เมื่อบุษบงจะลงจากคาน
โดย ริญา
ตอนที่ 11
ฝันไปหรือเปล่า
แม้ว่า
นางเอกของเรื่อง
จะแสดงไม่สมบทบาท
เท่าที่ควร
แต่ผู้ชมอย่างเปรมฤดี
พนักงานสาวประจำเคาน์เตอร์หน้าบริษัท
ก็ยังชื่นชอบ
หล่อนรีบจิ้มสายโทรศัพท์ภายในบริษัทแจ้งข่าวด่วน
แก่บรรดาผู้ร่วมอุดมการณ์
“เรื่องชาวบ้านคืองานของเรา”
ทันทีที่สบโอกาส
หลังจากหย่อนกายลงนั่งสักพัก
ปวริศร์จึงเริ่มรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมองมาที่เขา
หน้าบริษัท
เริ่มมีหญิงทั้งสาวและไม่สาว
เดินโฉบเฉี่ยวอวดโฉม
ผ่านไปผ่านมามากกว่าปกติ ทั้งยังมีสาวๆอีกกลุ่ม
ยืนเกาะบานประตูกระจก
ตาปรอย
แอบมองดูชายหนุ่มรูปงาม ปรากฏการณ์
ครั้งนี้
ราวกับเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่า
ปริมาณผู้ชายหน้าตาดีที่มีอยู่ในบริษัทนี้คงอยู่ในสภาวะขาดแคลนอย่างรุนแรง
เป็นเรื่องที่ประธานบริษัทควรเร่งแก้ไขโดยด่วน
เสียงร่ำลือสะพัดไปทั่วบริษัทในยามเย็นวันนั้นว่า
บุษบงมีแฟนหล่อลากดินมารอรับ
บางคนที่เกาะติดข่าวบันเทิง ยังพอจำได้ว่า
ปวริศร์
มีดีกรีเป็นถึงอดีตนายแบบขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง
ก็ยิ่งเพิ่มความสนใจให้บรรดาสาวมุง
แห่กันมามุงดูมากขึ้น และท่ามกลางกลุ่มสาวๆ
ยังมีชายวัยกลางคน
2 คน
ยืนปะปนรอดูอยู่ด้วย
นั่นคือ วรพจน์
และ ชัชชัย
เพื่อนคู่หู
บุษบงเดินฝ่ากลุ่มสาวๆที่ยืนอออยู่หน้าประตู
ออกมาพบกับชายหนุ่ม
แว่วเสียงแซวจากบรรดา
พนักงานร่วมบริษัทบ้างเป็นระยะๆ
บุษบงได้แต่หันไปยิ้มรับ
หน้าตาของหล่อนสดชื่น
และอิ่มเอมเป็นที่สุด
“รอนานไหมคะพี่เก้ง” หล่อนเอ่ยถามเขาเสียงหวาน ขณะเดินตรงมาหาชายหนุ่ม
ที่ลุกขึ้นยืนยิ้มรออยู่แล้ว
ถามออกไปแล้วจึงคิดได้ว่า
หล่อนได้ถามคำถามได้บื้อที่สุด
ก็รู้อยู่แล้วว่าเขามารอก่อนเวลาประมาณ
10 นาที
มิทันที่จะหงุดหงิดตัวเอง
เจ้าของเสียงทุ้มนุ่ม
นั้นก็เอ่ยตอบมา
“ไม่นานหรอกจ๊ะ
พี่ก็อ่านหนังสือเล่น
ฆ่าเวลาไปเรื่อย
เพลินดี...ไป
เราไปกันเถอะ”
พูดพลางฉวยข้อมือหญิงสาวตั้งท่าจะเดิน
พลันมีเสียงเรียกดังขึ้น
“น้องบุษ
จะกลับแล้วหรือครับ” วรพจน์
คู่กรณีของหล่อนนั่นเอง
หญิงสาวหันไปสบตากลับชายหนุ่ม
ข้างกาย เป็นเชิงบอกว่า
นี่ไง
คู่กรณีของหล่อน
“จะไม่แนะนำแฟนให้พี่รู้จักบ้างเหรอ” วรพจน์
เอ่ยถามเมื่อเดินมาถึง
สองหนุ่มสาว
พลางเหลือบมองดูสองมือที่เกาะกุม
แวบหนึ่ง แล้วเบนสายตามาพินิจชายหนุ่มผู้อยู่เคียงข้างบุษบง
หล่อนนึกแช่งชักอยู่ในใจ
ที่จู่ๆ
ตาบ้านี่ดันโผล่เข้ามา
ทำลายอารมณ์หวานของหล่อนหดหาย
หนอย
ยังมาเรียกแทนตัวว่าพี่
เชอะ! ฉันไม่นับญาติกับแกหรอกจะบอกให้
“บุษไม่ทราบนี่ค่ะว่าคุณวรพจน์
อยากจะรู้จักพี่เก้ง...เอ้อ แฟนบุษ..”
หญิงสาวรู้สึกขัดเขินอยู่ในใจ
เอาน่าก็แค่ละครฉากหนึ่ง
อย่าให้เสียแผน
หล่อนบอกตัวเอง
แล้วจึงพูดต่อ “ไหนๆ
ก็มาแล้ว บุษแนะนำเลยก็ได้ค่ะ
นี่พี่เก้ง ปวริศร์
อิทธิดล
พี่เก้งทำงานเป็นสถาปนิกค่ะ”
พูดจบหันมามองชายในดวงใจตาปรอย
ก่อนเอ่ย
เสียงหวาน “
พี่เก้งคะ
นี่ คุณวรพจน์
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่บุษเคยเล่าให้ฟังไงคะ”
ประโยคสุดท้าย
คล้ายๆฟ้องของหล่อน
ทำเอา วรพจน์
ถึงกับหน้าเจื่อน
ปวริศร์
รับมุขหญิงสาวทันท่วงที
เขายิ้มรับชายวัยกลางคน
เล็กน้อย
ก่อนเอ่ย “อ๋อ
คุณวรพจน์ ”
สั้นๆแต่ทำอีกฝ่ายสะท้าน
วรพจน์รีบเอ่ยแก้ตัว
“แหม
ไม่ทราบว่าน้องบุษเล่าเรื่องอะไร
ถ้าเป็นเรื่องผมชวนน้องบุษไปทานข้าว
ก็ ไม่มีอะไรนะครับ
แค่จะเลี้ยงขอบคุณเฉยๆ
ที่น้องบุษ
เป็นธุระจัดการเรื่องงานให้ตอนผมย้ายมาใหม่ๆ”
“ครับ” เขาเพียงตอบรับคำเพียงสั้นๆ “ผมกับบุษ ขอตัวก่อนนะครับ
คงได้พบกันอีก
เพราะผมคงต้องมารับบุษบ่อยๆ สวัสดีครับ”
พูดจบมือที่เกาะกุมอยู่เปลี่ยนมาเป็นโอบเอว
พาหล่อนเดินจากไป
ท่ามกลางสายตาไทยมุง
สี่ - ห้าคน
ที่ยังสนใจเกาะติดสถานการณ์อยู่
ในกลุ่มนั้น
มี
สองเพื่อนสาวของบุษบง
ขวัญชนก
กับยอดธิดา
ยืนมองอยู่อย่างตื่นเต้น
ยอดธิดา ทอมสาว
ถึงกับแอบกรี๊ดเบาๆ
เมื่อเห็น
บุษบงถูกโอบเอวพาเดินออกไป
“มีโอบเอวด้วยนะ
ขวัญ กรี๊ด
อิจฉาพี่บุษจัง”
จบคำ ดี้สาวถึงกับหันมามองทอมคู่รัก
สายตาขุ่น
ก่อนเอ่ยเตือนสติว่า
“นังยอด
แกเป็นทอมนะ
แกกรี๊ดผู้ชายเหรอ”
ไม่พูดเปล่าหยิกหมับเข้าที่แขน
ทำเอายอดธิดา
บ่นประปอดกระแปด
ฝ่ายบุษบงนั้นไม่เห็นภาพเหล่านั้นของเพื่อนรักหรอก
ด้วยขณะนี้หัวใจของหล่อนพองโต
เนื้อตัวเบาหวิว
แทบจะเดินลอยละลิ่วเคียงข้างไปกับร่างสูง
ร้อนผะผ่าวทั้งใบหน้า
และบริเวณเอว
ที่มือแข็งแรงสัมผัสอยู่
หากไม่คอยย้ำตัวเองให้ครองสติ
ป่านนี้หล่อนคงลงไปนั่งกองล้มพับ
แข้งขาอ่อนไปแล้ว
พี่เก้งนะพี่เก้ง
จะรู้ไหมว่า
ทำแบบนี้ หล่อนแทบจะละลายไปทั้งกายและใจ
เขาโอบเอวหล่อนเดินมาจนถึงลานจอดรถ
แล้วจึงละมือออก
ด้วยท่าทางขัดเขิน
“ขอโทษนะบุษ
พี่ไม่ได้คิดจะล่วงเกิน
หรือแต๊ะอั๋งนะ
เพียงแต่แค่จะทำแบบคู่รักที่คบกันมานานเขาทำกันน่ะ” เขาก้มหน้าพูดเบาๆ
ขณะมือทั้งสองล้วงกระเป๋า
บุษบงผู้เดินหัวใจเต้นแรงมาตลอดทาง
มองหน้าเขาก่อนเอ่ยไปอย่างตะกุกตะกัก
ขัดเขินไม่แพ้กัน
“มะ..ไม่เป็นไรค่ะ...ก็แค่...เพื่อความสมจริงสมจังเท่านั้นเอง..บุษ...ไม่คิดมากหรอกค่ะ”
หล่อนยิ้มชื่นเมื่อพูดจบ
ในใจได้แต่คร่ำครวญ
พี่เก้งขา บุษฝันถึงวันนี้มานานแล้วค่ะ
อยากให้ละครฉากนี้
เป็นเรื่องจริง
จังเลย
ไม่ปล่อยให้หล่อนจมอยู่กับความนึกฝันในใจนานนัก
ปวริศร์
ก็เอ่ยปากชวนหล่อนไปทานข้าว
และถ้าไม่ดึกเกินไป
เขาชวนหล่อนไปดูหนังต่อรอบดึก
บุษบงไม่ขัดข้อง
(มีหรือจะปฏิเสธ)
วันนี้เอง
บุษบงจึงเพิ่งรู้ว่า
ปวริศร์นั้นไม่ขับรถ
นับตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุครั้งก่อน
ที่ทำให้เขาต้องไปพักรักษาตัวนานถึง
1 ปีเต็ม หล่อนจึงอาสาขับรถไปส่งเขาถึงบ้านด้วยความเต็มใจ
(อย่างยิ่ง)
บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของหล่อน
และย่านที่หล่อนและเขาไปทานข้าวและดูหนังนัก
ทันทีที่เขาบอกชื่อซอยย่านถนนพหลโยธิน
ตอนต้น
หล่อนก็รู้ว่าเป็นย่านที่อุดมไปด้วยบ้านของผู้ดีเก่า
หรือผู้มีฐานะ
อันจะกิน
ยิ่งเป็นการย้ำคำพูดที่
กิ่งแก้ว
เคยบอกหล่อนว่า
พี่เก้งของหล่อนนั้น
เกิดมาในตระกูลขุนนางเก่า
ชั่ววูบหนึ่ง
หล่อนรู้สึกว่าฐานะของหล่อนเทียบเคียงกับเขาไม่ได้เลย
นึกถึงภาพตนเป็น
สะใภ้ไร้ศักดินา
ถูกแม่ผัวและคนในตระกูลชิงชัง
เพราะฐานะที่ต่ำต้อย
โอ้ พี่เก้งของบุษ
ชาตินี้บุษคงไม่มีวาสนาเป็นศรีสะใภ้ตระกูลอิทธิดล
เป็นแน่
รักของเราคงมีอุปสรรคอันใหญ่หลวง
“คิดอะไรอยู่หรือบุษ”
เสียงเขาเอ่ยขึ้น
ปลุกหล่อนให้ตื่นจากภวังค์
เรียกสติให้คืนกลับก่อนที่ความคิดหล่อนจะฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้
“เอ่อ...ก็...กำลังคิดอยู่ว่า
ย่านที่พี่เก้งอยู่
เหมือนจะเป็นย่านผู้ดีเก่า
บุษอยากเห็นว่าเป็นยังไง
จะเหมือนกับในหนังสือที่เคยอ่าน
หรือละครที่เคยดูหรือเปล่านะค่ะ”
หล่อนหัวเราะเบาๆ
กลบความรู้สึกต่ำต้อยของตัวเอง
“ผู้ดีเก่าอะไรกัน
ก็เหมือนๆกับซอยอื่นทั่วไปแหละ
ปากซอยมีตึกแถว
ตลาดขายของ...แต่ก็นะ
บ้านหลังใหญ่ๆก็เยอะ
สมัยก่อน
คุณย่าพี่เคยเล่าว่า
มันก็เป็นทุ่งนา
ไปมาไม่สะดวก
ไกลเมือง
ที่ดินก็ถูก
เจ้าคุณปู่ทวดซื้อทิ้งไว้เป็นมรดกให้คุณย่า
พอคุณย่าแต่งงาน
ท่านก็อยากอยู่นอกเมือง
แล้วการเดินทางเริ่มสะดวกขึ้น
ก็เลยมาปลูกบ้านอยู่ที่นี่”
เขาเล่ายาวอย่างติดลม
“ค่ะ...บุษก็เคยได้ยินมาแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าย่า หรือยายบุษ
เป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิด
ก็อาจจะมีที่ดินย่านแพงๆกับเขาเหมือนกันนะคะ
บางทีอาจจะได้เป็นเพื่อนบ้านพี่เก้ง”
พูดจบ
หล่อนก็หัวเราะร่าเริง
ความคิดฟุ้งซ่านจางหายไป
เมื่อคนข้างกาย
ชวนคุยเรื่องอื่นๆ
อันรื่นรมย์
สองหนุ่มสาวตกลงใจหาที่ดูหนังและทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้า
ที่มีทั้งร้านอาหารและโรงภาพยนตร์
เขาชวนหล่อนเข้าร้านสุกี้ชื่อดัง
เมื่อรู้ว่าหล่อนโปรดปราน
เขาขอเป็นเจ้ามือ
อ้างว่าเป็นการไถ่โทษ
ที่เขาแตะเนื้อต้องตัวหล่อนวันนี้
เขาคงไม่รู้หรอกนะว่า
หล่อนไม่ถือผิดคิดโทษแต่ประการใด
กลับแอบชื่นมื่นในใจเล็กๆด้วยซ้ำ
โดยทำเป็นลืมคำยึดมั่นเรื่องรักนวลสงวนตัวไปเสียดื้อๆ
และเพื่อไม่ให้เขาคิดว่า
หล่อนเป็นผู้หญิงประเภท
“อิ่มจังตังค์อยู่ครบ”
หล่อนจึงอาสา
แกมขอร้องขอออกค่าตั๋วหนัง
แต่ต้อง
ตื๊ออยู่นานจนเขายอมใจอ่อน
บุษบงคงไม่รู้เช่นกันว่า
เขาแอบชื่นชมหล่อนข้อนี้อยู่ในใจ
บุษบงไม่คิดเลยว่า
เริ่มต้นวันที่แสนหงุดหงิด
กลับจบวันลงได้อย่างสุขสมเช่นนี้
รถของหล่อนมาจอดเทียบหน้าประตูบ้านที่ล้อมรอบด้วยรั้วกว้าง
ครึ่งอิฐ ครึ่งเหล็กโปร่งมองให้เห็น
ภายในบริเวณบ้านที่ยังมีแสงไปสว่างอยู่บางจุด
ร่างสูงของปวริศร์
ก้าวลงจากรถ
เปิดประตูบ้านให้หล่อนถอยเข้าไปกลับรถ
และยืนคอยส่ง
จนรถของหล่อนเคลื่อนจากไปลับสายตาเขา
หล่อนคะเนว่าเขากลับเข้าบ้านแล้ว
เมื่อมองไม่เห็นเงาของเขาจากบานกระจกมองหลัง
หากใครมองเข้ามาในรถเก๋งญี่ปุ่น
คันที่กำลังขับฝ่าความมืดออกจากซอยนั้น
คงได้เห็นหญิงสาวผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
ยิ้มน้อย
ยิ้มใหญ่
สายตาปลาบปลื้ม
และเชื่อมเป็นประกายวิบวับแข่งกับแสงดาวบนฟ้าเบื้องบน
“พี่เก้ง...นี่บุษฝันไปหรือเปล่าคะ”
หล่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆในความมืดขณะพารถขับเคลื่อนไป
ถึงบ้านได้สักพัก
กริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เสียงที่ผ่านมาตามสายเป็นเสียงที่หล่อนคุ้นเคยตลอดช่วงค่ำ
“ค่ะ
บุษถึงบ้านสักครู่ใหญ่ๆแล้วค่ะ....ขอบคุณค่ะที่โทรมา....ขอบคุณพี่เก้งที่ช่วยบุษวันนี้ด้วยนะคะ....ค่ะบุษก็หวังว่าตาบ้านั่น
คงไม่มากวนอีก...ไม่เป็นไรค่ะ
ไม่รบกวนเล้ย
บุษคุยได้ค่ะ
ปกตินอนดึกอยู่แล้ว...เอ่อ
อ๋อ ค่ะโอเคค่ะ
งั้นพี่เก้งก็นอนนะคะ
หลับฝันดีค่ะ”
หล่อนวางหูโทรศัพท์ลง
อยากจะอ้อยอิ่งชวนเขาคุยต่อ
แต่ก็กระไรอยู่
ไม่รู้ว่าเขาอยากจะคุยหรือเปล่า
เอาเถอะ
วันนี้ก็ได้คุยกับเขาจนชุ่มปอดแล้ว
เขากับหล่อนยังมีนัดเล่นละครตบตาตอนต่อไปอีก
วันศุกร์หน้า
เขาว่า
เขาควรจะ
ไปหาหล่อนที่ทำงานบ่อยๆในช่วงนี้
เพื่อให้แน่ใจว่า
วรพจน์ได้ถอยห่าง
และไม่มาตอแยหล่อนอีก
บุษบงเห็นคล้อยโดยทันที
ไม่สิ
ควรจะเรียกว่า
หล่อนรีบกระโดดคว้าโอกาสนั้นหมับโดยไม่ต้องตริตอง
ก็โอกาสแบบนี้ไม่ใช่หรือที่หล่อนรอคอยมานาน
ก่อนเข้านอนคืนนี้
หล่อนใช้เวลาภาวนา
ขอพรพระอยู่นานกว่าปกติ
หล่อนขอพรย้ำแล้วย้ำอีกว่า
“ขอให้พี่เก้งมีใจให้ลูกบ้างเถิดเจ้าประคู้ณ
ขอให้เรื่องวันนี้ไม่เป็นเพียงแค่ละครด้วยเถิ๊ด”
ซ้ำหลายรอบจนแน่ใจว่า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจำได้แน่
หล่อนจึงก้มกราบหมอนสามครั้ง
ดังที่ทำเป็นกิจวัตรก่อนทิ้งตัวลงนอน
เพื่อที่จะได้หลับฝันอย่างเป็นสุขในค่ำคืนนี้
.....................
วันอาทิตย์
ณ สยามสแควร์
บุษบงนัดเจอกับเพื่อนรักสาวสองคน
กิ่งแก้ว และเนาวนิตย์
ดังเช่นที่ตกลงกันว่า
สามสาวจะต้องเจอกัน
อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง
ในวันอาทิตย์
ที่ทุกคนสะดวก
วันอาทิตย์นี้
สามสาวพากันไปนั่งคุย
และทานอาหาร
ที่ร้านเจ้าประจำ
บุษบงทำเพื่อนสาวได้ร้องกรี๊ดกร๊าด
เป็นพิเศษ
เมื่อหล่อนเล่าถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
“ฉันตื่นเต้นแทนแกจริงๆเลย
ถ้าเป็นฉันเห็นพี่เก้งมายืนรอนะ
ฉันคงอดใจไม่ไหวร้องกรี๊ด
แล้ววิ่งไปกอดแน่ๆ”
กิ่งแก้วร้องออกมาอย่างตื่นเต้นจริงๆ
“แหมแก
ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ
สงสัยพี่เก้งของนังบุษ
คงจะเหวอ
แล้วลากลับบ้านไปเลยนะ” เนาวนิตย์
ขัดขึ้น
“โอ๊ย
แก
ถ้าเป็นสาวเจ้าเสน่ห์
แบบฉัน
รับรองพี่เก้งไม่มีทางหนีกลับบ้าน
มีแต่
กอดตอบแล้วจูบซ้ำ”
กิ่งแก้วทำตาปรอย
หัวสั่นหัวคลอนแบบนางเอกหนังอินเดีย
พลางหัวเราะคิก
สามสาวหัวเราะประสานกันกับท่าทางของเพื่อนสาว
“แล้วแกว่าพี่เก้ง
เขาจะชอบแกบ้างหรือเปล่าวะบุษ” เนาวนิตย์โพล่งถามขึ้นมา
คนถูกถาม
พลันหน้าสลด
ครุ่นคิด
ลังเล ไม่แน่ใจ
“ไม่รู้สิแก
เขาคงแค่อยากช่วยในฐานะรุ่นน้องที่รู้จักกันมั้ง...ฉันจะมีอะไรให้เขาชอบล่ะ...ไม่ได้สวยเริ่ด
ไม่ได้เป็นคุณหนูไฮโซ
ลูกผู้ดีเก่า
ที่จะเทียบเคียงเขาได้นี่”
ความรู้สึกต่ำต้อยที่เคยเร้นหลบกลับจู่โจมแล่นเข้าสู่หัวใจของหญิงสาวอีกแล้ว
กิ่งแก้วนิ่วหน้า
คิ้วขมวด ใส่เนาวนิตย์
เป็นเชิงตำหนิ
ว่า ถามทำไม
(วะ)
เสียอารมณ์หมด
ก่อนหันไปพูดปลอบบุษบง
“บุษ
คนเราจะรักจะชอบกัน
ไม่ใช่แค่หน้าตา
หรือฐานันดรศักดิ์นะ
มันอยู่ที่จิตใจ
ไปกันได้หรือเปล่า
ถูกใจกันหรือเปล่า
เราก็เคยเห็นกันนี่
ผู้ชายหล่อ
มีแฟนหน้าตาธรรมดาๆ
หรือผู้หญิงสวยมาก
ควงผู้ชายหน้าตาไม่ได้เรื่องก็เยอะแยะไปแก
ฉันถึงบอกว่า
มันไม่จำเป็นหรอกที่ส่วนประกอบทุกอย่างต้องเข้าคู่เหมาะกัน
ราวกับกิ่งทองใบหยก
มันสำคัญที่ใจนะแก”
“ที่แกพูดก็ถูกนะแก้ว
แต่ฉันก็ห่วงอยู่ว่า
พี่เก้งเขาจะมีใจให้เพื่อนเราหรือเปล่า
หรือว่าเห็นเป็นแค่น้อง” เนาวนิตย์
ยังคงขัดต่อ
หล่อนมักชอบยกความเห็นอีกด้าน
มาค้านเพื่อนเสมอ ด้วยเจตนาเพียงเพื่อจะทำให้เกิดมุมมองความคิดรอบด้านเท่านั้นเอง
“ตอนนี้ยังสรุปไม่ได้หรอก
ก็ต้องดูกันต่อไป
แต่ฉันคิดว่า
เขาก็ไม่ได้รังเกียจแกนะบุษ ไม่งั้นจะชวนไปกินข้าว
ต่อด้วยไปดูหนัง
แถมยังอาสาจะมาช่วยแกต่ออีกนะ
ฉันว่า
อย่าเพิ่งสิ้นหวัง
แต่ก็อย่าหวังมาก
เดี๋ยวจะไม่สมหวัง”
คำพูดของกิ่งแก้ว
ปลุกปลอบให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น
นั่นสินะ
หล่อนไม่ควรจะสิ้นหวัง
ถึงแม้หล่อนจะใฝ่ฝัน
และชื่นชมเขามากมาย
แต่หล่อนก็ไม่ควรหวังไกล
เพียงแค่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขา
หล่อนก็น่าจะพอใจแล้ว
อนาคตจะเป็นอย่างไร
คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา
และพรหมลิขิต
“คนเราคู่กันแล้ว
ไม่แคล้วกันหรอก
ฉันเชื่อ
ถ้าฟ้ากำหนดให้แกมีคู่
แกก็ต้องมีน่าบุษ
แต่อย่างฉันกับนังนิตย์สวรรค์ท่าจะกำหนดแล้วว่า
ต้องค้างเติ่งบนคานตลอดไป”
สิ้นคำของกิ่งแก้ว
เนาวนิตย์
รีบขัดขึ้นอย่างทันท่วงที
“ไม่ต้องมารวมฉัน
นังแก้ว
แกจะค้างบนคาน
ก็อยู่ไปคนเดียว
แต่สำหรับฉัน
ต่อให้ชะตาลิขิตจริงๆว่าไร้คู่
ฉันก็จะต้องฝืนลิขิตให้จงได้” เนาวนิตย์กล่าวอย่างมุ่งมั่น
“นี่แกคิดจะทิ้งฉันเหรอ
นังนิตย์”
หล่อนเอ่ยถามเพื่อนสาวอย่างติดตลก
“พวกแกไม่มีใครรักฉันจริงสักคน
จะหนีฉันลงจากคานกันหมด”
“ถึงแกจะประณามให้ตายว่าฉันทิ้งเพื่อน
ฉันก็ไม่แคร์” เนาวนิตย์ยักไหล่
ก่อนพึมเพาเบาๆอย่างตรงไปตรงมา
“ก็ฉันอยากมีแฟนนี่หว่า”
“จะว่าไป
ฉันก็อยากมีแฟนเหมือนกันนะนิตย์
แต่ฉันอยากได้คนที่รักเราจริงๆ
และคนที่ฉันจะรักเขาหมดหัวใจ....อย่าง...พี่เก้ง”
บุษบงรำพึง
เพื่อนสาวสองคนมองหน้ากัน
พลางคิดในใจตรงกัน
“เพื่อนเราเป็นเอามาก”
ไม่อยากให้วงสนทนาเศร้าซึม
กิ่งแก้ว จึงเปิดประเด็นถกเรื่องวงการฮอลลีวูด
หมายเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
และเรียกความกระชุ่มกระชวย
คืนกลับมาให้เพื่อนสาว
“นี่แกรู้หรือเปล่า
เบน แอฟเฟลค
เลิกกับ เจโลแล้ว
ฉันล่ะดีใจ
มีหนุ่มโสดเพิ่มมาอีกคน”
กิ่งแก้วเริ่มเรื่อง
“แกนี่ตกข่าวหรือเข้าข้างตัวเองวะ
แก้ว ไม่รู้เหรอว่า
เลิกกับเจนนิเฟอร์ โลเปซได้ไม่นาน
เจนนิเฟอร์
การ์เนอร์
ก็มาดามหัวใจแล้ว” เนาวนิตย์
งัดข้อมูลที่ได้รู้ขึ้นมาแย้ง
เล่นเอา เพื่อนสาวถึงกับแปลกใจหันมามองหน้ากัน
“แกรู้เรื่องฮอลลีวูด
กะเขาด้วยเหรอนิตย์
ฉันไม่เห็นแกเคยสนใจ”
บุษบงถามเพื่อน
“อ๊ะ
ฉันก็ต้องมีพัฒนาการบ้างสิยะ
ไม่ใช่ปล่อยให้พวกแกมาจวกเอาๆ
ว่าตกข่าวไม่รู้เรื่อง
เป็นไงล่ะ
คนเกาะขอบฮอลลีวูด
ตกข่าวซะเอง” เนาวนิตย์หัวเราะกิ๊กกั๊ก
เป็นเชิงเย้าแหย่กิ่งแก้ว
ที่ทำปากขมุบขมิบ
“แล้วก็อีกข่าวนะ
แบรด พิทท์
กับ เจนนิเฟอร์
ยังรักกันดีอยู่
เตียงยังไม่หัก
เหมือนกับที่เคยมีข่าวลือ” เนาวนิตย์
ลอยหน้าลอยตาตอบอย่างภูมิใจที่หล่อนรู้ทันข่าวสาร
“แหม! ฉันล่ะเกลียดผู้หญิงชื่อเจนนิเฟอร์ทุกคน
ทำไมงาบหนุ่มๆที่ฉันหมายปองไปหมดวะ”
กิ่งแก้วใส่จริต
ทำเป็นคั่งแค้น
แล้วคุยฟุ้งเรื่องข่าวบันเทิงต่อ
บุษบง
ได้แต่หัวเราะ
เพื่อนสาวทั้งสองที่กำลังทำศึก
แย่งชิงตำแหน่งเจ้าแม่ข่าวดาราและวงการบันเทิง แปลก...ที่เงาหม่นๆในใจจางหายไป
เออหนอ
ถึงหล่อนจะไม่มีคู่รัก
หรือหล่อนอาจจะผิดหวังในรัก
ก็ไม่เห็นต้องอนาทรร้อนใจมากมาย
ในเมื่อหล่อนยังมีเพื่อน
ที่เรียกเสียงหัวเราะ
ปลอบประโลม
และเป็นคู่คิดให้กับหล่อนได้ทุกเมื่อ
เพื่อน...ผู้รักหล่อนอย่างจริงใจ
และเพื่อน...ผู้ที่อยู่เคียงข้างหล่อน
แม่ว่าหล่อนจะเกาะอยู่บนคานสูง
เพื่อนของหล่อน
อย่างน้อยก็
กิ่งแก้ว
ก็ยินยอมพร้อมใจจะอยู่บนคานเคียงคู่หล่อน
แล้วมีอะไรที่ต้องกังวลอีกเล่า....
------------------------------------------