เมื่อบุษบงจะลงจากคาน โดย ริญา
ตอนที่ 2 แรงขับ
ค่ำนี้บุษบง กลับถึงบ้านด้วยหัวใจอันชื่นบาน หล่อนอยู่คนเดียว กับแมวแสนรักหนึ่งตัว ในบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ย่านแจ้งวัฒนะ ก่อนหน้านี้ พ่อแม่ น้องชายของหล่อนอยู่ด้วยกันที่นี่ แต่ตอนนี้ทุกคนพากัน ย้ายไปอยู่บ้านเกิดของแม่ที่สุพรรณบุรี เนื่องจากญาติของแม่ขายกิจการร้านอาหารที่นั่น ให้ดำเนินกิจการต่อ
ทีแรก แม่จะให้บุษบงออกจากงาน และย้ายไปอยู่ด้วยกัน แต่หล่อนไม่สามารถตัดใจจากงานที่ทำ และกรุงเทพฯอันเป็นที่รักได้ หล่อนคิดว่าทุกสิ่งที่หล่อนชอบนั้นอยู่ที่กรุงเทพฯ มิใช่หล่อนรังเกียจ สภาพความเป็นอยู่ต่างจังหวัด หล่อนรักท้องทุ่งและป่าเขา ทุกครั้งที่หล่อนไปเยี่ยมพ่อแม่ที่สุพรรณบุรี หล่อนชอบที่จะไปนั่งอ่านหนังสือ ที่ศาลาริมแม่น้ำของวัดในละแวกบ้าน ปฏิบัติเช่นนั้นเป็นกิจวัตร จนเป็นที่มาของสมมติฐานที่ กฤษณะ น้องชายของหล่อนตั้งขึ้นด้วยความคะนองปากว่า
“สงสัยพี่บุษ จะไปรอดูว่าพระองค์ไหนจะสึก ถึงไปแถววัดบ่อยๆ”
คำกล่าวนั้นเรียกเสียงฮาครืน จากพ่อแม่ และญาติที่ร่วมวงกินข้าวในเย็นย่ำวันหนึ่ง หล่อนทำปากขมุบขมิบคล้ายต่อว่า ระหว่างนึกคำตอบโต้ให้เจ็บแสบพอกัน
“แกนี่นะ ปากไม่เปลี่ยนแปลง เข้ากรุงเทพ เมื่อไหร่ ฉันจะพาไปหาหมอ ให้ผ่าเอาหมาออกจากปากแกซะบ้าง”
“พี่บุษ ก็ปากอย่างนี้แหละ ถึงหาแฟนไม่ได้ซะที ฮ่าๆๆๆ” แทนที่เจ้าน้องชายจะสลด มันกลับต่อคำถากถางกลับมาอีก บุษบงได้แต่เต้นเร่าๆอยู่ในใจ
ทำไมนะ กับแค่ไม่มีแฟน ถึงต้องเป็นที่ล้อเลียนของคนอื่นๆ มากมายนัก ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อแม่ ที่เอาเรื่องความโสดของหล่อน มาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุกสนาน บุษบงรู้ว่าก็เป็นแค่เรื่องตลกๆภายในครอบครัว ไม่ได้เป็นเรื่องจริงจังอะไร ทว่าหล่อนกลับรู้สึกเหมือน มีใครเอาเหล็กแหลมมาจี้ตรงหัวใจ ให้เกิดอาการเจ็บจี๊ดๆ สะดุ้งวาบอยู่รํ่าไป
เกิดเป็นผู้หญิง แล้วต้องแต่งงานมีครอบครัว เป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิตของคนทั่วไปหรืออย่างไร หล่อนชักคลางแคลงอยู่ในใจ หรือว่าหล่อนจะต้องกลายเป็นคนแปลก และแตกต่างจากคนทั่วไปในสังคมแล้วจริงๆ
คิดถึงตรงนี้ หล่อนจึงรีบคว้าหนังสือเล่มใหม่ ที่ได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนมาอ่าน “ซุปไก่ สำหรับปลอบใจคนโสด” หล่อนตั้งชื่อหนังสือเป็นภาษาไทย โดยแปลจากภาษาอังกฤษ ตามความคิดของหล่อนเอง บุษบงคิดว่าข้อเขียนต่างๆที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ น่าจะเขียนเพื่อปลอบใจมากกว่า สร้างแรงบันดาลใจ เยียวยาจิตใจ หรือเชิดชูจิตวิญญาณ
เขียนเพื่อปลอบใจบรรดาคนโสดว่า “ไม่ใช่มีคุณคนเดียวในโลกหรอกน่า ที่เป็นโสด” ใช่แล้ว ไม่ใช่หล่อนคนเดียวเสียหน่อยที่ยังโสด นอกจากกิ่งแก้วและเนาวนิตย์แล้ว ยังมีคนที่ยังอยู่เป็นโสดมากมาย บนโลกใบนี้ แล้วหล่อนจะอนาทรร้อนใจไปใย
“เหมียวววววว” เสียงชะเอม แมวเพื่อนยากของหล่อน ลากเสียงยาวร้องขานขึ้น ราวกับจะตอบรับว่าเห็นด้วย
“แกก็คิดเหมือนกัน ใช่มั๊ยชะเอม เพราะแกก็เป็นโสดเหมือนกัน” บุษบงหัวเราะคิกคักขณะพูด กับชะเอม แมวรักซึ่งบัดนี้นอนหมอบอยู่บนเตียงข้างตัวหล่อน และหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข ยามที่นายสาวลูบไล้ไปตามลำตัว
“ฉันจะไม่เดือดร้อนใจเรื่องอยู่เป็นโสดแล้วละ ใครมาพูดอะไร ว่าอะไร ฉันก็จะนิ่งๆ ไม่โต้ตอบ ฉันควรจะพอใจในชีวิตโสดของฉัน แกว่าอย่างงั้นมั๊ยชะเอม”
“เหมียว” ชะเอมตอบเจ้านายคล้ายเห็นด้วย ก่อนแสงสว่างภายในห้องนอนดับลง
เช้าวันจันทร์ที่ทำงานของบุษบงวันนี้ เหมือนเช่นทุกจันทร์ หลังจากจัดจ่ายเอกสารให้แก่ พนักงานส่งเอกสาร แยกตามเส้นทางที่แต่ละคนรับผิดชอบแล้ว หล่อนก็จะไล่อ่านรายงานจากยามหน้าบริษัท ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาช่วงบริษัทปิดทำการ ตรวจตราการทำงานของแม่บ้าน ตรวจดูรายการเบิก-จ่าย อุปกรณ์ สำนักงานของฝ่ายต่างๆ และอีกจิปาถะ ที่เป็นงานในความรับผิดชอบของ “หัวหน้าฝ่ายบุคคลและธุรการ “
ภาระหน้าที่ของบุษบงนั้น หล่อนเคยเปรยให้เพื่อนฟังว่า “สากกระเบือ ยันเรือรบ” ตั้งแต่แก้ปัญหาส้วมตัน ยันจัดงานสัมมนา วันเวลาที่ทำงานของบุษบงหมดไปกับการจัดการธุระให้ฝ่ายต่างๆ ภายในสำนักงาน และเพราะต้องทำงานกับคนหลายฝักหลายฝ่าย เจอปฏิกิริยาจากคนในหลายๆอารมณ์ ที่ผิดแผกแตกต่างกันไป ทำให้บุษบงสามารถพัฒนาความแข็งกร้าว และปากร้ายมากขึ้นทุกโมงยามที่ผันผ่าน
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารที่เอาแต่ใจ ฝ่ายขายที่งอแง ฝ่ายบัญชีที่กระเหม็ดกระแหม่ หรือแม้กระทั่ง บรรดาพนักงานส่งเอกสารในความดูแล ที่หล่อนขอเรียกว่า “โคนันทวิศาล “ เวลาจะขอร้องให้ทำงานที ต้องพูดจาเพราะๆ เสร็จงานแล้วต้องชม ป้อนลูกยอเข้าไปอีก งานถึงจะสำเร็จราบรื่นไปได้ด้วยดี
ยามที่ต้องติดต่องานร่วมกับคนต่างๆในบริษัท หล่อนรู้สึกได้ถึงรอยหยักบนหน้าผาก ที่พาลจะเพิ่มมากขึ้น กระทั่งครีมลดริ้วรอยที่หล่อนใช้ แทบจะหมดประสิทธิภาพไปเลยทีเดียว
สายของวันจันทร์นี้ เกิดเรื่องอีกแล้ว เมื่อรัศมี พนักงานฝ่ายขาย จอมแสบ เดินเข้ามาในห้องทำงาน ของฝ่ายบุคคลและธุรการ ร้องเอะอะ โวยวายขึ้น หลังจากรู้ว่า พนักงานส่งเอกสารได้ออกไปวิ่งงานหมดแล้ว
“อะไรกัน ทำไมไม่มีเมสเซนเจอร์อยู่เลยสักคน แล้วอย่างนี้ รัศมีจะส่งสินค้าตัวอย่างให้ลูกค้าได้ยังไง ลูกค้ารายใหญ่ด้วยนะ”
“ก็คุณมาช้านี่คะ ใครจะทราบว่าคุณมีของต้องส่ง” นงนุช พนักงานฝ่ายธุรการ ลูกน้องของบุษบงตอบไปเมื่อ รัศมีมาส่งเสียงล้งเล้งกับหล่อน บุษบงคอยฟังและจับตาดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด อยู่ที่โต๊ะทำงาน หล่อนปล่อยให้นงนุชเจรจาไปก่อน หากเรื่องเริ่มไปกันใหญ่ หล่อนถึงค่อยออกโรงเอง
“ช้าอะไรกัน นี่เพิ่งจะ 10 โมง 45 เอง” รัศมีพูดต่อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
“เราจะให้พนักงานส่งเอกสาร เริ่มออกวิ่งงานตอน 10 โมง ครึ่งค่ะ ถ้าคุณมาช้าก็ต้องรอพนักงาน ที่กลับมารอบบ่าย ถ้างานเร่งด่วนมาก ก็จะจัดคนไปส่งให้ค่ะ” นงนุชอธิบายอย่างใจเย็น
“รอบบ่ายน่ะ กี่โมง ฉันต้องส่งของให้ลูกค้าก่อนบ่ายโมงนะ”
“ปกติจะมีพนักงานกลับมาประมาณบ่ายสอง ถึงสองโมงครึ่งค่ะ” นงนุชตอบไปด้วยสีหน้าหนักใจ
“โอ๊ย! คงจะทันหรอก” รัศมีร้องออกมาด้วยน้ำสียง ประหนึ่งนางอิจฉาในละครหลังข่าวภาคค่ำ “ลูกค้าจะบินไปต่างประเทศวันนี้ แล้วจะหิ้วเอาสินค้าตัวอย่างไปให้สำนักงานใหญ่ที่ฮ่องกงดูด้วย แล้วจะทําไงล่ะทีนี้ ยอดขายฉันจะตก ก็เพราะบริการอืดอาดของฝ่ายเธอนี้แหละ” หล่อนพูดเสียงสะบัด แล้วพูดต่ออีกว่า “พวกคุณน่าจะจัดหา เมสเซนเจอร์ไว้คอยสแตนด์บายบ้างนะ เผื่อใครมีธุระอะไรฉุกเฉินจะได้ทำงานได้ทันการณ์”
ยังไม่พอเท่านั้นหล่อนยังพูดต่ออีกว่า “พวกฝ่ายธุรการคงไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจหรอกนะ วันๆ ก็นั่งหมกอยู่แต่ในห้อง คงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเขาเป็นยังไงกันบ้าง ไม่รู้จักปรับปรุง เปลี่ยนแปลงกฎกติกาอะไรให้มันทันสมัย เข้ากับเหตุการณ์ซะบ้างเลย”
ถึงตรงนี้บุษบงสุดจะทน เหยียดหยามกันมากเกินไปแล้ว หล่อนลุกจากโต๊ะทำงานของตัวเอง มายืนประจันหน้ากับรัศมี ที่หล่อนแอบเรียกสมญาต่อท้ายว่า “นางปากปลาร้า”
“นี่คุณน้องรัศมี ศรีสมร จะพูดจะจาอะไรก็ระวังปากของน้องบ้างนะคะ มาพูดจาแขวะชาวบ้านเพราะคิดว่าอะไรไม่ได้ดั่งใจตัวเองแบบนี้ มันใช้ไม่ได้นะคะ”
บุษบงไม่รอให้รัศมีได้อ้าปากพูด หล่อนรีบชิงพูดต่อขณะที่รัศมี ผู้แต่งหน้าเข้มปากแดงจัด กำลังมึนงง ที่เห็นบุษบงเดินเข้ามาร่วม และพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้ม เฉียบขาด อันประมาณว่าอาจสามารถทำให้จิ้งจกบนเพดานกลัวลนลาน ขาสั่นร่วงผล็อยลงมาได้
“แล้วไอ้เรื่องจะให้มีพนักงานส่งเอกสารคอยสแตนด์บาย เป็นข้าทาสสนองพระโอษฐ์ ตลอดเวลาน่ะ ลืมไปเลยนะคะ ลองใช้สมองตรองดูละกันว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครใช้งานด่วนฉุกเฉินเลย ก็จะมี พนักงานส่งเอกสารคนหนึ่ง นั่งแกร่ว รออยู่เฉยๆทั้งวัน ให้บริษัทจ่ายเงินเดือนเล่นฟรีๆ แล้วอีกอย่างนะคะ สถิติที่ฝ่ายเราบันทึกไว้ พวกที่มักจะมีงานให้ส่งด่วน ก็มีแค่ฝ่ายขายฝ่ายเดียว ซึ่งก็เคยคุยกันไปรอบหนึ่งแล้ว กับเจ้านายของคุณเรื่องระเบียบการส่งเอกสาร หลังจากนั้นก็ไม่เห็นใครมีปัญหาอะไร พนักงานฝ่ายขายคนอื่น เขาก็ปฏิบัติตามระเบียบกันดี มีคุณคนเดียวนี่แหละค่ะที่โวยวาย ถ้ามันด่วนมากคุณก็ไปส่งเองสิคะ จะได้ถือเป็นการบริการลูกค้าได้อย่างน่าประทับใจ”
ทุกคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ มองบุษบงตาค้าง รวมทั้งรัศมีด้วย บุษบงก็ยังงงตัวเองเหมือนกันว่า ไฉนหล่อนถึงสามารถพูดได้ยาวขนาดนี้ แทบจะไม่ได้หายใจ พูดจบแล้วบุษบงรู้สึกอยากได้ยาดมส้มโอมือ มาดมให้ชื่นใจเหลือเกิน
“อ้อ ยังมีอีกค่ะ ถ้าคุณอยากจะให้ใครช่วยทำงานอะไรให้น่ะ ก็พูดจากันดีๆ ไม่ใช่มาเกรี้ยวกราด อย่างกับนางร้ายในละคร แค่ดูในทีวีก็เอือมมากแล้วค่ะ อย่าให้ต้องออกมาเจอในชีวิตจริงเลย” บุษบงพูดต่ออีกด้วยความสะใจ
รัศมี รู้สึกว่าสองแก้มแดงระเรื่อด้วยบรัชออนของเธอ ร้อนวูบๆ หัวสมองหล่อนตีบตัน เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาตอบโต้ ผู้หญิงตรงหน้าที่หล่อนเรียกอยู่ในใจว่า “ยายครูระเบียบ” แล้วปากก็ไวกว่าความคิด พูดเสียงสั่นพร่าด้วยโทสะ ดังลั่นห้อง
“พี่บุษบง ทั้งปากเก่ง และระเบียบเฮี้ยบอย่างนี้เอง ถึงได้ยังอยู่เป็นโสด ไร้ชายแล ถึงหน้าตา จะพอไปวัดไปวาได้ตอนสายๆ แต่คงจะหาสามียาก รัศมีว่าอาการที่เป็นอย่างนี้ เป็นอาการของคนใกล้วัยทองชัดๆเลยค่ะ ทางที่ดีลองปรับตัวใหม่นะคะ เผื่อจะหาผู้ชาย มาช่วยดับอาการวัยทองกำเริบได้บ้าง”
เมื่อพูดออกไปแล้ว หล่อนจึงคิดได้ว่า หล่อนได้ลากเรื่องออกไปแบบข้างๆคูๆ และพลันที่รัศมีพูดจบ พนักงานที่นั่งอยู่ฝ่ายบุคคลและธุรการ พากันหยุดชะงักหันมามองที่บุษบงเป็นตาเดียว
บุษบงระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดกว่าเดิม “ขอโทษนะ คุณรัศมี การที่ฉันจะมีสามีหรือไม่มี มันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานเลยสักนิด ธุระของคุณจบหรือยังคะ ถ้าจะส่งของให้ลูกค้า ก็เขียนใบขอส่งเอกสารไว้ แล้วก็กลับไปทำงานของคุณเสียที และถ้าคุณพูดก้าวร้าวฉันอีกคำเดียว ฉันจะขอคุยกับหัวหน้าคุณ”
คำว่า “หัวหน้า”สามารถสยบท่าทางยโสของรัศมีได้ชะงัด หล่อนดึง เอกสารขอส่งเอกสารมาเขียนเร็วๆ แล้ววางห่อพัสดุลงบนโต๊ะทำงานของนงนุช แล้วเดินสะบัดก้นจากไป
บรรยากาศในห้องทำงานฝ่ายบุคคลและธุรการ ยังอบอวลไปด้วยไอร้อนแห่งโทสะและอารมณ์ บุษบงผ่อนลมหายใจยาว ก่อนกลับมานั่งโต๊ะทำงานเพื่อสงบสติ
“ใจเย็นๆนะพี่บุษ ยายรัศมี นี่ปากมันร้ายจริงๆ ยังกะนรกส่งมาเกิด” นงนุช หันมาพูดกับหัวหน้าสาว ก่อนจะพึมพำต่อว่าคู่กรณีที่เพิ่งจากไป “นุชนะอยากจะจิกหัวมันมาตบนักตอนมันว่าพี่บุษ”
“พอเถอะ แค่นี้ก็ยังกับตลาดสดแล้ว ทำงานต่อเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย” บุษบงพูดตัดบทกับลูกน้องสาว แล้วหล่อนก็หันมาใส่ใจ กับงานที่ค้างอยู่
บรรดาเพื่อนร่วมงาน มองมายังบุษบง ต่างชื่นชมหล่อนอยู่ในใจ ที่หล่อนสามารถนิ่ง และกลับมาก้มหน้าก้มตาทำงานต่อราวกับว่า ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น บางคนแอบซุบซิบกันทำนองว่า ถ้าพวกหล่อนเป็นบุษบง คงไม่สามารถอดทนต่ออาการเถื่อนๆของรัศมีได้แน่ แล้วยังคำพูดปรามาสเรื่องอยู่เป็นสาวแก่ วัยทอง อีกเล่า พวกหล่อนต่างพากันสงสัยว่า บุษบงทนเฉยอยู่ได้อย่างไร
ไม่มีใครรู้หรอกว่า ภายใต้ท่าทีสงบนิ่ง แสดงถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจนั้น บุษบงได้แต่คั่งแค้นอยู่ในใจ แค้น แค้น แค้น แล้วก็แค้น แค้นครั้งนี้ยิ่งกว่า เมื่อครั้งที่เจอ “กลอยใจ” เพื่อนร่วมชั้นปีสมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยบังเอิญ เสียอีก
ครั้งนั้น เรื่องมีอยู่ว่า สามสาวโสดสะคราญ กิ่งแก้ว เนาวนิตย์ และบุษบง ไปพบ กลอยใจ ควงคู่มากับว่าที่สามีหนุ่มชาวญี่ปุ่นเข้า ทั้งสามสาว จึงเข้าไปทักด้วยไมตรีจิตร ตามประสาคนเคยรู้จักมักคุ้นกัน
บุษบงนั้น ทำทีเป็นตื่นเต้น กรี๊ดกร๊าดเล็กน้อย เมื่อรู้ว่า กลอยใจได้แฟนเป็นหนุ่มญี่ปุ่นหน้าใส ในหมู่เพื่อนต่างรู้กันว่า บุษบงนั้น คลั่งไคล้ ดารานักร้อง ญี่ปุ่น การ์ตูนญี่ปุ่น และนานาสารพันที่เป็นญี่ปุ่น ถึงขนาดที่ลงทุนไปสมัครเรียนภาษาญี่ปุ่นเลยทีเดียว
กลอยใจ นั้น เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของสามสาว โดยเฉพาะบุษบง หล่อนจึงรู้สึกลำพองใจ ยิ้มหน้าบาน แล้วถามกลับมาว่า
“แล้วพวกตัวเองล่ะ มีแฟนกันหรือยัง”
สามสาวส่ายหน้าพรืด
“ต๊าย ยังไม่มีกันอีกเหรอจ๊ะ นี่อายุขึ้นเลขสาม กันแล้วนะ”
“แหม พวกเราหาแฟนยาก สงสัยต้องให้กลอยแนะนำแล้วล่ะว่าจะหาแบบนี้ได้ยังไง” บุษบงพูดในเชิงล้อเล่น พลางบุ้ยใบ้ไปทางหนุ่มญี่ปุ่นหน้าจืด
ด้วยความกระหยิ่มใจ กลอยใจจึงนึกว่า บุษบงนั้นชื่นชมหนุ่มญี่ปุ่นอย่างจริงจัง จึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า
“ของเราน่ะ ได้มาด้วยโชคชะตา แต่ของบุษน่ะ สงสัยต้องไปเปิดหาตามสมุดหน้าเหลืองแล้วล่ะ เฮอะ เฮอะ เฮอะ เฮอะ” พูดจบแล้วหล่อนก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาประดุจนางมารร้าย
สามสาวนิ่งอึ้ง กับคำพูดที่สะดุดหู ของกลอยใจ กิ่งแก้วกับเนาวนิตย์ หันมามองบุษบงเป็นตาเดียว แต่ก่อนที่ทั้ง สามสาวจะสรรหา คำพูดมาตอบโต้ กลอยใจรีบเอ่ยลา ก่อนปลีกใจตัวจากไปโดยอ้างว่าไม่อยากให้แฟนหนุ่มรอนาน ทิ้งให้สามสาวจมอยู่ในความคั่งแค้น
“ดูมันพูดสิ หยิ่งผยองมากเลยนะ ที่ไปหลอกล่อเอาหนุ่มญี่ปุ่นมาได้ ฉันไม่เห็นว่า ว่าที่ผัวของมัน จะวิเศษวิโสตรงไหน” กิ่งแก้วระเบิดอารมณ์ทันที ที่นึกคำพูดออก หล่อนโกรธแทนเพื่อนอย่างที่สุด
“นั่นน่ะสิ หน้าก็จืด ซีดยังกะเต้าหู้ ไม่เห็นจะเลิศตรงไหนเลย ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเอามาข่มคนอื่น” เนาวนิตย์ต่อด้วยคำพูดที่คิดว่าแสบสันต์ที่สุดแล้วสำหรับหล่อน โดยนิสัยแล้วหล่อนไม่ใช่คนพูดจาได้รุนแรง และแสบเท่าเพื่อนสาวทั้งสอง
ส่วนบุษบง นั้นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ไม่เคยมีใครมาปรามาสหล่อนขนาดนี้มาก่อน ถึงหล่อนจะยังคงครองตัวเป็นโสด แต่หล่อนก็ไม่ได้มีความอยากถึงขนาดต้อง เปิดสมุดหน้าเหลืองสุ่มหาหรอก
“นี่ถ้ามันไม่รีบเดินหนีไปนะ ฉันจะบอกกับมันว่า ฉันไม่ได้ฝึกฝนจริตจะก้านมารยา ไว้ล่อผู้ชายอย่างมันมาตั้งแต่ตอนประจําเดือนมาวันแรกอย่างมันนี่ ถึงได้หลอกล่อผู้ชายหน้าโง่มาได้ง่ายดาย ยิ่งกว่าปลาในกระชังฮุบเบ็ด” บุษบงพูดขึ้น
“ใช่ๆๆ” สามสาวรับคําเป็นเสียงเดียว แล้วจากนั้นวงสนทนา ก็เริ่มขุดรากถอนโคนประวัติชีวิตเรื่องผู้ชายของ กลอยใจ ออกมาสับเป็นชิ้นๆ จนสาแก่ใจ แล้วสามสาวจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นที่จรรโลงใจต่อไป
มาคราวนี้ บุษบงกลับต้องมาคั่งแค้นกับคําพูดที่บุษบงขอเรียกว่า “คำสำรากของนางเด็กเมื่อวานซืน” หล่อนจะต้องเก็บความพลุ่งพล่านไว้ในใจ และระมัดระวังมิให้มันรั่วไหลออกมา เพื่อที่จะไม่เสียฟอร์ม ความเป็นสาวมั่นของหล่อนต่อหน้าลูกน้อง และเพื่อนร่วมงาน มีเพียงคนเดียวในที่ทำงานเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ความในใจของหล่อน นั่นคือ “ขวัญชนก” ที่บุษบงนับเป็นเพื่อนสนิทของหล่อน
ขวัญชนก เป็นเลขาของผู้จัดการฝ่ายขาย ซึ่งอยู่แผนกเดียวกับรัศมี คู่กรณีหมาดๆของบุษบง พอถึงเวลาอาหารเที่ยง ขวัญชนกพร้อมด้วย “ยอดธิดา” แฟนทอมบอยของหล่อน ซึ่งทำงานอยู่ฝ่ายสารสนเทศ ก็มาชวนบุษบงออกไปกินข้าวด้วยกันตามปกติ
“ยายรัศมีนี่มันร้ายจริงๆ สวย แต่ไร้สมองไม่พอ ยังปากเน่าอีก” ขวัญชนกเริ่มเปิดฉาก โจมตี หลังได้ฟังเรื่องจากบุษบง ก่อนพูดต่ออีกว่า “ในแผนกฉันก็ไม่มีใครชอบมันสักคนเลยนะ แต่ยังคบมกันอยู่ได้ ก็เพราะเรื่องผลประโยชน์ พวกนี้เขาชอบใส่หน้ากากเข้าหากัน ฉันละเบื่อจริงๆ”
หลังจากพอได้พูดระบายออกไปแล้ว บุษบง ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง และพอจะปรับอารมณ์รับฟัง ขวัญชนก บ่นเรื่องงานในฝ่ายได้ต่อ แล้วยังยอดธิดา ที่เริ่มบ่นเรื่องงานระบบคอมพิวเตอร์ ของตัวเองบ้าง สรุปแล้ว ทุกคนต่างมีปัญหานั้น ปัญหานี้ มาระบายสู่กันฟัง ชวนให้บุษบงคิดว่า มีที่ไหนบ้างนะ ที่มีแต่คนไม่มีปัญหา
บุษบง นึกขอบคุณ ที่หล่อนยังมีเพื่อนที่คอยรับฟัง แต่ถ้าวันหนึ่งเพื่อนเบื่อที่จะรับฟังความทุกข์ ความเก็บกด เรื่องเลวร้ายต่างๆจากเพื่อนขึ้นมา แล้วใครล่ะจะรับฟัง แล้วหล่อนก็นึกวกมาถึงว่า นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่คนต่างไขว่คว้าหาคนร่วมชีวิต ร่วมทุกข์ ร่วมสุข รับฟังปัญหาของกันและกัน ขวัญชนก ยังมียอดธิดา เป็นคู่คิดที่ปรึกษา แล้วหล่อนเล่า....มีใคร
หญิงสาวมองเพื่อนคู่ทอมดี้ หยอกเย้ากระเซ้าแหย่ กันอย่างชื่นมื่น หลังครึ่งชั่วโมงแห่งการระบาย ความทุกข์หมดไป หล่อนรู้สึกว่าความอ้างว้างแอบย่องเข้าในใจหล่อนอย่างเงียบๆ และแฝงอยู่ตรงนั้น ตลอดบ่ายวันทำงานอันแสนอ้อยอิ่ง
..........................................