เมื่อบุษบง
จะลงจากคาน
โดย ริญา
ตอนที่ 10 ฮ๋า! จริงหรือนี่!
ช่วงเวลาที่รอเข็มนาฬิกาเดินไปให้ถึง
5 โมงเย็นนั้น
บุษบงรู้สึกเครียดยิ่งกว่า
ตอนเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย
(หล่อนยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีเชียวนะ
แม้เวลาจะล่วงเลยมามากกว่า
10 ปี)
ยามนี้หญิงสาวเปรียบเสมือนดอกไม้
ที่ส่งกลิ่นหอมจรุง
ชวนให้ภมรตัวหนึ่ง
บินดิ่งเข้ามาหมายจะดอมดม
หากคิดอีกมุมหนึ่ง
หล่อนน่าจะดีใจ
ที่อย่างน้อยในช่วงวัยล่วงเข้าเลข
3 ตอนต้น
หล่อนยังมีผู้ชายหมายมุ่งจะพิชิตหัวใจ
มีบันไดพาดมาให้บุษบงก้าวเดินลงจากคานอยู่รำไร
ไฉนสาวเจ้าจึงทำเมิน
ซ้ำพาลโมโห
โกรธา
เปล่านะ
อย่าเข้าใจผิดว่าบุษบงไม่ยี่หระว่าหล่อนจะค้างเติ่งอยู่บนคาน
หล่อนหวิวไหว
ใจสั่นทุกครั้งยามนึกถึงตนเองกลายเป็นหญิงชราผู้เปล่าเปลี่ยว
ผู้ที่จะตายไปพร้อมกับพรหมจารีที่เฝ้าถนอมรักษามาตั้งแต่วัยสาว
ซึ่งในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
ชื่อของคุณยายบุษบง
อาจจะปรากฏในกินเนสบุ๊ค
ในฐานะหนึ่งในรายนามหญิงยุคโลกาภิวัฒน์
ผู้สามารถรักษาพรหมจรรย์ไว้ได้จนตัวตาย
อันเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่งในโลกยุคใหม่
บุษบงไม่ได้ตั้งใจจะหวงเนื้อหวงตัวไว้
มิให้ชายใดได้เชยชมแต่ประการใด
เพียงแต่หล่อนมีหลักยึดในใจว่า
ชายผู้ที่จะสามารถแตะต้องหล่อนได้นั้น
ต้องเป็นคนที่ดีพร้อม
เพียงพอให้หล่อนยินยอมมอบความรักได้เต็มหัวใจเท่านั้น
เพราะฉะนั้น...มือมารอย่างอีตา
วรพจน์
อย่าหวัง!
เข็มนาฬิกาเดินช้าเหลือเกิน
บุษบงอดรนทนไม่ไหว
จึงตัดสินใจยกหูโทรศัพท์กดไปหา
กิ่งแก้ว
เพื่อนรัก
พร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
แน่ละ
เพื่อนสาวของหล่อนก็เป็นเดือดเป็นแค้นแทนหนักหนา
ถึงกับพ่นคำสรรเสริญคู่กรณีของเพื่อนรัก
ชนิดว่าหากเจ้าตัวได้ยินเข้า
คงรีบวิ่งกลับไปซบหน้าร้องไห้กับตักแม่เลยทีเดียว
“ทำไมไอ้ผู้ชายคนนี้
มันอุบาทว์อย่างนี้นะ
ให้ฉันส่งเด็กที่โรงงานไปดักตีกบาลมันสักที
เอามั๊ย”
กิ่งแก้วพูดอย่างเดือดดาล
ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของหล่อนเอง
“เฮ้ยๆๆๆ
ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก
ฉันจัดการเองได้”
บุษบงรีบร้องห้ามเพื่อน
ด้วยเกรงว่าหากหล่อนเกิดเห็นดีเห็นงามไปด้วย
กิ่งแก้วอาจจะส่งชายฉกรรจ์ที่ทำงานในโรงงานของพ่อ
มาจัดการกับคู่กรณีของหล่อนจริงๆ
“เดี๋ยวเย็นนี้
ฉันแสดงละครกับวีร์
สักฉาก
เรื่องก็น่าจะจบ”
“
ฉันว่าไม่จบง่ายๆหรอก
ตาบ้านี่ต้องตอแยแกต่อไปอีก
เพราะมันจะต้องเสียหน้า
ว่าจีบแกไม่สำเร็จ”
กิ่งแก้ว
พยากรณ์
บุษบงพลอยรู้สึกกังวลใจตามไปด้วย
แต่ก็ยังแย้ง
“แต่เขาสัญญาแล้วนี่ว่า
ถ้าฉันควงแฟนมาให้เขาดูเย็นนี้เขาจะเลิกยุ่ง”
“แกนี่อ่านนิยายมากซะเปล่า
จำคำพูดนี้ไม่ได้เหรอ
‘ไม่มีสัจจะ
ในหมู่โจร’น่ะ
อีตาคุณวรพจน์นี่ก็โฉดพอจะนับได้ว่าเป็นโจรเหมือนกัน
แถมเป็นโจรหน้าด้านด้วย
ผู้หญิงเขาไม่ชอบ
ยังมาเสนอหน้า
ด้านสุดๆ”
“จริงสินะ
ฉันก็ลืมนึก”
บุษบงชักเห็นคล้อยไปด้วย
“แล้วฉันจะทำไงดีล่ะแก”
หล่อนร้องขอความเห็นจากเพื่อน
พลันเหลือบไปเห็นใบหน้าตัวเอง ในกระจกบานเล็กที่ตั้งไว้ข้างโทรศัพท์
หล่อนถึงกับรีบยกมือลูบ
ไล่รอยย่นระหว่างคิ้ว
เรื่อยไปจนถึงหางตา
“โอ๊ยแก
นี่ฉันเครียดจนหน้าย่นแล้วนะ
อุตส่าห์บำรุงด้วยครีมอย่างแพง
หมดกันล่ะทีนี้”
หล่อนเผลอบ่นออกมาให้เพื่อนสาวฟัง
กิ่งแก้วได้ยินเข้าถึงกับอารมณ์เปลี่ยน
คลายอารมณ์ที่กำลังเดือดดาล
แล้วหันมาปลอบโยนเพื่อนสาว
หล่อนเข้าใจดี
ก็หล่อนนั้นเป็นเจ้าแม่เรื่องถนอมความงามอยู่แล้ว
เรื่องริ้วรอยบนใบหน้า
เป็นเรื่องที่หล่อนให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
“เอาน่า
อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย
กังวลไปล่วงหน้า
ฉันแค่คาดเดาเหตุการณ์เฉยๆ
อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
ถ้าวีร์
เขาร่วมมือกับแกดี”
แล้วแนะนำต่อ
“
คืนนี้กลับบ้านไป
เอาแตงกวาแช่เย็นโปะรอบตาหน่อยนะแก
จะได้ผ่อนคลาย”
ฟังเพื่อนพลาง
บุษบง
ใช้ปลายนิ้วค่อยๆไล้ใต้ขอบตาไปด้วย
หวังจะให้ริ้วรอยจางลงไปบ้าง
หล่อนคุยกับกิ่งแก้วเรื่องอื่นๆอีกครู่หนึ่งแล้วจึงวางหู
หญิงสาวพบว่า
การเลี่ยงปัญหาโดยไม่พูดถึง
และไม่เอาใจไปจดจ่ออยู่กับเรื่องเพียงเรื่องเดียว
ก็ทำให้หล่อนลดความกังวลกับมันได้บ้าง
แม้เพียงชั่วครู่ก็ตาม
อีกไม่นานก็
5
โมงเย็นแล้วน่า
พอวีร์มาถึง
หล่อนก็จะส่งยิ้มหวานที่สุดในชีวิตให้เขา
เดินไปเกาะแขนเขาสักหน่อย
ยื่นหน้าเจรจา
เหมือนคู่รักคนอื่นๆเขาทำกัน
หล่อนดูหนังรักกุ๊กกิ๊กมามาก
ทั้งไทย จีน
ฝรั่ง หล่อนจะเลียนแบบนักแสดงเหล่านั้นให้เนียนเชียว
นึกแล้วหล่อนอย่างจะมีรอยยิ้มที่น่ารัก
เหมือน เม็ก
ไรอัน จัง
หรือ เหมือน เคท วินสเล็ท
ยามส่งยิ้มให้
พ่อหนุ่มลีโอ
ในไททานิค
อืมม์...เมื่อนึกถึงหน้าลีโอนาร์โด ดิคาปรีโอ
บุษบงถึงกับเผลอยิ้มหวาน
ได้การล่ะ
หล่อนคงต้องจินตนาการหน้าวีร์
ให้เป็นพ่อหนุ่มลีโอนาร์โด !
หญิงสาว
หลับตาพริ้ม
จินตนาการเหตุการณ์ข้างหน้า
พลางนึกเป็นบทละคร
พอถึงเวลาเลิกงาน
ยามที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์
ห้องโถงด้านหน้าบริษัท
ก็จะโทรเข้ามาบอกหล่อน
ว่ามีคนมารอพบ
แล้วหล่อนก็จะผลักประตูออกไป
แสดงสีหน้าเบิกบาน
เมื่อเห็นคนรักของหล่อนมายืนรออยู่
ชายคนรักผู้มีใบหน้าหวานๆ
แบบเดียวกับลีโอ...ลีโอ...ลีโอ
พลันจินตนาการของบุษบงกลับชะงักไปครู่หนึ่ง
เพราะแทนที่จะเป็นภาพพ่อหนุ่ม
ลีโอนาร์โด
ลอยเด่นเข้ามา
กลับกลายเป็น
หน้าคมสัน
เกลี้ยงเกลา
จมูกโด่งเป็นสัน
รอยยิ้มใสเย็น
อบอุ่น... ‘พี่เก้ง’
ทำไมเข้าถึงลอยเข้ามาอยู่ในจินตนาการของหล่อนได้นะ!
หากยังไม่ทันตอบข้อสงสัยตัวเอง
หล่อนถึงกับเผลอส่งยิ้มหวานที่สุดในชีวิตตอบกลับเข้าไป...
“พี่บุษ...พี่บุษคะ”
หญิงสาวตกใจสะดุ้งเฮือก
เมื่อนงนุช
ลูกน้องสาว
ปลุกหล่อนให้ตื่นจากภวังค์
หล่อนรีบปั้นสีหน้านิ่งเฉย
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ
“ว่าไงจ๊ะ”
นี่แหละนางสาวบุษบง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
มาดของหล่อนต้องดีเสมอ
“เอ่อ...ขอโทษคะ
มีคนมารอพบพี่บุษค่ะ”
นงนุชบอกเบาๆ
ด้วยสีหน้าปรากฏแววฉงนฉงาย
เจ้านายสาวเป็นอะไรไป
คล้ายๆนั่งหลับ
แล้วเผลอละเมอยิ้มหวาน
จนไม่ได้ยินเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ดังอยู่เป็นนานสองนาน
จนหล่อนต้องยกหูโทรศัพท์ดึงสายมารับเสียเอง
“อ้าวเหรอ
ใครล่ะ” หล่อนถามด้วยความงุนงงสงสัย ก็ยังไม่ทัน
5 โมงเลย
หรือว่า วีร์มาก่อนเวลานัด
หล่อนคิด
“เอ่อ...ไม่ทราบค่ะ
ทราบแต่ว่า...เป็นผู้ชาย”
นงนุชตอบ
“อืมม์...สงสัยคงเป็นเพื่อนพี่มาก่อนเวลานัด...ขอบใจนะจ๊ะ” บุษบงพูดกับนงนุช
แล้วหันกลับมาสำรวจความเรียบร้อยบนใบหน้า
ผมเผ้า
ก่อนจะออกไปพบแขกที่หล่อนต้องจินตนาการว่าเขาคือคนสำคัญ
และไม่ลืมที่จะซักซ้อมบทพูด
ก่อนจะเดินออกไปพบ
วีร์
คู่รักกำมะลอ
ที่โถงด้านหน้าบริษัท
ร่างแม้ไม่เปรียวระหง
หากผึ่งผายแบบสาวผู้เปี่ยมด้วยความมั่นใจในตัวเอง
เดินย่างเยื้องตรงไปยังที่หมาย
เจ้าของใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ
อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
เรื่องวุ่นวายของหล่อนก็จะจบลงเสียที
ละครฉากรักกุ๊กกิ๊ก
ใกล้เปิดม่าน
นางเอกพร้อมแล้วกับละครฉากใหญ่
บุษบงมั่นใจว่า
หล่อนต้องตีบทได้แตกกระจุย
ผู้สันทัดนิยายรักอย่างหล่อน
จะพลาดได้อย่างไรกัน
อ่านมาเป็นร้อยเรื่อง
หล่อนจำได้แทบทุกคำพูด
เวลานางเอก
กับพระเอก
พูดคุยโต้ตอบอย่างคนที่ตกในห้วงรัก
สำหรับผู้ชมละครในฉากแรก
ที่บุษบงคาดหวัง
และได้วางแผนไว้กับวีร์
ก็คือ
เปรมฤดี โอปะเรเตอร์สาว
ผู้ทำหน้าที่รับโทรศัพท์
และติดต่อสอบถาม
อยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าบริษัท
เหตุผลคือพนักงานสาวผู้นี้
นอกเหนือจากงานประจำที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
หล่อนยังมีความสามารถพิเศษในเรื่อง
“กระจายข่าวชาวบ้าน”
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่เป็นหนึ่งกลยุทธ์
ที่บุษบงคิดไว้
ทีนี้ก็จะได้ลือกันไปให้ทั่วบริษัทว่า
นางสาวบุษบง
อิ่มสุข
ก็มีความสามารถมีแฟนกับเขาได้เหมือนกันนะ
เอ...ว่าแต่
การมีแฟนนี่
ต้องใช้ความสามารถด้วยอย่างนั้นหรือ
บุษบงรู้สึกตะหงิดๆ
กับความนึกคิดของตน
แต่เอาเป็นว่า
หล่อนอยากให้มีข่าวลือว่าหล่อนมีแฟนแล้ว
ผู้ชายที่ไม่พึงประสงค์จะได้เลิกมาวุ่นวายกับหล่อนเสียที
บุษบงหมายมั่นว่า
งานนี้หากเป็นการแสดงภาพยนตร์สักเรื่อง
หล่อนน่าจะกวาดรางวัลการแสดงทั้งหลายมาครองหมด
ไม่ว่าตุ๊กตาทอง
สุพรรณหงส์ทองคำ
หรือแม้กระทั่งออสการ์
อย่างไรก็ตามแต่
จุดมุ่งหมายการแสดงของหล่อนครั้งนี้ไม่ใช่รางวัล
แต่เป็นการพิชิตมาร
ที่เข้ามาผจญ
ชีวิตที่สงบสุขและดีงามของหล่อน
และธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ
หล่อนเชื่อเช่นนั้น
....
วินาทีที่บุษบงผลักบานประตูกระจกออกไป
หล่อนก้มหน้าเพื่อรวบรวมสมาธิให้จดจ่อที่การแสดง
แล้วหล่อนค่อยๆเงยหน้าขึ้น
ทอดยิ้มหวานไปยังร่างสูง
ที่ยืนเด่นอยู่ข้างหน้า
พลันเมื่อเจ้าของร่าง
ค่อยๆหันมาช้าๆราวกับภาพสโลโมชั่น
บุษบงถึงกับนิ่งงัน
ดุจโดนคาถานะจังงัง
รอยยิ้มหวานแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง
ดั่งคำที่ว่า
ปากแทบฉีกถึงรูหูนั่นทีเดียว
“พี่เก้ง...”
เป็นคำพูดเดียว
ที่หล่อนสามารถเปล่งออกมาได้
นี่เป็นเรื่องจริงหรือจินตนาการของหล่อนตามมาหลอนกันแน่
“พี่เก้ง...”
หล่อนพูดย้ำชื่อเขาซ้ำอีก
หระทั่งเจ้าของร่างนั้น
เอ่ยตอบ
“ใช่บุษ
พี่เอง
พี่มารับบุษไปทานข้าวเย็น
ตามที่นัดกันไง”
หล่อนก้าวเท้าเดินไปหาเขาราวกับละเมอ เมื่ออยู่ระยะไม่ห่าง
หญิงสาวรู้สึกมีไอร้อนๆ
วูบผ่านเข้ามาทางฝ่ามือทั้งสองข้าง
ก้มลงดู
หล่อนเห็นมือใหญ่ๆ
นิ้วเรียวแข็งแรง
กุมสองมือของหล่อนไว้
แปลกที่หล่อนไม่มีเรี่ยวแรงแม้สักนิดที่จะชักมือออกจากการเกาะกุม
“วันนี้ทำงานเหนื่อยมั๊ย”
เขาถามพลางบีบมือหล่อนแน่นๆ
สามครั้ง
คล้ายพยามส่งสัญญาณบอกอะไรบางอย่าง
บุษบงจึงเริ่มรู้สึกตัว
และตามบทได้ทัน
“ก็...ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ...
เหนื่อยใจมากกว่า”
หล่อนตอบเขาไปประโยคสุดท้ายพยายามปรับให้น้ำเสียงฟังดูออดอ้อนนิดหน่อย
บุษบงพยายามรวบรวมสติ
เพื่อเล่นละครบทคู่รักของพี่เก้งให้สมบทบาทที่สุด
แต่ความงุนงงตื่นเต้น
ดีใจ มันคละเคล้าระคนกันไปหมด
จนหล่อนนึกบทพูดอะไรไม่ออก
“ทำไมล่ะ
ใครรังแกหรือเปล่า”
เขาถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มือข้างหนึ่งละจากมือของหล่อน
เปลี่ยนมาเขี่ยเส้นผมที่ยาวมาละใบหน้า
พลางเก็บปอยผมนั้นทัดหลังใบหูให้หล่อน
ช่างเป็นภาพแสนหวานในสายตาผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก
บุษบงรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดซ่านขึ้นมาบนผิวหน้า ปวริศร์มองหน้าหล่อนยิ้มให้อย่างเอ็นดู
แล้วพูดต่อ
“เดี๋ยวเราไปกินข้าวกันแล้วก็หายเหนื่อยเองแหละ
พี่จะนั่งรอบุษตรงนี้นะ
กลับไปทำงานต่อเถอะ
แล้วเจอกันนะจ๊ะ”
“ค่ะ”
บุษบงเอ่ยได้เพียงเท่าที่สมองสั่งงานได้ในขณะนั้น
มือแข็งแรงของปวริศร์
เลื่อนมาแตะบ่า
เป็นเชิงบอกให้หล่อนเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
และร่างของหล่อนจึงค่อยๆหันกลับ
แล้วก้าวเดิน
ผ่านประตูบานกระจกหายลับไป
ปวริศร์
ได้แต่อมยิ้ม
ขณะมองร่างของบุษบงเดินจากไป
“เป็นแฟนพี่บุษเหรอคะ”
เปรมฤดี
พนักงานประจำเคาน์เตอร์หน้าบริษัท
ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ครับ” ปวริศร์ยิ้มและตอบรับ
แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้
รับแขกในบริเวณใกล้ๆ
“มารับบ่อยๆสิคะ
เดี๋ยวนี้พี่บุษเนื้อหอม”
หล่อนบอกต่อ
พลางหัวเราะคิกคัก
ราวกับได้รู้เรื่องอะไรมาบางอย่าง
ก็แน่ล่ะหล่อนต้องรู้อยู่แล้ว
หล่อนประจำโต๊ะ
“ติดต่อ-สอบถาม”
นี่นา
หล่อนต้องรู้ให้ได้ทุกเรื่อง
ไม่อย่างนั้น
ใครถามอะไรขึ้นมา
เดี๋ยวจะบกพร่องต่อหน้าที่
“ครับ
บุษเขาเป็นคนน่ารัก
ใครๆก็ชอบ”
ชายหนุ่มตอบกลับไป
แล้วเอื้อมไปหยิบนิตยสารที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยด้านข้างที่นั่ง ยกขึ้นอ่านเพื่อตัดบทสนทนา
ส่วนภายในใจเขานั้น
นึกถึงสีหน้าบุษบง
เมื่อครู่แล้วนึกขันปนเอ็นดู
หล่อนคงจะตั้งตัวไม่ทัน
และไม่ทันคาดว่า
ชายหนุ่มผู้ที่จะมาปรากฏกายในวันนี้
เป็นเขา
ไม่ใช่วีร์
ข้างฝ่ายนางเอก
ผู้ตีบทไม่แตก
เดินลอยล่องไม่ได้สติกลับเข้ามาที่โต๊ะทำงาน
ไอร้อนยังผ่าวๆอยู่ที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง
แล้วยังข้างๆใบหน้า
ใกล้ๆหูอีกเล่า
สัมผัสจากผู้ชายมันมีอานุภาพรุนแรงอย่างนี้นี่เอง
ยิ่งเป็นสัมผัสจาก
‘พี่เก้ง’ชายหนุ่มที่หล่อนเฝ้าฝันใฝ่
และใฝ่ฝันมานานวัน
พาลเอาหัวจิตหัวใจบุษบงกระเจิดกระเจิง
มาดสาวมั่น
ถูกลอกคราบปอกเปลือกออกอย่างเกลี้ยงเกลา
เห็นเพียงภาพของนางสาวบุษบง
ระทดระทวย
และพร้อมจะอ่อนยวบอยู่ภายในอ้อมกอดของเขาผู้นั้น...เพียงผู้เดียว
บุษบงพาร่างกะปวกกะเปียกกลับมาถึงโต๊ะทำงานได้สักพัก
เสียงโทรศัพท์มือถือของหล่อนก็ดังขึ้น
ปลุกหล่อนตื่นขึ้นจากภวังค์
“ฮัลโหล
เป็นไงบ้าง”
ปลายสายถามเสียงระรื่น
“วีร์เหรอ
ทำไมเธอไม่มา”
บุษบงกรอกสายอย่างอ่อนระโหย
“ก็ส่งตัวแทน
ไปให้แล้วไง
ไม่ดีเหรอ” วีร์ตอบ
พลางหัวเราะกิ๊กกั๊ก
บุษบงคงจะได้พบกับปวริศร์แล้ว
ตามแผนที่เขาวางไว้
“วีร์ให้พี่เก้งมาแทนเหรอ”
บุษบงถามเสียงอ่อนๆ
หล่อนเองยังสับสนว่า
ควรจะเดือดดาลดี
หรือว่า
ควรจะขอบใจเพื่อนดีที่ส่งชายหนุ่มในฝันมาสังเวย
เอ๊ย
มาช่วยหล่อน
“ก็ใช่น่ะสิ
นางเอกจะได้เล่นได้สมบทบาทหน่อย”
“สมบทบาทอะไรล่ะ
บุษล่ะงงไปหมด
พูดอะไรไม่ถูกเลย”
“เดี๋ยวก็พูดถูกเองแหละน่า
เอาล่ะ
แค่นี้ก่อนนะ
ต้องรีบไป
แค่จะโทรมาบอกว่า
วีร์โทรไปหาเก้งให้เขาช่วยรับบท
‘แฟนปลอมๆ’ ของบุษแทนหน่อย” วีร์พูดย้ำตรงคำว่า
“แฟนปลอมๆ”
คล้ายจะเตือนสติเพื่อนสาว
“เออนะ
แล้วทำไมไม่รีบโทรมาบอกก่อน
จะได้เตรียมตัวถูก”
บุษบงต่อว่า
“แหม
ไม่งั้นก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ เอ้อ...บอกอะไรนิดให้ดีใจเล่น
เก้งเขารีบรับปากมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจเลยนะ
ถึงกับออกจากที่ทำงานก่อนเวลาเลิกงานเลยเชียว”
เจ้าแผนการ
ทิ้งท้ายน้ำเสียงชื่น
ก่อนวางสายไป
แน่ล่ะ
นางสาวบุษบง
หัวใจพอง
แทบระเบิดออกมานอกอก
หล่อนยกสองมือขึ้นปิดใบหน้า
พลางผ่อนลมหายใจออกเพื่อคลายความตื่นเต้น
แล้วสงบนิ่งสักพัก
เพื่อรวบรวมสติ
เอาล่ะ อีก 10
นาที
ก็เลิกงานแล้ว
คราวนี้
หล่อนจะแก้ตัวใหม่อีกครั้ง
เมื่อออกไปพบพี่เก้ง
หล่อนจะแสดงให้สมบทบาทที่สุด
ก็โอกาสนี้
มิใช่หรือ
ที่หล่อนเฝ้าฝัน
และจินตนาการ...มานาน
แม้จะเป็นแค่ละครฉากหนึ่งก็เถิด
หากแค่ได้อยู่ใกล้ชิดพี่เก้ง
เพียงเสี้ยวนาที
หล่อนก็สุขใจเหลือเกินแล้ว
-----------------------------------------