เมื่อบุษบงจะลงจากคาน โดย ริญา

ตอนที่ 5 เมื่อคิดให้ดี โลกนี้ประหลาด

 

                11 โมงเช้า วันอาทิตย์ ณ ร้านกาแฟ ย่านเซ็นเตอร์พอยต์ สยามสแควร์ จุดนัดพบของ สามสาว สามวัย สถานภาพเดียวกัน (กิ่งแก้ว 34 บุษบง 33 เนาวนิตย์ 32 สถานภาพ โสด)

 

“ฮ้า! แกเจอพี่เก้งเหรอ” กิ่งแก้วร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ  พลันเกิดอาการมือไม้สั่นเทา อย่างเห็นได้ชัด ขณะยกแก้วชามะนาวขึ้นจิบ เพื่อระงับสติอารมณ์

                “ทำไมแกถึงออกอาการขนาดนี้  แกเคยแอบชอบพี่เก้งด้วยหรือไง” บุษบงถามด้วยความสงสัย ส่วนเนาวนิตย์ นั่งหน้าเหลอ เพราะไม่รู้จักชายหนุ่ม ผู้กำลังเป็นประเด็นพูดถึงในวงสนทนา

                “ใครไม่รู้จักก็เชยสุดๆ หล่อ ล่ำขนาดนั้น” กิ่งแก้วนัยน์ตาปรอย

                งั้นฉันก็เชยน่ะสิ ฉันไม่เห็นรู้จัก พี่กวาง อะไรนี่ของแกเลย”

                “เก้ง ย่ะ ไม่ใช่กวาง” บุษบงรีบพูดแก้คำผิดให้แก่เนาวนิตย์

                “แหม มันก็ใกล้ๆกันแหละ เก้ง กับ กวาง” สาวประจำกองบรรณาธิการ “ลูกสุดที่รัก” แก้ตัว

                “โธ่ นิตย์เอ๊ย แกจะไปรู้จักได้ไงล่ะยะ แกน่ะมัวแต่เอาหน้าซุกตำรา ไม่เคยสอดส่ายสายตาดูหนุ่มๆต่างคณะซะบ้าง ถึงไม่รู้ว่าพี่เก้ง ปวริศร์ อิทธิดล เนี่ยะที่สุดของที่สุดหนุ่มหล่อ ตลอด 4 ปีที่เราเรียนเลยล่ะ” กิ่งแก้วพูดด้วยท่าทางแบบผู้รู้  และหล่อนก็รู้ลึกจริงๆ กระทั่งสามารถสร้างความประหลาดใจ ให้กับบุษบง ในเวลาต่อมา

                “แกรู้กระทั่งชื่อจริง นามสกุลจริง ของพี่เขาขนาดนี้เลยเหรอแก้ว นี่ถ้าฉันไม่ได้นามบัตรพี่เขามา ฉันก็คงไม่มีวันรู้แน่ๆ” บุษบงถาม

บุษเอ๊ย บุษบง แกน่ะเสียแรงที่รู้จักพี่เขาเป็นการส่วนตัวจริงๆ ฉันว่าแกก็คงไม่รู้หรอกนะว่า พี่เก้งเคยให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารพราวสุดสัปดาห์ด้วยนะยะ ตอนนั้นสัมภาษณ์เดี่ยว”

                กิ่งแก้วเล่าแล้วหยุดเพื่อจิบชามะนาวอีกนิดหนึ่ง ราวกับจะทำใจเล่าตอนต่อไป โดยมีบุษบงเป็นผู้ฟังหลักนั่งจดจ่อรอคำบอกเล่าตอนต่อไป ส่วนเนาวนิตย์นั้นนั่งด้วยท่าทางสบายๆ พลางพลิกอ่านนิตยสาร ที่ติดมือมาจากบ้านไปด้วยระหว่างฟัง

หญิงสาวในชุดแต่งกายสไตล์ญี่ปุ่น ถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนเล่าต่อ

“แล้วก็อีกครั้งลงในนิตยสารขวัญใจ ฉบับวันแห่งความรัก สัมภาษณ์ คู่กับน้องบิว บราลี นางแบบไฮโซ แฟนพี่เก้งเขาล่ะ”  กิ่งแก้วหน้าสลดลง

หล่อนจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ หล่อนอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับนั้น ใจหล่อนถึงกับหายวูบ  เกิดความรู้สึกเดียวกับ เมื่อคราวอ่านข่าวแบรด พิทท์ แต่งงาน  ไมเคิล โอเว่น เปิดตัวแฟนสาว และอีกคราว เมื่อเห็นโยชิกิ นักร้องนำวงเอ็กซ์ เจแปน ประคับประคองแฟนสาว ฝ่าคลื่นฝูงชนที่สนามบิน ดอนเมือง ครั้งนั้นทำเอากิ่งแก้วหัวใจแทบสลาย ด้วยอุตส่าห์ลากบุษบง ไปกระชากวัยปะปนกับกลุ่มเด็กสาววัยรุ่น เพื่อร่วมต้อนรับ “พี่โย” ของพวกหล่อน แต่การณ์กลับเป็นว่า พวกหล่อนต้องเห็นภาพที่บาดตาบาดใจนั้นแทน

                ใบหน้าบุษบง ขณะที่ฟังเรื่องราวจากปากกิ่งแก้ว ณ เวลานี้ ก็สลดไม่ต่างจากเพื่อนสาวเลย

                “เขา 2 คนถ่ายรูปคู่กันแล้วเหมาะสม ราวกับกิ่งทอง ใบหยก สวย หล่อ การศึกษาดีทั้งคู่ ชาติตระกูลก็ดีไม่แพ้กัน พี่เก้ง  เกิดในตระกูลขุนนางเก่า ส่วนน้องบิว ก็หรู ไฮโซ ขนาดไหนพวกแกคงรู้   ป่านนี้คงแต่งงานกันไปแล้วมั้ง ควงกันตั้งนานแล้วนี่  ช่วงนี้น้องบิวก็ไม่ค่อยมีข่าวเท่าไหร่ แค่เห็นรูปถ่ายตอนไปงานสังคมแค่นั้นเอง”

                “โอ้โห แก้ว ฉันนับถือแกเลยเรื่องเกาะติดข่าวสังคม  เป็นความสามารถพิเศษที่หาตัวจับยากจริงๆ” เนาวนิตย์เงยหน้าจากนิตยสารในมือ บอกกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

                ส่วนอีกหนึ่งสาว นิ่งเงียบ  ก่อนเอ่ยขึ้น

                “พี่เก้งบอกฉันว่า เขายังไม่แต่งงาน  แล้วเขาก็เลิกกันกับแฟนช่วงที่พี่เขาป่วยต้องไปรักษาตัวที่เชียงใหม่”

                “จริงเหรอ” กิ่งแก้ว เบิกตาโต ร้องถาม 

                “จริงหรือไม่จริง ฉันไม่รู้ แต่เขาบอกกับฉันอย่างนี้ คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกนะ ฉันว่า” 

บุษบง ตอบไปตามที่คิด หากหล่อนเป็นสาวสวยเลิศ หรู ไฮโซ เป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยใหญ่ทั้งหลายอย่างน้องบิว แฟนเก่าของเขา หล่อนคงจะสงสัยว่า เขาอาจจะโกหกเพื่อจุดประสงค์บางอย่างในตัวหล่อน แต่นี่หล่อนเป็น นางสาวบุษบง อิ่มสุข  ลูกสาวประชาชนธรรมดา ที่มีบิดาผู้มีความเชื่อว่า ปลูกเฟื่องฟ้าไว้หน้าบ้านเป็นการประกาศว่า บ้านนี้มีลูกสาวสวย แต่อนิจจา...ต้นเฟื่องฟ้าของพ่อ กลับไม่งามอย่างที่หวัง ทั้งที่เฝ้าทะนุถนอม รดน้ำพรวนดินเป็นอย่างดี หากเป็นจริงดังที่พ่อของหล่อนเชื่อ หล่อนก็รู้ซึ้งแล้วว่า ธรรมชาติได้ตัดสินความงามของหล่อนว่าอย่างไร

“ปล่อยเขาไปเถอะพวกแก คิดถึงอะไรที่มันเป็นไปได้ซะบ้าง นังแก้ว ก็หลงดาราฮอลลีวูด ส่วนแก บุษ ถ้าพี่เก้งของแก เลิศเลอเพอร์เฟคอย่างแก้วมันว่า แกก็ไม่ต้องเพ้อฝันถึงเขาหรอก ท่าทางเขาคงมีแต่ผู้หญิงหรู รวยวิ่งเข้าใส่ เขาไม่มีทางชายตาแลผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างพวกเราหรอก”

เนาวนิตย์ละหน้าจากนิตยสารในมือพูดขึ้น อย่างมีเหตุผล หวังจะปลุกเพื่อนรักทั้งสองให้ตื่นจากความฝัน

”เรื่องพี่เก้ง แกพูดก็ถูกว่ะนิตย์ แต่เรื่องดาราฮอลลีวู้ดนี่ แกห้ามมาว่าฉันนะ เพราะมันเป็นความสุขเล็กๆน้อย ของสาวโสด สะคราญอย่างฉัน ที่มีแต่หนุ่มความหล่อตั้งแต่ระดับแบรด พิทท์ขึ้นไปเท่านั้น ที่มีโอกาสได้ครอบครองหัวใจดวงน้อยของฉัน” กิ่งแก้ว หัวเราะคิกหลังพูดจบ 

อูวววว แหวะ” อีกสองสาวร้องออกมาพร้อมเพรียงกัน โดยไม่ต้องนัดหมาย 

“อายุปูนนี้แล้ว ต้องลดมาตรฐานแล้วล่ะแก้ว ผู้ชายในอุดมคติของเราน่ะ ถ้ามีจริงป่านนี้ก็นอนกอดคนอื่น ไปหมดแล้ว”

เนาวนิตย์ พูดจบก็ถอนหายใจ  หน้าที่หนึ่งในงานที่หล่อนทำนั้น มีโอกาสได้สัมภาษณ์  คู่สมรสที่เป็นครอบครัวแสนสุขมามากมายหลายคู่ หล่อนได้พบเห็นมากับตัวเองว่า ในชีวิตจริงชายหนุ่ม ตามแบบที่หล่อน และเพื่อนรักใฝ่ฝันนั้น มีตัวตนอยู่จริงในโลกกลมๆใบนี้  เพียงแต่ดวงดาวสีน้ำเงิน ใบนี้ ยังคงหมุนไปอย่างช้าๆ ด้วยแรงเหวี่ยงสม่ำเสมอ  แต่ยังแรงไม่พอที่จะเหวี่ยงให้ใครคนนั้น ของพวกหล่อน ลอยมาตกปุ๊อยู่ตรงหน้าเท่านั้นเอง

“จริงอย่างนิตย์ว่า จะหาผู้ชายดีๆ ให้เหลือรอดมาถึงอายุป่านนี้นะ ยากเต็มทน” บุษบงสนับสนุน

“ใช่ อย่าว่าแต่ผู้ชายดีๆที่ยังโสดเลยนะ เอาแค่แบบคุณภาพพอใช้ ก็ยังหาเป็นโสดได้ยาก ก็อย่างที่เล่าให้พวกแก ฟังไปแล้ว เรื่องอีตาธวัช ที่มาจีบฉันนั่นไง หนอยทำท่าว่าจะดี ที่ไหนได้ ที่แท้ก็พวกโสดเมียเผลอ“

กิ่งแก้วพูดด้วยความเจ็บแค้นใจ หล่อนรู้สึกขอบคุณความหัวโบราณของหล่อน ความมีอุดมคติในการเลือกคู่ครอง รวมทั้งความรักษาหน้าตาในสังคม ของอาป๊าและอาม๊าของหล่อนด้วย เพราะเจ้า”ความ”ต่างๆนี้เอง ที่ช่วยเรียกสติของหล่อนให้คืนกลับมา หลังจากเผลอไผลหลงเชื่อคารม และความหล่อ ของธวัช  กระทั่งหล่อนยอมรับนัดเขาในค่ำคืนหนึ่ง ณ ห้องอาหารในโรงแรมหรู ทำให้หล่อนได้ค้นพบว่า เขาไม่ใช่หนุ่มโสด และดี อย่างที่หล่อนคาดหวัง

“ผมถูกคลุมถุงชนแต่งงาน ผู้ใหญ่ทางผมกับภรรยา เขาจัดการกันไว้แล้ว เราขัดคำสั่งไม่ได้ เลยจำต้องแต่งงานกัน  ผมแต่งกับเขาโดยที่เราไม่ได้รักกันเลย” หล่อนจำหน้าเศร้าของเขา ขณะเล่าความเท็จ ท่ามกลางแสงเทียนสลัว ในคืนนั้นได้ดี

“หมายความว่า ที่คุณมีลูกกับเขา ก็ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เป็นความ ....”หล่อนเว้นคำว่า “ความใคร่” เอาไว้  “...แบบอารมณ์ของผู้ชายทั่วๆไป อย่างนั้นหรือคะ” 

“โธ่ คุณแก้ว อย่ามองผมเป็นผู้ชายแบบนั้นสิครับ น้องแนท ลูกสาวผมเกิดจากการทำกิฟท์ ภรรยาผมเอง เธอก็ไม่ชอบเรื่องแบบนั้นด้วย เรื่องจะมีลูกด้วยวิธีธรรมชาติ เลิกคิดไปได้เลย”

เชอะ! ทำกิฟท์ ถ้าเชื่อ ฉันก็คงถูกตราหน้าว่าเป็น”นางหน้าโง่” ไปตลอดชีวิต กิ่งแก้ว คิดอยู่ในใจ

“แล้วคุณสองคนทนอยู่ด้วยกันได้ยังไงคะ” หล่อนซักต่อ

“เราก็ต้องอยู่ด้วยกันเพราะลูก เพื่อหน้าตาของครอบครัวและวงศ์ตระกูล”

“เป็นความคิดที่ดีมากค่ะ” หล่อนมองหน้าเขาและยิ้มให้อย่างเยือกเย็น ก่อนพูดต่อไปว่า “ดิฉันก็มีหน้าตาของครอบครัวและวงศ์ตระกูล ที่ต้องรักษาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เรื่องที่คุณหวังไว้ว่า

ฉันจะเป็นเมียน้อยคุณน่ะ  ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน ก็อย่าฝันให้เสียเวลาเลยค่ะ”

                “คุณแก้ว....” เขาทำเสียงเว้าวอน และกำลังจะสรรหาคำพูดแก้ต่าง เพื่อโน้มน้าวใจหล่อน หากแต่กิ่งแก้วไม่อยู่รอรับฟัง หล่อนลุกขึ้นก้าวเดินโดยเร็ว ออกจากห้องอาหารเพื่อกลับบ้านทันที

 

คิดแล้วหล่อนก็ยังเจ็บใจ เป็นเพราะใบหน้าหล่อเหลา ละม้ายคล้ายดาราฮ่องกงนั่นเอง ที่ล่อหลอก ให้หล่อนเสียเวลา และเปิดใจให้ผู้ชายลวงโลกคนนี้ เข้ามานั่งอยู่ในใจถึง 3 เดือน  สารพัดคำหวานที่ผ่านมา ตามสายโทรศัพท์ แล้วยังการ์ด ที่แนบมากับช่อดอกไม้สวย ซีดีเพลงที่เขาเลือกเพลงอัดมาให้หล่อนฟัง หวังบอกความในใจ กิ่งแก้วไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะทำให้หัวใจ ของหล่อนอ่อนไหวได้ถึงขนาดนั้น

อย่างไรก็เถอะ พระเจ้าย่อมเข้าข้างสาวพรหมจรรย์  ผู้แสนดีอย่างหล่อน กิ่งแก้วคิด  ในที่สุด หล่อนก็รอดเงื้อมมือมารมาจนได้  โชคดีที่หล่อนจดจำศีล 5 ไว้เตือนใจได้ทุกข้อ  ไม่อย่างนั้นแล้วชีวิตของหล่อน จะพลิกผันไปประการใดมิอาจรู้ หญิงสาวระบายลมหายใจยาว ผ่อนความหนักอกหนักใจให้คลายออกมา

 

“สงสัยเราจะต้องหันไปมองพวกเด็กๆหนุ่มๆเอ๊าะๆแล้วล่ะ” บุษบงพูดขึ้น อย่างนึกสนุก  เมื่อเห็นกิ่งแก้ว เริ่มมีอารมณ์ไม่เบิกบาน  “โครงการการกุศลที่ฉันเคยคิดไว้ พวกแกยังสนใจกันอยู่หรือเปล่า”

“โครงการอะไร” เนาวนิตย์นิ่วหน้า

“ก็...โครงการอุปถัมภ์ เด็กนักเรียนชายหน้าตาดี แต่ยากจนไง๊” บุษบงพูดจบหัวเราะร่วน

เรียกรอยยิ้มให้คืนกลับมาสู่ใบหน้าของเพื่อนสาวได้ในทันที

บรรยากาศที่โต๊ะมุมด้านในของร้านกาแฟ อบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของ สามสาว

ที่กำลังถกถึงข้อกำหนดการให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนชาย ราวกับเป็นเรื่องจริงจัง

 

หลังจากย้ายที่คุยจากร้านกาแฟ ไปยังร้านสุกี้เจ้าโปรด จนกระทั่งรับประทานกันจนอิ่มหนำ  และสำราญใจ  สามสาวจึงเคลื่อนขบวน พากันเดินไปร้านหนังสือ  อันเป็นกิจวัตรที่พวกหล่อนทำเป็นประจำมิรู้เบื่อ

กิ่งแก้ว และเนาวนิตย์  เดินเข้าไปดูหนังสือข้างในร้าน ส่วนบุษบงแยกมาที่แผงนิตยสาร บริเวณหน้าร้านหนังสือ  หล่อนให้เหตุผลกับตัวเองว่า จะไปเลือกซื้อนิตยสาร แต่ความจริงแล้ว หล่อนแอบอ่านฟรีมากกว่า

ขณะเขยิบไปด้านข้างเพื่อเอื้อมมือหยิบนิตยสารที่หมายตา พลันกระทบเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ เพิ่งเดินก้าวเข้ามา

“ขอโทษ ครับ” “ขอโทษค่ะ” คนทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน

โดยไม่ทันคาดคิด บุษบงเกิดอาการเข่าอ่อนยวบอย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อเหลียวหน้าไปพบกับร่างสูง ผู้เป็นเจ้าของวงหน้าราวรูปปั้นสลักเสลานั้น

“พี่เก้ง...”เป็นคำพูดที่หล่อนระบายออกมาอย่างแผ่วเบา ขณะเดียวกับที่รู้สึกถึงไอร้อน จากมือแข็งแรง ที่คว้าต้นแขนข้างขวาของหล่อนไว้ ก่อนร่างของหล่อนจะซวนเซล้มลง

“อ้าวบุษเองเหรอ เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามด้วยความห่วงใย ปวริศร์ คิดว่าเขาชนหล่อนจนเสีย หลักล้ม เขาจึงยึดแขนหล่อนไว้โดยแรง

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะพี่ ขอบคุณค่ะ” หล่อนระบายยิ้มให้เขา พลางไพล่มองไปยังมือที่จับต้นแขนเปลือยเปล่า  ของหล่อนไว้  เท่านั้นเอง เขาจึงปล่อยมือจากหล่อน  ด้วยสีหน้าปกติ

ทำไมเขาไม่เห็นทำท่าเขินเหมือนพระเอกในนิยายเลยล่ะ บุษบงสงสัยอยู่ในใจ  หรือว่าผู้หญิงเกิดอาการ เข่าอ่อนต่อหน้าเขา มันเป็นเรื่องปกติ  “ฮ้า! ถ้าอย่างนั้นพี่เก้ง ก็รู้น่ะสิว่า เราก็เข่าอ่อน เหมือนกัน” ไม่ได้การแล้ว บุษบงจึงขยับกายตั้งหลัก ยืนใหม่ ตัวตรง และพยายามควบคุมสติ ออกคำสั่งไปยังหัวเข่า ห้ามอ่อนยวบลงอีก โดยเด็ดขาด!

“โลกกลมจริงๆ พี่มาเจอบุษอีกแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

“ค่ะพี่  แปลกดีนะคะ” หล่อนยิ้ม แลเห็นฟันซี่เล็กๆ ที่เรียงอย่างเป็นระเบียบ และลักยิ้มใกล้มุมปากทั้ง สองข้าง

“บุษมาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ นี่พี่เพิ่งมาถึง นัดเพื่อนมาดูหนังกับกินข้าวเย็น”

“ค่ะ บุษมาเพื่อนกับเพื่อนอีก 2 คน เขาแยกไปเดินดูหนังสือด้านใน” หล่อนตอบ

“เมื่อกี๊ บุษกำลังจะหยิบหนังสือดู ใช่มั๊ย ตามสบายนะ เดี๋ยวพี่จะดูหนังสือเหมือนกัน” เขาพูดพลางพยักพเยิดหน้าไปทางแผงนิตยสาร

ราวกับจะเป็นการตัดบทสนทนา หญิงสาวคิดอย่างน้อยใจ หากแต่หล่อนจำต้องยอมพยักหน้ารับ และหันกลับไปหยิบนิตยสารเล่มที่หมายตาไว้  โดยมีปวริศร์ เลือกดูหนังสือนิตยสารอยู่ข้างๆ บุษบงเปิดพลิกหน้านิตยสารดูอย่างไม่มีสมาธิ  ในใจหล่อนอยากจะทวงถามเขาเหลือเกินว่า ที่เขาเคยพูดไว้เมื่อครั้งพบกันที่จตุจักร ว่าเขาจะโทรมาชวนหล่อนไปดูหนังนั้น เขาลืมไปแล้วหรือยัง

ถามไปก็กระไรอยู่ ด้วยหล่อนมิใช่คนสลักสำคัญอะไร  ยิ่งคิดถึงเรื่องในอดีต ที่เขามีคู่ควงสาวสวย สูงส่งขนาดนั้นแล้ว บุษบงได้แต่สะท้อนใจ  ก็คงเป็นเพียงคำพูดที่เขาพูดเล่นสนุกไปเท่านั้นเอง ป่านนี้ บทสนทนาในวันนั้น คงเลือนหายไปกับสายลมแล้ว

“เออ ที่พี่เคยบอกว่าจะโทรไปชวนให้โดดงานมาดูหนังน่ะ พี่ยังไม่ลืมนะ“  เขาหันมาพูดกับหล่อน

พาลให้บุษบงถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนที่หล่อนจะพูดอะไรออกไป เขาก็เอ่ยขึ้นต่อว่า

“เผอิญยังไม่ผ่านไปแถวที่ทำงานบุษน่ะ แล้วที่บอกว่าจะเลี้ยงสุกี้พี่อย่าลืมล่ะ”

บุษบงยิ้ม น้ำตาแทบปริ่ม เขายังไม่ลืม หนำซ้ำเขาเอ่ยขึ้นมาตรงกับคำถามในใจของหล่อน ราวกับว่าเขามีพรายกระซิบบอกให้ล่วงรู้ถึงความในใจของหล่อน

บุษนึกว่าพี่เก้งจะลืมไปแล้ว....” หล่อนทอดเสียงอ่อน  แล้วสมองก็สั่งว่าอย่าเปิดเผยความในใจมากไป หล่อนจึงรีบเปลี่ยนน้ำเสียง  ”....เรื่องที่บุษจะเลี้ยงสุกี้”  แล้วหย่อนมุขตลก

“ไม่ต้องห่วง เรื่องกินสุกี้นี่ลืมยาก” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “จะบอกอะไรให้นะ พี่ชอบกินสุกี้ที่สุด ยิ่งสุกี้ฟรี ยิ่งชอบ งานนี้ไม่พลาดแน่” ริมฝีปากหยักสวยเหยียดยิ้มละมัย

 

ใครจะล่วงรู้ไหมว่า หัวใจของหล่อนตอนนี้สั่นไหว หัวเข่าเกือบอ่อนยวบอีกหน ดีที่ว่ากิ่งแก้ว และเนาวนิตย์ เพื่อนสาวทั้งสอง เดินออกมาจากร้านหนังสือ  และก้าวเข้ามาหาบุษบง พร้อมตบไหล่เรียกเพื่อนสาว ช่วยฉุดสติ ที่กำลังกระเจิดกระเจิงของบุษบงให้กลับมาอีกครั้ง

“แกดูเสร็จยังบุษ” เป็นกิ่งแก้วที่เอ่ยถาม  และเมื่อสายตาหล่อนไล่เรื่อยไปยังชายหนุ่มด้านข้างบุษบง ผู้หันมามองตามเสียงเรียกด้วยนั้น กิ่งแก้ว ถึงกับเบิ่งตาโพลง ยกมือขึ้นทาบอก อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เนาวนิตย์เมื่อเห็นอาการของเพื่อนจึงหันไปมองตาม พลันหล่อนเกิดอาการนิ่งงันชั่วครู่ ก่อนรีบก้มหน้าลงต่ำ แล้วรีบเสมองออกไปทางอื่น 

แววสงสัยฉายแวบขึ้นที่หน้าของปวริศร์  เขาประหลาดใจในอากัปกิริยา ที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไป ของหญิงสาวทั้งสอง ที่เขาคิดว่าเป็นเพื่อนของบุษง

“เอ่อ นี่เพื่อนบุษเองค่ะพี่เก้ง แก้ว กับ นิตย์” บุษบงรีบเอ่ยบอกเขา และเป็นการเรียกสติเพื่อนทั้งสองไปในตัว

“หวัดดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักพี่เก้งค่ะ”  กิ่งแก้วคลายอาการตะลึง รีบยิ้มรับทักทาย เช่นเดียวกับเนาวนิตย์ ที่รีบหันมายิ้มให้

บุษจะคุยกับพี่เขาต่อหรือเปล่า ถ้าคุยต่อเดี๋ยวพวกฉันจะได้ไปเดินหนังสือต่อ” เนาวนิตย์เอ่ยถาม

“ตามสบายนะบุษ เดี๋ยวพี่ก็จะไปแล้วล่ะ ได้เวลาที่นัดเพื่อนไว้พอดี” ชายหนุ่มวางนิตยสารที่ดูอยู่ในมือ แล้วหันมาบอกหล่อน

“ค่ะพี่ แล้วค่อยคุยกันใหม่นะคะ” หล่อนพูดออกไปด้วยความเคยชิน โดยลืมคิดไปว่า หล่อนกับเขาไม่ได้มีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ แบบตั้งใจเลยสักครั้ง

เขายิ้มน้อยๆในหน้า “อืมม์ แล้วค่อยคุยกันใหม่” เขาตอบรับคำพูดหล่อน แล้วหันไปลากิ่งแก้วและเนาวนิตย์ ที่ยังยืนรวบรวมสติกันไม่เสร็จ จากนั้นร่างสูง ในเสื้อเชิ้ตสียีนส์ จึงเดินหายปะปนไปกับฝูงชน

 

“แกเอ๊ย หล่อสมคำเล่าลือจริงๆ ฉันนะไม่กล้ามองหน้าเลยว่ะเนาวนิตย์ ละล่ำละลักพูดออกมาเป็นคนแรก

“ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย เพิ่งพูดถึงกันอยู่แท้ๆ” กิ่งแก้วพูดต่อ

แกน่ะ นังแก้วทำท่ายังกับเห็นผี พี่เก้งเขางงไปเลย ที่เห็นท่าแกน่ะ” บุษบงพูดพลางมองเพื่อนอย่างขำๆ

“แหม ว่าแต่พวกฉัน แกเองก็ต้องเกิดอาการเหมือนกันละน่า” กิ่งแก้วสัพยอก พลางทำท่าส่ายคอยึกยัก เหมือนนางเอกหนังอินเดีย แล้วแกล้งพูดด้วยเสียงต่ำๆ “เล่ามาซะ ดีๆ”

บุษบง อมยิ้มพลางส่ายหัวด้วยขำในลีลาท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ของกิ่งแก้ว เพื่อนรักเป็นยิ่งนัก

 

จากนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหน้าร้านหนังสือ จึงถูกถ่ายทอดออกมา ขณะทั้งสามสาวเดินทอดน่องคุยกันไป

ผู้ที่มองมายังสาวๆกลุ่มนี้ จะเห็นว่า สาวผู้เดินอยู่ตรงกลางนั้น เล่าเรื่องไปพร้อมกับมีรอยยิ้มระบายเต็มบนใบหน้า

และในหัวใจหล่อนนั้น ก็ยิ่งเบ่งบานมากยิ่งขึ้น เมื่อแว่วเพลงหวานของคณะสุนทราภรณ์ มาจากแผงเทปข้างทาง

 

เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด  บุพเพ สันนิวาส ที่ประสาทความรักภิรมย์

คู่ ใคร คู่ เขา รักยังคอย เฝ้าชม คอยภิรมย์ เรื่อย มา

ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น  บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้

ห่าง กัน แค่ ไหน เขาสูงบัง กั้นไว้ รักยังได้ บู ชา….”

 

หรือนี่จะเป็นบุพเพสันนิวาสคะ พี่เก้งหญิงสาวส่งทอดคำถามผ่านไปตามสายลม

---------------------------