เมื่อบุษบงจะลงจากคาน
โดย ริญา
ตอนที่ 13
ความรักเอย
“เห็นไหมล่ะฉันบอกแล้ว
คนเราจะรักกัน
ไม่ใช่แค่หน้าตา
หรือฐานะ
มันอยู่ที่ใจ”
กิ่งแก้วยกมือตบระหว่างอกสอง-สามที
ด้วยความตื่นเต้น
หลังจากฟังเพื่อนสาวที่เล่าเรื่องราวความรัก
ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
และดวงตาที่สุกใสเป็นประกาย
วันนี้บุษบง
มีนัดกับกิ่งแก้ว
และเนาวนิตย์ที่สยามสแควร์เช่นเคย
เพื่อนรักทั้งสองของหล่อน
ยินดีปรีดาราวกับเป็นคนที่มีแฟนเสียเอง
อย่างนั้นละ
“เออ...ว่าแต่พี่เก้งเขา…แค่จูบมือแกเองเหรอ”
กิ่งแก้ว
ทำหน้าครุ่นคิด
บุษบงพยักหน้าหงึกหงัก
อย่างเขินอาย ตั้งแต่เป็นสาวเต็มกาย
เพิ่งจะถูกผู้ชายจูบก็ครั้งนี้
หล่อนรู้สึกหน้าแดงซ่านทุกคราวยามนึกถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น
“เท่าที่ฟังแกเล่า
แกออกจะให้ท่าเขาขนาดนั้น
ทำไมแค่จูบมือเองนะ”
กิ่งแก้วยังคิดต่อ
ด้วยความที่หล่อนอ่านนิยายรักๆมามาก
หล่อนออกจะแปลกใจว่าไฉนพระเอกของเพื่อน
จึงไม่ทำอะไรมากเกินกว่า
จูบหลังมือ!
“ฉันว่า
ฉันก็ไม่ได้ให้ท่าพี่เขานะแก้ว”
บุษบงแย้งเสียงเบา
ขณะพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์
เกรงว่าตนเองจะแสดงกิริยาเกินงามไปหรือเปล่า
“แล้วแกจะให้เขาทำอะไรล่ะนังแก้ว
หรือว่าอยากให้พี่เก้งเขาปล้ำนังบุษในรถซะเลย” เนาวนิตย์
โพล่งออกมาอย่างเหลืออด
หล่อนไม่ชอบอ่านนิยายรักๆใคร่ๆ
นัก
เรื่องคู่รักเขาทำอะไรกัน
จะกอด จะจูบ
ลูบคลำอะไรขนาดไหน
เป็นเรื่องที่เกินกว่าที่หล่อนจะสามารถจินตนาการได้
“แกก็พูดเกินไปนังนิตย์
ใครอยากจะให้เพื่อนโดนปล้ำก่อนเวลาอันควร”
กิ่งแก้วค้อนเพื่อนสาววงหนึ่ง
ก่อนต่อว่า “ไม่ใช่อะไรหรอกแก
พี่เก้งดูจะสุภาพบุรุษผิดวิสัยผู้ชายไปหน่อย
ฉันก็เลยกลัวว่าเขาจะเป็นเกย์น่ะสิ”
นั่นปะไร
มีคนโยนกล่องระเบิดเวลาให้บุษบงอีกลูกแล้ว
ภาพคราวที่พบปวริศร์
นั่งพูดคุยกับชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน
ย้อนกลับมาสั่นหัวใจบุษบงให้ไหวเอน
ไปตามข้อสงสัยของเพื่อนรัก
‘เป็นไปไม่ได้หรอกน่า’
บุษบงบอกตัวเอง
พยายามสลัดความกังวลนั้นออกไป
‘ถ้าพี่เก้งเป็นเกย์
แล้วจะมาขอคบกับหล่อนทำไมกัน’
“เฮ้ย
แก้ว
แกก็คิดมากไปได้
ถ้าพี่เขาเป็นเกย์
จะมาจี๋จ๋ากับนังบุษ
ทำไมล่ะ” เนาวนิตย์
ถามตรงกับใจของบุษบง
“พวกแกนี่ทำไมอ่อนต่อโลกนักนะ
อายุมากซะเปล่า”
กิ่งแก้วส่ายหน้าอย่างระอา
ขณะที่มือหนึ่งใช้หลอดคนแก้วน้ำ
“แกก็บอกเหตุผลของแกมาสิ
แม่คน ‘แก่’ ต่อโลก” เนาวนิตย์เน้นคำว่าแก่หนักเป็นพิเศษ
“จำไอ้เจ้า
เป้
ไม่ได้หรือไง
เกย์เก๊กแมน
รุ่นน้องคณะเราน่ะ” กิ่งแก้วทวนความจำเพื่อนทั้งสอง แล้วพูดต่อ
“เก๊กแมนมาตั้งแต่ปี
1 พอตอนปี 3
จีบน้องแพรว
จนเป็นแฟนกัน
สวีทหวานแหววกันน่าดู ฉันน่ะสงสัยตั้งแต่ต้นแล้วว่า
เป็นแฟนกันได้ยังไง
เพราะได้ข่าวมาจากแก๊งค์กระเทยรุ่นเราว่า
อีเป้มันเป็นตุ๊ด
แล้วอะไรรู้หรือเปล่าแก”
เจ้ากรมข่าวสาวหยุดจิบชามะนาวครู่หนึ่ง
“อะไรล่ะ”
เสียงเนาวนิตย์ร้อง
ด้วยรำคาญใจที่เรื่องราวหยุดชะงัก
“อย่าใจร้อน
เดี๋ยวเจ๊เล่าจะเล่าต่อ”
กิ่งแก้ววางท่าราวกับผู้นำสารสำคัญ
หล่อนกำลังเมามัน
จนลืมเหลือบมองเพื่อนสาวผู้นั่งอยู่ข้างๆ
เพื่อนสาวผู้มีหัวใจเบิกบานในช่วงต้น
มาบัดนี้กลับนั่งหน้าหมอง
ใจสั่นหวั่นหวาดกับข้อสงสัยของเพื่อนรัก
บุษบงยอมรับว่า
หล่อนกลัว...กลัวว่าสิ่งที่หล่อนเคยสงสัย...จะเป็นความจริง
“ต่อนะ
ฉันก็ได้ข่าวจากน้องรหัสฉัน
รุ่นเดียวกับน้องแพรว
และอีเป้ ว่า
พอจบไป ก็ยังคบหากันอยู่
น้องแพรวนี่ก็ รั๊ก
รัก
อีเป้มาก
ถึงขนาดว่าเตรียมจะแต่งงานกันแล้วนะ
แต่ในที่สุด
อีเป้ไม่ไหวน่ะสิ
ขอยกเลิกการแต่งงาน
แล้วสารภาพกับน้องแพรวว่า
‘เป้เป็นเกย์ฮ่ะ’”
พูดไม่พูดเปล่า
หล่อนทำท่าโบกสะบัดมือ
เลียนแบบท่าฮิตของบรรดาหนุ่มครึ่งสาว
“ฮ้า” เนาวนิตย์ยกมือทาบอก
“แล้วน้องแพรวทำไงล่ะแก”
“จะทำไงได้
คบกันมาตั้งหลายปี
ยังทำให้แฟนเป็นผู้ชายเต็มตัวไม่ได้
พอรู้แค่นั้น
สติแตกเลยล่ะน้องแพรวเรา...ตอนหลังถึงมาคิดได้ว่า
ที่ผ่านมา
สี่ซ้า
ห้าปี อีเป้
ไม่เค้ย
ไม่เคย
จะลวนลามหรือล่วงเกินอะไรเลยแม้แต่ปลายก้อย
เจ้าตัวก็หลงไปสิว่า
แฟนตัวสุภาพบุรุษ
ไม่คิดชิงสุกก่อนห่าม
ที่ไหนได้
เฮ้อ...ที่แท้ใช้ผู้หญิงเป็นที่กำบังข้อครหา”
เจ้ากรมข่าวถอนหายใจอีกเฮือก
หลังจบภารกิจรายงานข่าว
แล้วจึงได้โอกาสหันมามองเพื่อนรัก
ผู้นั่งหน้าเศร้าอมโศก
กิ่งแก้วพลันหน้าเสีย
เมื่อรู้ว่าตนเป็นต้นเหตุให้เพื่อนไม่สบายใจ
หล่อนรีบเอื้อมมือมาบีบมือของบุษบงเบาๆ
“บุษ
ฉันขอโทษ
ฉันแค่ตั้งข้อสังเกตน่ะ
ไม่อยากให้แก
มาช้ำใจทีหลัง...แต่ก็นะ
พี่เก้งเขาอาจจะเป็นสุภาพบุรุษมากๆ
ก็ได้ เขาเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาแล้ว ก็คงไม่น่าสงสัยมากเหมือนอีเป้
รุ่นน้องเราหรอก”
“เหอะ
ไม่น่าสงสัย
ก็แกคนเดียวแหละที่สงสัย
แถมขุดเรื่องชาวบ้านมาเล่าอีก” เนาวนิตย์
ต่อว่า
“ฉันเป็นห่วงเพื่อนนี่ยะ”
กิ่งแก้ว แหว
กลับไป
ก่อนที่เพื่อนสาวทั้งสองจะเปิดศึกสงครามปาก
บุษบงซึ่งนั่งอยู่คั่นกลาง
รีบยกมือห้าม
“เอาเถอะๆ
ฉันขอบใจแกนะแก้ว
ที่ทำให้ฉันคิด
จะว่าไป
ฉันก็เคยสงสัยพี่เก้งเหมือนกัน
ตั้งแต่
ตอนไปเขาค้อ
เห็นเขาสนิทสนมกับวีร์
บางทีฉันก็ใจหายนะแก
ยอมรับเหมือนกันว่า..กลัว”
บุษบงเอ่ยเสียงสลด
“แกก็ต้องหมั่นสังเกตบ้างนะบุษ
แกด้วยนิตย์
ผู้ชายสมัยนี้
ดูภายนอก ก็คมเข้มมาดแมนกันทั้งนั้น
แต่รสนิยมทางเพศนี่
เป็นยังไง
ผู้หญิงอย่างเราๆ
ไม่อาจหยั่งรู้ได้หรอก”
กิ่งแก้วเอ่ยคำเป็นข้อคิดให้แก่เพื่อน
“เฮ้ยบุษ
ว่าแต่วีร์
เพื่อนแกนี่มีแนวโน้มเป็นเกย์
ใช่ไหม” เนาวนิตย์ถาม
เมื่อบุษบงหยักหน้ารับ
หล่อนจึงเสนอความคิดว่า
“ทำไม
แกไม่ถามจากวีร์ล่ะ
เอาให้แน่ๆไปเลย
คนเป็นเกย์
ยังไง ยังไง
ก็จับพฤติกรรมพวกเดียวกันได้อยู่แล้วล่ะ”
“จริงสิ
ความคิดแกเข้าทีนะนังนิตย์
ฉันละภูมิใจแกจริงๆ”
กิ่งแก้วแสร้งทำหน้าเชิด
ยิ้มปลื้มเพื่อนสาว
หวังเรียกความสนุกสนานคืนมายังบรรดาเพื่อนรัก
“แน่นอน
ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายบุ๋น
ใช้ความคิดในกลุ่มเราน่ะสิ
ในเมื่อแกเป็นเหยี่ยวข่าวสาว
วงเล็บ แก่
แล้ว”
สิ้นคำของเนาวนิตย์
กิ่งแก้วทำทีเป็นโมโห
ราวกับเจ็บแค้นหนักหนา
ในใจหล่อนไม่แค้นเคืองคำค่อนว่า
แก่แต่อย่างใด
หากกลับเห็นเป็นโอกาส
ที่จะได้คุยโว
ถึงความงาม
และยังดูอ่อนกว่าวัย
ของหล่อน
“เชอะ
ถึงฉันแก่ ก็แค่ในบัตรประชาชน
แต่ดูตัวจริงฉันซะก่อน
ตีนกาไม่มี
ใบหน้าก็ดูละอ่อน
แต่งตัวสไตล์วัยรุ่นได้
ไปเดินเซ็นเตอร์ พ้อยต์
ได้อย่างเนียน
ไม่เหมือนแกหรอก
ยิ้มที ตาเป็นแฉกเชียว
ยิ่งแต่งตัวแก่ๆแบบแกนะ
มาเดินกับฉันแบบนี้
เห็นทีคงต้องเรียกป้านิตย์
กับหลานแก้ว
นะยะ เหอะๆๆๆ”
กิ่งแก้วพูดจบทำท่ายกมือป้องปากหัวเราะ
หัวสั่นหัวคลอน
ดาบย้อนคืนตัว
เนาวนิตย์
ครางฮึ่มฮั่ม
อยู่ในใจ “เอาเถอะ
รอให้ฉันตัดใจไปทำสวยด้วยแพทย์ได้เมื่อไร
จะเอาหน้าเด้งๆ
มาเย้ยแกเป็นคนแรกเลยนังแก้ว”
“มาเลยเพื่อน”
บุษบง
ฟังเพื่อนสาว
สองคนหยอกเย้า
เรื่องความงาม
หน้าอ่อน หน้าเด็ก
กันอย่างสนุกสนาน
หากแต่วันนี้
หล่อนไม่มีอารมณ์จะสนุกคล้อยตามเท่าใดนัก
ใจของหล่อน
ได้แต่ครุ่นคิดและกังวล
มีเพียงคำถามเดียวที่ย้ำซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมอง
‘พี่เก้ง
เป็นเกย์
หรือเปล่าคะ
พี่ชอบผู้หญิงหรือเปล่า
พี่คบบุษเพื่อบังหน้า
กันข้อครหาอย่างนั้นหรือเปล่าคะ’
หลังแยกย้ายจากเพื่อนรัก
บุษบงแบกเอาความกังวลหนักอึ้งไว้ในใจ
หล่อนถึงขนาดจินตนาการไปไกลว่า
หากหล่อนคบหากับพี่เก้งนานๆไป
แล้วพี่เก้ง
ไม่เคยคิดจะล่วงเกิน
หรือแตะต้องตัวหล่อนเกินเลยไปกว่านี้
หล่อนควรจะตั้งข้อสงสัยได้หรือเปล่า
หล่อนควรจะปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
หรือค้นหาความจริง
พิสูจน์ให้เห็นดำเห็นแดงไปเลยตั้งแต่ต้น
รู้แต่ต้น
คงยังดีกว่ารู้เมื่อสายเป็นแน่
ว่าแต่...หล่อนจะค้นหาความจริงอย่างไรเล่า...ถามวีร์...แล้วถ้ารายนั้นไม่รู้
หล่อนจะทำอย่างไรต่อไป...หรือว่า...หรือว่า...หล่อนต้องลองยอมพลีกาย...โอ้
คิดถึงตรงนี้
หญิงสาวพลันหน้าแดงซ่าน
ขัดเขินตัวเองเหลือจะกล่าว
ความต้องการทางธรรมชาติ
ที่หล่อนเฝ้าเก็บงำซ่อนเร้น
กลับออกมาเต้นเร้าท้าทาย
โดยเฉพาะในยามที่คิดถึงเขา...
ปวริศร์
หรือพี่เก้งของหล่อน
แล้วถ้า...พี่เก้งไม่เล่นด้วยเล่า...หากเขาไม่ปรารถนา
เนื้อหนังมังสา
ของหญิงสาว
หล่อนจะทำไฉนเล่า
............
“เก้งเป็นเกย์หรือเปล่า
ตอบไม่ได้อ่ะ” เสียงวีร์ตอบมาเรื่อยรื่นอย่างอารมณ์ดี
บุษบง
โทรหาเขาเกือบจะทันทีที่ถึงบ้าน
หากแต่เพื่อนหนุ่ม
(ไม่แท้)
ก็ทำท่าโยกไปเย้มา
ไม่ยอมตอบคำถามหล่อนสักที
“อยากรู้ทำไมไม่ถามเขาเองล่ะ” วีร์แกล้งแหย่
เมื่ออีกฝ่าย
ยังคาดคั้นไม่เลิกรา
“บ้า
ไปถามได้ยังไงล่ะ
เดี๋ยวพี่เขาโกรธขึ้นมา
ล่ะก็ยุ่งเลย”
“ดีสิ
ยั่วให้โกรธ
เผื่อเขาจะปล้ำ
พิสูจน์ความเป็นชายรู้จะๆซะเลย”
พูดพลางหัวเราะร่า
ไม่รู้หรอกว่า
คนฟังเขินหน้าแดง
จนนึกอยากจะฟาดแขนเขาสักป๊าบ
“ปล้ำไม่กลัว
กลัวไม่ปล้ำ” บุษบง อุบอิบพูด
ออกไปส่งผลให้เพื่อนชายหัวเราะลั่น
จนกลั้นไม่อยู่
“รอมานานแล้วสิท่า
ฮ่าๆๆๆ” วีร์พูดพลางหัวเราะ
“โถๆๆ
นึกว่าจะหวงตัวเหมือนสมัยก่อน”
ชายหนุ่มจำได้ดี
ครั้งที่บุริม
เพื่อนสนิทของเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
เคยตามจีบหล่อน
หากแต่ไม่สำเร็จ
ด้วยความที่ชอบแอบแตะเนื้อต้องตัวหล่อน
จนถูกด่าเสียเปิดเปิง
เขาจึงกระซิบบอกกับปวริศร์
ที่มาปรึกษาเขา
เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีใจชอบหญิงสาว
“แล้วไง
พอเขาไม่ทำมากกว่าจูบมือ
ก็คิดว่าเขาเป็นเกย์อีก”
ชายหนุ่มเย้า
“ผู้หญิงสมัยนี้นะ
ใจกล้ากันจริงๆ
พลอยทำให้สาวหัวโบราณอย่างคุณบุษบง
เปลี่ยนไปด้วย”
“เฮ้ย
อย่าเข้าใจผิดสิ
บุษก็ยังหัวโบราณเหมือนเดิมแหละน่า
แต่กับ...พี่เก้ง...มันยากเกินห้ามใจน่ะ”
หญิงสาวเสียงอ่อย
ยามบอกความจริงตรงกับใจ
“โอเค
สงสารนะเนี่ยะ
ถึงบอกให้
เก้งเขาเป็นชายแท้ๆ
เต็มตัว ไม่ต้องห่วง”
บุษบงคอยฟังด้วยใจระทึก
“วีร์เป็นคนบอกเก้งเองล่ะ
ว่าอย่าเผลอไปลวนลามบุษ
เพราะอาจจะทำให้บุษโกรธได้...แต่วันนี้รู้แล้วว่า
ผู้หญิงเขาอยากให้ลวนลาม
เดี๋ยวจะบอกเขาให้ละกัน”
“เฮ้ยๆๆๆ
อย่าเชียว”
บุษบงร้องเสียงหลง
“เดี๋ยวพี่เก้งจะเข้าใจผิดว่าบุษเป็นผู้หญิงประเภทปล่อยตัวปล่อยใจ
เสียภาพพจน์หมด”
“เอาให้แน่
ตกลงอยากให้เขากอดจูบลูบคลำหรือเปล่า” วีร์อยากจะยั่วมากกว่าพูดจริงๆ
หญิงสาวลังเล
ความรู้สึก
และความนึกคิดภายในใจต่อสู้กันอย่างรุนแรง
“ก็...ยังไงดีล่ะ
บางครั้งก็อยากนะ...แต่ก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลาน่ะ....ยังไงบุษก็ไม่อยากชิงสุกก่อนห่ามอยู่ดี
วันนี้รักกัน
พรุ่งนี้อาจจะเลิกรักก็ได้
แค่เสียใจ
ดีกว่าเสียตัวนะ”
หล่อนพูดสิ่งที่หล่อนคิดออกมาให้เพื่อนสนิทได้รับรู้
บุษบง ไว้ใจวีร์ในระดับหนึ่ง
หล่อนพอที่จะเปิดเผยความในใจบางเรื่องกับเขาได้
เพราะอย่างไรวีร์ก็ยังเป็นผู้ชายอยู่
ในความรับรู้ของบุษบง
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี
ผู้หญิงสมัยนี้
ไม่รู้จักสงวนคุณค่าของตัวเอง
นึกอยากจะหลับนอนกับใคร
ก็ไปนอนกันง่ายๆ
จริงอยู่ว่าเป็นความต้องการธรรมชาติ
ผู้ชายปลดปล่อยได้
ผู้หญิงทำไมจะทำบ้างไม่ได้ แต่คนเราก็ต้องรู้จักควบคุมความกำหนัด
ความอยากของตัวเองไว้บ้าง
ไม่ใช่เที่ยวไปนอนกับใครจนเปรอะไปหมด”
วีร์ร่ายยาว
จนบุษบงนึกประหลาดใจ
ในความคิดของเขา
หล่อนคิดว่า
ผู้ชายที่ก้ำกึ่ง
อย่างวีร์
น่าจะเป็นคนที่มีความคิดเสรีเรื่องเพศ
และรู้สึกธรรมดากับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่ง
เรื่อยไปจนถึงผู้หญิงที่ชอบเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น
หล่อนเสียอีกกลับเริ่มยอมรับถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
หากแต่หล่อนไม่ถึงขนาดยอมทำตัวให้กลมกลืน
ไปสังคมคนรุ่นใหม่
ใครจะว่าหล่อนแปลกแยก
เชยอย่างไร
หล่อนไม่สน
บุษบงปรารถนาที่จะถนอมตัวไว้
เพื่อคนที่รักหล่อนอย่างจริงใจ
และพร้อมจะร่วมหัวจมท้าย
แต่งงานใช้ชีวิตคู่กับหล่อนมากกว่าคนที่ผ่านเข้ามา
และหวังจะใช้หล่อนเป็นเครื่องบำบัดความใคร่ในระหว่างค้นหา
ทดลอง
ชีวิตคู่
หากใครคิดเช่นนั้น
เชิญไปทำการทดลองที่อื่น
ไม่ใช่กับนางสาวบุษบง
อิ่มสุขคนนี้!
ราตรีกาลโรยตัวปกคลุมท้องฟ้าจนมืดมิด
มีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์
และแสงไฟโคมจากโต๊ะหัวเตียง
ส่องสว่างภายในห้องนอนสีฟ้า
แมวลาย สีเทา
เดินวนไปมารอบเตียง
ส่งเสียงเหมียวๆ
วนจนครบรอบ
มันจึงนั่งแปะลงข้างเจ้านายสาวผู้กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรขยุกขยิก
บนสมุดสีหวาน
แมวชะเอม
ไม่รู้หรอกว่า
เจ้านายมันเขียนอะไร
รู้แต่ว่า
รอยยิ้มระบายอยู่เต็มหน้า
ระหว่างมือขวาลากปากกาขึ้นลงไปมา
บางครั้งมันเห็นเจ้านาย
มันหยุดแล้วยิ้มกับผนังห้องด้านหน้า
แล้วก้มหน้าเขียนอีก
สองสามเดือนที่ผ่านมา
ชะเอมรู้ว่า
เจ้านายมันอารมณ์ดีเหลือเกิน
บางครั้งฮัมเพลง
บางครั้งวาดมือ
วาดแขนราวกับเต้นจินตลีลาประกอบเพลง
พอมันมองและร้องถาม
“อ๊าวว”
ก็จะได้ยินนายตอบเพียงว่า
“คนกำลังมีความรักน่ะ
ชะเอม”
วันเวลาที่ล่วงเลยไป
ความสัมพันธ์ระหว่างบุษบง
และปวริศร์
ก็แนบแน่นขึ้น
บุษบงลืมไปเลยว่า
หล่อนเคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจ
ไม่เหมาะสม
และคู่ควรกับเขา
ทุกวันนี้หล่อนได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า
ความรักไม่แบ่งชนชั้น
ฐานันดรศักดิ์
หรือชาติตระกูล
ความคู่ควร
ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา
และสิ่งประกอบภายนอก
หากแต่อยู่ที่หัวใจ
ทัศนคติ
ที่สอดคล้อง
อันก่อให้เกิดความเข้าใจ
กันและกันในที่สุด
นอกจากเขาจะนำความรัก
ความอบอุ่น
และความสุข
ให้หัวใจบุษบงแช่มชื่น
สดใสดั่งสายฝนปรายโปรยในฤดูร้อนแล้ว
เขายังช่วยลบคำสบประมาทจากคนในครอบครัวของหล่อน
โดยเฉพาะจากเจ้าน้องชายตัวแสบ!
“โอ้โฮ
พี่บุษ
ไปอ่อยเหยื่ออีท่าไหนมานี่
ถึงได้แฟนหล่อยังกะเจ้าชายมาขนาดนี้” กฤษณะ
น้องชายของหล่อนเปิดปากแซว
ขณะอยู่ลำพังกับหล่อนในครัว
ครั้งนั้นบุษบงพาปวริศร์ไปเที่ยวบ้านของหล่อน
ที่สุพรรณบุรี
หรืออีกนัยหนึ่ง
เพื่อเปิดตัวเขานั่นเอง
ในวันนั้น
หล่อนอาสาเข้าครัวทำอาหารเอง
แต่ก่อนจะพาเขาไป
หล่อนก็กลับบ้านมาติวเข้มกับแม่
อยู่หลายชั่วโมงทีเดียว
“แกปากมอมไม่เลิกนะ
คนเราก็ต้องมีดีสิ
ถึงมีคนรักคนชอบ”
หล่อนยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ
กฤษณะ
ทำท่าพนมมือแล้วยกท่วมหัว
“สาธุ
เป็นโชคดีของพระพุทธศาสนา
พี่บุษจะไม่ไปคอยรอพระสึกที่วัดอีกแล้ว” พูดจบก็เผ่นแผลว
ก่อนที่สากในมือจะตำไปบนหลังแทนกระเทียมพริกไทยในครก
ถ้าไม่เกรงว่าปวริศร์
นั่งอยู่นอกชานบ้าน
หล่อนคงวิ่งไล่ตามด่าเสียงขรม
บุษบงได้พึมพำต่อว่าน้องชายกับตัวเอง
แล้วก็ให้นึกขำ
ที่น้องชายหล่อนช่างสรรหาคำมาค่อน
ก็จริงอย่างกฤษณะว่า
ที่หล่อนไม่ต้องไปชะเง้อชะแง่ง
คอยหนุ่มที่ไหนอีกแล้ว
หรือแม้แต่ทิดสึกใหม่
ในเมื่อทุกวันนี้หล่อนมีชายหนุ่มรูปงาม
จูงมือหล่อนลงจากคานอย่างสง่าผ่าเผย
หล่อนไม่ต้องทนเจ็บแค้น
คำคนนินทาว่าหาคู่ไม่ได้อีกต่อไป
-----------------------------------