banner thaiparks
อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี


อุทยานสมเด็จย่า อุทยานสมเด็จย่า
อุทยานสมเด็จย่า อุทยานสมเด็จย่า


ในบรรดาอนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า ของปวงชนชาวไทยนั้น มีสถานที่หนึ่งซึ่งมีค่ายิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนั้นเอง หรือประวัติที่สถานที่แห่งนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เหนือยิ่งกว่านั้น สิ่งอนุสรณ์ต่างๆบนสถานที่แห่งนั้น ยังเป็นสิ่งที่สร้างหรือบูรณะขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพระราชทานพระราชวินิจฉัยในชั้นต้น สถานที่ที่กล่าวนี้ก็คือ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพื้นที่ชุมชนหลังวัดอนงคาราม เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เมื่อวันอังคารที่ 21 มกราคม 2540


หากท่านเคยได้อ่านหนังสือ "แม่เล่าให้ฟัง" พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ก็จะทราบว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า ของชนชาวไทยเรานั้น เสด็จพระราชสมภพที่เมืองนนทบุรี แต่มาจำความได้และทรงดำรงพระชนมชีพในวัยเยาว์ที่ละแวก วัดอนงคารามนี้ ทรงรำลึกผูกพันถึง "บ้าน" ที่พำนักสถาน ที่ทรงเที่ยวเล่น คลองสมเด็จเจ้าพระยาที่เคยโปรดเล่นน้ำ โรงเรียนประถมวัดอนงคาคามที่ทรงได้เคยศึกษาเล่าเรียน เป็นต้น


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสนพระราชหฤทัย มีพระราชประสงค์ที่จะอนุรักษ์ "บ้าน" นิวาสสถาน ครั้งทรงพระเยาว์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีไว้ ทั้งยังสนพระทัยในประวัติความเป็นมาของชุมชนย่านนี้ เพราะเป็นชุมชนที่ชนหลายเชื้อชาติต่างศาสนา ทั้งไทย จีน ลาว และแขกมุสลิม อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขสืบมาช้านาน


ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้นักดนตรี วง อส. และคณะรวม 3 คน ไปสำรวจหา "บ้าน" ครั้งทรงพระเยาว์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีแห่งนี้ ก็พบว่า ณ ที่เคยตั้ง "บ้าน" นั้น กลายเป็นที่ตั้งของตึกแถว 2 ชั้น ที่สร้างราว 30 ปีมานี้เอง จึงโปรดให้คณะสำรวจ สำรวจหาบ้านยุคเก่าในบริเวณใกล้เคียง ก็พบว่าห่างออกไปประมาณ 100 เมตร ยังคงมีตึกแถวเก่าครั้งรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ "บ้านเดิม" ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หลงเหลืออยู่ เป็นอาคารบริวารของบ้านเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี(แพ บุนนาค) อธิบดีกรมพระคลังสินค้า สมัยต้นรัชกาลที่ 5


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชประสงค์ จะทรงซื้อที่และอาคารในกลุ่มนี้ เพื่อทำการบูรณะเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพัฒนาพื้นที่เป็นสวนสาธารณะ เพื่อพระราชทานให้แก่ชุมชน ซึ่งเมื่อเจ้าของที่ดิน คือนายแดง นานา และนายเล็ก นานา ทราบถึงกระแสพระราชดำริ ก็พร้อมใจกันน้อมเกล้าถวายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างติดที่


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาเป็นเจ้าของที่ดิน โปรดให้บุคคลและหน่วยงานต่างๆร่วมดำเนินงานในรูปของคณะกรรมการจัดสร้างอุทยาน ตามแนวพระราชดำริ คือให้เป็นสวนสาธารณะระดับชุมชน สำหรับประชาชนทุกเพศ ทุกวัยใช้พักผ่อนย่อนใจ ฟื้นฟูสุขภาพ ร่วมชุมนุมประกอบพิธี หรือกิจกรรมรื่นเริงตามเทศกาล รวมทั้งเป็นแหล่งศึกษาพันธุ์ไม้ ซึ่งโปรดให้ สงวนรักษาต้นไม้ของเดิมไว้ด้วย


สวน แบ่งเป็๋นสวนส่วนหน้า และส่วนใน สวนส่วนหน้าจะร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่เช่นต้นไทรอายุนับร้อยปี อ่างน้ำพุขนาดใหญ่ จัดม้านั่งยาวสำหรับนั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ แวดล้อมด้วยไม้ดอกไม้ประดับร่มรื่น


สวนส่วนในออกแบบให้มีทางเดินหรือลู่วิ่งโดยรอบ และติดต่อถึงลานกว้างกลางสวน และศาลาแปดเหลี่ยมประยุกต์ ที่ใช้เครื่องไม้ที่รื้อจากบ้านเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ฯ ซึ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากอนุรักษ์ต้นไม้เก่าไว้แล้ว ยังได้อนุรักษ์อาคาร 2 ชั้นแบบเก่าก่อน ยุครัชกาลที่ 5 ไว้หลังหนึ่ง เพื่อเป็นอาคารสำนักงาน อนุรักษ์ซากอาคารบริเวณด้านหลัง ซากอาคารประธาน ยุคก่อนบ้านเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ฯ และซุ้มประตูกำแพงของเดิมทุกด้าน สระน้ำเก่าอนุรักษ์ไว้เคียงคู่กับสระบัวแบบใหม่


ที่สำคัญยิ่งคือ "บ้านจำลอง" สถาปนิกผู้ออกแบบได้จำลองบ้านครั้งทรงพระเยาว์ตามแบบหนังสือ "แม่เล่าให้ฟัง" เป็นแบบเล็กๆถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทอดพระเนตร ซึ่งได้พระราชทานพระราชวินิจฉัยให้แก้ไชให้ตรงกับความเป็นจริง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขนาดเท่าจริง ประดิษฐานไว้ภายในสวน โดยมัณฑนากร กรมศิลปากรได้จัดตกแต่งและหาวัสดุต่างๆให้คล้ายของเดิมทุกประการ


ถัดจากบ้านจำลอง ตั้งแผ่นหินสลักขนาดใหญ่เป็นหินทรายสีเขียวสลักเป็นภาพนูนต่ำ มีขนาดกว้าง 1 เมตร 60 ซม. ยาว 8 เมตร หนา 90 ซม. ตั้งอยู่บนฐานที่มีความสูง 80 ซม. รายละเอียดของภาพด้านหนึ่ง แสดงความเป็นอยู่ของราษฏรในท้องถิ่นทุรกันดารต่างๆ การดำเนินงานของคณะแพทย์อาสา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี(พอ.สว.) , การจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตะเวณชายแดน และตรงกลางภาพเป็นท้องถิ่นทุรกันดารต่างๆ ต้นไม้ใหญ่มีอักษรพระนามาภิไธย สว. ในกรอบหยดน้ำประดับอยู่กึ่งกลาง เปรียบดังสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นเสมือนร่มโพธิ์ ร่มไทร ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกเกล้าชาวไทยให้อยู่เย็นเป็นสุขมายาวนาน ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น เป็นภาพริ้วขบวนไหว้สาแม่ฟ้าหลวง บริเวณหน้าพระตำหนักดอยตุง เพื่อสะท้อนถึงความเทิดทูน จงรักภักดีของปวงชนที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในการ "ปลูกป่า" และ "ปลูกคน" ภาพหินสลักนี้กองทัพอากาศรับสนองพระราชประสงค์จัดหาหินจากอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และจัดจ้างสลักหินโดยมีกรมศิลปากรออกแบบ และแนะนำขั้นตอนการแกะสลัก


อาคารพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นเสมือนแนวกำแพงแบ่งสวนส่วนนอกและส่วนในนั้น เดิมก็เป็นอาคารบริวารที่เป็นกำแพงบ้านเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ฯ ทางด้านใต้ด้วย ในการบูรณะได้นำเครื่องไม้จากบ้านของเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ฯ ซึ่งเคยตั้งอยู่บริเวณที่สร้างเป็นลานอเนกประสงค์มาตกแต่งและยกสูงขึ้น โดยแบ่งเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ 2 หลัง


อาคารพิพิธภัณฑ์หลังแรก จัดแสดงภาพพระราชประวัติ สถานที่ที่พระองค์เคยประทับ ณ ที่ต่างๆ ประวัติชุมชนในย่านวัดอนงคาราม และการบูรณะอาคาร ภายในจัดแสดงสิ่งของที่พสกนิกรถวายในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตรงกลางตั้งทีวีให้ประชาชนผู้เข้าชมได้ชมวีดิทัศน์เกี่ยวกับพระราชประวัติ และรับฟังพระราโชวาทจากสุรเสียงของพระองค์ท่าน


อาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่ 2 จัดแสดงเกี่ยวกับ พระราชจริยาวัตร สิ่งของเครื่องใช้ อาทิเช่น ฉลองพระองค์ กึ่งกลางตั้งแท่นคอมพิวเตอร์ระบบจอสัมผัส ผู้ชมสามารถกดเลือกชมพระราชประวัติ ประวัติชุมชน และประวัติการสร้างอุทยานได้ด้วยตนเอง ตู้จัดแสดงกลางห้อง จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ของพระองค์ท่าน รวมทั้งงานฝีพระหัตถ์ ผนังตอนในสุดติดภาพจิตรกรรม แสดงพระราชจริยาวัตรด้านศาสนา ฝีมือนายพิชัย นิรันต์ จิตรกรกรมศิลปากร หนึ่งในทีมงานจิตรกรที่เขียนภาพชุดมหาชนก พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


อาคารวิชาการ เพื่อจัดนิทรรศการ มุมสำหรับอ่านหนังสือ ตลอดจนที่สำหรับใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์


การก่อสร้าง ซึ่งเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของบุคคลและหน่วยงานที่รับสนองพระราชดำริ ได้สำเร็จ สมบูรณ์แล้ว งานก่อสร้างชิ้นนี้นับได้ว่า ประชาชนชาวไทยมีส่วนร่วมในการก่อสร้างด้วย เพราะงบประมาณดำเนินการนั้น นอกจากงบสนับสนุนจากกรุงเทพมหานครแล้ว งบประมาณส่วนใหญ่ได้จากการจำหน่ายเหรียญที่ระลึก ซึ่งจัดสร้างและจำหน่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 มีสิ่งพิเศษเกี่ยวกับเหรียญก็คือ แบบเหรียญด้านหน้า ซึ่งเป็นรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประคองสมเด็จพระราชชนนีนั้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงคัดเลือกภาพพระราชทานเป็นแบบ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแผ่นทอง เงิน และทองแดง ที่ทรงเจิม โปรดให้กรมธนารักษ์ผสมในเนื้อโลหะที่สร้างเหรียญแต่ละชนิด เหรียญที่ระลึกได้จำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว ยกเว้นจำนวนที่แบ่งไว้จำหน่ายเมื่อเปิดอุทยาน ยังคงเหลือจำหน่ายที่อุทยานไม่มากนัก และรายได้จากการจำหน่ายเหรียญจะนำไปเป็นกองทุนมูลนิธิเพื่อนำดอกผลมาบำรุงรักษาอนุสรณ์สถานสำคัญแห่งนี้ ให้คงอยู่สืบไปชั่วกาลนาน


ประชาชนผู้สนใจเข้าชมหรือพักผ่อนหย่อนใจภายในอุทยานได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 6.00-18.00 น. ส่วนพิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น.(ไม่เก็บค่าเข้าชม)


ทั้งนี้หน่วยงานใดต้องการจัดทัศนศึกษา ทางอุทยานฯมีบริการจัดเจ้าหน้าที่บรรยายให้ความรู้ โดยไม่เสียต่าใช้จ่ายแต่อย่างใด


อุทยานสมเด็จย่า อุทยานสมเด็จย่า
อุทยานสมเด็จย่า อุทยานสมเด็จย่า



อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 เขตคลองสาน โทร. 437-7799, 439-0896, 439-0902 โทรสาร. 437-1853



เดือนกันยายนนี้ ขอเชิญร่วมโครงการ
"ห้องเรียนธรรมชาติ กับการเรียนพับดอกบัว"
ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี


อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ร่วมส่งเสริมให้เยาวชนได้ทำกิจกรรมที่ให้ความรู้และความสนุกสนาน อีกทั้งได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในโครงการ "ห้องเรียนธรรมชาติ" ในวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2544 ตั้งแต่เวลา 9.00-15.00 น. โดยรับสมัครน้องๆที่มีอายุ 8-12 ปี เข้าร่วมโครงการจำนวน 30 คน อัตราค่าสมัครคนละ 50 บาท (ซึ่งมีอาหารกลางวันและขนมรวมอยู่ในค่าสมัคร) เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 6-31 สิงหาคมนี้


และอีกกิจกรรม ในวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน นี้ ทางอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯยังได้เปิดสอนการพับดอกบัวเป็นรูปแบบต่างๆ โดยวิทยากรรับเชิญ อาจารย์ อารยะ ไทยเที่ยง จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตโชติเวช โดยงานนี้เปิดรับสมัคร 10 คน ค่าสมัครคนละ 50 บาท เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม ถึง 7 กันยายนนี้


โดยทั้ง 2 กิจกรรม สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โทร 02-437-7799 ,02-439-0902 โทรสาร 02-437-1853
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ : รสริน ชัยศิลป์ , สรวุฒิ ไวทยาจารุ