เมื่อบุษบงจะลงจากคาน
โดย ริญา
ตอนที่ 3
เมื่อภาพฝันพลันปรากฏ
ยามคํ่า บุษบงยังคงรู้สึกว่าความอ้างว้างยังนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น แม้ชะเอมแมวของหล่อน จะร้องเรียกความสนใจ
โดยแสดงท่าทางตลกต่างๆ
ตามประสาแมว
ซึ่งหากเป็นในวันที่หล่อนอารมณ์ดี
หล่อนคงได้หัวเราะงอหายอยู่คนเดียวกับอาการกลิ้งเกลือกไปมาของมัน
นึกถึงความอาภัพอับคู่ของตัวเองแล้วก็ใจหาย หน้าตาของหล่อนก็ไม่ได้ถึงขนาดน่าเกลียด
น่ากลัว ดวงตาหรือก็กลมโต
คิ้วโค้งได้รูป
จมูกหรือก็ไม่ต้องเสริมดั้งให้เปลืองสตางค์
ส่วนปากนั้นก็เรียวบาง
ยามยิ้มแลเห็นฟันซี่เล็กๆเรียงสวย
ลองมาพิจารณารูปร่างหรือก็ออกจะอวบอั๋น
อกอิ่ม สะโพกผาย ไหลผึ่ง ก้นงอน ท่อนแขน…เรียวขา…. ท่อนแขนและเรียวขานี่เอง! ที่หล่อนคิดว่าเป็นจุดสกัดดาวรุ่ง
แขนใหญ่ลํ่า จนบางครั้งถูกแซวว่าเอาขาขึ้นมาเกยโต๊ะ ส่วนขานั่นเล่า
ขนาดพอเหมาะกับสัดส่วน
แต่ทว่าโก่ง
โค้ง เรียวน่องทั้งสองข้าง
มิเคยมีโอกาสได้สัมผัสกันในท่ายืนตรงปกติเลย
ถึงกระนั้นก็เถอะ
คนที่อัปลักษณ์ทั้งรูปร่างและหน้าตามากกว่าหล่อน ก็ยังมีคู่ครองกันไปแล้วมากมาย
ทําไมนะ ทําไม หล่อนถึงไม่มีคู่กับเขาสักที
คิดไปคิดมา
พลันนึกได้ว่า
อันที่จริงไม่ใช่ว่า
ไม่เคยมีใครผ่านเข้ามา
ในหัวใจหล่อนสักหน่อย
เพียงแต่หล่อนยังไม่เจอคนที่ดีสมใจ
เป็นจิ๊กซอที่ต่อลงตัวต่างหาก
“เฮ้อ” บุษบงถอนหายใจ
พลางคิดว่า แล้วเมื่อไรคนๆนั้น คนที่สามารถเติมเต็มส่วนที่อ้างว้างในหัวใจหล่อน จะปรากฏกายมาสักที ปีนี้อายุหล่อนก็ 33 แล้ว ปีหน้า ก็ 34 แล้วก็
35…36…37… ก่อนที่หล่อนจะนับเลขอายุต่อไป
ก็พลันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกริ่งโทรศัพท์
“ดีใจจัง ที่บุษอยู่บ้าน”
เป็นเสียงคุ้นหูตอบกลับมา
เมื่อบุษบงรับสาย
“วันนี้ เป็นไงไม่รู้นะ
โทรไปหาใครไม่มีใครอยู่เลย
วันจันทร์แท้ๆ
น่าจะอยู่บ้านกัน”
วีร์ กรอกเสียงทุ้มๆ
เนิบๆมาตามสาย
วีร์เป็นเพื่อนผู้ชาย
คนเดียวที่บุษบงสนิทสนมด้วย
หล่อนรู้จักเขาในฐานะเพื่อนของ
“บุริม” ชายหนุ่มที่เคยมาชอบพอบุษบง
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี
4 แต่บุษบงไม่เล่นด้วย
เพราะหล่อนไม่คิดริรักในวัยเรียนเด็ดขาด
ประกอบกับบุริมนั้น ชอบทําก้อร่อก้อติกมาถูกเนื้อต้องตัวหล่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อนเกลียดมาก
ด้วยจําฝังใจจากข้อคิด ในนิยายเกือบทุกเรื่องของโสภาค สุวรรณ ที่สอนให้รู้จักคุณค่าของความเป็นลูกผู้หญิง
โดยเฉพาะเรื่องรักนวลสงวนตัว
ส่วนกับวีร์นั้น
เป็นคนสุภาพและคุยถูกอัธยาศัยกันดี
หล่อนกับเขา
จึงคบหากันฉันท์มิตรเรื่อยมา
ในช่วงเวลาที่จิตใจกําลังเลื่อนลอยและอ้างว้างเช่นนี้
บุษบง กําลังคิดว่าหล่อนควรจะดีใจไปด้วยหรือเปล่า ที่วีร์โทรศัพท์มา
ด้วยทุกครั้งหล่อนมักจะได้เป็นเพียงแต่ผู้ฟังที่ดี ฟังเขาพูดแกมบ่น
ถึงเรื่องราวต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน
ตั้งแต่ดินฟ้าอากาศ เรื่อยไปจนถึงความสงสัยเกี่ยวกับสภาวะจิตใจของตัวเอง
หากเป็นวันที่อากาศปลอดโปร่ง
บุษบงจะรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเรื่องที่วีร์สรรหามาคุย
แต่สําหรับอารมณ์หม่นเช่นนี้เล่า บุษบงสุดที่จะเดาว่า
วีร์จะทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในใจหล่อนหรือไม่
“วันนี้ อากาศมันแปลกๆนะบุษว่ามั๊ย กลางวันมันก็ร้อนอบอ้าวเหลือเกิน พอคํ่าหน่อย
อากาศเย็นๆเฉยเลย”
เป็นบทเปิดประเด็นสนทนา ที่บุษบงแสนจะคุ้นหู
แล้ววีร์ก็เริ่มร่ายต่อถึงเรื่องว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา
เขาไปไหนมาบ้าง
มีเหตุการณ์อะไรที่เขาสนใจเป็นพิเศษในช่วงนี้
จากนั้นถึงค่อยวกมาเข้าประเด็นหลัก
ที่ตั้งใจจะโทรมาคุย
“เออ เมื่อวันพุธที่แล้ว
วีร์ไปดูไพ่ยิปซีกับหมอคีตามา
พอดีได้คิวมาโดยบังเอิญ
เพื่อนพี่สาวเขาจองไว้
แล้วไม่ว่าง
วีร์เลยได้ไปดูแทน”
“เหรอ
โชคดีจังเลย
บุษได้ข่าวว่าคนจองคิวกันแน่นมากเลยนี่ แล้วก็ได้คิวยากด้วย”
บุษบงพูดออกไปด้วยความตื่นเต้น ด้วยเป็นที่รู้กันว่า
หมอคีตา ที่วีร์เอ่ยถึงนั้น
ชื่อเสียงโด่งดังมาก
“แล้วเป็นไง
แม่นหรือเปล่า” หล่อนซัก
“ไม่รู้สิ
วีร์ไปดูมากี่หมอ
เขาก็บอกว่า
วีร์มีเนื้อคู่นะ
แต่หมอคีตา
นี่ดันบอกว่า
วีร์ไม่มีคู่
แถมบอกเป็นนัยๆ
หาว่าวีร์มีแนวโน้มเป็นเกย์อีก“
บุษบงถึงกับหลุดขําออกไป
เพราะหล่อนสรุปอยู่ในใจแล้วว่า
วีร์นั้นน่าจะเป็นเกย์
ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่ยอมรับ
“เฮ้ย หัวเราะทําไม
อย่าคิดว่าวีร์เป็นนะ
วีร์ว่าหมอคีตานั่นแหละเป็นเกย์
แล้วพยายามหาพวก
ตอนนั่งคุยกันวีร์สังเกตว่า
เขามองวีร์แปลกๆว่ะ”
วีร์พูดด้วยนํ้าเสียงจริงจัง บุษบงได้แต่อมยิ้มฟังเขาพูดต่อ
โดยพยายามไม่ส่งเสียงหัวเราะ
“วีร์ว่า วีร์มีเนื้อคู่นะ ดูมาหลายหมอแล้ว
เขาก็บอกว่ามีทั้งนั้นเลย ความจริง วีร์ว่าเนื้อคู่นี่มันไม่จํากัดนะว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หมอดูที่วีร์เคยไปดูที่สุไหงโกลก เขาเคยบอกมาว่า
เนื้อคู่อาจจะหมายถึงเพื่อนสนิทก็ได้
เป็นคนที่รู้ใจกัน
ช่วยเหลือกัน
ก็ถือเป็นเนื้อคู่ได้
วีร์ว่าวีร์ต้องเจอแบบนั้นล่ะ
ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะมาสักที”
ชายหนุ่มผู้มีเอกลักษณ์ประจําตัวเรื่องการออกเสียง รอ เรือ
และคําควบกลํ้าได้ชัดเจน
พูดด้วยนํ้าเสียงระทดระท้อในตอนท้าย
ว่าไปแล้ว
การรอคอยของวีร์นั้น
ยาวนานกว่าบุษบงอยู่
1 ปี แต่เขาเป็นผู้ชาย
จะรอมากกว่าหล่อนสัก
5 ปี ก็ไม่เสียหาย
ใครๆก็ว่า
ผู้ชาย แก่แค่ไหนก็ยังหาคู่ได้
แต่ผู้หญิงนี่สิ
นับวันก็จะแห้งเหี่ยวลงทุกวัน
บุษบงอยากเห็นหน้า
“ใครๆ” คนกล่าวอ้างนัก ค่าที่ช่างคิด
ช่างสรรคําพูดมาบั่นทอนจิตใจของผู้หญิงได้เก่งดีเหลือเกิน
“แล้วบุษ ล่ะ ไปดูหมอมาบ้างหรือเปล่า
เออ ขวัญ
กับยอด คู่ทอม ดี้ ที่ทํางานน่ะ
ยังควงกันอยู่ใช่ไหม”
วีร์ถามถึงขวัญชนก
และยอดธิดา
ซึ่งเขารู้จักดี
เพราะวีร์มักจะแวะไปหาบุษบงที่สํานักงานอยู่หลายครั้ง
และมีโอกาสพบคนทั้งสอง
“ขวัญกับยอด
ก็ยังชื่นมื่นกันเหมือนเดิม
ส่วนเรื่องดูหมอ บุษก็…ไม่ได้ดูนานแล้วล่ะ”
บุษบงรู้ตัวว่าหล่อนได้พูดปดไป
หล่อนไม่อยากบอกว่า
หล่อนเองก็เพิ่งไปหาพระครูหมอดูที่บางปู
เมื่อวันอาทิตย์ก่อนโน้น กับขวัญชนกและยอดธิดา
หล่อนไม่กล้าพูดออกไป
ด้วยกลัวว่าวีร์จะถามถึงคําทํานาย
และหล่อนไม่อยากจะบอกกับเขาว่า
พระครูหมอดูท่านบอกไว้ว่า
“ดวงเนื้อคู่ก็พอจะมีอยู่หรอก แต่เส้นมันลางมาก
เส้นแบบนี้ตามตําราเขาว่า ขึ้นอยู่กับการดําเนินชีวิตของตัวเองเป็นหลัก
แต่ก็อย่ากังวลเรื่องคู่มากนะ
ชีวิตที่อยู่เป็นโสดนั้นดีอยู่แล้ว
ไม่มีห่วง
ไม่มีทุกข์
ดูอย่างพระพุทธเจ้า
ท่านยังสละลาภ
ยศ สมบัติ
กิเลส ตัณหาต่างๆ
เพื่อออกบวช
จนกระทั่งตรัสรู้
เป็นศาสดาเลยนะโยม”
หลังจากวีร์พูดจนพอใจกระทั่งรู้สึกง่วง เขาจึงบอกลาแล้ววางสายไป เขาไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่า
ได้ทิ้งเรื่องราวอะไรไว้ให้เพื่อนสาวต้องหมกมุ่น
แม้บุษบงจะวางหูโทรศัพท์ได้อย่างแนบสนิทดีแล้ว
แต่หล่อนก็ไม่อาจวางความครุ่นคิดถึงคําทํานายจากพระครูหมอดูลงได้ คําทำนายนั้นดังแว่วผ่านเข้ามาซํ้าแล้ว ซํ้าเล่า หล่อนใช้เวลาทั้งอาทิตย์เพื่อที่จะลืมคำทํานายเรื่องเนื้อคู่
พอเกือบจะแกล้งทำลืมได้สำเร็จ ข้อสนทนากับวีร์ก็กลับมาคุ้ยเรื่องโชคชะตาของหล่อนขึ้นมาอีก
บุษบงได้แต่ทอดถอนใจ ยอมศิโรราบให้แก่ชะตากรรม แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามา
“หรือว่าเราจะบวชชีดี”
“บวชชีไปสึกพระ”
เสียงทะเล้นๆของกฤษณะน้องชายหล่อน
แทรกเข้ามาในโสตประสาท
ความคิดพิเรนทร์ ของน้องชายหล่อน มักจะตามมาหลอกหลอนหล่อนเสมอ
“แต่จริงๆก็ไม่เลวนะ”
คิดพลางบุษบงก็หัวเราะคิกๆ
อยู่คนเดียว
“เหมียวววววว“
คล้ายกับว่าชะเอม แมวผู้มีศีลธรรมอันดีของหล่อน
ร้องทักท้วงขึ้น
พาลทําให้ความคิดสนุกๆ
อันเลวร้ายของหล่อน
ถูกขับไล่ออกไป
แล้วเจ้าความอ้างว้างที่พักทําการไปชั่วคราว
ก็เดินยิ้มเผล่เข้ามาประจําการที่เดิม
ภายในหัวใจของบุษบง หล่อนนอนกอดชะเอม
ที่บัดนี้
ซุกตัวนอนขด
ดูคล้ายก้อนกลมๆสีเทา
อยู่ข้างกายหล่อน
คํ่าคืนผ่านไปยาวนานเพียงไหน บุษบงมิอาจรู้ แต่หล่อนรู้สึกได้ถึงไอร้อนผะผ่าว ค่อยๆไหลรินลงมา...ทางหางตา
...............
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างรัศมีกับบุษบงนั้น ถูกเล่ากันปากต่อปากไปทั่วออฟฟิศ
หลายคนที่พลาดชมเหตุการณ์สดๆ
ในวันนั้น
ต่างร้องครางด้วยความเสียดาย
บางรายถึงถึงกับร้อง
“ว๊า” ที่เรื่องไม่ยาวบานปลายออกไป
หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
งานนี้น่าจะมีตบกันบ้าง
เหตุการณ์จะได้สนุกเร้าใจกว่านั้นหน่อย
ไม่มีใครเข้าข้างใครเป็นพิเศษ
เพียงแต่หลายคนคงอยากให้มีเรื่องตื่นเต้นสักเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น
เพื่อบรรเทาความซํ้าซากจําเจ ในชีวิตประจําวันที่ทํางานบ้าง เท่านั้น
บุษบงไม่รู้ความเป็นไปหรอกว่า
ผู้คนในสํานักงานพูดอะไรกันบ้าง
ด้วยเพราะหล่อนไม่ค่อยได้ไปร่วมกลุ่ม
สุมหัว นินทาชาวบ้านกับกลุ่มคนในสํานักงานบ่อยนัก
หล่อนเพิ่งได้รู้ว่า
เหตุการณ์ปะทะคารมระหว่างหล่อนกับรัศมีนั้น
กลายเป็นที่พูดถึง
ก็ต่อเมื่อสุระ
หรือที่หล่อนเรียกติดปากว่า
“พี่ใหญ่” ผู้จัดการฝ่ายสารสนเทศ
ถามเป็นเชิงเย้าแหย่
เมื่อเจอกันช่วงรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือใกล้ที่ทำงาน
“เฮ้ย ไอ้บุษ
เขาลือกันว่า
แกเกือบจะวางมวยกับน้องรัศมีคนสวยเหรอวะ”
สุระถามแบบกันเอง
ตามประสาคนคุ้นเคย
“วางมวยอะไรกันพี่
แหม! แค่ปะทะคารมพอหอมปากหอมคอ”
หล่อนตอบไปอย่างอารมณ์ดี
“เออ ดีแล้ว
นี่ถ้าเกิดถึงขั้นวางมวยอย่างที่คนในออฟฟิศเขาเชียร์
น้องรัศมีของพี่
คงจะแก้มชํ้าแหงๆ”
“อะไรกันพี่ใหญ่
บุษน่ะ เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ
บอบบางขนาดนี้
จะไปสู้รบตบมือกับใครเขาได้”
หล่อนโวยก่อนแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงออเซาะ เหมือนนางอิจฉาในละครตอนตีบทอ้อนพระเอก
“แกนี่นะผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่เดินอาดๆเข้ามา แมลงสาปเห็นเข้ายังกลัวขี้หดตดหายเลย”
หญิงสาวต้นเรื่องหัวเราะร่ากับคําพูดของหนุ่มใหญ่
ผู้ที่หล่อนคุ้นเคยดี
เป็นที่รู้กันในแวดวงคนสนิทกันว่า
เวลาที่อยู่นอกเวลางาน
และอารมณ์ปกติดี
บุษบงนั้นจัดเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน
พอสมควร และหล่อนมักจะพูดจาโต้ตอบได้สนุกสนาน
แต่ถ้าเป็นเวลาในเวลางานแล้วละก็
เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
บุษบงจัดสุระไว้อยู่ในบัญชีรายชื่อคนนิสัยดี
คบได้ เขามักจะมีมุขตลกๆมาหยอกล้อ
คนโน้น คนนี้ในสํานักงานบ่อยๆ
และไม่มีใครถือสากับคําพูดของเขา ต่างพากันสนุกสนานในอารมณ์ขันที่มีเหลือเฟือ
นี่ถ้าเขายังโสด หัวไม่ล้าน
ไม่แก่ขนาดเกือบเป็นพ่อหล่อนได้
และหน้าตาหล่อกว่านี้ล่ะก็
บุษบงคงนึกอยากได้เขามาเป็นคู่นัก
ค่าที่เป็นคนฉลาด
ขยันทํางาน
นิสัยดี มีอารมณ์ขัน
หล่อนแทบจะใส่คะแนนให้เขาเต็มทุกช่อง
ในแบบสอบถามมาตรฐานชายหนุ่มในฝันของหล่อน
“เออ จริงๆแกก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก
ทําไมหาฝาละมีกับเขาไม่ได้ซะทีวะ”
สุระถามคําถามขึ้นมา
หลังจากฟังจากปากบุษบงเองว่า
รัศมีได้ว่าอะไรหล่อนบ้าง
“นี่พี่ใหญ่
ถ้าไม่คิดว่านับถือกันอยู่นะ
จะด่าให้เปิงเลย
คําถามแบบนี้ถือว่าเป็นคําหยาบ
ไม่สุภาพอย่างมากเลยนะ” หล่อนแสร้งทำเสียงเข้ม
“ฉันถามจริงๆ
สงสัยว่ะ
ท่าทางแกจะเลือกมากล่ะสิ”
“อ้าวพี่ จะหาสามีทั้งทีก็ต้องเลือก
ต้องเฟ้น
กันหน่อย
เวลาเราเลือกซื้อปลายังต้องแหกเหงือก
ปลิ้นตาดูว่าสดหรือเปล่าเลย
เกิดได้ปลาเน่ามา
ก็ต้องโยนทิ้งให้หมากินสิ”
บุษบงตอบ
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี
แต่อย่าเลือกเพลินล่ะ
เวลาไม่คอยท่า
ตีนกาไม่เคยปรานีใคร”
สุระทิ้งท้ายด้วยคําคม
ที่ทําเอาบุษบงยังคงขํากับคำพูดนั้นไปหลายวัน
จริงสินะ
เวลานั้นไม่เคยคอยใคร นับวันบุษบงก็คงจะแก่ตัวขึ้นทุกวัน
เนื้อหนังมังสา
ก็คงจะเหี่ยวชราไปตามกาลเวลา นึกถึงตรงนี้พลันเสียงเพลงของยอดรัก สลักใจ ก็ดังแว่วเข้ามาในหู
“…ประเดี๋ยวก็แก่เกินกาล
เหมือนเรือขึ้นคานเกยท่า
ใครจะมาเมียงมองและหมายตา
ตอนวัยชราหย่อนยานนนนนน…“ พ่อยอดรักก็ช่างกระไร
ลากเสียง
“ยาน”ได้ทรมานใจนัก
บุษบงนึกค่อน
หญิงสาววัย
33 หมาดๆ
ไม่อยากเก็บประเด็นเรื่องมีคู่ครอง
มาขบคิด ถกเถียงตั้งคําถามกับตัวเองเลย
ความรักเจ้าเอย
ยิ่งหนี ยิ่งตาม ยิ่งทวงถาม
ยิ่งตีจาก
เห็นจะเป็นจริงตามคํากล่าวนี้
บุษบงนึกถึงสมัยวัยแรกรุ่น
แตกเนื้อสาว
ถึงจะไม่มีชายหนุ่ม
มาติดพันหล่อนเกรียวกราว
แต่ก็มีเข้ามาบ้างเหมือนกัน
ทั้งช่วงมัธยมปลาย
จวบจนถึงเข้ามหาวิทยาลัย
แต่หล่อนมิเคยสนใจใคร
เพราะผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างพรํ่าบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
“อย่าริรัก
วัยเรียน”
หล่อนเชื่อตามนั้น
และผลที่ได้รับคือ
หล่อนเรียนจบได้เกียรตินิยมอันดับ
2 นําพาความภาคภูมิใจมาสู่ครอบครัว และกรุยทางเข้ามาสู่การงาน
ในบริษัทใหญ่ที่มั่นคง
หากแต่ผลในอีกด้านกลับกันก็คือ
หล่อนพลาดโอกาสทองที่จะลิ้มรสความรักจากชายหนุ่มไปหลายครั้งหลายครา อันที่จริงหล่อนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า โอกาสที่หล่อนปล่อยหลุดไปนั้น
เป็นโอกาสทองแท้
หรือทองเทียม
แต่ที่แน่ๆ
โอกาสคานทอง
นั้นลอยมาอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือคว้า
บุษเอ๋ย บุษบง จะถึงคราเจ้าจะไร้คู่ชิดชมหรืออย่างไร
....................
วันเวลาในวัย
33 ย่าง
34 ของบุษบง
ยังคงผ่านไปแต่ละวันตามปกติ
กระทั่ง บ่ายวันเสาร์หนึ่ง
ในฤดูร้อน
บุษบงในเสื้อคอปาดแขนกุดสีขาว
กางเกงขาสั้นสีเขียวมะกอกยาวแค่เข่า
ก็พาตัวเองฝ่าแดดปลายเดือนเมษายน
เดินเดี่ยวมาหาซื้อของที่ตลาดนัดจตุจักร
ระหว่างเดินตรงดิ่งไปร้านขายผ้าฝ้ายทอมือแบบไทยๆ
หล่อนก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องเรียกชื่อ
“บุษ”
หล่อนหันขวับด้วยท่วงท่าที่คิดว่าดูดี
เหมือนนางเอกเท่ห์ๆ
เก๋ๆ ในนิยายสักเรื่องหนึ่ง พลันที่สายตา
กระทบเข้ากับภาพตรงหน้า
ดวงตากลมโตของหล่อน
ถึงกับเต้นระริก
หล่อนระบายยิ้มกว้าง
ด้วยความดีใจอย่างสุดระงับ
ความคิดในใจ สั่งให้หล่อนเดินก้าวไปหาเจ้าของเสียงแต่โดยเร็ว หากแต่กายไม่ตอบสนอง
บุษบงรู้สึกว่าเข่าของหล่อน อ่อนยวบ มือข้างซ้ายที่หิ้วถุงใส่หนังสือหลายเล่มอยู่นั้น
ก็พาลจะคลายออกเสียให้ได้
“มาคนเดียวเหรอ
มานั่งนี่ก่อนสิ”
ดีที่ว่าเสียงนุ่มๆ
เปล่งออกมาอีกครั้ง
ช่วยให้หล่อนรวบรวมกําลังกาย
ก้าวตรงไปหาเจ้าของเสียงนั้น
“ค่ะ” หล่อนตอบ “แล้วพี่เก้งล่ะค่ะ
มากับใคร”
ถามต่อ หลังจากนั่งลงที่เก้าอี้ไม้
ในร้านขายเครื่องดื่มตรงหัวมุม
ซึ่งชายหนุ่มที่หล่อนเรียกว่า
“พี่เก้ง” นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“พี่มากับเพื่อน
แต่แยกกันเดินดู
แล้วก็นัดกันมารอที่ร้านนํ้านี่แหละ”
พี่เก้ง หรือ ปวริศร์
เอ่ยบอก
“ไม่น่าเชื่อเลยว่า
บุษจะมาเจอพี่เก้งที่นี่
ตั้งเกือบสิบปีแล้วมั้งคะ
แถมพี่เก้งยังจําบุษได้อีก”
หล่อนพูดและหมายความตามนั้นจริงๆ
หลังจากรวบรวมสติ
ที่กระเจิดกระเจิงไป
เนื่องเพราะภาพตรงหน้า
ปรากฏให้เห็นเป็น
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสลักเสลา
งดงามราวรูปปั้นเดวิด ของ ไมเคิล
แองเจลโล
กรอบตายาว
รี ได้รูปสวยประดุจตากวาง
หากว่าคนเรากลับชาติมาเกิดใหม่
แล้วยังคงมีหน้าตาคงเดิมเหมือนเช่น ในหนัง หรือนิยาย บุษบง เชื่อว่า
ปวริศร์ กับ เดวิด
รูปปั้นของศิลปินชื่อก้อง
ต้องเป็นชายคนเดียวกันเป็นแน่แท้
แม้จะมิใช่ครั้งแรกในชีวิตที่หล่อนได้พบกับปวริศร์ แต่บุษบงก็มิสามารถควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจได้เลย
ครั้งแรกหล่อนพบเขาสมัยเข้ามหาวิทยาลัยปี
1 ปวริศร์เป็นรุ่นพี่
ปี 2 เขาเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และมาช่วยเพื่อนๆในกลุ่ม ทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงกลุ่มรับน้องใหม่ โดยรับหน้าที่อันทรงเกียรติคือ นั่งดูและหัวเราะ
น้องใหม่เต้นแรงเต้นกา
เล่นเกมผึ้งแตกรัง
รังแตกผึ้ง
ซํ้าแล้วซํ้าเล่า
บุษบงยังแอบคิดในใจว่า เขาคงมาทําหน้าที่เป็นไม้ประดับ
เรียกร้องความสนใจจากน้องๆสาวๆเท่านั้นเอง
และบุษบงก็รู้ว่าได้ผล
เพราะแม้แต่หญิงสาวชาเย็นไม่ใส่นํ้าตาลอย่างหล่อน
ยังใจสั่นหวิวๆ
มือเท้าอ่อนเป็นคราวๆ
ยามมองใบหน้าหล่อ
ใส สะอาดนั้น
วิธีระงับใจมิให้หลงใหลในรูปงามนั้น
หล่อนใช้วิธีเดียวกับดีเจค่ายเทปยักษ์ใหญ่ที่เปิดเพลงซ้ำๆกรอกหูคนฟัง บังคับให้จำ บุษบงจะบอกตัวเองซํ้าแล้วซํ้าเล่าว่า “ก็แค่หล่อ
แต่ไม่มีมุข
ไม่น่าสนใจหรอก”
อันที่จริงหล่อนห้ามปรามใจตัวเองไว้เพราะเจียมตัวดีว่า หล่อนมิอาจไปสู้รบปรบมือกับสาวๆคนอื่น ที่แข่งกันส่งสายตาชมดชม้อยให้แก่เขาได้
ด้วยจนปัญญาที่จะทําท่าทางเช่นนั้น แม้จะลองฝึกอยู่หน้ากระจกหลายครั้ง แต่แล้วก็ให้รู้สึกสมเพชตัวเอง
จนต้องเลิกราไปในที่สุด
“นั่งคิดถวิลหาอดีตอยู่เหรอ
บุษ” ปวริศร์เอ่ยขึ้น
เมื่อเห็นหล่อนนั่งนิ่งไปนาน
“แหม พี่เก้งก็
นะ บุษก็ต้องใช้เวลาสงบสติบ้างสิพี่
มาเจอพี่แถวนี้
นึกว่าผีหลอก”
“นี่จตุจักรนะ
ไมใช่สุสาน”
ชายหนุ่ม
พูดติดตลก
ก่อนถาม ”แล้วเป็นไงมาไงล่ะเรา
สบายดีหรือเปล่า
ทำงานที่ไหน”
“ก็สบายดีค่ะ
ก็ทำงานที่เดิม
ที่บริษัท…..”
หล่อนบอกชื่อบริษัทที่ทำงานไป
ปวริศร์ พยักหน้าเป็นเชิงว่าเขารู้จักบริษัทที่หล่อนทำงานอยู่
เป็นอย่างดี
ด้วยเคยเป็นหนึ่ง
ในทีมงานออกแบบอาคารของบริษัทในเครือ
ที่บุษบงทำงานอยู่
“บริษัทอยู่ใกล้โรงหนังเมเจอร์รัชโยธินนี่
อย่างนี้
ก็โดดงานเดินไปดูหนังได้สบาย”
พูดพลางหัวเราะร่า
“โอ้ย โดดงานก็โดนไล่ออกพอดีสิคะพี่”
หล่อนรีบท้วง
บุษบงนั่งคุยกับชายหนุ่มครู่ใหญ่ จึงได้รู้ว่าเขาเพิ่งกลับมาทำงานตามปกติได้ไม่นานนัก ด้วยเพราะประสบปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนต้องหยุดงานเพื่อไปพักรักษาตัวถึง 1 ปีเต็ม
“พี่ไปรักษาตัวที่เชียงใหม่
อยู่ที่นั่นปีนึงไม่ได้กลับกรุงเทพเลย
เพราะเขาไม่อยากให้เดินทาง
เป็นที่สำหรับทำกายภาพบำบัดโดยเฉพาะเลยนะ”
เขาเล่า
สองหนุ่มสาวสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวความเป็นไปของกันและกันอยู่ครู่ใหญ่ บุษบงแปลกใจอยู่ครามครันว่าการพูดคุยกับเขาวันนี้ ทำไมช่างดูสนิทสนมและเป็นกันเองมากกว่า
เมื่อครั้งอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
หล่อนคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะวัยที่โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
และหล่อนไม่รู้สึกกังวลใจว่า การได้พูดคุยกับชายหนุ่มรูปงามอย่างปวริศร์นั้น
จะนำพาให้เขาคิดไปว่าหล่อนแอบปลื้มเขาอยู่
ซึ่งหล่อนก็ยอมรับกับตัวเองว่าเคยแอบชื่นชมเขาตั้งแต่สมัยเรียน ทว่าต้องเก็บงำความรู้สึกนั้น ไว้ในใจอย่างเร้นลับ ด้วยเพราะหล่อนรู้ตัวดีว่ามันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
คนอย่างเขา ไม่มีทางมาชอบผู้หญิงไร้เสน่ห์อย่างหล่อนป็นแน่
แล้วหล่อนก็ได้รู้อีกว่า “โชคดีที่บนดอยที่พี่ไปอยู่ เขามีสอนนั่งสมาธิด้วย
ตอนพี่ป่วยพี่เพิ่งเลิกกับแฟนพอดี
ช่วยให้ใจสงบมาก”
แปลว่าเขายังโสด
ไร้คู่เช่นเดียวกับหล่อนนะสิ หากแต่ความดีใจก็แล่นขึ้นมาเพียงแค่วูบเดียว
พลันความรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัว ก็กลับถมทับอาการระริกระรื่นในใจ ให้ซ่อนกลับลงไปที่เดิม
แน่นอน การสนทนาในวันนั้น
จบลงด้วยการแลกเบอร์โทรศัพท์
“เผื่อพี่ผ่านไปแถวนั้น
จะชวนให้โดดงานออกมาดูหนัง”
ชายหนุ่มเอ่ยคำ
ชวนให้บุษบงใจเต้นโครมคราม
และพลั้งปากพูดไปอย่างไม่เชื่อในน้ำคำ
“ถ้ามาจริง
จะพาไปเลี้ยงสุกี้
เลยพี่ “
“แน่นะ
แล้วได้เจอกัน
น้องบุษบง”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้มยียวน พลางทำท่าตวัดนิ้วชี้
มายังหล่อน
ก่อนเอ่ยลาจากกัน
เมื่อเพื่อนของปวริศร์มาถึง
บุษบงลอบมองร่างสูงนั้น เดินจากไปจนลับตา
หญิงสาวก้มมองดู นามบัตรในมือ
ราวกับจะย้ำกับตัวเองว่าหล่อนมิได้ฝันไป
หล่อนได้พบกับเขา
“ปวริศร์ อิทธิดล” ชายหนุ่มผู้เป็นภาพต้นแบบ
หนุ่มหล่อในฝันของหล่อน
จากวันนี้ไป หล่อนคงได้เฝ้าแต่รอว่าเขาจะทำตามที่พูดหรือเปล่า
หรือหล่อนอาจจะได้แต่ฝันค้างรอเก้อ
คิดแล้วหล่อนก็จำต้องไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไป
หล่อนขอมอบให้เป็นหน้าที่ของกาลเวลา และโชคชะตาพาไปดีกว่า เรื่องคู่ครองและหัวใจนั้น
เป็นเรื่องของลิขิตฟ้า
บุษบงเชื่อเช่นนั้น
พลันหล่อนจึงกลับมาตั้งสติใหม่ เมื่อครู่หล่อนตั้งใจว่าจะไปดูผ้าฝ้ายทอมือร้านใกล้ๆนี้นี่นา
หญิงสาวก้าวเท้าอย่างฉับไว
เดินตรงเข้าไปในร้าน
ปล่อยใจเพลิดเพลินกับ มวลผ้าแพรพรรณนานา พัดพาภาพฝันเมื่อครู่ ให้ค่อยคล้อยเคลื่อนจากไป
---------------------------