เมื่อ
บุษบงจะลงจากคาน โดย ริญา
ตอนที่
8
ใช่...หรือไม่ใช่
พาหนะแบบขับเคลื่อนสี่ล้อคันหรู
พาคนทั้งสามขึ้นสู่เขาค้อ
มาตามถนนขึ้นเขาที่คดเคี้ยว
โค้ง
สลับไปมาตามความสูงชันของทิวเขาเพชรบูรณ์
กว่าที่คนทั้งสามจะขับรถเข้ามาถึงเขตเขาค้อ
ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย
คณะทัวร์
“ตกกระไดพลอยโจน”
ที่บุษบงตั้งชื่อให้คณะนี้
จึงตกลงกันว่าจะหยุดชมวิวรายทางระหว่างขึ้นเขาไปเรื่อยๆ
อันเริ่มตั้งแต่เนินพิศวง
วีร์
ผู้เป็นคนขับนั้น
ตื่นเต้นเป็นหนักหนา
ที่รถไหลขึ้นสู่ที่สูงได้เอง
ตามแรงโน้มถ่วงของโลก
ซึ่งบุษบง
และปวริศร์ เองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
สองข้างทางที่เขียวชอุ่ม
ด้วยพรรณไม้นานา
อีกทั้งลมเย็นที่โชยผ่านมาทางหน้าต่างกระจกรถ
ปะทะใบหน้า
พาให้บุษษงรู้สึกสดชื่น
แจ่มใส
จนนึกขอบคุณ
เพื่อนรักอยู่ในใจที่พาหล่อนมาด้วย
แม้จะสุดแสนฉุกละหุก
จนหล่อนแทบตั้งตัวไม่ทัน
“เป็นไงบุษ
ชอบหรือเปล่า”
วีร์
เอ่ยถามขึ้นโดยมองเพื่อนสาวผ่านกระจกมองหลัง
“ฮื่อ
สวยมากเลย
อากาศดีจริงๆ”
หล่อนหันไปตอบ
แล้วเบนสายตาไปชมวิวข้างทางเช่นเดิม
“ต่อไป
ถ้าบ้านของวีร์เสร็จ
บุษคงได้มาเที่ยวได้บ่อยๆล่ะสิ”
เป็นเสียงของชายหนุ่มอีกคน
เอ่ยขึ้น
ถึงตอนนี้ปวริศร์
เริ่มสนิทคุ้นเคยกับวีร์
จนไม่มีสรรพนาม
“คุณ” เรียกนำหน้าชื่อแล้ว
“ไม่รู้เจ้าของบ้านเขาจะพามาหรือเปล่านะสิค่ะ
พี่เก้ง”
“เออ
รู้ดีนี่ว่าจะไม่พามา
เอาไว้เรามาเที่ยวกันสองคนนะเก้ง”
วีร์แกล้งหยอก
เพื่อนสาวอย่างอารมณ์ดี
ปวริศร์
เออออ
พร้อมหัวเราะน้อยๆ
ไปกับวีร์ด้วย
ตลอดทาง วีร์
มักจะหยอกล้อบุษบงเป็นที่สนุกสนาน
จนเขารู้สึกสนุก
ที่จะทำตัวเป็นท่านขุนพลอยพยักไปด้วย
“มาเองก็ได้ย่ะ
ตะกี้ผ่านมาเห็นมีที่พักตั้งเยอะแยะ”
หล่อนแกล้งตอบเสียงสะบัด
ชวนให้สองหนุ่มที่นั่งคู่กันด้านหน้ารถ
หันมายิ้มให้กัน
แว่บหนึ่งที่ชำเลืองไปยังสายตาวีร์
หล่อนไม่แน่ใจว่าหล่อนอุปาทานไปเองหรือเปล่า
ที่เห็นสายตา
อันหวานเชื่อมของเพื่อนรัก
ส่งทอดมายัง
“พี่เก้ง“
ของหล่อน
และอีกฝ่ายก็กลับยิ้มตอบ
โดยไม่แสดงทีท่ากระอักกระอ่วนเสียด้วยสิ
ใจบุษบงหายวาบกับภาพที่เห็น
หรือระหว่างที่หล่อนหลับมาตลอดทาง
เขาสองคนได้พร่ำพรอด
รำพัน
เผยความนัยต่อกัน
ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ดูสิช่างเข้าขา
เข้าคู่กันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
แล้วนี่ยังส่งสายตา
และรอยยิ้มให้กันอีก
โอย
คิดแล้วหล่อนอยากจะบ้า
อยากจะกรีดร้องไปให้ก้องไปทั้งเขาค้อ
วีร์นะวีร์
ไม่น่ามาทำอะไรให้หล่อนเห็นโจ่งแจ้ง
คาตาขนาดนี้เลย
“เดี๋ยวเราแวะกินข้าวเย็นกันตรงทางเข้าน้ำตกศรีดิษฐ์กันก่อน
แต่ไม่เข้าไปเที่ยวนะ
ใกล้ค่ำแล้ว
พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
วีร์
พูดขึ้น
ขณะขับรถอย่างระมัดระวังไปตามทางลาดชัน
เย็นวันนั้น
ทั้งสาม
คนก็มีโอกาสชมพระอาทิตย์ตกดิน
บนเขาค้อด้วยกัน
ภาพดวงอาทิตย์
ดวงกลมโตสีส้ม
ค่อยๆเคลื่อนลับลง
หลั
งทิวเขาอันสลับซับซ้อนนั้น
เป็นภาพที่ชวนประทับใจยิ่ง
หากจิตใจของบุษบงกลับ
มิอาจซึมซับความงดงาม
ได้เต็มที่
เมื่อแลเห็นสองหนุ่มชี้ชวนกันถ่ายรูปพระอาทิตย์กันอย่างแช่มชื่น
ช่างเป็นภาพที่รบกวนจิตใจของหล่อนอย่างยิ่ง
หล่อนไม่อยากจินตนาการอะไรต่อไปให้มากกว่านี้
เมื่อได้ยินวีร์บอกหลังจากกลับขึ้นมาบนรถว่า
“บ้านที่เราจะไปพัก
เป็นบ้านของคุณป้าวีร์ มี 2
ห้องนอน
เราสองคนเสียสละนอนด้วยกัน
แล้วยกอีก 1
ห้อง
ให้บุษนอนไปเลยคนเดียว
สบายๆ”
ใบหน้ายิ้มละมัย
และน้ำเสียงระรื่นนั้น
คล้ายมีเลศนัยบางอย่าง
ซึ่งบุษบงตีความว่า
วีร์กำลังจะบอกหล่อนว่า
“พี่เก้งของเธอเสร็จฉันแน่
คืนนี้”
บุษบง
ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่รุมเร้าอยู่ในใจขณะนี้ได้เลย
หล่อนทั้งแค้น
ทั้งเคือง ทั้งห่อเหี่ยว
ระทมทุกข์ระคนกัน
หล่อนเฝ้าแต่คร่ำครวญกับตัวเองอยู่ในใจว่า
“ไม่น่าเลย
ไม่น่ามาเลย
วีร์นะวีร์
ทำไมต้องมาทำให้ฉันเห็นจะจะแบบนี้ด้วย”
บ้านที่วีร์พาบุษบง
และปวริศร์
มาพักนั้น
เป็นเรือนไม้สักทั้งหลังยกพื้นสูง
ปลูกอยู่ท่ามกลางหุบเขา
และมีมวลหมู่พรรณไม้นานารายรอบ
ภายในบ้านตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ด้วยเครื่องเรือนไม้สัก
เข้ากับสภาพบรรยากาศ
บ่งบอกถึงฐานะ
ของเจ้าของบ้านว่า
อยู่ในระดับคหบดี
บุษบงเดินผ่านห้องนั่งเล่น
แยกเข้าไปยังห้องพักส่วนตัวอย่างซึมเซา
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้
หล่อนยังรู้สึกแช่มชื่น
แจ่มใส
หญิงสาวไม่คาดคิดมาก่อนว่า
จากความหวังแรกเริ่มที่
หล่อนจะได้มีโอกาสใกล้ชิดชายหนุ่มในฝัน
กลับกลายมาเป็น
คืนที่หล่อน
ส่งเขาให้เข้าห้องหอกับวีร์
เพื่อนผู้คงจะตัดสินใจแน่แน่วแล้วในคืนนี้ว่า
พร้อมแล้วที่จะเป็น
‘เกย์ ‘
นี่คงถึงคราวแล้วกระมัง
ที่โชคชะตากำลังจะเริ่มเล่นตลกกับหล่อน
และหล่อนก็ไม่มีอารมณ์
จะพาโชคชะตาไปเล่นตลกที่คาเฟ่เสียด้วย พรุ่งนี้เช้า
วีร์คงตื่นมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
แล้วตรงมาบอกกับหล่อนว่า
“ฉันตกเป็นของเก้ง
แล้วเมื่อคืนนี้”
ส่วนพี่เก้ง
ก็คงจะบอกกับวีร์ว่า
“ผมจะรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไปกับวีร์
แต่งงานกันเถิดนะ”
บุษบงรีบสลัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไปทันที
‘ตายแล้ว
ฉันคิดออกไปได้ยังไงนี่
ท่าจะอ่านนิยายมากไปหน่อย
บ้าจริงๆ’
หล่อนรำพึงกับตัวเอง
พลางลุกขึ้น
เตรียมตัวไปอาบน้ำ
‘พี่เก้งกับวีร์
เขาไม่เป็นอย่างนั้นหรอกน่า’
หล่อนพยายามย้ำบอกกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
ขณะพยายามข่มใจไม่ให้คิด
ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือนิยาย
“เวียงแว่นฟ้า”
ที่หล่อนนำติดมาด้วย
หากความคิดเดิม
ก็ย้อนเข้ามารบกวนหล่อนอีกครั้ง
ป่านนี้
เขาสองคน
กำลังทำอะไรกันอยู่นะ
เขาจะพูดคุยอะไรกัน
วีร์คงนอนซุกแผ่นอกกว้างของพี่เก้งไปแล้ว
ความคิดฟุ้งซ่าน
ของบุษบงยังคงไหลแล่นไม่หยุดยั้ง
แม้หล่อนจะพยายามเบนความสนใจมายัง
“เจ้าม่อนฟ้า”
ชายหนุ่มร่างกำยำ
พระเอกในเรื่องเวียงแว่นฟ้า
แต่ก็ยังไม่ได้ผล
หล่อนจึงตัดสินใจลุกเดินออกไปนอกห้อง
เผื่อว่าความคิด
“บ้าๆ” ของหล่อนจะจางหายไปบ้าง
หญิงสาวเดินเรื่อยมายังชานเรือน
ด้านหน้าบ้าน
ทรุดตัวลงนั่งตรงม้านั่งที่ต่อยื่นออกมาจากระเบียงรั้ว
หล่อนเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้า
ที่ระบายด้วยดวงดาวระยิบระยับ
หล่อนไม่เคยเห็นดาวมากมายแบบนี้
ที่กรุงเทพฯ
เลย
คงเพราะม่านหมอกควันพิษนั่นเอง
ที่บดบังแสงพราวพราย
จากดวงดาวเสียหมดสิ้น
บุษบงระบายลมหายใจยาว
ในที่สุด
หล่อนก็ค้นพบสิ่งดีๆ
ที่ได้จากการเดินทางในครั้งนี้แล้ว
หล่อนบอกตัวเองว่า
ถือเสียว่า
ได้มีโอกาสมาดูดาวก็แล้วกัน
“แม้หัวใจสลาย
ฉันก็ยังมีหมู่ดาวเป็นเพื่อน”
บุษบงนึกขันกับถ้อยคำซึ้งของตนเอง
ฟังราวกับบทกวี
ประเภทกลอนเปล่า
เล่าเรื่องอกหัก
หล่อนคงจะอกหักสินะ
ถึงสามารถคิดคำอะไรแบบนี้ออกมา
ท่าจะต้องลองขยับเขียนสักบท
สองบท ซะแล้ว
หล่อนบอกกับตัวเอง
บทกลอนของหล่อน
จะบรรยายว่าอะไรดีล่ะ
“เธอเมินฉัน
ไปหาชายคนนั้น...”
บุษบงรีบขับไล่ไสสง
วรรคนั้นออกจากบทกลอนของหล่อนทันที
“รับไม่ได้
ยังไงฉันก็ยังทำใจรับไม่ได้อยู่ดี”
หล่อนครวญอยู่ในอก
บุษบง
นั่งคิดฟุ้งซ่านไปไกล
จนกู่ไม่กลับ
ไกลมาก
กระทั่งจิตใจไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น
ดังนั้น
หล่อน
จึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู
และฝีเท้าของใครบางคน
ที่ก้าวเข้ามาข้างหลังอย่างเงียบสนิท
“บุษ...บุษ...บุษบง!”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นในตอนท้าย
พาลให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว
สติสตังพลันกลับคืนสู่ร่าง
“อ้าว
พี่เก้งเองเหรอคะ”
หล่อน
เอ่ยเสียงอ่อยๆ
พลันก้มหน้างุด
แล้วหันรี
หันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก
ก็หล่อนรู้สึกอายเหลือกำลัง
ที่มานั่ง
เบ๋อบ๋า
ใครเรียกไม่รู้ไม่หัน
อยู่ตรงนี้
“กำลังคิดอะไรเพลินๆน่ะค่ะ
เลยไม่รู้ว่าพี่เก้งมา”
เป็นคำแก้ตัวที่หล่อนพอจะนึกได้
คงต้องขอบคุณ
บรรดานางเอกนิยายหลายเรื่องๆ
ที่มักจะพูดอะไรออกมาคล้ายๆกัน
จึงทำให้หล่อนจำได้จนติดใจ
“พี่ขอโทษนะ
ที่มาขัดจังหวะ...”
เขาเอ่ยบอก ก่อนถามหล่อนว่า
“นั่งด้วยคนได้มั้ย”
บุษบง
ยิ้มรับน้อยๆ
ก่อนพยักหน้า
ชายหนุ่ม
จึงนั่งลงตรงม้านั่ง
ห่างจากหล่อนเพียงแค่หนึ่งศอก
ระยะใกล้ขนาดนี้
ทำให้บุษบง
ลืมความคิดฟุ้งซ่านของหล่อน
เป็นปลิดทิ้ง หล่อนอยากบังคับหัวใจให้เต้นช้าลงกว่านี้
หากแต่หล่อนก็มิอาจทำได้
ราวกับว่ามีใครเปิดเพลงฮิพ-ฮอพ
ดังบึ่มบั่มๆ
ให้เจ้าก้อนเท่ากำปั้นข้างอกซ้ายของหล่อน
เต้นไม่เป็นจังหวะอยู่
ขณะนี้
“ท้องฟ้าที่นี่โปร่งดีนะ
เห็นดาวเต็มฟ้าเลย”
ปวิรศร์
เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
ขณะมองออกไปยังฟ้ามืด
ที่พร่างพราวด้วยแสงดาว
ส่องประกายวาววับ
“ค่ะ
บุษ
ไม่เคยเห็นดาวเต็มฟ้าอย่างนี้มานานแล้ว”
หล่อนตอบออกไปพลางมองฟ้า
อย่างดื่มด่ำในความงาม
“
แสดงว่า
เป็นพวกนอนหัวค่ำ
ตื่นตอนตะวันโด่ง”
ชายหนุ่มแกล้งหยอก
พลางหัวเราะน้อยๆ
บุษบง
หันมามองเขาแล้วกลั้นหัวเราะ
ก่อนพูดว่า
“พี่เก้งนี่รู้จริงแต่แค่ครึ่งเดียว
บุษนอนดึก
แต่ซุกหัวอยู่แต่ในบ้านต่างหาก
เลยไม่เคยเห็นดาว”
“งั้น
แสดงว่าตื่นตอนตะวันโด่ง
นี่เป็นเรื่องจริง”
เขาเลิกคิ้วถาม
นัยน์ตามีแววยั่วล้อ
จนบุษบงนึกละอายใจอยู่คราวมครัน
ก็เรื่องตื่นสายเป็นหนึ่งในกิจวัตรยอดแย่ของหล่อนน่ะสิ
หญิงสาว
ไม่อยากจะต่อความเรื่องนอนตื่นสายมากไปกว่านี้
เลยรีบเสถามเรื่องอื่น
เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
“แล้วพี่เก้ง
ทำไมออกมาคนเดียวละคะ
วีร์ล่ะ”
“พี่นอนไม่หลับน่ะ
วีร์เขาคงขับรถเหนื่อยหลับปุ๋ยไปแล้ว
พี่เกรงใจเขา
เลยว่าจะออกมานั่งเล่น...
ดูดาวเป็นเพื่อนบุษไง”
เขาอมยิ้ม
ปวริศร์
พูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
นัยน์ตาของเขาไม่มีแววกรุ้มกริ่มเจือปน
เขาค่อนข้างระมัดระวัง
กิริยาที่แสดงออกต่อผู้หญิงทุกคน
ที่เข้ามาใกล้ชิด
ด้วยเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่า
เขาจัดเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง
เขาไม่อยากให้ผู้หญิงคนใดมารัก
หรือคลั่งไคล้มากเขาเกินพอดี
ดังเหตุการณ์ที่เคยเกิดกับเขามาก่อน
ตั้งแต่สมัยเขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
ด้วยความเป็นมิตรกับทุกคนที่เข้ามาพูดคุย
ทำให้สาวๆหลายคน
เกิดเข้าใจผิด
เป็นตุเป็นตะ
ว่าเขาสนใจ
ชอบพอด้วย
กระทั่งเกิดเหตุวุ่นวายกับตัวเขา
พาลให้นึกระอาผู้หญิงไปพักใหญ่
“ออกมานั่งแบบนี้
ไม่กลัวยุงกัดเหรอ”
ชายหนุ่มถามขึ้น
อย่างนึกหาเรื่องคุย
เมื่อเห็นหญิงสาว
นั่งมองฟ้านิ่งนาน
“ยุงพวกนี้
ไม่กล้ายุ่งกับบุษหรอก
แค่ได้กลิ่นว่าเป็นบุษ
ก็บินหนี
ปีกแทบหักแล้วล่ะค่ะ”
หล่อนพูดอย่างอารมณ์ดี
“กลิ่นอำมหิตเหรอ”
เขาหัวเราะร่วน
เมื่อถาม
หล่อนหัวเราะตาม
แล้วเล่าเสียงใส
“เรื่องนี้
พ่อบุษ
เป็นคนคิดค่ะ
เพราะตอนเด็กๆ
บุษ
เป็นโรคจิต
ชอบตบยุง
แล้วเอามากองรวมๆไว้เป็นภูเขา
บุษจะตบยุง
แบบไล่ล่าเลยนะคะ
ยิ่งแถวๆบ่อเลี้ยงปลาหน้าบ้าน
จะมียุงบินวนๆ
กันหึ่งๆนั่นแหละค่ะ
บุษจะตบๆๆ ยิ่งแบบมีเลือดสาดติดมือมาด้วยนะคะ
สะใจมาก”
หล่อนนั่งไกวขวา
เล่าอย่างเมามัน
โดยไม่ทันได้สังเกตผู้ฟัง
ที่ทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่
พลันที่หล่อนมาเห็น
หล่อนจึงรู้ตัวว่าพลาดไปถนัดใจ
“เอ่อ
...แต่ตอนนี้บุษ
เลิกแล้วค่ะ บุษเลิ๊กตบยุงแล้วค่ะ”
หล่อนรีบบอก
พร้อมทำเสียงเลียนแบบ
นักร้องลูกทุ่ง
อาภาพร
นครสวรรค์
ตอนร้องเพลง”เลิกแล้วค่ะ“
หวังจะทำให้เขาขำขัน
เงียบ....ไม่มีเสียงตอบ
“ตอนเด็กๆ
เรามักจะทำอะไรที่โหดร้าย
ไปโดยไม่ทันคิด
อย่างเช่นการฆ่าสัตว์
พี่เก้ง
ไม่เคยฆ่าอะไรเลยเหรอคะ”
หล่อนถาม
เมื่อเห็นเขาส่ายหน้า
หล่อนก็ถามต่อ
“เด็กผู้ชาย
มักจะออกไปยิงนก
ตกปลา กันทั้งนั้น
พี่เก้งไม่เคยทำเหรอคะ”
เขาส่ายหน้าอีก
บุษบง
เริ่มคิดในใจ
แล้วพี่เก้งทำอะไร
เป็นเด็กผู้ชายแบบไหนกัน
“มันมีกิจกรรมให้ทำตั้งหลายอย่าง
ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์นะ
พี่...ไม่เคยแม้แต่จะตบยุงสักตัว...”
บุษบงถึงกับอึ้ง
อึ้ง อึ้ง
แล้วก็อึ้ง
หล่อนคงจะมีความโหดเหี้ยม
แฝงเร้นอยู่ในกมลสันดานละมัง
ถึงสามารถทำได้
“แต่ยุงมันกัดเรานี่ค่ะ
มันทำร้ายเราก่อน”
หล่อนแย้ง
อย่างหาเหตุผลให้ตัวเอง
“สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้
แต่ละอย่าง
ต่างมีวิถีชีวิตของมันนะ
ยุงมันกัดเราเพื่อยังชีพ
เป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมันขึ้นมา
มันไม่ผิดหรอกที่จะกัดเรา
ถ้าเราไม่อยากให้มันกัด
ก็เลี่ยงจากมันซะ
อย่ายืนอยู่เฉยๆ
ให้มันกัด
อย่าไปอยู่ในที่ที่ยุงเยอะๆ
คิดดูสิ
คนเรามีสมองคิดได้สารพัด
ถึงวิธีป้องกันยุง
ไม่ว่าจะมุ้งเอย
ยาจุดกันยุง
สเปรย์ตะไคร้หอม
แต่ยุงมีวิธีเดียวที่จะป้องกันตัวเองได้
คือบินหนี แล้วอายุของมันก็แสนสั้น
ธรรมชาติกำหนดชีวิตมันมาอย่างนั้น
พี่เลยคิดว่า
เดี๋ยวมันก็ตายไปตามอายุไขของมันแล้ว
เราก็ไม่เห็นต้องทำอะไรกับมันเลย”
ปวริศร์
ร่ายยาว
ราวกับเทศนา
บุษบงนึกอยากจะยกมือร้องสาธุนัก
แต่เกรงว่า
เขาจะนึกว่าหล่อนล้อเลียน
แล้วก็อาจจะเสียคะแนนหัวใจไปมากกว่านี้
หล่อนจึงได้แต่ทำตาปริบๆ
แสดงสีหน้าราวกับผู้สำนึกผิด
“ค่ะ....บางครั้งบุษ
รู้สึกว่าตัวเองทำบาปกับสัตว์มากมายเหลือเกิน”
หล่อนเก็บเรื่องทารุณสัตว์
อีกสามสี่เรื่อง
ที่หล่อนเคยทำไว้สมัยยังเป็นเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เอาไว้
ไม่ว่า
จะตกปลาเล่น
แล้วก็ปลดปลาออกจากเบ็ดไม่เป็น
จนทำปลาปากฉีก
จับแมลงปอมาดึงหาง
แล้วเสียบดอกหญ้าเข้าไปแทน
ช้อนปลา
ให้มันมากระเสือกกระสนบนพื้นดินเล่น
และยังมีเหตุการณ์เล็กๆน้อยอีกที่หล่อนไม่อยากคิดถึงมัน
“...แต่พอโตขึ้นบุษ
ก็สำนึกค่ะว่าบุษทำบาปกับสัตว์มามาก
ก็เลยพยายามไถ่บาปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
บุษซื้อปลาจากตลาด
แล้วไปปล่อย
เดือนละครั้ง ให้ข้าวพวกหมา
แมวจรจัดบ้างแแล้วแต่โอกาสค่ะ
...แล้วก็
...เก็บชะเอมมาเลี้ยง”
หล่อนยิ้ม
เมื่อพูดถึงแมวรัก
ปวริศร์
ยิ้มและพยักหน้ารับ
“ดีแล้วล่ะที่บุษทำอย่างนั้น”
ชายหนุ่มเหม่อมองแมกไม้รายรอบบ้าน
ในความมืด
สีหน้าเขาคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
ในใจ
เขาผ่อนลมหายใจยาว หันหน้ามามองบุษบง
ก่อนเอ่ยขึ้น
“...คนเราบางครั้งก็ทำบาปไปโดยไม่รู้ตัวนะ
บางครั้งเราอยู่เฉยๆ
ดำเนินชีวิตของเราอย่างปกติสุขไปเรื่อยๆ
แต่กลับทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ใจเพราะเรา
ได้เหมือนกัน”
บุษบงรู้สึกสงสัย
ใคร่รู้อยู่ตะหงิดๆ
แต่ก่อนที่จะเริ่มซักถาม
เพื่อคลายสงสัย
ใครอีกคนในบ้าน
ก็เปิดประตูก้าวเข้ามาสมทบที่ระเบียง
“แหม!
แอบมาจู๋จี๋
ใต้แสงดาวกันอยู่นี่เอง
โรแมนติกซะไม่มี”
วีร์พูดโพล่งขึ้น
พลางหัวเราะร่า
โดยไม่สนใจท่าทางอิหลักอิเหลื่อของคนทั้งสอง
“พูดอะไร
น่าเกลียด”
บุษบงรีบท้วง ตีสีหน้าเข้ม
แต่ในใจนั้นทั้งรู้สึกเขินๆ
ระคนเบิกบานอย่างประหลาด
“แซวเล่นแค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้ เออ
จริงสิ ลืมไป
เก้งเขาเสียหายหมด
ใครรู้ว่ามาจู๋จี๋กับยายบุษบง
มีหวังเป็นข่าวหน้าหนึ่ง”
พูดจบวีร์ก็ปล่อยก๊ากลั่นบ้าน
แล้วรีบฉุดแขนปวริศร์
ให้รีบลุกขึ้น
“ไปเร็วเก้ง
ก่อนที่นางมารบุษบง
จะออกอาละวาด”
ปวริศร์
นึกสนุกจึงรีบวิ่งตาม
วีร์
หนีเข้าห้องนอนไป
ทิ้งให้บุษบง
ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หันรีหันขวางตรงชานเรือนบ้านนั่นเอง
ท่ามกลางเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊ก
กิ๊กกั๊ก ของวีร์
บุษบง
ได้ยินเสียงนุ่มๆ
ร้องบอกออกมาว่า
“เข้านอนเถอะบุษ
ดึกแล้ว”
หล่อนจึงเดินเข้าห้องนอน
อย่างว่าง่าย
ช่างเป็นเสียงที่ทรงพลังมีอำนาจ
เหนือบุษบงเสียจริง
หญิงสาวเอนกายลงนอน
พลางนึกถึงใบหน้าของเขา
พึมพำอยู่ในใจ
“รักษาตัว
และระวังหลังไว้บ้างนะคะพี่เก้ง
อย่ายอมตกเป็นของวีร์ง่ายๆนะคะ”
หล่อนอยากจะคิดเสียว่าเป็นเรื่องตลก
หากเมื่อคำนึงถึงความเป็นจริง
มันก็เป็นเรื่องที่ตลกไม่ออกเอาเสียเลยสำหรับบุษบง
ความอ่อนเพลีย
จากการเดินทางค่อยๆปิดทับเปลือกตาของหล่อน
ให้หลับไหลลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ก่อนจะจมดิ่งสู่นิทรา
บุษบงวาดหวังถึงเช้าวันใหม่
ที่แสนสดใสกับชายหนุ่ม...ผู้อยู่ในหัวใจของหล่อนตลอดมา
แล้วบุษบงก็ได้ประจักษ์กับตนเอง
ในรุ่งเช้าวันใหม่ว่า
เส้นแบ่งระหว่างความฝันกับความจริงนั้น
ถูกขีดเน้นเด่นชัดเหลือเกิน
ความฝันที่จะได้ใกล้ชิด
เดินเคียงข้างพี่เก้งของหล่อนนั้น
ก็ยังเป็นความฝันอยู่เช่นเดิม
ตั้งแต่สายจรดบ่าย
วีร์
ขับรถพาปวริศร์
ไปดูที่
ที่จะปลูกบ้าน
ตระเวนไปดูแบบบ้านพักในรีสอร์ทแถบเขาค้อ
จนถ้วนทั่วทุกแห่ง
โดยมีหล่อนนั่งเป็นตัวประกอบอดทนตามไปด้วยอยู่ในรถ
ชายหนุ่ม
สองคน
คุยกันแต่เรื่องแบบบ้าน
แบบบ้าน
แล้วก็
แบบบ้าน นานๆ
ถึงจะหันมาคุยกับหล่อนเสียทีหนึ่ง
ราวกับจะตรวจสอบว่า
หล่อนยังมีชีวิต
ไม่ได้น้ำลายเน่าตายซากคารถไปแล้ว
ไม่เว้น
แม้กระทั่งพักกินข้าวระหว่างทางกลับบ้าน
เขาทั้งสองคนก็ยังคุยกันไม่เลิกรา
พาลทำให้บุษบงคิดว่า
เขาสองคนกำลังจะคิดสร้างเรือนหอ
ให้ตัวเองกันอยู่หรือไร
‘ติ๊ง โพ๊สิทีฟลี่
ซี่บุษบง’ หล่อนปลอบโยนเชิงแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ
ว่าให้คิดเชิงบวก
‘คนนึงก็อยากได้บ้านดี
อีกคนเป็นคนสร้างบ้าน
เขาก็ต้องปรึกษากันมากๆ
แบบนี้เป็นธรรมดาแหละน่า’
บุษบงปลอบตัวเอง
อย่างนั้นไปตลอดทาง
กระทั่งรถของวีร์มาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน
“ขอบใจมากนะบุษ
ที่อุตส่าห์ไปเป็นเพื่อน”
วีร์บอกพลางขยิบตาด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
ขณะบุษบงกำลังจะเดินเข้าประตูบ้าน
บุษบงหันมามองเพื่อน
ก่อนตอบอย่างเย็นชาด้วยเสียงอันแหบแห้ง
เพราะนั่งเฉาปากอยู่ในรถมาเป็นเวลายาวนาน
“ด้วยความยินดี”
แล้วหล่อน
ค่อยๆเดินก้าวเข้าไปในตัวบ้าน
พร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงรถ
วิ่งแล่นจากไป
รถคันที่พาความฝันของหล่อนหลุดลอย
ค่อยๆหายไปในเงาทะมึนของราตรี
ซึ่งหล่อนสุดจะเดาว่า
เขากับวีร์จะทำให้ราตรีนี้
เป็นราตรีสีม่วงหรือเปล่า
บางอย่างทำให้บุษบงนึกถึง
คำที่เขาเอ่ยขึ้นมาว่า
“บางครั้งเราอยู่เฉยๆ
ดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขไปเรื่อยๆ
แต่กลับทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ใจเพราะเรา
ได้เหมือนกัน”
ชีวิตปกติสุขของเขา
คือแบบไหนกันนะ
ถ้าใช่แบบที่บุษบงสงสัยแล้วละก็
มันต้องสามารถทำให้ใครบางคน
ทุกข์ใจได้อย่างแน่นอน
ซึ่งนอนแน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง
เห็นๆกันอยู่
ก็ตัวหล่อนเองนี่ไงเล่า
เอาเถอะ
อย่าคิดต่อเลยนะบุษบง
แล้วก็อย่าฝันถึงเขาด้วย
อย่างไรเสีย
เขาก็ไม่มีทางชอบหล่อนหรอก
เพราะ...หล่อนเป็นผู้หญิง!
คิดไปพลันปวดร้าวในหัวอก
โธ่เอ๋ย
ชะตาชีวิต
ใยจึงกลั่นแกล้ง
ทรมานทรกรรมหล่อนได้...ถึงเพียงนี้
----------------------------------