เรื่องของป่านั้นมีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์มาก
โดยเฉพาะพระพุทธสาสนาแล้วมีความสัมพันธ์กับป่ามากทีเดียว
พระรัตนไตร อันประกอบด้วย พุทธรัตนแก้ว คือพระพุทธเจ้า ธรรมรัตนแก้ว
คือพระธรรม และ สังฆรัตนแก้ว คือพระสงฆ์
ทั้งสามประการนี้มีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา
มีความสัมพันธ์กับป่าอย่างที่แยกไม่ออกทีเดียว
พระพุทธรัตนแก้ว คือ พระพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้นตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์มีความสัมพันธ์อยู่กับป่า
พระองค์ทรงเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ก็เสด็จอุบัติมาในป่า ที่เรียกว่า
สวนลุมพินีวัน คือพระองค์ทรงประสูติที่สวนลุมพินีวัน ที่โคนต้นรัง
ชีวิตเริ่มต้นของพระองค์ที่เกิดมาในโลกนี้ ก็สัมพันธ์กับป่าแล้ว
ต่อมาพระองค์ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สัมพันธ์กับป่าอีก
คือตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์
ธรรมรัตนแก้ว คือ พระธรรม เกิดขึ้นที่ป่า อิสิปตนมฤคทายวัน
เมื่อพระองค์แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรจบแล้ว พระปัญจวัคคีย์องค์ที่หนึ่ง
คือพระโกณฑัญญะ ก็ทูลขอบรรพชาพระองค์ก็บวชให้ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ก็เป็นอันว่า
สังฆรัตนแก้ว คือ พระสงฆ์ ก็เกิดขึ้นที่ใน ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นี้เหมือนกัน
ก็รวมความว่า พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ล้วนแต่เกิดในป่าทั้ง สิ้น
แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็ปรินิพพานในป่าอีก
คือนิพพานภายใต้ต้นรัง ซึ่งเป็นสวนของเจ้ามัลละกษัตริย์
เป็นอันได้ความว่า พระพุทธเจ้า เกิดในป่า ตรัสรู้ในป่า แสดงพระธรรมในป่า
แล้วก็นิพพานในป่าด้วย
พระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระองค์แสดงในป่า พระธรรมกัณฑ์สุดท้ายที่เรียกว่า
มหาปรินิพพานสูตร ก็แสดงที่ในป่า คือป่ารังที่พระองค์ทรงนิพพานนั้นเอง
ก็เป็นอันว่าเรานับถือพระรัตนตรัย
พระรัตนตรัยนั้นเกิดขึ้นในป่าทั้งนั้นเลยทีเดียว
นอกจากนั้นแล้วพระองค์ทรงบัญญัติ-นิสสัยสี่ เครื่องอาศัยของพระมี 4 อย่างคือ
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับป่าอีก
จีวร คือผ้าสำหรับนุ่งของพระนั้น ที่เราเรียกว่าจีวร เราอาจจะเข้าใจผิด
ความจริงคำว่าจีวรนั้นหมายถึงผ้า ผ้าสามผืนเรียกว่า ไตรจีวร คือ สังฆาฏิ
ผืนหนึ่ง แล้วอุตตราสงค์ คือผ้าห่มผืนหนึ่ง แล้วก็สบง เรียกว่า
อันตรวาสกผืนหนึ่ง สามผืนนี้เรียกว่าไตรจีวร
ไตรจีวรนี้เกิดจากป่าเหมือนกันคือได้มาจากป่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า โขมัง
กัปปาสิกัง โกเสยัง เกิดจากเปลือกไม้ ทำด้วยเปลือกไม้ เกิดจากฝ้าย เกิดจากแพร
พวกแพร พวกไหมนี่ก็มาจากตัวหม่อนคือเกิดจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง
ก็เป็นอันว่าจีวรก็เกิดในป่าเหมือนกัน
บิณฑบาตอาหารก็เนื่องด้วยป่า เนื่องด้วยต้นไม้ เช่นผักต่างๆ ผลไม้ต่างๆ
มันก็จากป่านั้นเอง
เสนาสนะที่อยู่อาศัยก็ป่านั่นเอง เวลาพระท่านบวชจะต้องบอกนิสสัยสี่
บอกอนุศาสน์ว่า รุกขะมูละ เสนาสนัง นิสสายะ ปัพพัชชัง ฯลฯ
การบวชนั้นอาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้ ในสมัยพระพุทธเจ้านั้น
พระอาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้ จึงให้ถือว่าขอให้มั่นอยู่ในโคนต้นไม้
ต่อมาเมื่อพระเจ้าพิมพิสารสร้างวัดถวาย ก็สร้างในป่าอีก วัดแรกก็เกิดในป่า คือ
วัดเวฬุวัน เวฬุ แปลว่าไม้ไผ่ เวฬุวัน แปลว่า ป่าไผ่
พระเจ้าพิมพิสารสร้างวัดเวฬุวัน คือวัดป่าไผ่
ในป่าไผ่นั่นเองถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาพระก็มีวัดอยู่
บางองค์ก็อยู่วัดแต่บางองค์ก็ถือนิสสัยถือธุดงค์อยู่โคนต้นไม้
ส่วนยารักษาโรค (คิลานเภสัช) นั้น ท่านบอกว่าฉันยาดองด้วยน้ำมูตร
ยาดองนั้นใช้สมอ สมอก็คือผลไม้นั้นเอง ใช้น้ำมูตรที่บริสุทธิ์ทำเป็นยารักษาโรค
เป็นอันว่าเรื่องของพระพุทธศาสนานั้นสัมพันธ์อยู่กับป่าเรื่อย จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ คิลานเภสัช มาจากป่าทั้งนั้น มาจากต้นไม้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเอง
เราจึงเห็นได้ว่าป่านี้มีความสำคัญแก่พระพุทธศาสนามากทีเดียว
การปลูกต้นไม้นั้น พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าเป็นทาน เป็นนิพัทรกุศล อรามโลปา
วนะโลปา การสร้างสวน สร้างป่าให้เป็นทานถือว่าเป็น นิพัทรกุศล
คือเป็นกุศลที่ให้ผลอยู่เป็นนิจ เพราะป่ามันอยู่ได้นาน สวนมันอยู่ได้นาน
ป่ายังอยู่ตราบใด สวนยังอยู่ตราบใด ผู้ที่สร้างสวน
สร้างป่าก็ยังคงได้บุญอยู่ตราบนั้น เพราะป่าเป็นประโยชน์สวนก็เป็นประโยชน์
วัดทั้งหลายในอดีตโดยมากสร้างในป่า ในสวน จึงมีชื่อห้อยท้ายว่าป่าบ้างสวนบ้าง
เช่นวัดเวฬุวัน แปลว่าป่าไม้ไผ่ วัดเชตวัน ก็แปลว่าป่าเจ้าเชตุ สวนเจ้าเชตุ
วัดนิโคธาราม มีคำว่าอาราม แปลว่าสวน วัดโฆษิตาราม เป็นต้น
แม้ในสมัยปัจจุบัน เวลาตั้งชื่อวัด ก็มักจะนิยมให้มีอารามอยู่บ้างเช่น
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อารามห้อยท้าย วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
วัดอรุณราชวราราม ให้มีสัญลักษณ์เป็นป่าอยู่ด้วย
มีเรื่องเล่าถึงพระอินทร์ว่า
พระอินทร์สร้างศาลาขึ้นหลังหนึ่งสำหรับคนจะได้พักอาศัยแล้วก็ปลูกต้นไม้ขึ้นต้นหนึ่ง
ต้นไม้นี้ไม่ใช่ต้นไม้ที่จีรังยั่งยืนอะไรนัก คือ ต้นทองหลาง
ปลูกต้นทองหลางขึ้นต้นหนึ่ง สำหรับคนที่ไปมาได้ร่มเงาพักอาศัย
นางสุจิตรา ซึ่งเป็นภรรยาของนายมฆ มานพผู้สร้างศาลา
เห็นว่าสร้างศาลาเสร็จแล้วก็เลยสร้างสวนขึ้นเป็นคู่กับศาลา
เพื่อว่าคนไปคนมาจะได้พักในสวนเรา ได้เก็บดอกไม้ ได้เก็บผลไม้ให้เป็นทาน
คนทั้งสองนี้เมื่อตายไปก็ไปเกิดในสวรรค์
ต้นทองหลางก็ไปเกิดในสวรรค์ด้วยนะเป็นต้นไม้เรียกว่า ต้นปาริฉัตตกะ
ต้นมันเป็นชั้นๆ เขาจึงถอดแบบมาทำเป็นเศวตฉัตร
เวลาพระอินทร์นั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ คล้ายๆกับว่ามีฉัตรกั้น
คือต้นปาริฉัตตกะที่ทีฉัตรรอบๆ ดอกมีแสงสว่าง มีรัศมี แล้วหอมมากทีเดียว
หอมไกล แต่ว่าหอมได้เฉพาะตามลม หอมทวนลมไม่ได้ สู้คนที่มีศีลไม่ได้ สัพพูนิโส
ปวายติ คนที่เป็นสัตบุรุษนั้น หอมฟุ้งไปได้ทั้งสี่ทิศเลย ดอกปาริฉัตตกะ
ฟุ้งไปได้เฉพาะตามลมเท่านั้น
ส่วนนางสุจิตรา
สร้างสวนก้ได้ไปเกิดเป็นมเหษีของพระอินทร์แล้วอานิสงส์ที่ได้สร้างสวนก็ไปเกิดเป็นสวนสวรรค์
ชื่อว่าสวนจิตรลดาวัน ทางราชการก็เอามาตั้งชื่อพระที่นั่ง หรือพระราชวัง
สวนจิตรลดา สวนนี้เพลิดเพลินมาก เทวดาที่จะต้องจุติ พอรู้ตัวว่าจะต้องจุติแล้ว
กลัวตาย เป็นทุกข์เป็นร้อน พอไปชมสวนนี้แล้ว หายทุกข์หายร้อนลืมตายไปเลย
เพราะสวนนี้มีความเพลิดเพลินมาก รื่นรมย์มาก คำว่า สวนอราโม
แปลว่าเป็นที่รื่นรมย์
เท่าที่อาตมภาพได้บรรยายมาเรื่องป่า ก็เห็นจะพอสมควรเพื่อให้รู้ว่า
ป่านี้เป็นที่เกิดพระรัตนตรัยและชีวิตของผู้ที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัยก็เกี่ยวกับป่านั้นเอง
ถ้าเราเห็นความสำคัญของป่า ก็ควรช่วยกันรักษาป่า ไม่ควรทำลายป่า
(สรุปความจาก
รายงานพิเศษเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาเรื่องวนกถานิตยสารศิลปวัฒนธรรม
ปีที่13ฉบับที่9 ซึ่งได้ปรับปรุงจาก ปาฐกถาธรรมของสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ
เขมจารี มหาเถร ป.ธ. 9) เมื่อวันที่22มิ.ย.32)
(ภาพ : โดยพระเทวา ภินิมมิต ; กิติพล คงสมัย)