เมื่อบุษบง จะลงจากคาน โดย ริญา
ตอนที่
6
เพื่อนรัก...ผู้ชักใบให้เรือเสีย
นาฬิกา
บนผนังปูนสีขาว
ภายในห้องทำงานของฝ่ายบุคคลและธุรการ
ชี้เข็มบอกเวลาที่
สี่นาฬิกา
สิบห้านาที
หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหน้าผากอันโนนเด่น
จับจ้องกับงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอย่างคร่ำเคร่ง
นิ้วมือทั้งสิบ
รัวลงบนแป้นพิมพ์ดีดเป็นระยะๆ
ตามกระแสความคิด
หากหล่อนมีตาทิพย์
และแยกประสาทออกจากงานได้ขณะนี้
หล่อนคงจะได้เห็นว่า
เวลาอีก 45
นาที ที่เหลือก่อนถึงเวลาเลิกงาน
บรรดาสาวๆหลายคน
ในบริษัท
ต่างพากันไปอออยู่ในห้องน้ำหญิง
แต่งหน้า
ทาปาก
สวยพริ้ง
เตรียมพร้อมจะกลับบ้าน
บางคนที่ยังอยู่ที่โต๊ะทำงาน
ก็หยิบกระเป๋าถือขึ้นมาวาง
พลางเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงาน
จนเรียบร้อย
เป็นสัญญาณว่า
“หมดเวลาทำงานของวันนี้แล้วค่ะ”
ทั้งๆที่
ยังเหลือเวลาอีกตั้ง
45 นาที !
ดีแล้วล่ะ
ที่บุษบงไม่มีตาทิพย์
ตาวิเศษ
ไม่เช่นนั้น
หล่อนคงจะขุ่นใจมากกว่านี้
หากได้เห็นพฤติกรรม
ของสาวๆ
ผู้ทำงานร่วมบริษัทบางคน
แสดงว่า
วันนี้หล่อนมีเรื่องให้ต้องขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ
?
ก็ใช่น่ะสิ
บุษบงอยากจะบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้
ลงสมุดบันทึก
“วันนรกแตก”
ของหล่อนเสียจริง
หากว่าวันนี้
บุษบงไม่มีเรื่องของ
“ตาหัวงูวรพจน์”
มากวนใจ
สมองของหล่อนคงไหลลื่น
ปรู๊ดๆ
ความคิดกระฉูด
เหมือนเคย
และงานชิ้นที่หล่อนกำลังหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ขณะนี้
ก็คงสำเร็จเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ไปตั้งนานแล้ว
“วันนี้
น้องบุษ
ดูสดใสจังนะครับ”
คำแรกที่วรพจน์
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
คนใหม่เอ่ยทัก
เมื่อหล่อนนำเอกสาร
เกี่ยวกับการประกันสุขภาพของบริษัท
ไปยื่นให้เขา
ถ้าแค่ยื่นให้
หล่อนคงจะไม่ต้องกลั้นใจเดินมาเอง
แต่ต้องมาอธิบายรายละเอียด
ด้วยนี่สิ
เท่าที่ผ่านมา
สำหรับคนอื่นๆ
หล่อนใช้เวลาแค่
15 นาที
ก็เสร็จเรื่อง
แต่วรพจน์
แกล้งทำเหมือนคนไม่รู้ประสีประสา
หลอกให้หล่อน
ต้องใช้เวลาอยู่กับเขา
นานร่วมชั่วโมง
แถมนำพาความรำคาญใจ
ความหงุดหงิด
ติดตัวบุษบงออกมาจากห้องทำงาน
ของเขาด้วย
“พี่ชอบผู้หญิงที่แต่งหน้าโทนสีแบบน้องบุษจัง
ดูเป็นธรรมชาติดี”
เขาพูดขัดขึ้น
ขณะหล่อนก้มหน้า
ก้มตา อธิบายเกี่ยวกับกฎการเบิกค่ารักษาพยาบาล
และเมื่อหล่อนเงยหน้า
ขึ้นมามองอย่าง
ขัดใจ
ก็เห็นนัยน์ตาหวานเยิ้ม
จ้องมองอยู่แล้ว
นั่นชวนให้หล่อนรู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือกำลัง
“ขอบคุณค่ะ”
บุษบง
ตอบกลับไปเสียงเรียบ
หญิงสาวร้องอยู่ในใจว่า
นี่หล่อนจะต้องทนนั่งให้
ตาบ้านี่
แทะโลม
อีกนานแค่ไหนกัน
“เย็นวันศุกร์นี้
บุษว่างมั๊ยจ๊ะ
พี่อยากพาไปเลี้ยงข้าวขอบคุณสักมื้อ”
“บุษก็ทำตามหน้าที่ค่ะ
คงไม่ต้องถึงกับมาเลี้ยงอาหารขอบคุณอะไร”
“ไม่ได้ๆ
บุษเอาอก
เอาใจ
ต้อนรับพี่ตั้งแต่วันแรกที่เขามาทำงานขนาดนี้
พี่ต้องเลี้ยงขอบคุณเป็นพิเศษ”
บุษบงผงะ
กับคำพูดนั้น
‘เอาอก เอาใจ งั้นเหรอ ต๊าย!
พูดออกมาได้ยังไง นี่ฉันไปเอาอกเอาใจ
คุณตอนไหนยะ’
“บุษคงไม่ได้ทำอะไรมากขนาดนั้นมังคะ คุณวรพจน์”
หล่อนรีบแย้ง
เขายิ้มทำหน้ากรุ้มกริ่ม
นัยน์ตาหรี่หวานเยิ้ม
ปากพูดต่อไปว่า
“ไม่รู้ละ
เอาเป็นว่า
พี่ประทับใจละกันนะ
อืมม.์..ไปร้าน
‘บาฮาม่า บรีซ’ ดีมั้ย
อยู่แถวถนนประชาชื่น
ไม่ไกลจากออฟฟิศเรา
พี่ชอบไปนั่งประจำ
เป็นร้านกึ่งผับ
กึ่งห้องอาหาร
มีเพลงฟังด้วยนะ”
พอได้ยิน
ชื่อร้าน บุษบง
ถึงกับหูผึ่ง
อุ้ย
ไม่ได้สิ
ถึงแม้หล่อนอยากจะลองไปร้านนั้น
อยู่เหมือนกัน
ด้วยได้ยินคำเล่าลือจาก
เพื่อนรุ่นน้องในฝ่าย
มานานว่า
มีวงดนตรีเล่นเพลงดี
แถมนักร้องนำก็หล่อ
ล่ำ
ร้องเพลงได้ไพเราะจับใจ
แต่จะให้ควงคู่ไปกับตาวรพจน์นี่น่ะเหรอ
ต่อให้นักร้องหน้าเหมือนคุณฮาตะ
ในหนังญี่ปุ่นเรื่อง
สื่อรักออนไลน์
ก็เถอะ
ไม่มีทางที่หล่อนยอมไปกับเขาเด็ดขาด
“ขอบคุณค่ะ
แต่บุษ...”
ก่อนที่หล่อนจะขยับปากพูด
วรพจน์รีบขัดขึ้น
“แหม
อย่าปฏิเสธเลยน่า
ไม่กล้าไปกับพี่
เพราะกลัวคนเอาไปลือหรือไง”
“ลืออะไรคะ
ถ้าจะลือว่าบุษควงคุณวรพจน์
คงไม่มีใครเชื่อหรอกค่ะ
เพราะบุษมีแฟนแล้ว”
ปากไวกว่าความคิด
หล่อนพูดด้วยเสียงเข้ม
ตัดความรำคาญ
บุษบงไม่ใช่เด็กๆที่ดูไม่ออกว่า วรพจน์กำลังพูดจาก้อร่อก้อติกกับหล่อน
“มีแฟนแล้ว”
น่าจะเป็นกันชน
ที่งัดเอามาใช้ได้
ในสถานการณ์แบบนี้
(ถึงแม้มันจะเป็นกันชนปลอมๆก็เถอะ)
วรพจน์
ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น
“โธ่ๆๆๆ
น้องบุษก็
พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย
แหม...ตำแหน่งหน้าที่อย่างพี่นะ
พูดก็พูดเถอะ
เวลามีสาวๆเข้ามาสนิทสนมด้วย
คนมักจะลือกันว่าเขาหวังไต่เต้ากันน่ะ”
บุษบง
รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
เมื่อผู้ชายผู้น่าขยะแขยงตรงหน้า
เอ่ยขึ้นมาว่า
“น้องบุษมีแฟนแล้วจริงเหรอ
ไหงมีพรายกระซิบมาบอกพี่ว่า
น้องบุษยังโสดสนิท
ไม่มีแฟน”
พลันเลือดฉีดขึ้นบนใบหน้าเนียนของหญิงสาวมากกว่าเดิม
บุษบงกำมือแน่น
ระงับความโกรธ
ความพลุ่งพล่านที่อยู่ในใจ
หล่อนเกลียดการที่คนนำหล่อนไปพูดถึงลับหลัง
แม้มันจะเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้
แต่การมาพูดใส่หน้า
ประกาศบอกว่ารู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น
จากปากของคนอื่นอีกที
ช่างเป็นมารยาทที่เลวร้าย
เกินกว่าหล่อนจะรับ
“มีหรือไม่มี
ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของบุษนะคะ
บุษมาทำงานที่นี่เพื่อให้คนพูดถึง
วิพากษ์
วิจารณ์ในเรื่องงาน
ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
บุษคิดว่า
บุษใช้เวลาอธิบายเรื่อง
ประกันสุขภาพ
กับคุณวรพจน์มานานแล้ว
คิดว่า ‘ระดับ’
คุณวรพจน์คงเข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ถ้ายังไม่เข้าใจจริงๆ
ถึงเวลา ‘ป่วย
เจ็บ
ประสบอุบัติเหตุ’ ขึ้นมา
ตอนนั้นคงจะกระจ่างขึ้นเองแหละค่ะ
บุษขอตัวนะคะ
มีงานค้างอยู่อีกเยอะ”
หล่อนกระแทกน้ำเสียง
เน้นหนักลงบนคำว่า
‘ป่วย เจ็บ
อุบัติเหตุ’
ราวกับจะให้เป็นการแช่งชักหักกระดูก
ผู้ชายที่นั่งยิ้มเจื่อนๆ
อยู่เบื้องหน้าหล่อน
พูดจบ
บุษบงก็รวบเอกสารของหล่อน
ลุกเดินก้าวฉับๆออกจากห้องนั้นโดยเร็ว
เหมือนวันแรก
ที่หล่อนนำเขามาที่ห้องนี้
ไม่นึกเลยว่า
เหตุการณ์จะซ้ำรอยอีกครั้ง
หากบุษบงไม่ได้อารมณ์ขันของ
ขวัญชนก เพื่อนซี๊ที่ทำงาน
ช่วยไว้หลังจากกินรังแตนออกมาจากห้องทำงานของ
วรพจน์
เย็นจวนเลิกงาน
ป่านนี้
สมองของบุษบงคงอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก
“ไงแก
โดนงูบนหัวตาวรพจน์ฉกมาเหรอ”
คำแรกที่ขวัญชนก
ทักเมื่อเดินมาหาเห็นหน้างอหงิกของเพื่อนรัก
“พวกสาวๆฝ่ายขายน่ะ
โดนฉกกันไปถ้วนหน้าแล้ว
ฉันว่า
แกต้องทำจดหมายถึง
สถานเสาวภา
ขอเซรุ่มกันพิษงู
มาฉีดให้สาวออฟฟิศเราโดนด่วนเลยนะบุษ”
พูดจบหล่อนก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
เรียกเสียงฮาครืน
จากสาวๆคนอื่นๆ
ในห้องทำงานรวมทั้งบุษบง
“แล้วฉีดกันงูตัวนี้
ต้องฉีดรอบสะดือหรือเปล่า
พี่ขวัญ”
เสียงนงนุช
ลูกน้องสาวของบุษบงร้องถามขึ้นอย่างนึกสนุก
“พี่ไม่แน่ใจว่ะนุช
แต่ที่แน่ๆคงไม่ได้ฉีดใต้สะดือ”
ขวัญชนก
ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นกว่าเดิม
เรื่องความทะลึ่ง
หล่อนจัดว่าขึ้นชื่ออยู่แถวหน้าในออฟฟิศ
ผิดวิสัย “ดี้”
ที่หลายๆคนเข้าใจว่าสาว
“ดี้”
คู่ของ สาว “ทอมบอย”
มักจะหวานแหวว
นุ่มนิ่ม
น่ารัก
แต่ขวัญชนกไม่เป็นอย่างนั้นเลย
หล่อนปากคมอย่างกับตะไกร
โต้ตอบคารมได้ดุเด็ดเผ็ดร้อน
ราวกับพริกขี้หนูสวน
ทั้งยังทะลึ่งทะเล้น
สนุกสนาน เข้าวงไหน
มีเสียงเฮที่นั่น
บุษบงนึกขอบคุณสวรรค์
ที่ส่งขวัญชนก
ให้เข้ามาสร้างความบันเทิงในชีวิต
การทำงานของหล่อน
ช่วยทำให้ม่านควันดำ
จางหายไปได้ด้วยเสียงหัวเราะ
“พี่บุษคะ
โทรศัพท์ ค่ะ”
นงนุชร้องบอก
เรียกเจ้านายสาวผู้กำลังจมอยู่ในห้วงคิด
“จากไหนเหรอนุช”
หล่อนถามกลับไป
ขณะสายตายังจับอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์
“เอ่อ...เขาไม่บอกค่ะ
บอกว่าจะทำให้พี่บุษแปลกใจเล่น”
นงนุชตอบเสียงอ่อย
“ผู้หญิง
หรือผู้ชาย”
หล่อนกระซิบถามลูกน้องสาว
“ผู้ชายค่ะ
แต่ไม่ใช่คุณวรพจน์แน่
นุชจำเสียงได้”
นงนุชรีบบอก
เพราะชื่อนี้เอง
ที่ทำให้เจ้านายของหล่อนนั่งหน้ามุ่ยมาตลอดวัน
ใครกันนะ
อยากทำให้หล่อนแปลกใจ
หรือว่าจะเป็น…สมองส่วนเก็บข้อมูลรีบส่งภาพ
ชายหนุ่มผู้มีดวงตางามดั่ง
ตากวาง
เจ้าของใบหน้าราวรูปปั้นผลงานชิ้นเอก
ของไมเคิล
แองเจโล
เข้ามายังจอมโนภาพของบุษบงทันที
คิดได้เพียงเท่านั้น
มือไม้
แข้งขา พลันอ่อนปวกเปียก
ความรู้สึกวาบๆ
วิ่งแล่นไปมาระหว่างอกกับปลายเท้า
จริงหรือ
ที่เขาจะโทรมาหาตามสัญญา
ไม่ใช่สิ
คำที่เขาบอกกับหล่อนไว้
เขาอาจจะทำให้หล่อนแปลกใจเล่น
วันไหนก็ได้
จะเป็นวันนี้หรือเปล่า
ที่หล่อนเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน
ตั้งแต่หล่อนหยิบยื่นหมายเลขโทรศัพท์
ให้แก่เขาในวันนั้น
ที่สวนจตุจักร
และเขายังย้ำอีกครั้งว่า
เขายังไม่ลืม
ที่สยามสแควร์
มือที่เอื้อมออกไปยกหูโทรศัพท์
นั่นสั่นเล็กน้อย
บุษบงสูดลมหัวใจ
รวบรวมสติให้มั่น
หล่อนปั้นแต่งน้ำเสียงที่กรอกไปตามสาย
ให้ฟังดูนุ่มนวล
สดใส หากแฝงด้วยความมั่นใจ(ที่ไม่ค่อยมี)
อยู่ในที
“สวัสดีค่ะ
บุษบงค่ะ”
“ฮิๆ
พูดซะเพราะเชียวนะ”
เสียงคุ้นหูตอบกลับมา
ทำเอาบุษบง
ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“โธ่เอ๊ย
นึกว่าใคร”
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเจือความผิดหวังอย่างปกปิดไม่มิด
“แล้วนึกว่าใครล่ะ
แหมเก๊กเสียงซะเพราะเชียว
รอโทรศัพท์ใครอยู่เหรอ
เออแล้วจะมีผู้ชายหน้าไหน
โทรมาหากันล่ะ”
ปลายสายหัวเราะลั่น
บุษบงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ที่พลาดท่าให้วีร์ แซวเอาจนได้
“เออ
คราวนี้ฝากไว้ก่อนเถอะ
ว่าแต่วีร์มีอะไรล่ะ
ด่วนมั้ย
ถ้ามีก็รีบๆพูด
บุษมีงานค้างอยู่”
หล่อนรีบเปลี่ยนน้ำเสียงให้ฟังดูเคร่งเครียด
“พอรู้ว่าเป็นวีร์ละ
รีบมีงานเชียวนะ”
ชายหนุ่มปลายสายตอบเสียงกระเง้ากระงอด
“ทำเสียงยังกะผู้หญิง”
บุษบงรีบแซวเป็นการเอาคืน
ด้วยรู้ดีว่า
วีร์ไม่ชอบให้ใครจับสังเกตอาการที่ก้ำกึ่ง
“เกย์”
ของเขา
แล้วก็ได้ผล
“นี่ๆ
คุณบุษบง
อย่าพูดแบบนี้นะ
เดี๋ยวแช่งให้ขึ้นคานทั้งชาติเลย”
ปลายสายตอบกลับมาน้ำเสียงเข้ม
แต่ไม่วายตวัดหางเสียงในประโยคท้าย
“จ้าๆ
เสียงเข้มหล่อมากจ้า”
บุษบงลากเสียงพลางหัวเราะคิก
“เอ้า
มีอะไรว่ามาเร็วๆ”
“ก็จะโทรมาชวนไปกินหมูกะทะ
แถวเชียงกง
สวนหลวงน่ะ”
“โอ๊ย
ไม่ไปหรอก
พรุ่งนี้ต้องทำงานเดี๋ยวกลับดึก”
ปากพูดไปอย่างนั้น
ทว่าในใจนั้น
บุษบงนึกถึงนิยาย
“แผ่นดินหัวใจ”
ของ ดวงตะวัน
ที่หล่อนอ่านค้างอยู่
ตั้งแต่เมื่อคืน
“โธ่
กลับไม่ดึกหรอก
วันก่อนนั้นเห็นบ่นว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ”
พลันสองกระพุ้งแก้มภายในปาก
ก็พร้อมใจกันผลิตน้ำใสๆหนืดๆ
จนบุษบงต้องรีบกลืนลงคอ
ก็ภาพเนื้อหมู
กุ้ง ปลาหมึก
ที่ย่างควันฉุย
บนกะทะทรงนูนต่ำนั่น
ลอยละล่องมาเย้ายวนชวนให้น้ำลายสอ
จนหล่อนแทบสะกดใจไม่อยู่
จะเป็นความหิวหรือความตะกละ
กันนะ ที่ทำให้หล่อนเกิดอาการอย่างนี้
หญิงสาวรีบ
สลัดภาพอาหารโอชะออกจากความคิด
แล้วจัดแจงเลื่อนภาพของ
“กำนันไก่โต้ง”
ในนิยายเรื่องแผ่นดินหัวใจ
มาแทนที่
“อยากก็อยากอยู่หรอก
แต่...อยากกลับบ้านนอนน่ะ
วันนี้เครียดๆมาทั้งวัน”
“เครียดนั่นแหละควรจะออกมา
จะได้หายเครียด”
วีร์ยังขะยั้นขะยอ
ฉันจะเครียดมากกว่าเดิมล่ะสิไม่ว่า
บุษบงนึกในใจ
เพราะพอจับน้ำเสียง
ของเพื่อนชายคนสนิทได้ว่า
มีเค้าความกระวนกระวายแฝงอยู่
วีร์คงต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ
ถึงได้มีทีท่าเหมือนจะต้องลากหล่อนออกไปให้จงได้
ในบัดเดี๋ยวนี้
“น่าไปนะ
บุษ
เดี๋ยววีร์เลี้ยงเองก็ได้
มาเถอะนะ” วีร์ตัดสินใจยื่นข้อเสนอพิเศษสุด
เพื่อโน้มน้าวใจเพื่อนสาว
“ไม่ไปล่ะ
ไปไม่ได้จริงๆนะ
เอาไว้วันศุกร์ละกัน”
บุษบงยังทำใจแข็งตอบเพื่อนไป
“คืนนี้แหละ
บุษไม่ต้องขับรถไปก็ได้
รออยู่ออฟฟิศแหละ
เดี๋ยววีร์ไปรับ”
วีร์ยังคงตื้อไม่เลิก
ซ้ำยังยื่นข้อเสนอเพิ่ม
“ไม่ได้จริงๆนะ
วีร์
คืนวันศุกร์แหละ
แน่นอนเลย โอเคนะจ๊ะ
บุษขอตัวไปทำงานต่อก่อน
ใกล้เลิกงานแล้วเดี๋ยวเสร็จไม่ทัน”
บุษบงรีบตัดบท
ก่อนที่วีร์จะคิดสิ่งล่อใจอื่นๆ
มาล่อหลอกให้หล่อนใจอ่อน
วีร์
ยอมวางสายไปแต่โดยดี
หากแต่บุษบงไม่รู้หรอกว่า
ในใจเขานั้น
มีแผนการณ์บางอย่างซุกซ่อนอยู่
บุษบง
กลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
พลันแว่วเสียงนุ่มดังก้องอยู่ในภวังค์
“ที่พี่เคยบอกว่าจะโทรไปชวนให้โดดงานมาดูหนังน่ะ
พี่ยังไม่ลืมนะ...พี่ยังไม่ลืมนะ...พี่ยังไม่ลืมนะ...”
โอ้ย!
พอแล้ว
บุษบงร้องบอกตัวเองในใจ
ทำไมเสียงพี่เก้งถึงดังก้อง
อยู่ในหูของหล่อน
ราวกับแผ่นเสียงตกร่องแบบนี้นะ
ในที่สุดเขาก็ลืม
ปวริศร์
อิทธิดล
อดีตแฟนนางแบบสาวสวยไฮโซ
อย่างเขา
จะมีใจมานึกถึงอะไร
กับผู้หญิงธรรมดาๆ
ที่ใครๆตราหน้าว่าเป็นอนาคตคานทอง
อย่างหล่อน
‘ทำไม
คานทอง
แล้วทำไม’
บุษบงเริ่มเปิดฉากทะเลาะกับตัวเอง
‘ถึงฉันจะต้องเกาะอยู่บนคานทองจนแก่ตาย
ฉันก็มีความสุขตามประสาของฉันได้นะ
ไม่เห็นแคร์เลย
’
‘แล้วหล่อๆ
เท่ห์ๆอย่างพี่เก้งน่ะ
เธอไม่สนใจหรือบุษ บางที
เขาอาจจะเป็น
เนื้อคู่ของเธอ
ก็ได้นะ ดูสิ
มีที่ไหน
บังเอิญเจอกันถึงสองครั้ง
สองครา
เขาคงงานยุ่งน่ะ
ไม่อย่างนั้น
เขาต้องนึกถึงเธอแน่ๆ’
‘งานยุ่งงั้นเหรอ
ก็แสดงว่า
เขาไม่ได้นึกถึงเธอเลยล่ะซี่’
บุษบงภาคมาร
ทำน้ำเสียงเยาะเย้ย
‘ช่างเถอะ
ฉันขอปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรหมลิขิตละกัน
กลับไปได้แล้ว
ฉันจะทำงาน’
บุษบงภาคนางเอก
สะบัดเสียงไล่ส่ง
แล้วพยายามเรียกสมาธิ
ที่แตกฉานซ่านเซ็น
กลับมารวมศูนย์
เพื่อทำงานต่อไป
............
เพลง “Roses in the
Hospital” ของ Manic
Street Preachers ยังไม่ทันสิ้นเสียง
บุษบงก็ขับรถมาจอด
ถึงหน้าประตูบ้านตัวเองแล้ว
หล่อนก้าวลงจากรถ
เปิดประตูรั้ว
แล้วขับรถมาจอดนิ่งสนิทภายในบริเวณบ้าน
เดินกลับไปหมายจะปิดประตู
พลันสายตาก็แลเห็น
รถเก๋งยุโรปคันหรู
คุ้นตา
ขับตรงดิ่งมาเทียบหน้าบ้าน
คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
ยิ้มหน้าบาน
จนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่
“เอ้า
ขึ้นรถเลย” วีร์กดกระจกหน้าต่างรถ
โผล่หน้ามาร้องบอก
“โอ๊ย
อะไรกันเนี่ย
เล่นมัดมือชก
กันแบบนี้เลยเหรอ”
บุษบงโวย
วีร์ไม่พูดอะไร
ได้แต่ยิ้ม
ยักคิ้ว
ยักไหล่ บุษบงถอนใจเฮือก
ราชรถมาเกยถึงที่
ถ้าหากหล่อนยังใจแข็ง
ยืนกรานอยู่
ก็คงใจร้ายกับเพื่อนเกินไป
บุษบง ได้แต่มองหน้าระรื่นของวีร์
แล้วส่ายหัว
ก่อนขอตัวไปล้างหน้า
ล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทักทาย
ชะเอม
แมวสุดรัก
ครู่หนึ่ง
แล้วจึง
พาตัวเองในชุดสบายๆ
เสื้อยืดแนบลำตัวแบบ
กับกางเกงยีนส์
ทรงหลวม
มีเชือกรูดที่เอว
หล่อนกะว่าจะได้ไม่อึดอัด
เวลากินอิ่มๆ
งานนี้ต้องล่อให้อิ่มแปล้
เจ้ามือมารับถึงที่แบบนี้
ต้องสนองศรัทธาให้เต็มคราบ
เอ๊ย เต็มที่
รถเก๋งยุโรปคันหรูเลี้ยวเข้าถนน
สีลม แล้วจอดเทียบริมทาง
“อ้าว
จอดทำไมล่ะวีร์”
บุษบงร้องถาม
คนขับด้วยความประหลาดใจ
“ก็แวะเดินพัฒนพงษ์ก่อนน่ะสิ
ถามได้”
“แวะทำไม
ไม่เห็นบอกล่วงหน้าเลย”
“มาเถอะน่า
จะพาไปดูอะไรหน่อย”
วีร์บอกเหมือนตัดรำคาญ
บุษบงจำต้องลงเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้
ก็นั่งมาในรถเขาแล้วนี่
ชายหนุ่ม
ผู้มีความสงสัย
อัดแน่นอยู่เต็มหัวสมองอยู่
ณ เวลานี้
พาหญิงสาวผู้ไม่รู้อิโหน่
อิเหน่
เดินแหวกฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่
ตลอดทางเดิน
เป็นครั้งแรกในชีวิตสาววัยต้น
30
บนถนนชื่อก้องระดับโลกแห่งนี้
บุษบงเหลือบเห็นแผงขายของเล็กๆ
ข้างทาง มีกลุ่มผู้ชายมุงดูอะไรบางอย่างกันอยู่
แน่นขนัด
“เขาดูอะไรกันน่ะ วีร์
ไปดูกันเถอะ
สงสัยขายของถูกแน่ๆ”
หล่อนสะกิดเรียกเพื่อนชายให้เข้าไปดู
วีร์
ยิ้มพราย
ความมืดปิดบัง
นัยน์ตาเจ้าเล่ห์
ของเขาไว้สนิท
บุษบงยื่นหน้าเข้าไปดู
แลเห็นเป็นอัลบั้มภาพ
วางเรียงรายอยู่หลายเล่ม
แล้วหันกลับมาบอกเพื่อน
“อ๋อ
เป็นพวกซีดีหนัง
นี่เอง
เขาคงแอบก๊อปเน๊อะ
เลยเอามาให้ดูแต่ภาพหน้าปก”
“คงงั้นแหละ
หยิบมาดูสักอันสิบุษ
เผื่อจะมีหนังดีๆ”
เมื่อสายตา
เห็นภาพหน้าต่างๆในอัลบั้ม
บุษบงถึงกับเบิกตาโพลง
“เฮ้ย
นี่มันหนังโป๊
นี่นา”
มือไวเท่าความคิด
หล่อนรีบวางอัลบั้มภาพนั้นคืนที่เดิม
ไม่วายที่จะกวาดตามองไปยังกลุ่มผู้ชาย
ที่เปิดอัลบั้มภาพนั้น
เลือกดูกันอย่างเมามัน
นัยน์ตาแต่ละคนดูหื่นกระหาย
“ไปเถอะ
วีร์”
หล่อนรีบฉุดมือเพื่อนชาย
เดินไปจากแผงลอยเล็กๆนั่นโดยเร็ว
หารู้ไม่
เพื่อนชายที่เดินตามหลังมา
หัวเราะคิกๆ
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ที่ไหนกันเล่า
แค่นึกอยากแกล้งหล่อนขึ้นมา
เท่านั้นเอง
ถึงไม่บอกล่วงหน้า
หญิงสาวหันมามองหน้าวีร์ หล่อนก็รู้ว่าหล่อนโดนแกล้งเข้าให้แล้ว
“นี่เหรอ
ที่จะพามาดู
บุษบงทำหน้าเคร่งถาม
“ถ้าอยากซื้อหนังพวกนี้
ทีหลังไม่ต้องชวนบุษมานะ
ไม่ชอบ”
เสียงเข้ม
ของบุษบง
มีพลังอำนาจเขย่าประสาท
ให้วีร์
รู้สึกขนพองสยองเกล้าไม่น้อย
“ไม่ใช่ๆ
ไม่ได้พามาซื้อหนังโป๊”
วีร์ละล่ำละลักบอก
เสียงอ่อน
“คือ...วีร์อยากไปดูร้านหนังสือ
ร้านนึงน่ะ
คือ...วันนี้จู่ๆ
วีร์ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า
ผู้ชายสมัยนี้
มันเป็นเกย์กันมากขึ้น
แล้วแต่ละคนก็หน้าตาดี
หน้าที่การงานดีๆทั้งนั้น
ดูภายนอก
ก็เหมือนผู้ชายแมนๆ
ทั่วไป
ไม่รู้เลยนะ
ว่าเป็นเกย์
แล้วมีคนเคยบอกว่า
ให้ลองไปสังเกตดูที่ร้านหนังสือร้านนี้
เพราะมีหนังสือพวกเกย์ขายเยอะ
แล้วสังเกตดูเถอะ
จะมีพวกผู้ชายแต่งตัวดีๆ
แบบพวกคนทำงานนี่แหละ
ไปเลือกดูหนังสือ
“
ชายหนุ่มผู้ที่บุษบง
รู้อยู่ในใจเต็มอกว่า
มีแนวโน้มเป็นเกย์สูง
ร่ายยาว
ความจริง
บุษบง
รู้สึกเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อย
ลูกชายคนสุดท้อง
ของนายทหารยศระดับนายพล
หากออกมายืดอกเผยตัวตนว่าเป็นเกย์
คงเป็นเรื่องยากสำหรับ
บิดาผู้มีความภาคภูมิใจในความเป็นชายชาติทหาร
และเคร่งครัดในกฎระเบียบ
และวินัย
อย่างเช่นบิดาของวีร์
จะสามารถยอมรับได้
วีร์
เคยเปรยๆ
ให้หล่อนฟังถึงความเคร่งครัด
ของครอบครัวให้หล่อนฟังอยู่บ้าง
และรู้สึกได้ด้วยตัวเอง
เมื่อครั้งไปร่วมงานฉลองแต่งงานของ
พี่ชายคนโต ของวีร์
ผู้ดำเนินรอยตามผู้พ่อ
ทุกกระเบียดนิ้ว
หนุ่มสาว
ยืนเก้ๆกังๆ
อยู่หน้าแผงหนังสือ
บุษบง
ทำทีเป็นเลือกดูนิตยสารผู้หญิง
ที่จัดวางไว้เป็นสัดส่วน
สักพัก
วีร์ก็สาวเท้าเข้ามาประชิดข้างๆ
ใช้ข้อศอก สะกิด
บุ้ยใบ้ให้ดู
ชายหนุ่ม
รูปงาม แต่งตัวสะอาด
สะอ้าน
ใบหน้ามีเคราเขียวครึ้ม
ขึ้นเป็นไรๆ
ดูมาดคมเข้ม
สมชายชาตรี
หากแต่ในมือ
กำลังเลือกหยิบ
หนังสือที่มีหน้าปก
เป็นชายหนุ่ม
ร่างกำยำ เปลือยอกท่อนบน
ส่งสายตาเว้าวอนเชิญชวน
แน่ละ
ตรงตามคำบอกของวีร์ เป๊ะ
ทั้งสองยืนลอบสังเกตการณ์
อยู่พักใหญ่ ก็เห็น
ชายหนุ่ม
ท่าทางลักษณะ
คล้ายๆกัน มีพฤติกรรม
และรสนิยม
เลือกซื้อหนังสือที่คล้ายกัน
ตรงแผงหนังสือนั้น
ผลัดเปลี่ยนเวียนหน้าเข้ามาหลายราย
หนำซ้ำพวกเขา
หยิบจับเลือกดู
ราวกับเป็นเรื่องปกติ
บุษบง
มิได้รู้สึกรังเกียจ
หรือรู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด
มีเพียงความรู้สึกเดียวที่วิ่งแล่นอยู่ในใจ
คือ “เสียดาย”
ก็เพราะอย่างนี้เล่า
หล่อนและเพื่อนๆ
และอีกสาวๆอีกหลายคน
ถึงพากันโสดสนิท
เกาะนิ่งกันอยู่บนคาน
ด้วยชายหนุ่ม
หล่อเหลา
เหล่านี้
ต่างพากันสมัครใจรักเพศเดียวกัน
ปล่อยหญิงสาวผู้งดงามทั้งกายและใจ
(อย่างหล่อน)
ให้ค้างเติ่ง
เป็นบัวกลางบึง
ไร้คนเด็ดดม
อยู่อย่างนี้
แล้วใจของบุษบง
ก็ไพล่ไปนึกถึงใครอีกคน
แล้วหล่อนก็ถึงกับใจหายวูบ
‘แล้วพี่เก้ง
จะเป็นเกย์หรือเปล่า
ถ้าเขาเกิดโผล่มาให้หล่อนเห็น
แล้วรวมกลุ่มเลือกซื้อหนังสือพวกนี้ด้วยเล่า’ บุษบงไม่อยากคิด
หล่อนไม่อยากเห็นภาพนั้นกับตาตัวเอง
“ไปกันเถอะ
วีร์ บุษว่า
ทฤษฎีนี้ได้รับการพิสูจน์
พอแล้วล่ะ”
วีร์พยักหน้ารับ
และเดินตามหล่อนออกมาอย่างว่าง่าย
ไม่มีใครรู้หรอกว่า
ในใจของเขา
คิดอะไรอยู่
นอกจากตัวเขาเอง
ความคิดหลายอย่างประดังเข้ามา
จนเขารู้สึกสับสน
ภาพชายหนุ่มมาดเข้ม
เลือกซื้อหนังสือตามรสนิยมอย่างอิสระ
ไม่แยแสสายตาของผู้ใด
ตัดสลับกับภาพใบหน้า
ของบิดาผู้เคร่งครัด
ทำให้เขารู้สึกเศร้าซึมอย่างประหลาด
แต่อย่างไรก็เถอะ
วันนี้ เขาก็ได้รู้แล้วว่า
สิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในใจ
ใช่มีเพียงแต่เขาคนเดียวในประเทศไทยเสียเมื่อไรกัน
กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารจากโต๊ะต่างๆในร้านอาหาร
ลอยละล่องเข้ามาปะทะจมูก
ชวนสองหนุ่มสาว
ผู้คิดเรื่องราวในใจต่างกัน
ให้กลับมาสนใจในเรื่องเดียวกันได้
“สั่งจานรวมมิตร
จานใหญ่ไปเลยนะวีร์
จะได้กินหลายๆอย่าง”
บุษบงรีบเสนอ
ทันทีที่ได้โต๊ะนั่ง
ควันกรุ่นจากเตาย่างตรงกลางโต๊ะ
อีกทั้งกลิ่นหอมของน้ำซุป
และเนื้อสัตว์ยามต้องความร้อน
ทำให้บุษบงต้องกลืนน้ำลาย
นับครั้งไม่ถ้วน จวนจะ 3
ทุ่มแล้ว
ข้าวเย็นยังไม่ตกถึงท้อง
ใครเล่าจะทนไหว
ซ้ำเมื่อนึกถึงหมูหมักเนื้อนุ่ม
ที่กำลังจะได้ลิ้มชิมรสอีกเล่า
บุษบงลืมข้อสงสัยที่ค้างอยู่ในสมอง
ตั้งแต่อยู่ที่ร้านหนังสือ
เสียสนิท
และไม่มีแก่ใจ
เหลียวมองไปรอบร้าน
หล่อนจึงไม่รู้ว่า
มีสายตาคมคู่หนึ่งมองเขม็งตรงมาที่หล่อน
แล้วเจ้าของสายตาคู่นั้น
จึงพาร่างสูง
เดินตรงเข้ามา
“เจอกันอีกแล้วนะบุษ”
บุษบงแทบเป็นลมล้มพับ
หน้าหมกจานเนื้อสัตว์รวมมิตรตรงหน้า
เมื่อเงยขึ้นสบตาเจ้าของเสียงนุ่มคุ้นหูผู้นั้น
“พี่เก้ง”
หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
นัยน์ตาลอย
มือที่สาละวนกับการคีบจับตะเกียบพลิกเนื้อหมูหยุดชะงัก
โลกหนอ โลก
ทำไมช่างกลมอะไรเช่นนี้
เพิ่งนึกถึงเขาอยู่แหมบๆ
ก็โผล่พรวดมาท่ามกลางม่านควันจากเตาย่างหมูกะทะ
ไม่เพียงแต่บุษบงหรอกที่
มองชายหนุ่มผู้มาเยือนจนตาค้าง
หากหญิงสาวลองชำเลืองมองเพื่อนชายที่มาด้วย
หล่อนก็จะเห็นว่า
วีร์ นั้นคีบหมูจุ่มถ้วยน้ำจิ้มแช่นิ่งอยู่อย่างนั้น
กระทั่ง
ประสาทหูของทั้งสองคน
ยินเสียงจากหนุ่มหล่ออีกครั้ง
อาการชะงักค้างจึงหายไป
เริ่มมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
“ไปไหนมาล่ะ
ถึงมาแถวนี้ได้”
ปวริศร์ เอ่ยถาม
“เอ่อ...ไป...”
ขยับจะพูด
แต่
จะบอกเขาว่าไปเดินพัฒนพงษ์มา
อย่างนั้นหรือ
แล้วถ้าเขารู้ว่า
หล่อนกับเพื่อนไปทำอะไรกันที่นั่น
เขามิตกตะลึงตาค้างหรือ
“...ธุระกับเพื่อนมาค่ะ
แล้วเลยแวะมากินที่นี่”
ดีนะที่รู้จักการโกหกสีขาว
ชายหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ
พลางหันไปยิ้มให้วีร์
แล้วโพล่งถามขึ้น
“ แฟนบุษ เหรอ”
“ว๊าย! ไม่ใช่ค่ะพี่”
หล่อนรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
ส่วนวีร์นั้นขำก๊ากจนเกือบสำลัก
“โธ่ คุณครับ
พูดอย่างนี้ผมเสียหายหมด”
เพื่อนชายของบุษบงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ผม วีร์
ฮะ
เป็นเพื่อนบุษ
ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว”
“อ้าว
งั้นเราก็เรียนที่เดียวกันสิ
ผม เก้ง
ครับ
เรียนสถาปัตย์”
ปวริศร์เอ่ยแนะนำตัว
พลางยื่นมือหนาแข็งแรง
มาจับมือของวีร์
ที่ยื่นมารออยู่ก่อนแล้ว
บุษบงมองมือของชายหนุ่มทั้งสองที่ยี่นมาสัมผัสกัน
ความคิดบางอย่างวาบขึ้นมา
ทำให้หล่อนตกใจ
จนต้องรีบสะบัดไล่ความคิดนั้น
“อืมม์…ดีจังจู่ๆก็ได้รู้จักสถาปนิก เอาไว้ผมต้องขอคำปรึกษา พอดีคุณแม่ผม มีที่อยู่แถวเขาค้อ เพชรบูรณ์ กำลังคิดอยากจะสร้างบ้านพักที่นั่นไว้อยู่ตอนคุณพ่อปลดเกษียณ ดีๆๆๆ เดี๋ยวผมขอนามบัตรคุณเก้งไว้หน่อยนะ เผื่อจะได้คุยกัน”
ปวริศร์ ยิ้มพยักหน้าหงึกหงัก พลางควักนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ ยื่นให้
หญิงสาว มองดูเพื่อนรักกับปวริศร์ คุยกันเรื่องโครงการสร้างบ้านอยู่พักใหญ่ แล้วแอบคิดว่าวีร์ นี่ช่างหัวไว หาเรื่องมาคุยกับเขาได้ทันท่วงทีจริงๆ
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีมากับเพื่อนกินกันอยู่ตรงมุมโน้น” ปวริศร์ เอ่ยขึ้น พลางชี้มือไปที่โต๊ะของตนเอง
ทั้งวีร์และบุษบงหันมองไปตามมือ แลเห็นชายหนุ่ม หน้าตาใสสะอาด แต่งกายด้วยเสื้อผ้า บ่งบอกถึงรสนิยมทันสมัย บุษบงส่งยิ้มให้
เมื่อเห็นเขากำลังชะเง้อมองมายังปวริศร์
ขณะมองร่างสูงเดินตรงกลับไปที่โต๊ะ
แล้วก้มลงกระซิบบอกหนุ่มหน้าใสที่นั่งรอ
พลันภาพของบรรดา
ชายหนุ่ม
ที่แผงหนังสือย่านพัฒน์พงษ์
ก็ปรากฏซ้อนทับเข้ามา
มือเรียวงาม
ที่จับตะเกียบอยู่นั้น
ถึงกับตกแหมะลงกับโต๊ะ
“เป็นไรไปนะบุษ”
วีร์ร้องถาม
“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่
ชอบเขาใช่ไหมล่ะ”
เขามองหน้าเพื่อนสาวอย่างรู้ทัน
“หยุดเลย
อย่ามาทำเป็นรู้ดี”
บุษบง พยายามบังคับเสียงเข้ม
หมายปรามเพื่อน
แต่ไม่ได้ผล
วีร์กลับยิ่งพูดหนักเข้าไปใหญ่
“แหม
แค่สบตาก็มือไม้อ่อน
เฮ้ย
หล่อขนาดนั้น
ใครไม่ชอบก็ตายด้านแล้วล่ะ”
วีร์แกล้งทำตาปรอยๆ
“ทำไม
ตัวเองก็ชอบเขาด้วยเหรอ
เขาไม่ชอบไม้ป่าเดียวกันหรอกนะจ๊ะ
จะบอกให้”
“อ๊ะ
ก็ไม่แน่นะ
ดูสิเขามากับใคร
ตานั้นน่ะ
ท่าทางออกเกย์ชัดๆ
คล้ายพวกที่เราเห็นที่พัฒนพงษ์เลย”
วีร์แย้งพลางบุ้ยใบ้
ไปที่โต๊ะอาหารอีกฟากของร้าน
“เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้”
แข็งใจพูดไปอย่างนั้น
แต่ในใจบุษบงรู้สึกหวั่นๆอยู่ลึกๆ
“ถ้าเป็นเพื่อนกันก็ดีสิ
วีร์ก็มีสิทธิ์ลุ้น”
วีร์เผลอพูดออกมาเบาๆ
แต่ไม่พ้นหูเพื่อนสาว
หล่อนรีบร้องทักขึ้น
อย่างมีเจตนายั่วล้อมากกว่า
“อย่างนี้
ก็ยอมรับแล้วสิว่าตัวเองเป็นเกย์
“
“บ้าสิ
วีร์ไม่ได้เป็นเกย์นะเฟ้ย
แต่เพื่อเพื่อนจะยอมแกล้งเป็นเกย์
พิสูจน์ พี่เก้ง
ของน้องบุษให้ก็ได้นะ
สนมะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมยักคิ้วลิ่วตา
ยั่วล้อเพื่อนสาวผู้กำลังว้าวุ่นในใจขนาดหนักอยู่
เวลานี้
ดีใจเพียงวูบเดียวที่ได้พบเขา
ทั้งยังคิดว่าพรหมลิขิตคงดลให้เราพบกัน
แต่
เทวดาใจร้ายตนใดหนอ
มาหย่อนกล่องปริศนา
ที่มีเสียงดังเหมือนระเบิดเวลาทิ้งไว้
ให้หล่อนใจหาย
ใจคว่ำ
กล่องปริศนา
ที่รอให้ใครสักคนเปิดออกมา
เพื่อพิสูจน์ให้รู้แท้ว่า
พี่เก้ง
ของบุษบงนั้น
มีใจให้เพศไหนกัน
และหากเป็นอย่างที่วีร์
ตั้งขอสงสัย
กล่องปริศนากล่องนั้น
คงเป็นระเบิดที่มีอานุภาพ
ทำลายหัวใจบุษบงให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
หญิงสาว
เก็บเรื่องราว
เมื่อหัวค่ำมาครุ่นคิดกระทั่งหัวถึงหมอน
บุษบงเฝ้าถามตัวเองว่า
หล่อนควรจะเลิกคร่ำครวญ
คิดถึงเขาเสียที
ดีไหมหนอ แต่แล้ว...
“พี่ยังไม่ลืมนะ...พี่ยังไม่ลืมนะ...พี่ยังไม่ลืมนะ...”
ประโยคนี้จากปากของเขา
พลันกลับเข้ามาอีกแล้ว
เอาละ
เป็นไง
เป็นกัน
บุษบงตัดสินใจ
หล่อนจะต้องเดินหน้าต่อไป
ในเมื่อหล่อนมีพรหมลิขิต
บันดาลชักพา
ดลให้
เขามาพบหล่อนดังใจ
ตั้งสามครั้งสามครา
ขนาดนี้แล้ว
จะกลัวไปใย
แล้ว...ถ้าหากพรหมลิขิตเล่นตลกล่ะ
บุษบงจะทำฉันใดดีหนอ...
“ก็พาพรหมลิขิต
ไปเล่นตลกที่คาเฟ่สิ”
หล่อนตอบคำถามตัวเอง
พลางหัวเราะคิกคัก
ก่อนพริ้มตาหลับไหล
ไปพร้อมกับ
ชะเอม แมวแสนรัก
ที่นอนเบียดเคียงข้าง
เป็นเพื่อนเจ้านายสาว
ให้คลายความเดียวดาย
------------------------