เมื่อบุษบง
จะลงจากคาน โดย ริญา
ตอนที่
7 แผนร้ายที่ลงล็อค
แดดอ่อนยามสายของเช้าวันเสาร์
ส่องลอดเข้ามาทางบานหน้าต่าง
หญิงสาว
ผู้ตะแคงตัวนอนหลับอยู่บนเตียง
ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
หลังจากรู้สึกถึงสัมผัสบางอย่าง
บริเวณปลายจมูก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา
เธอก็แลเห็น
ชะเอม แมวรัก
จ้องมองเขม็งอยู่ตรงหน้า
ด้วยสีหน้าแสดงความใคร่รู้เสียเต็มประดา
บุษบงเดาใจแมวของตัวเอง
ชะเอมคงอยากรู้ว่า
หล่อนยังหายใจอยู่หรือเปล่ากระมัง
เลยเอาอุ้งเท้าแตะๆปลายจมูกของหล่อนเสีย
หลายครั้งหลายครา
“เอมนะเอม
คนกำลังหลับสบาย
ฉันยังไม่ตายหรอกน่า”
หล่อนร้องบอกกับแมวก่อนพลิกตัวไปอีกด้าน
เพื่อหลับต่อ
ชะเอมไม่เลิกราง่ายๆ
มันเดินอ้อมไปอีกข้าง
ใช้อุ้งเท้าสะกิดไปที่หน้าหล่อนอีกครั้ง
พลางร้อง “แง๊วววว
แง๊ววว”
อยู่อย่างนั้นหากมันพูดได้
มันคงบอกว่า
“ตื่นได้แล้ว
ยายบุษบง
ฉันหิว”
บุษบง
รู้ใจแมวรักดี
เหลือบไปดูนาฬิกา
เจ็ดโมงกว่า
เกือบแปดโมงเข้าไปแล้ว
แมวของหล่อน
คงอยากจะให้หล่อนตื่นด้วยนั่นเอง
หญิงสาว
จึงลุกขึ้นอย่างจำใจ
เมื่อคืนที่ผ่านมา
เธอลุยอ่านนิยาย
“เวียงแว่นฟ้า”
ของ กฤษณา
อโศกสิน ไปถึงครึ่งเล่ม
เช้านี้
เลยตื่นยากตื่นเย็นเสียจริง
“เออ
ฉันยอมแพ้แกแล้วชะเอม
เดี๋ยวขอล้างหน้าก่อน
จะเอาอาหารให้”
หล่อนบอกแมวรัก
ซึ่งโดดแผล็วลงจากเตียง
ไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น
ด้วยความดีใจ
“แหม
สมใจแกแล้วสินะ
ชะเอม
ทำให้ฉันตื่นได้
เฮ้อ
ช่างไม่เห็นใจกันเลยนะ”
หล่อนมองแมวตัวโปรด
ด้วยความเอ็นดู
พลางบ่นไปขณะเดินเข้าห้องน้ำ
บุษบง
นึกในใจ
หากใครรู้ว่าหล่อนคุยกับแมวได้เป็นวรรคเป็นเวร
อย่างนี้
เขาจะว่าหล่อนติงต๊องไหมหนอ
แต่ก็ช่างเถอะ
แมวก็หัวใจเหมือนกันนี่นา
เพียงแต่พูดไม่ได้เหมือนมนุษย์เท่านั้นเอง
หล่อนสรุป
หลังจากจัดการให้อาหารแมว
เป็นที่เรียบร้อย
บุษบงก็เริ่มจัดการกับตัวเองบ้าง
เสาร์
อาทิตย์นี้
หล่อนไม่มีแผนจะออกไปไหน
หล่อนตั้งใจจะพอกหน้า
บำรุงผิวเสียหน่อย
แล้วก็หมักผมด้วยน้ำมันมะกอก
ตามสูตรที่เพิ่งอ่านเจอจากนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง
ระหว่างรอพอกหน้า
หมักผม
จนครบกำหนดเวลา
หล่อนก็จะอ่านนิยายไปด้วย
บุษบงรู้สึกว่า
หล่อนวางแผน
สำหรับวันหยุดพักผ่อนได้ดี
ดูเป็นชิ้นเป็นอันมากพอสมควร
เอ..จะแช่เท้าในน้ำอุ่นด้วยดีมั้ยนะ
หล่อนถามตัวเอง
ไม่ดีกว่า
เผื่อจะต้องลุกเดินไปไหน
เดี๋ยวพื้นบ้านจะเฉอะแฉะ
คิดได้เสร็จสรรพ
หล่อนจึงเริ่มดำเนินการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง
บุษบง
รู้สึกผ่อนคลาย
อย่างบอกไม่ถูก
วันหยุด
สบายๆ ที่หล่อนเฝ้ารอคอยมาตลอดทั้งอาทิตย์
ในที่สุดก็มาถึงจนได้
พอกหน้า
หมักผมไปได้ประมาณ
15 นาที
บุษบงก็ต้องวางมือจากนิยาย
ที่หล่อนกำลังอ่านติดพัน
เพื่อมารับโทรศัพท์
“ฮาโหล”
หล่อนไม่สามารถพูดออกเสียงได้ชัด
ด้วยครีมพอกหน้า
รัดตึงอยู่บริเวณรอบปาก
“วีร์เอง
แหม
ดีแล้วที่อยู่บ้านจริงตามที่บอก
มาเปิดประตูเร็ว
วีร์รออยู่หน้าบ้านนี้แล้ว”
วีร์
กรอกเสียงระรื่นมาตามสาย
“เฮ้ย
อาไรกัน
มาก็ไม่บอก
พอกหน้าอยู่”
บุษบงตอบไปด้วยเสียงอู้อี้
“เออ
ออกมาเปิดก่อนแป๊บเดียวน่า
แค่นี้นะ
โทรนานเปลือง”
พูดจบชายหนุ่มต้นสาย
ก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที
บุษบง
วางหู
อย่างเหนื่อยหน่าย
มิน่าเมื่อคืนวีร์
โทรมาถามย้ำ
ซ้ำไปซ้ำมาว่าเสาร์
อาทิตย์นี้
หล่อนมีแผนจะไปไหน
หรือเปล่า
นี่เขาคงรู้ว่าหล่อนอยู่บ้าน
ถึงได้มาหาให้ประหลาดใจเสียอย่างนั้น
หญิงสาวได้แต่หวังว่า
เขาคงไม่ลากหล่อน
ออกไปสถานที่อโคจรที่ไหนอีก
นึกถึงตอนที่
เขาพาไปเดินพัฒนพงษ์
ทีไร
หล่อนยังขยาดไม่หาย
หญิงสาว
ออกมาเปิดประตูบ้าน
พร้อมกับใบหน้าที่โปะด้วยครีมขาวเขรอะ
บนศีรษะมีผ้าขนหนูสีเขียวอ่อน
โพกไว้เพื่อหมักเส้นผม
หล่อนอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว
กับกางเกงขาสั้นลำลองยาวเหนือหัวเข่า
หล่อนมองหน้าเพื่อนรักพร้อมส่ายหัวไปมา
ยิ่งเห็นใบหน้ายิ้มระรื่นของวีร์
หล่อนนึกอยากจะตบแขนเขาสักเผียะ
ช่างกระไรนะเพื่อน
มาไม่ยอมบอกกล่าวกันล่วงหน้า
ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน
หล่อนคงไม่ยอมพาใบหน้าอันเขรอะๆ
เละเทะ
เหมือนนางปีศาจหน้าขาว
ออกมาพบเป็นแน่
“ร้ายจริงๆ
มาไม่บอก
ห้ามหัวเราะหน้าบุษนะ ไม่งั้นจะไล่กลับจริงๆด้วย”
หล่อนร้องบอกด้วย
เสียงอู้อี้
ขณะเปิดประตูบ้าน
“จะกล้าไล่จริงๆเหรอ”
เพื่อนชายของบุษบง ถามจบ
แล้วเดินเข้ามาใกล้
ก้มลงกระซิบบอก
“ดูสิว่าพาใครมา”
เมื่อบุษบงชายตาไปที่ชายหนุ่ม
ผู้ที่กำลังก้าวลงจากที่นั่งเบาะหน้าคู่คนขับ
หล่อนถึงกับเบิ่งตาโพลง
ตะลึงนิ่ง
“หวัดดีบุษ
หน้าไปทำอะไรมา”
เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นใจบุษบง
เอ่ยถาม
ทั้งพยายามกลั้นหัวเราะ
“พี่เก้ง...ทำไมพี่เก้งมากับวีร์...มาทำอะไร...จะไปไหน...”
บุษบงพูดเหมือนละเมอ
“ไม่ต้องพูดก็ได้บุษ
พี่เข้าใจว่า
บุษอ้าปากลำบาก”
ปวริศร์
นึกขันกับอาการพูดที่
ออกเสียงเต็มคำไม่ได้
ของหญิงสาว
อีกทั้งใบหน้าที่เขรอะขาวไปด้วยครีมนั่นอีกเล่า
ทำเอาเขาเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
บุษบง
รู้สึกอับอายเหลือจะกล่าว
หากหล่อนสามารถแทรกแผ่นดินตรงหน้าหนีไปได้
หล่อนจะทำเสียเดี๋ยวนี้
แค่ใบหน้าปกติของหล่อน
ก็ไม่สามารถเรียกให้
ปวริศร์
หันมามองได้อยู่แล้ว
นี่เขายังมาเจอหล่อนในสภาพ
หน้าเหมือนผีอีกแบบนี้อีก
คะแนนที่มีอยู่แค่ศูนย์
คงจะร่วงลงไปติดลบกันละสิ
คราวนี้ ‘ตาย ตาย
ตาย หมดกันแล้วสิฉัน’
บุษบงได้แต่ร้องร่ำอยู่ในใจ
“เข้าบ้านกันก่อนละกัน
เดี๋ยวบุษจะไปล้างหน้า”
พูดออกไปเมื่อตั้งสติได้
แล้วบุษบงก็รีบหมุนตัววิ่งเข้าบ้าน
ปล่อยให้แขกผู้มาเยี่ยมเยือน
โดยมิได้นัดหมาย
เดินเข้าบ้าน
หาที่นั่งกันเอง
วีร์
นั้นคุ้นเคยกับการเข้าออกบ้านบุษบงอยู่แล้ว
เขานั่งลงอย่างสบาย
ตรงเก้าอี้โยกมุมห้องรับแขก
ส่วนปวริศร์
นั้นดูจะขัดเขินอยู่บ้าง
ด้วยเป็นครั้งแรก
ที่มาถึงบ้านบุษบง
โดยที่เขากับหล่อน
ยังไม่ได้รู้สึกสนิทสนมกันมาก
เกินกว่าฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง
ร่วมสถาบันที่รู้จักกัน
“นั่งตามสบายเลยคุณเก้ง
บุษเขาอยู่คนเดียว
อ้อ ไม่สิ
อยู่กับแมว
ชะเอม
ป่านนี้ วิ่งหนีขึ้นข้างบนไปแล้ว
ชะเอม
มันกลัวคน” วีร์
ร่ายยาว
แทนเจ้าของบ้านเสร็จสรรพ
ปวริศร์
พนักหน้ารับรู้
พลางนั่งลงบนโซฟาตัวยาว
ที่ที่บุษบง
นอนเอกเขนกอ่านหนังสืออย่างสบายใจ
ก่อนที่สองหนุ่มจะมาเยือน
ชายหนุ่มกวาดตามองไปบริเวณเก้าอี้นั่ง
ก็พบกับหนังสือนิยาย
ที่หญิงสาวเข้าของบ้านอ่านค้างอยู่
เขาหยิบขึ้นมาอ่านดูอย่างสนใจ
ระหว่างที่
ปวริศร์
เปิดหนังสืออ่าน
เจ้าของหนังสือ
ก็กำลังล้างครีมพอกหน้า
จ้าละหวั่นบนห้องน้ำชั้นบน
“วีร์
นะวีร์
ทำแสบจริงๆ
ดันพาพี่เก้งมาเจอตอนฉันอยู่ในสภาพ
เหมือนอีผีบ้าอย่างนี้ได้ยังไง
เจ็บใจจริงๆ”
ร้อนได้แต่ครางฮึ่มๆ
แค้นเพื่อนอยู่ในใจ
“จะมากันก็ไม่บอกกล่าวสักนิด
จะได้แต่งเนื้อ
แต่งตัวให้ดูดี
หาอาหารมาคอยท่า
โอ๊ย
แล้วอย่างนี้
พี่เก้งจะประทับใจฉันบ้างมั้ยนี่”
หล่อนยังคงบ่นกับตัวเอง
แล้วมือที่กำลังเช็ดหน้าอยู่นั้นก็หยุดชะงัก
เมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา
“หรือนี่จะเป็นแผนตัดแต้มของตาวีร์
ต้องใช้แน่ๆ
เจ้าเพื่อนตัวแสบ
แอบหลงรักพี่เก้งซะเอง
แล้วพาเขามาให้เห็นสภาพอันทุเรศ
ทุรังของฉัน
เพื่อทำให้ฉันเสียคะแนน”
โอย ยิ่งคิด
บุษบงก็ยิ่งแค้น
ทำไมนะ ทำไม
ทำไมเพื่อนถึงกับเพื่อนอย่างนี้ได้
“เฮ่ย!
แต่ว่าพี่เก้งเขาเป็นชายมาดแมนขนาดนั้น
ไม่มีทางชอบผู้ชายด้วยกันแน่
ยังไงฉันเป็นผู้หญิง
มีคะแนนเหนือกว่าอยู่แล้ว”
บุษบงยิ้มกับกระจกอย่างย่ามใจ
พลันบุษบงอีกคนในใจ
ก็ร้องแทรกมาว่า
“จำผู้ชายที่แผงหนังสือย่านพัฒนพงษ์
ไม่ได้หรือบุษ”
จำได้สิ
ทำไมจะจำไม่ได้
บุษบง
ถึงกับอยากจะร้องไห้
ออกมาซะตอนนี้
หล่อนขอต่อรองกับโชคชะตาช่วยต่อเวลาของระเบิดเวลา
ให้นานออกไปอีกหน่อยจะได้ไหม
“ล้างหน้าอะไรกัน
ทำไมมันนานนัก”
วีร์ตะโกนถามมาจากข้างล่าง
“ก็ล้างหน้าที่พอกครีมอยู่ไงล่ะ
ช่วยไม่ได้อยากมาไม่บอกเอง
รอไปก็แล้วกัน”
บุษโผล่งร้องตะโกนกลับลงไป
ด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
หล่อนไม่ทันคิดว่า
หล่อนควรจะสร้างภาพพจน์ที่ดี
ต่อหน้าชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง
ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก
“โอเคๆ
เราผิดเอง เอางี้
อาบน้ำแต่งตัวไปเลยนะกัน
เนี่ยะ
จะมารับไปเพชรบูรณ์”
วีร์ร้องบอกเพื่อนสาว
ซึ่งคำบอกนั้น
ทำเอาเจ้าหล่อนถึงกับถลันออกมายืนจังก้า
ตรงหน้าบันได
“ไปเพชรบูรณ์
จะบ้าเหรอ
ทำไมไม่บอกล่วงหน้า”
หล่อนร้องถามเสียงดังลั่น
“อ้าว
ก็เมื่อคืนถามแล้ว
บุษบอกว่าไม่ไปไหนเสาร์
อาทิตย์ นี้
ก็เลยมารับไปเที่ยวไง แหม
ถ้าบอกก่อนก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ”
เพื่อนชายผู้กำลังลังเลว่าจะเป็นเกย์ดีมั้ย
ตอบหล่อนหน้าทะเล้น
ไม่เพียงแต่
บุษบงเท่านั้นหรอกที่ประหลาดใจ
ปวริศร์
เองก็รู้สึกไม่ต่างจากบุษบงเท่าไร
“อ้าว
คุณวีร์
ไม่ได้บอกบุษก่อนหรือฮะ”
เขาถาม
วีร์ยิ้มร่า
ปากแทบฉีกถึงหู
ก่อนตอบ
“ไม่ได้บอกหรอกครับ
แค่โทรมาเช็คว่า
เขาว่างหรือเปล่า
รายนี้ถ้าว่าง
ลากไปไหนก็ไปแล้ว”
พูดจบหันมายักคิ้ว
ขยิบตาหยอกเย้า
บุษบงที่
กำลังยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จากนั้นเขาจึงเดินขึ้นบันไดไปหาหล่อนยังชั้นบน
ปวริศร์ ได้แต่ยิ้ม
แล้วพยักหน้า
เขาสังเกตได้ว่าบุษบงกับวีร์
คงจะสนิทกันอยู่ไม่น้อย
แต่ทั้งสองก็ไม่มีทีท่าที่แสดงออกต่อกันมากไปกว่าเพื่อน
ชายหนุ่มรู้สึกชอบใจในสัมพันธภาพของคนทั้งคู่
ด้วยได้เห็นคู่เพื่อนหญิงชายอีกคู่หนึ่ง
ที่สามารถเป็นเพื่อนสนิทกัน
โดยไม่ต้องพะวงเรื่องความรักใคร่เสน่หา
ดังความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงโดยทั่วไป
“แล้วไปตั้งเพชรบูรณ์
ไปทำไม
จะไปเช้าเย็นกลับได้เหรอ”
บุษบงลดเสียงถาม
เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า
หล่อนควรจะสำรวมกิริยาขณะอยู่ต่อหน้าปวริศร์ไว้บ้าง
อย่างน้อยก็ทำคะแนนคืนมาหน่อยก็ยังดี
“ก็พาคุณเก้งเขาไปดูที่
ที่จะปลูกบ้านพักที่เขาค้อ
แล้วก็ต้องค้างหนึ่งคืน
เพราะฉะนั้น
ไปเก็บเสื้อผ้าด้วย”
“ค้างคืน!”
บุษบงร้องออกมาดังลั่น
อารามตกใจทำให้หล่อนลืมปวริศร์
ไปเสียสนิท
“เฮ้ย
นี่มันมากไปแล้วนะวีร์
ถ้ามาชวนบุษไปไหนแป๊บเดียวกลับก็ว่าไปอย่าง
นี่เล่นให้ค้างคืนเลยเหรอ
นานๆบุษจะได้อยู่บ้านสบายๆ
ส่วนตัวสักครั้งนึงนะ”
หล่อนร้องโวยวายต่ออย่างลืมตัว
ทว่าท่าทางและปฏิกิริยาของบุษบง
หาทำให้เพื่อนรักสะทกสะท้านไม่
วีร์ยังคงยิ้มหน้าระรื่น
แล้วเดินขึ้นมาหาหล่อนที่ชั้นบน
ยื่นเข้ามากระซิบกระซาบ
“ไปค้างคืน
แล้วมีพี่เก้งไปด้วย
ไม่สนใจเหรอ
แต่ก็ตามใจนะ
ไปกับพี่เก้งสองคน
ก็ดี
จะได้พิสูจน์รู้กันไปให้ชัดๆ
ว่าที่สงสัยกันน่ะ
เป็นจริงหรือเปล่า”
บุษบงมองหน้าเพื่อนรัก
นิ่งขึง
หล่อนรู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือคณานับ
จนมิอาจสรรคำพูดใดมาตอบโต้ได้อีก
ใยคำพูดที่วีร์ยกขึ้นมา
มันช่างมีพลังอำนาจ
ถึงขนาด รุนหลังให้หล่อน
เดินตุปัดตุป่องเข้าห้องนอน
รีบไปเก็บข้าวของสัมภาระสำหรับค้างแรม
1 คืน
แล้วยังผลักหลังหล่อนให้รีบอาบน้ำ
แต่งตัว
เตรียมพร้อมเดินทาง
ก็แน่ละ
ใครจะไว้ใจปล่อยให้ชายหนุ่ม
ที่มีแนวโน้มเป็นเกย์
อย่างวีร์
ไปค้างอ้างแรมกัน
สองต่อสอง
กับพี่เก้งของหล่อน
หากสิ่งที่หล่อนหวาดหวั่นอยู่ลึกๆนั้น
พลิกผันไปในทางเลวร้าย
บุษบงคิดว่า
อย่างน้อย
หล่อนก็คงพอจะถนอมเวลา
ที่รับรู้ว่าพี่เก้ง
เป็นชายอกสามศอก
เต็มตัว
และอย่างน้อย
หล่อนก็ยังต่อเวลา
ให้เขาอยู่ในฝันได้ต่อไปเรื่อยๆ
โดยไม่ต้องเจ็บช้ำใจ
เมื่อถึงคราวต้องรู้
และยอมรับว่า
‘เขาพิศมัยในไม้ป่าเดียวกัน’
บุษบงก้าวลงบันไดมาพร้อมกระเป๋าเป้เดินทาง
พาดบนหัวไหล่
เรือนผมหยักศกสั้น
ยังแลดูเปียกๆ
ด้วยวีร์เร่งหล่อนเสียจนไม่มีเวลาเป่าผมให้แห้ง
‘ช่างเถอะ
ไหนๆ ก็ไหน
พี่เก้งเห็นฉันในสภาพน่าเกลียดสุดๆมาแล้วนี่
กะอีแค่ผมเปียก
คงไม่ทุเรศเท่าหน้า
เขรอะครีมหรอก’
บุษบงคิด
ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเดินลงมา
หล่อนเสียดายอยู่นิดหนึ่งว่า
ภาพของหล่อนขณะก้าวลงบันไดมานั้น
มิได้งดงามเหมือน
นางเอกนิยาย
ที่พระเอกหนุ่ม
เห็นแล้วจะรีบตะลีตะลาน
ลุกขึ้นตะลึงแล
ก็ดูชายหนุ่ม
รูปงาม
พระเอก
(ที่หล่อนทึกทักเอาเอง)
ของบุษบง
นั่นสิ
มัวแต่นั่งอ่านนิยาย
เล่มที่หล่อนวางทิ้งไว้อยู่
ไม่เงยหน้าเงยตา
กระทั่ง นายวีร์
จอมวางแผนเรียกนั่นละ
เขาถึงลุกขึ้น
แล้วยื่นหนังสือส่งให้หญิงสาว
“บุษ
เอาไปอ่านด้วยสิ
พี่เปิดอ่านไปหน่อยนึง
สนุกดีนะ
แทรกความรู้ประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ด้วย
น่าสนใจดี” ปวริศร์เอ่ย
“พี่เก้งชอบเรื่องเวียงแว่นฟ้า
นี่ด้วยเหรอคะ
ดีจัง เดี๋ยวบุษพกไปอ่านด้วย
อ่านจบแล้วจะได้ให้พี่ยืมต่อเลย”
บุษบงยิ้มชื่น
ความดีใจที่เขาชอบหนังสือเล่มที่หล่อนกำลังอ่าน
มาช่วยกอบกู้จิตใจให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น
“ดีสิ
ปกติพี่ก็ไม่อ่านนิยายหรอก
แต่มาเปิดเล่มนี้แล้วน่าสนใจ
อ่านเพลินดี”
“คุณสองคน
ไปคุยกันต่อในรถก็ได้นะ”
วีร์
แกล้งพูดขัดขึ้น
“สายแล้ว
ไปเถอะ”
สิ้นคำ
ทั้งสามคนก็ตั้งท่าจะเดินไปขึ้นรถ
พลันบุษบงก็ฉุกคิดอะไรได้
แล้วร้องขึ้น
“อุ้ย
เดี๋ยวก่อนนะ
ลืมเทอาหารแมวไว้ให้ชะเอม”
พูดจบหล่อนก็รีบวิ่งตื๋อ
หายเข้าไปในบ้านพักหนึ่ง
แล้วรีบวิ่งกระหืดกระหอบ
กลับมาที่รถแบบขับเคลื่อนสี่ล้อคันงามของวีร์
หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า
ขณะที่หล่อนวิ่งกลับไปอย่างร้อนรน
มีสายตาคู่หนึ่ง
มองตามหล่อนไป
อย่างนึกชื่นชมอยู่ในความเอาใจใส่
ห่วงใยแมวแสนรักของหล่อน
(ถึงแม้หล่อนจะคิดได้ในนาทีสุดท้ายก็เถิด)
“โอเคค่ะ
ไปได้เลย”
หล่อนบอกเพื่อนชายผู้เป็นคนขับ
หลังจากขึ้นนั่งบนเบาะด้านหลัง
รถขับเคลื่อนสี่ล้อสายพันธุ์อเมริกันคันหรู
ถูกเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานไปข้างหน้า
นำพาบุคคลทั้งสามมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง
จังหวัดเพชรบูรณ์
บุษบง
ได้ยินสองหนุ่ม
ที่นั่งคู่กันด้านหน้าคุยเฮฮากันอย่างถูกคอ
หากหญิงสาวก็มิได้รู้สึกแปลกแยกแต่อย่างใด
ด้วยชายหนุ่มผู้มีใบหน้างามราวรูปปั้นเดวิดของหล่อน
คอยหันมาถามและชวนพูดคุยสนทนาด้วย
เป็นระยะๆ
อีกครั้งที่เขาหันมา
แต่ทว่าบุษบงก็มิได้รับรู้แล้ว
ความเย็นฉ่ำของแอร์ในรถ
กอปรกับภาพทิวไม้ตลอดสองข้างทาง
พาหล่อนเคลิ้มหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ปวริศร์ได้แต่มองใบหน้าหมดจดเป็นธรรมชาตินั้น
แล้วอมยิ้ม
------------------------------------------