เมื่อบุษบงจะลงจากคาน
โดย ริญา
ตอนที่ 4
จะมีบ้างไหม
ผู้ชายดีๆสักคน
ช่วงสายวันหนึ่งของวันทำงาน
บุษบง
ได้รับโทรศัพท์จากเลขานุการ
ประธานบริษัท
ให้เข้าพบเกี่ยวกับ
เรื่องที่บริษัทรับผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจคนใหม่
ตามหน้าที่แล้ว
บุษบง ต้องจัดการเรื่องการกรอกประวัติการทำงาน
และเอกสารต่างๆ
ของเจ้าหน้าที่ระดับบริหารคนใหม่ลงในข้อมูลบริษัท
รวมทั้งจัดเตรียมเรื่องห้องทำงานให้เรียบร้อย
ซึ่งหากผู้บริหารคนใหม่
ต้องการเพิ่มเติมอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องทำงาน
เป็นพิเศษ
หล่อนก็ต้องจัดสรรหามาให้ตามความต้องการ
บุษบงยิ้มทักทาย
สุนิสา เลขาฯหน้าห้อง
ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องทำงานหรูหราบนชั้น
18
ของอาคารสำนักงาน
“นั่งสิ บุษ”
คุณปราการ
ประธานบริษัท
กล่าวเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงใจดี
หากกังวานและมีอำนาจ
หล่อนเลือกนั่งเก้าอี้
ด้านชิดผนังอาคาร
เยื้องกับโต๊ะของคุณปราการ
“นี่คุณวรพจน์
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจคนใหม่ของเรา”
ชายวัยกลางคน
ผู้นั่งอยู่ก่อนแล้ว
บนเก้าอี้หนัง
ตรงหน้าคุณปราการ
หันมาระบายยิ้มละมุน
“สวัสดีครับ ผมวรพจน์ครับ
ยินดีที่ได้รู้จักครับ
คุณบุษใช่ไหม
ถ้าผมฟังไม่ผิด”
สายตาที่จ้องมองมาเป็นประกายวาววับ
กิริยาท่าทาง
บ่งบอกถึงความมั่นใจในความหล่อ และเสน่ห์ชายของตนเองเต็มที่
“ค่ะ บุษบง
หัวหน้าฝ่ายบุคคลและธุรการค่ะ”
หล่อนตอบไป
พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
พอเป็นมารยาท
ก่อนเบือนหน้า
มองไปยังประธานบริษัท
เพื่อให้พ้นจากสายตากรุ้มกริ่ม
และแสดงถึงความหลงตัวเองคู่นั้น
“คุณวรพจน์
จะมาเริ่มงานกับเราวันที่
16 พฤษภา ก็กลางเดือนหน้านี้นะ
ผมอยากให้บุษจัดการเรื่องห้องทำงาน
แล้วก็เอกสารต่างๆตามระเบียบของบริษัท
เหมือนที่เคยจัดการให้ผู้บริหารระดับสูงของเรา
ผมจำได้ว่าเรามีห้องทำงานที่พร้อมใช้งานอยู่ใช่ไหม”
คุณปราการถาม
ซึ่งบุษบงเข้าใจโดยเร็วว่าหมายถึงห้องผู้อำนวยการฝ่ายคนเดิม
ที่เพิ่งลาออกไป
หล่อนจึงตอบรับคำ
“งั้นพาคุณวรพจน์ไปดูห้องทำงานหน่อยก็แล้วกัน
เผื่อจะเพิ่มเติมอะไร”
“ค่ะ”
“คุณวรพจน์
ผมส่งคุณต่อให้บุษดูแลเลยนะ”
ผู้เป็นประธานบริษัทพูด
ก่อนลุกขึ้นยืน
เดินอ้อมออกมาจากโต๊ะทำงาน
วรพจน์
ลุกขึ้นยืนตาม
พลางส่งมือไปสัมผัสกับมือของคุณปราการที่ยื่นมาให้
เมื่อบอกลาประธานบริษัทเรียบร้อยแล้ว
เขาจึงเดินตามบุษบง
และเลขานุการของท่านประธานออกมา
“ขอบคุณมากนะครับ
น้องสุ” วรพจน์
เดินปรี่
ตามสุนิสาไปถึงโต๊ะทำงานของหล่อน
บุษบง
เหลือบดูรอยยิ้ม
และดวงตาของเขาที่ส่งทอดไป
แล้วให้รู้สึกแขยง
ด้วยเพราะมันหวานเชื่อมอย่างเปิดเผยเป็นที่สุด
“ไม่เป็นไรค่ะ
เป็นหน้าที่ของสุอยู่แล้ว”
สุนิสา
ตอบกลับไปน้ำเสียงเรียบ
และยิ้มให้น้อยๆ
บุษบงพอมองออกว่า
สุนิสา ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนกับท่าทีของวรพจน์อยู่บ้าง
“บริษัทเรา
เห็นท่าจะมี
มนุษย์หัวงอกออกมาเป็นงู
เพิ่มอีกรายแล้วสินะ”
บุษบงคิดอยู่ในใจ
แต่หล่อนคงรอดตัวไป
เพราะไม่ติดทำเนียบ
สาวสวยประจำบริษัท
อย่างเช่น
สุนิสา
รายนี้
แม้จะแต่งงานไปแล้ว
แต่ชายหนุ่มทั้งหลาย
ก็ไม่วายเข้ามาวอแว
คงหวังในใจลึกๆ
ว่าหากครอบครัวสุนิสาแตกร้าวเมื่อไร
จะได้เข้าไปเสียบได้ทันท่วงที
เหมือนบรรดาพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
ที่คอยหาช่องเสียบเข้าร่วมรัฐบาล
ว่ากันตามเนื้อผ้า
ในสายตาบุษบง
วรพจน์
ก็จัดเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ดูดีคนหนึ่ง
สูงประมาณ 175 เซนติเมตร หุ่นผึ่งผาย
และผิวสีน้ำตาลแดง
บอกให้รู้ว่าเขาออกกำลังกาย
และเล่นกีฬากลางแจ้งสม่ำเสมอ
จุดด้อยของเขานั้น
บุษบงคิดว่า
อยู่ที่ดวงตาเล็ก
รี และปากแหลม
ยื่น
ชวนให้หล่อนจินตนาการถึง
เจ้าซึเนโอะ
ในการ์ตูนเรื่องโดเรมอน
“ถ้าท่านประธานฯ
ต้องการตามตัวผมเร่งด่วน
ก็โทรเข้ามือถือได้นะครับ
หรือหากน้องสุมีธุระปะปังจะใช้ผม
ก็โทรหาผมได้ตลอดเวลาเลย
มือถือเครื่องนี้เปิดตลอด
24 ชั่วโมง”
เขายกโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋ว
รุ่นล่าสุดขึ้นมา
เป็นท่าทางประกอบ
บุษบง
ผู้สังเกตการณ์
รู้สึกทั้งเลี่ยน
และหมั่นไส้
ในท่าทีของชายวัยกลางคน
ผู้ยืนอยู่ถัดจากหล่อนไปเพียงไม่กี่ก้าว
นี่ถ้าหล่อนเป็นสุนิสา
คงได้พูดจาดักคอตามนุษย์หัวงู
คนนี้ไปบ้าง
อาทิ
“เปิดโทรศัพท์
24 ชั่วโมง
แล้วจัดเวลาสลับเวรให้อีหนู แต่ละคนโทรหรือเปล่าค่ะ”
หรือ “ต๊าย
ถ้าดิฉันโทรไปตอน
คุณกำลังทำธุระสำคัญยามดึก
จะมีแก่ใจมารับสายหรือคะ”
หล่อนอยากรู้นักว่าเขาจะตอบว่าอะไร
“คุณวรพจน์คะ
พอดีบุษมีงานค้างอยู่ด้วย
คงต้องรีบนิดนึง เราไปดูห้องทำงานของคุณกันเลยได้ไหมคะ”
หล่อนเอ่ยเสียงเข้มอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อตัดบทเมื่อเห็นท่าเขาจะอ้อยอิ่งอยู่ตรงโต๊ะสุนิสาอีกนาน
“ครับ ครับ
ครับ
ไปกันเลย ขอโทษที
ผมไปก่อนนะครับน้องสุ
บางทีถ้าผมอยากทราบอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน
ในบริษัท
ผมอาจจะโทรมาคุยบ้างนะครับ”
เขาพูดทิ้งท้าย
ก่อนก้าวตามบุษบง
ซึ่งกำลังพยายามเก็บสีหน้าบอกบุญไม่รับ
อย่างเต็มกำลัง
บุษบงพาเขาลงลิฟท์ไปที่ชั้น
17 หญิงสาว
เดินก้าวฉับๆ
ออกจากลิฟท์
นำหน้าเขาไปยังห้องทำงาน
หล่อนอยู่ชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปพื้นดำ
ลายสีขาวตามทางยาว
สวมทับชายด้วยกางเกงผ้า
เอวต่ำ ขายาวตรง
สีดำสนิท
รูปทรงของกางเกงขับเน้นให้เห็นก้นงอนงาม
หากหญิงสาวมีตาข้างหลัง
คงเห็นสายตามันวาว ของชายผู้กำลังเดินตามมานั้น
จับจ้องอยู่ที่สะโพก และก้นงอนงามของหล่อน
ยามยักย้ายขึ้นลง
ทุกจังหวะก้าวย่าง
บุษบงหยุด
แล้วหมุนตัวกลับมา
เมื่อถึงหน้าห้องทำงานของฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
“ห้องนี้เป็นห้อง
ของฝ่ายพัฒนาธุรกิจค่ะ”
บนชั้น 17
เป็นที่รวมห้องทำงานแทบทุกฝ่ายต่างๆ
ของบริษัท
รวมทั้งฝ่ายบุคคลและธุรการที่หญิงสาวสังกัดอยู่
ส่วนชั้น 18
นั้น
เป็นห้องทำงานของประธานบริษัท
กรรมการบริหารบริษัท
ฝ่ายการเงิน
และห้องประชุมใหญ่
บุษบงผลักประตูบานกระจก
ก้าวนำเขาเข้าไป
แล้วหันมาพูดต่อ
“ห้องทำงานของคุณวรพจน์
อยู่ด้านใน
ส่วนภายในห้องก็เป็นโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายของคุณค่ะ
เดี๋ยวบุษจะแนะนำให้รู้จักทุกคนนะคะ”
วรพจน์
แนะนำตัว
และทักทายกับว่าที่ลูกน้องในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า
ด้วยท่าทางภูมิฐานและน่าเชื่อถือ
อาการเจ้าชู้กรุ้มกริ่มที่เรี่ยราดอยู่แถวๆโต๊ะสุนิสาเมื่อครู่หายไปสิ้น
แม้หนึ่งในสองสาวของฝ่ายนั้น
จัดว่าอยู่ในขั้นหน้าตาดีก็ตาม
หลังจากแนะนำเจ้าหน้าที่ในฝ่ายทั้งหมด
ให้แก่ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจคนใหม่แล้ว
หล่อนจึงพาเขาไปดูห้องทำงานส่วนตัว
“ผมคงไม่เพิ่มเติมอะไรมากหรอกครับน้องบุษ” เขาพูดเสียงอ่อนหวาน
คำนำหน้าชื่อที่เรียกจาก
“คุณบุษ”
กลายเป็น
“น้องบุษ”
ทันทีที่ประตูปิดลง
บุษบงเพียงแต่พยักหน้ารับ
“มีอย่างเดียวที่ผมอยากได้
ไม่ทราบว่าจะรบกวนน้องบุษเกินไปหรือเปล่า”
“อะไรคะ”
“ผมอยากได้แจกันพร้อมดอกไม้
วางที่โต๊ะทำงานน่ะครับ
ผมชอบให้มีดอกไม้อยู่ในห้อง
ดูสดชื่น
เติมบรรยากาศการทำงานได้ดีทีเดียว“
เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
นัยน์ตาเล็กรีนั้นเชื่อมเยิ้ม
“ไม่มีปัญหาค่ะ
เพราะบริษัทเราต้องจัดดอกไม้ประดับทุกอาทิตย์อยู่แล้ว
บุษจะให้แม่บ้านจัดการให้คุณวรพจน์
ทุกเช้าวันจันทร์ก็แล้วกันนะคะ”
หล่อนพูดพลางก้มหน้า
จดลงบนสมุดบันทึกเล็กๆในมือ
แล้วเงยหน้าขึ้นถามต่อ
“แล้วคุณวรพจน์มีดอกไม้ที่ชอบ
หรือไม่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
“แหมน้องบุษนี่ละเอียดรอบคอบดีจริง”
เขาเอ่ยชมเสียงอ่อนหวานเช่นเคย
“บุษก็ต้องทราบก่อนน่ะค่ะ
เพราะบางคนอาจแพ้กลิ่นของดอกไม้บางชนิด”
“ผมไม่ทราบว่าผมแพ้กลิ่นอะไรนะ
เพราะผมชอบดอกไม้สีหวานๆ
แทบทุกชนิด
แต่ผมชอบกลิ่นของกุหลาบที่สุด
มันหอมหวาน
เย้ายวนดี
เปรียบเหมือนผู้หญิงที่ทั้งสวย
ทั้งฉลาด มีสเน่ห์
แต่มีหนามแหลมคม
เด็ดมาดมไม่ได้ง่ายๆ”
โอ้
คุณพระคุณเจ้า
บุษบงอยากจะร้องอุทานออกมาดังๆ
ในคำพูดอันแสนเลี่ยน
ชวนให้หล่อนอยากจะขย้อน
โจ๊กหมูใส่ไข่ที่กินเข้าไปเมื่อเช้าเหลือเกิน
คำพูดที่สรรออกมา
พระเอกนิยายหลังข่าวทั้งหลายมาได้ยินเข้า
คงต้องรีบกรานเข้ามาไหว้ในฐานะที่เป็นตัวจริง
เสียงจริง
และน้ำเน่าจริงๆ
“ค่ะ”
บุษบงรับคำเพียงสั้นๆ
พลางพยายามหาวิธีที่ตัดบท
หาช่องตัวเองให้พ้นไปจากหน้าชายกลางคน
ผู้ที่อาจจะยึดคติ
“คารมเป็นต่อ
รูปหล่อเป็นรอง”
ไว้ประจำใจ
“คุณวรพจน์ดื่ม
ชาหรือกาแฟค่ะ
แล้วรสชาติแบบไหน”
หล่อนถามเร็วๆ
“ตอนเช้าผมชอบดื่มกาแฟดำ
ไม่ใส่น้ำตาลครับ”
เขาตอบ “น้องบุษนี่ใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ
ท่าทางจะเป็นแม่บ้านแม่เรือน
ใครได้ไปเป็นคู่ครอง
คงโชคดีมาก”
เขาทอดน้ำเสียงพูดนิ่มนวล
“ขอบคุณค่ะ
ที่บุษอยากทราบก็ครบแล้วล่ะค่ะ
บุษคงต้องขอตัวไปทำงานที่ค้างต่อนะคะ”
หล่อนรีบหาช่องตัดบท
“ยินดีที่บริษัทเราได้คุณวรพจน์มาร่วมงานค่ะ”
ประโยคสุดท้ายนั้น
บุษบงเพียงแต่พูดไปตามมารยาท
หรืออีกนัย
เป็นการพูดไปตามแบบแผนที่ควรจะพูดต้อนรับผู้เข้ามาใหม่
“ผมก็ยินดีครับ
แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักน้องบุษด้วย
ต่อไปเรียกผม
‘พี่พจน์’ ก็ได้นะครับ
ฟังดูเป็นกันเองดี”
“ค่ะ”
หล่อนรับคำไปอย่างนั้น
ด้วยไม่อยากต่อความยาว
ตั้งท่าจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง
หากต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเขาร้องทัก
“น้องบุษครับ
ผมยังไม่ได้ชมน้องบุษเลยว่า
น้องบุษแต่งตัวดีจัง
ผมชอบ
โดยเฉพาะกางเกงทรงนี้
น้องบุษใส่แล้วดูดีมาก
สะโพกสวยจริงๆ”
บุษบงหน้าแดงซ่าน
มิใช่เพราะอาย
แต่เพราะโกรธมากกว่า
นี่แสดงว่า
อีตาบ้านี่
แอบจ้องมองก้นของหล่อน
ขณะที่หล่อนเดินนำหน้าเข้าอย่างนั้นสิ
หนำซ้ำยังมีหน้ามาชมอีก
หล่อนรู้สึกสมองอื้ออึง
จนด้วยคำพูด
หากหล่อนยังมีสติพอ
ที่จะไม่พูดอะไรตอกหน้าผู้บริหารระดับสูง
แม้จะถูกลวนลามด้วยสายตาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ก็ตาม
สิ่งเดียวที่สมองสั่งให้หล่อนทำได้
คือสะบัดหน้าพรืด
เดินก้าวเร็วๆจากห้องนั้นมา
โดยไม่พูดจากับผู้ใด
นี่มันวันอะไรกัน
ทำไมหล่อนต้องเจอเรื่องชวนขยักขย้อนตั้งแต่เช้า
ตลอดชีวิตการทำงานในบริษัทแห่งนี้
หล่อนไม่เคยถูกผู้ชายหน้าไหนในบริษัท พูดจาทำนองนี้กับหล่อนเลย
แม้บรรดาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือ
สิงห์ กระทิง
แรด ก็เถอะ
หล่อนรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงผู้ชายคนนี้เป็นที่สุด
ตาวรพจน์
จอมหื่น
คงจะจัดอยู่ในกลุ่มผู้ชายบ้าตัณหา
ในประเภทที่เขาเรียกว่า
“คลำดูว่าไม่มีหางเป็นใช้ได้“
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
ทันทีที่หล่อนกลับถึงโต๊ะทำงาน
หล่อนจึงรีบแล่นโทรไปหา
กิ่งแก้ว
เพื่อระบายความอัดอั้น
“ไอ้บ้านี่
มันทุเรศจริงๆเลย
เป็นฉันหน่อยไม่ได้
จะด่าใส่หน้ามันเลย”
กิ่งแก้ว
ตอบกลับมาด้วยความโกรธแทนเพื่อน
“ฉันก็อยากด่าเหมือนกันแหละ
แต่ทำไม่ได้ว่ะ
มันเป็นผู้บริหารระดับสูง
ขืนด่ามัน มีหวังฉันเด้งแน่”
“แกพูดก็จริง โฮ้ย!
โลกนี้มันไม่ยุติธรรมเลย
โดยเฉพาะกับผู้หญิงอย่างเราๆ”
กิ่งแก้วร้องออกมาดังๆ
เป็นการระบายความหงุดหงิด
“ใช่
ทำไมผู้ชาย
ต้องเห็นผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ
ใช้เราเป็นที่ระบายความหื่นกระหาย
แม้กระทั่งทางสายตา ก็ไม่ละเว้น”
บุษบงเริ่มบ่นระบาย
“นี่ฉันไม่ได้พูดด้วยอารมณ์เฟมินิสต์นะ
แต่พูดถึงจริยธรรมการอยู่ร่วมกันในสังคม”
“แกเอ๊ย
อย่าไปหวังอะไร
จากพวกผู้ชายเล๊ย
วันนี้ฉันเพิ่งอ่านเจอในคอลัมน์ซับน้ำตาคนเศร้า
ผู้หญิงโดนผู้ชายหลอก
ตกไปเป็นเมียน้อยเขา
แล้วท้องผู้ชายไม่รับผิดชอบ
ให้ไปทำแท้ง
ผู้หญิงก็ไปทำ
เพราะกลัวพ่อแม่ไม่ยอมรับ
อายสังคม
แล้วอะไรรู้ป่าว ผู้ชายนะเลวมาก
เงินมันก็ไม่ให้ไปทำแท้ง
ผู้หญิงต้องออกเงินเอง
ต้องตากหน้าไปหาหมอเถื่อนเอง
พอทำแท้งเสร็จกลับมา
ผู้ชายมาขอคืนดี
อ้างว่าผิดไปแล้ว
ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จให้เหตุผลสารพัดนานา”
กิ่งแก้วเล่าเป็นฉากๆ
“แล้วเป็นไง
ผู้หญิงคืนดีหรือเปล่า”
บุษบงซักต่ออย่างสนใจ
“ถ้าคืนดีก็โง่เต็มทีแล้ว
ผู้หญิงคนนี้เขาก็เขียนมาเล่าเรื่องของเขาให้เป็นอุทาหรณ์
สอนใจหญิงทั้งหลาย
ให้รู้เท่าทัน
เล่ห์เหลี่ยมพวกผู้ชายที่มันมีเมียแล้ว
คำอ้างของพวกนี้นะแก
จำไว้เลย
‘อยู่กับเมียหลวงเพื่อลูก’
‘เลิกกันไม่ได้เพราะสังคม’
‘เพิ่งมาเจอคนที่รู้สึกว่ารักจริง’
โอ๊ย ไอ้พวกนี้มันใช้มุขเดิมๆ
เหมือนๆกันแหละแก“
หล่อนเล่าต่ออย่างเมามันในอารมณ์
แล้วทอดเสียงละเหี่ยในประโยคสุดท้าย
“ชีวิตจริงฉันเองก็เคยเจอ”
“ฮ้า!
แกเคยเจอคนมีเมียแล้วมาจีบเหรอ
ทำไมฉันไม่เคยรู้”
บุษบง
ร้องถามอย่างประหลาดใจ
“แหม แก
ฉันก็ไม่อยากจะเล่าหรอก
มันอายน่ะ
เพราะตอนแรกฉันก็เคลิ้มๆไปกับเขาเหมือนกัน”
กิ่งแก้วพูดเสียงอ่อย
“เอาไว้เจอกันอาทิตย์นี้
แกต้องเล่าให้ฉันกับนังนิตย์
ฟังซะดีๆ
อย่าให้ต้องเค้นคอ”
บุษบงแสร้งทำเสียงเข้ม
หยอกล้อเพื่อนสาว
หล่อนเริ่มคลายอารมณ์เคียดแค้นลงได้บ้างแล้ว
“เออ
แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง
เฮ้อ
ผู้ชายดีๆสักคน
จะมีบ้างไหมน๊า”
กิ่งแก้วพ้อ
พลันวงหน้าสะอาดใส
เจ้าของรอยยิ้มละเมียด
ก็ปรากฏขึ้นในห้วงคิดของบุษบง
“มีสิ ฉันเพิ่งเจอเมื่อวันอาทิตย์ก่อนโน้นเอง”
พูดพลางหัวเราะคิก
“เฮ้ย
ได้ไงวะ
มีดีแล้วปิดเพื่อน”
“เอาไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง
หลังจากฟังเรื่องของแกละกัน”
บุษบงให้คำมั่น
ก่อนวางสายจากเพื่อนสาว
อารมณ์ร้อนระอุ
ก่อนหน้าเริ่มจางไป
บุษบงบุ้ยใบ้ให้เหตุผลกับตัวเองว่า
คงเป็นเพราะได้คุยกับกิ่งแก้ว
หากแต่จะยกความดีทั้งหมดให้เพื่อนสาวคงไม่ได้
เพราะภาพของชายหนุ่มผู้มีวงหน้า
และเรือนร่างสูง
กำยำ
งดงามราวรูปปั้นเดวิด
ที่ตั้งตระหง่าน
ณ เมือง ฟิเรนเซ่
อิตาลี
นั้นยังคงลอยนิ่งอยู่ในมโนคิด
ทั้งยังแต่งแต้มรอยยิ้มละไม
ประดับบนใบหน้า
ของหญิงสาวไปได้ตลอดวัน
จวบจนยามราตรีประดับแสงดาวพราวระยับบนฟากฟ้า
บุษบง
ซุกหน้าลงแนบกับตุ๊กตาแมวการ์ฟิลด์
ตัวใหญ่
ในอ้อมกอด
พลางฝันถึงแผงอกหนา
ของใครคนนั้นในจินตนาการ
หากฝันของหล่อนเป็นจริง
หล่อนคงไม่ต้องทนเหงาอยู่ทกคืนค่ำ
จนย่ำรุ่ง
“พี่เก้ง....เราจะได้พบกันอีกไหมคะ”
หล่อนทำตาปรอยฝันหวาน
กับคนในห้วงคิด
แล้วหล่อนก็ได้ยินเสียงเขาเอ่ยกลับมา
ทำให้หล่อนผวาตื่นจากภาพฝัน
“เหมียววว”
โธ่
ชะเอม
ทำไมต้องโผล่เข้ามาตอนที่หล่อนกำลังเคลิ้มด้วยนะ
บุษบงนึกหงุดหงิดในใจ
แมวชะเอม
จ้องหน้ามองหล่อนอย่างสงสัย
ก่อนเดินสะบัดก้น
ไปนอนตรงปลายเตียง
ปล่อยให้เจ้านายสาวทบทวนภาพในฝันกลับซ้ำอีกครั้ง
และต่อเติมจินตนาการ
กระทั่งเคลิ้มหลับไป
-------------------------------------------------