้ ก็เลย
ไปยังเกาะที่2 คนขับเรือบอกว่าชื่อเกาะยาว ที่นี่มีปะการังแข็งเป็นส่วนมาก แต่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะคนขับเรือ จอดเรื่อใกล้ฝั่งเกินไป เพราะแนวที่เขาให้ดูปะการังกว้างมาก แต่ถึงยังไงเราก็อยู่เกาะนี้นานพอสมควร
หลังจากนั้น เราก็จะไปดำน้ำที่ เกาะราวี ที่นี่น้ำใสมาก ใสจริงๆ ไม่ต้องเอาหน้าจุ่มลงไปในน้ำก็เห็นปะการัง แล้ว แนวปะการังที่นี่ยาวประมาณ 800 เมตร แต่มีเชือกให้ใต่ชมปะการัง ประมาณ 300 เมตร ปะการังส่วนใหญ่เป็นปะการังแข็ง ใหญ่ และสวยมาก นอกนั้นก็เป็นดอกไม้ทะเลสีต่างๆ เวลาน้ำพัดมาดูสวยมากๆ แต่ว่าปลาน้อยไปหน่อย แต่ถึงยังไงก็สวยครับประทับใจสุดๆ เรือปล่อยทีมผม ตั้งแต่ยังไม่มีมีแนวเชือกให้ว่ายน้ำมาเรื่อยๆ เหนื่อยครับ แต่สนุก ยิ่งเวลาแดดออกมากระทบกับน้ำ ปะการังข้างล่างกับฝูงปลา ยิ่งดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เราว่ายมาจนสุดเชือก ที่นี่ มีหาดทรายเล็กๆ สวยมากครับ ไม่รู้จะบรรยายยังไง เงียบสงบ มีขอนไม้สีขาววางอยู่บนชายหาด มีชิงช้าไม้อยู่ 1 อัน อยู่ติดริมหาดเลยครับ พอไกวเสร็จก็กระโดดลงน้ำได้เลย เราอยู่ที่เกาะราวีนานมากประมาณ 3 ชม. ก็มันสวยนี่ครับทำไงได้ เราแวะกินข้าวที่เกาะนี้ แค่ธรรมชาติสวยๆก็อิ่มแล้วหละครับ
หลังจากนั้นเราก็ ไปเกาะหินงามกันต่อ เกาะนี้มีแต่หินจริงๆครับ หินสีดำ เวลาโดนน้ำทะเล บวกกับแสงแดดยิ่งเพิ่มความสวยอีกหลายเท่า ยิ่งเวลาคลื่นสาดมาแต่ละที เสียงก้อนหินที่กระทบกันเหมือนกับมีใครมายิงปืนใหญ่หลายๆลูกต่อกัน เราอยู่ที่เกาะหินงาม ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้เวลากลับเกาะหลีเป๊ะกัน ไม่อยากกลับเลย แต่ยังไง ความสวยงามกับความประทับใจก็ไม่อาจเอาไปได้เราเอาไปได้แค่ความทรงจำเท่านั้นเอง
หลังจากอาบน้ำเสร็จก็มานอนเล่นที่ชายหาดใต้ร่มไม้อ่านหนังสือไปด้วย แต่อ่านได้ไม่นาน ก็หลับครับ ก็มันเหนื่อยนี่ครับ ตื่นมาประมาณเกือบ 6 โมงเย็นผมกับเพื่อนก็ไปดูพระอาทิตย์ตกดินอีกฟากหนึ่งของเกาะเดินประมาณ 20 นาที ก็ถึง แต่ต้องเดินไปให้ถึงสุดหาดนะครับ แล้วก็ข้ามดงต้นสนไป บรรยากาศดีมากๆครับ ถ้ามากับแฟนได้บอกรักอีกร้อยหนแน่ๆครับ หาดทรายตรงนี้ก็ขาวสะอาด พระอาทิตย์ตก กลางทะเล มีวิวของเกาะต่างๆอยู่ข้างๆ สวยอย่างนี้ต้องลองไปพิสูจน์เองนะครับ เย็นวันนี้เราไปกินอาหารทะเลกันที่ ร้านอาหารข้างๆรีสอร์ท เดินเลียบหาดไปประมาณ 100 เมตร บรรยากาศดีมากโต๊ะนั่งอยู่ที่หาด จุดเทียนไว้ที่กลางโต๊ะ อาหารสด อร่อยใช้ได้ แต่ราคาแพงไปหน่อย แต่อาหารบนเกาะก็ต้องแพงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว คืนนี้พวกเรานอนดึก เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องกลับกันแล้ว เรามีเวลาอยู่บนเกาะน้อยมาก แต่ความประทับใจมากกว่า พวกเรานอนดูดาวอยู่ถึง 5 ทุ่ม ก็ต้องเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อขึ้นเรือกลับซะแล้ว ลาก่อนมิตรภาพดีๆของคนบนเกาะทุกคน พี่พยาบาลที่น่ารักที่ให้ยาแก้เมาเรือกับเรา และเป็นมิตรกับเราตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะ เจ้าของรีสอร์ทที่เป็นกันเอง
ตอนเข้าอีกวันก็มาถึง(29 มีค.44) เรือเล็กมารับเราเพื่อไปขึ้นเรือใหญ่ตอน 9.00 น. เรือออกจากเกาะอาดัง ตอน 9.30 น. วันนี้ทะเลไม่มีคลื่นฟ้าใสเป็นใจให้พวกเราดีจริงๆ เราแวะที่เกาะตะรุเตา ประมาณ 1ชม. พวกเรากินข้าวกันที่นี่ อาจจะซื้อข้าวไปจากที่หลีเป๊ะ หรือไปซื้อที่ตะรุเตาก็ได้ เรือมาถึงที่ปากปาราตอน บ่าย 2 ครึ่ง เราต่อรถตู้ไปหาดใหญ่ทันที ถึงหาดใหญ่ประมาณ 16.30 น. แล้วผมก็แยกทางกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวกับพ่อแม่ ต่อ ได้ข่าวว่ารถไฟ ออก 3ทุ่ม กว่าจะถึง กทม. ก็ประมาณ 14.00 น.
การเดินทางครั้งนี้ ใช้เวลา 5 วัน 4 คืนรวมวันเดินทาง ถ้าเพื่อนจะไปควรมีเวลาให้มากกว่านี้เพราะ เวลาเดินทางนานมาก รถไฟที่ไปคือขบวนระหว่างประเทศ ออกเวลา 14.20 น. แต่มีอีกขบวนออก 14.45 แต่แนะนำให้ขึ้นขบวนแรกเผื่อรถไฟเสียเวลา ค่าโดยสาร เตียงบน 675 บาท เตียงล่าง 745 บาท
ค่ารถตู้ 70 บาท ค่าเรือไปกลับ 800 บาท ค่าเหมาเรือดำน้ำ 1000 บาท ค่าอุปกรณ์ดำน้ำ 100 บาท ค่าที่พักที่หลีเป๊ะรีสอร์ทมีหลายราคา 200 300 แล้วก็ 500 บาทพวกผมพัก 500 บาท 2 คืนก็ตกประมาณ 1000 บาท ถ้าจะนอนเพิ่มเสียอีกคนละ 50 บาทต่อคน
ค่าใช้จ่ายครั้งนี้ ประมาณคนละ 3500 บาท เผื่ออีก 500 บาทก็ดีนะครับ ถ้าอยากถามรายละเอียดก็ mail มาถามกันได้นะครับ เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้นะครับ...........
sawanya Lee - - dumyai@hotmail.com - 17/04/2001
ตะรุเตา...ที่ใฝ่ฝัน
ตะรุเตาที่ใฝ่ฝัน.....
และแล้วเราก็ได้มาที่ตะรุเตาจริง ๆเมื่อ 10 - 15 เมษายน44.เป็นความประทับใจที่ไม่ลืมจริง ๆของการเดินทางท่องเที่ยวแบบ ..home stay ค่าใช้จ่ายคนละ 1000 บาทการเดินทางโดยรถไฟไทย ปลอดภัยค่ะ ได้เที่ยวอุทยานแห่งชาติของ จ. สตูลครบทั้ง 3 อุทยานเลย ที่อช.ทะเลบันบรรยากาศดี เงียบสงบ เจ้าหน้าที่น่ารักมากยังชวนพวกเราค้างที่ทะเลบันแต่เป้าหมายเราจะค้างที่เภตรา เมื่อถึงเภตราได้เที่ยวถ่ายรูปและประทับตราอุทยาน ก็พอดีได้เรือชาวประมงจะไปส่งที่ตะรุเตา พวกเราก็เลยเปลี่ยนโปรแกรมไปค้างที่ตะรุเตา โดยนั่งเรือประมง ฝ่าคลื่นลมยามเย็นของท้องทะเล.....ถึงอช.ตะรุเตาตอน เกือบ ๆหนึ่งทุ่ม เกาะสวย เงียบสงบ
ก้าวแรกที่เหยีบเกาะก็ได้รับการต้อนรับที่ประทับใจมากเจ้าหน้าที่ลงมารับที่เรือช่วยขนสัมภาระที่พวกเรามีไปมากมาย...พาไปถึงที่พักกางเต้นท์ แนะนำข้อปฏิบัติต่าง ๆ ขอขอบคุณ คุณศรรตวรรษ ศรีวิไลค่ะ..กิจกรรมวันที่ สองของเรา ลุงเจ้าของเรือประมง พาเที่ยวถ้ำจรเข้ หาดหินงาม และพาเที่ยวรอบเกาะและพาไปเล่นน้ำที่อ่าวสน อ่าวนี้หินสวยมากค่ะเงียบสงบและพบเจองูเหลือมมากมาย ไม่หนีคนด้วย พวกเราต้องหนีเอง เพราะกลัวงู....นั่งเรือเที่ยวรอบเกาะ ได้เห็นนกเงือกและนกที่ไม่รู้จักอีกมากมาย
ที่ประทับใจคือเจ้าเหยี่ยวแดงแสนสวย...วันที่สามของเราที่ตะรุเตา..ได้นั่งรถของอุทยานเที่ยวอ่าวตะโละวาว ได้ไปดูอดีตที่คุมขังนักโทษ เดินดูทุกจุด เจ้าหน้าที่อธิบายได้ดีมาก พวกเราโชคดีได้เจ้าหน้าที่คนเดิมที่อธิบายในถ้ำจรเข้เลยสนิทเร็วและเป็นกันเอง ...แลกเปลี่ยนพูดคุย และรู้ว่าเจ้าหน้าที่ หนึ่งคนทำงานหนักมากแต่เขาก็ยังมีความสุขที่ได้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปเที่ยวพวกเราขอชื่นชม ...คุณสมเกียรติ ตี๋แสง เจ้าหน้าที่ให้ความรู้ในถ้ำและที่คุกตะรุเตาที่ตะโล๊ะวาวและขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อช.ตะรุเตา ที่ให้ความประทับใจและความรู้สึกดี ๆกับพวกเรา ขอขอบคุณเจ้าของบ้านที่ให้ที่พัก เจ้าของเรือที่พาเที่ยว และเพื่อนร่วมทางที่ให้ความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ของการเดินทาง ทำให้การท่องเที่ยวของเราครั้งนี้........มีความทรงจำดี ๆมากมาย.
Lord - - dumyai@hotmail.com - 18/04/2001
ตะรุเตา...ที่ใฝ่ฝัน
ตั้งใจมากอยากไปตะรุเตา และแล้วเราก็ได้มาจริง ๆ...ก้าวแรกที่เหยียบเกาะตะรุเตา อิ่มเอม สมหวัง และเป็นสุข ไม่อยากไปไหน ไม่ว่าจะเป็นหลีเป๊ะ หรือเกาะไหน ๆที่ว่าสวย ขอได้อยู่ที่ตะรุเตาเราก็พอใจ ได้เที่ยวรอบ ๆเกาะ ได้เดินตามล่องรอยแห่งอดีต ของประวัติศาสตร์ที่อ่าวตะโละวาวและตะโละอุดัง แดนกักกันนักโทษ...เวลา 2 วันกับ 2 คืน ...ที่ตะรุเตาคุ้มค่ากับความใฝ่ฝันจริง ๆ....ขอบอก.
Nudd - - nongnudd@hotmail.com - 19/04/2001
re : ตะรุเตา...ที่ใฝ่ฝัน
เห็นด้วยพี่หลอด เทียวแบบประหยัด คุ้ม ได้ความรู้ได้เรียนรู้วิถีชีวิตคนใต้ รู้น้ำใจและการใช้อารมณ์ ใช้เหงื่อหลายลิตรแลกกับสิ่งเหล่านี้ คุ้มจะตาย ธรรมชาตินี่คิดค่าเข้าชมถูกเนอะ มีใจรัก อดทนและอนุรักษ์ แค่นี้ธรรมชาติก็ให้เราเห็นสิ่งสวยงามแล้ว
pog - 30/04/2001
re : ตะรุเตา...ที่ใฝ่ฝัน
น่าเสียดายนะครับ ผมไปมาเมื่อช่วงกลางเดือน ผมว่าหลีเป๊ อาดัง เป็นเกาะที่มีอไรน่าสนใจกว่า ตารุเตามากนะ น่าเสียดายที่ไปถึงนั่นแล้ว ไม่เลยไป อาดัง-ราวี
sawanya Lee - - dumyai@hotmail.com - 03/05/2001
re : ตะรุเตา...ที่ใฝ่ฝัน
เราคงไปช่วงเดียวกันนะ แต่เราดูแล้วผู้คนมากมาย...ที่ไปหลีเป๊ะและอาดัง-ราวี ..เราไม่ชอบอะไรที่คนมาก ๆ ทำลายความงามของธรรมชาติที่เงียบสงบและสวยงามและตวามตั้งใจและใฝ่ฝันของพวกเราคือ ตะรุเตา แต่ถ้ามีโอกาศและทุนทรัพย์มากพอ เราก็จะไปตามที่คุณ pog บอกนะคะ
นายบุญฤทธิ์ บิลหมาด - - vahet@chaiyo.com - 10/05/2001
re : ตะรุเตา...ที่ใฝ่ฝัน
สักวันหนึ่ง เมื่อวงจรชีวิตของผมได้กลับไปทำงานที่ใต้ บ้านเกิดเมืองนอนตามที่ได้ใฝ่ฝันไว้ คงมีโอกาสไป สักครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อย ยินดีและอิจฉาด้วยครับ กับผู้ที่ไปมาแล้ว
บันทึกความทรงจำ
ประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง